ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 535 ทำเพื่อหมาจรพลัดถิ่น มันคุ้มกันหรือ

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 535 ทำเพื่อหมาจรพลัดถิ่น มันคุ้มกันหรือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 353 ทำเพื่อหมาจรพลัดถิ่น มันคุ้มกันหรือ

เซ่าซานเสิ่งวิ่งออกไปส่ง พอกลับมาอีกครั้ง เมื่อเห็นผู้ที่อยู่ในห้องโถงยืนหลับตาเงียบงัน เขาอึกอักอยากจะพูดแต่ก็เงียบไป

ไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดอะไร เซ่าผิงปอหันหลังเดินไปที่ริมโต๊ะ ยื่นมือไปเปิดหีบใบนั้นออก มองเห็นตั๋วแลกเงินและตั๋วแลกทองปึกหนึ่งอยู่ด้านใน อดไม่ได้ที่เชิดหน้าหัวเราะดังลั่น “ฮ่าๆ” หัวเราะดังไม่หยุด ถึงขั้นที่หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา ส่ายหน้าไปมา สีหน้าย่ำแย่ “ในสายตาของพวกเขา ข้าคือคนที่ไล่ไปได้ด้วยเงินเพียงเท่านี้อย่างนั้นหรือ”

“คุณชายใหญ่ อย่าถือสาคุณหนูเลยขอรับ นาง…”

“ถือสาอันใดเล่า? นิสัยของนางเหมือนท่านพ่อ หัวรั้น ท่านพ่อก็เอาแต่อาลัยถึงหนิงอ๋องคนนั้นมาตลอด เขาไหนเลยจะทราบว่าเป็นท่านแม่ที่คอยให้การผลักดันสร้างโอกาสอยู่เบื้องหลัง หากไม่มีท่านแม่คอยดำเนินการ ตัวเขาไหนเลยจะดึงดูดความสนใจของหนิงอ๋องได้ ช่างเถอะ พูดเรื่องพวกนี้กับพวกเขาสองพ่อลูกไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงเผยออกไปก็ไม่มีทางเชื่อ มีแต่จะคิดว่าข้ามีแผนการอันใดอีก”

ปัง! เซ่าผิงปอปิดกล่องลง ยกมือขึ้นปิดสองเนตร พอคลายมือออกก็พรูลมหายใจออกมา “ความคิดต่างกันไม่ทางคุยกันรู้เรื่อง อย่าพูดมากเลย เฮ่าเจินเขียนจดหมายหาหนิวโหย่วเต้า มีความเป็นไปได้สูงที่หนิวโหย่วเต้าจะเดาออกแล้วว่าข้าอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นฉี เห็นทีว่าจะมุ่งหน้ามายังเมืองหลวงแคว้นฉีจริงๆ ไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่นานได้ เตรียมตัวเดินทางเถอะ”

เซ่าซานเสิ่งถาม “ไปไหนขอรับ? ไปแคว้นเว่ยตามคำเชิญของมหาเสนบาดีแคว้นเว่ยหรือขอรับ?”

เซ่าผิงปอล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ ยกขึ้นซับคราบน้ำตา ส่ายหน้าเล็กน้อย “แคว้นเว่ยมั่งคั่ง เจ้าหน้าขุนนางละโมบรักสบาย ความต่อต้านในใจรุนแรงเกินไป ลำพังเพียงเรื่องนี้ข้าก็ต้องเปลืองพลังงานมหาศาลแล้ว มิใช่สถานที่เหมาะจะสร้างผลงาน ฮ่องเต้แคว้นเว่ยเลอะเลือน หลงระเริงขาดสติ ไม่มีใจใฝ่ก้าวหน้า มิใช่กษัตริย์ผู้ปราดเปรื่อง หากหลายปีมานี้ไม่มีเสวียนเวยอุตสาหะดูแล แคว้นเว่ยคงตกอยู่ในสภาวะอันตรายไปแล้ว เสวียนเวยเกี่ยวข้องเป็นพี่น้องร่วมอุทรกับฮ่องเต้แคว้นเว่ย แม้จะได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้แคว้นเว่ย แต่หนึ่งฟ้ามิอาจมีสองตะวันได้ นางได้ฝังปมปัญหาใหญ่ไว้ในแคว้นเว่ยแล้ว เสวียนเวยมีไมตรีแต่ข้าไร้เจตนาจะรับไว้ แคว้นเว่ยมิใช่สถานที่ที่ข้าจำเป็นต้องปกป้อง” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

เซ่าซานเสิ่งพยักหน้ารับนิดๆ ถามไปอีกว่า “หรือว่าคุณชายจะตอบรับหอจันทร์กระจ่าง…”

เซ่าผิงปอโบกมือเอ่ยตัดบท “ไม่ว่าพวกเขาจะมีเจตนาอย่างไร แต่ทำงานด้านลอบสังหาร มีศัตรูคู่แค้นมากมายนัก ซุ่มอยู่ในความมืดมาเนิ่นนาน ทำเรื่องไร้คุณธรรมก็ย่อมต้องอยู่อย่างไร้คุณธรรม คิดจริงๆ น่ะหรือว่าทุกแว่นแคว้นล้วนโง่เขลา? คนที่ไม่สามารถเผยตัวในฉากหน้าได้ ก็ทำได้เพียงต้องซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดไปตลอดกาล วางแผนก่อกรรมอันใดล้วนเป็นเพียงการคิดเข้าข้างตัวเองทั้งสิ้น เป็นความฝันอันเพ้อเจ้อเท่านั้น ไม่มีทางเป็นจริงได้ แล้วข้าจะไปรวมกลุ่มกับพวกชั่วร้ายในมุมมืดไปไยเล่า? ”

เซ่าซานเสิ่งฉงน“เช่นนั้นคุณชายเตรียมจะไปที่ใดขอรับ?”

เซ่าผิงปอใคร่ครวญพลางเอ่ยเนิบๆ ว่า “แคว้นจิ้นแม้จะผอมแห้ง ทว่ามีความทะเยอทะยานแรงกล้า รองรับข้าได้”

“….” เซ่าซานเสิ่งผงะไป เอ่ยด้วยความกังวล “ฮ่องเต้แคว้นจิ้นจะยอมรับคุณชายไว้หรือขอรับ?”

“ในเมื่อข้าตัดสินใจแล้วย่อมมีวิธีจัดการ จะเสียเวลาไม่ได้แล้ว เจ้าหาคนไปติดต่อราชทูตแคว้นจิ้นให้ข้า บอกเพียงว่ามีธุระด่วน อยากจะเชิญมาพบในทันที เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะทำให้พวกเขาคิดหาทางช่วยข้าออกไปจากที่นี่เอง”

“ขอรับ!” เซ่าซานเสิ่งรับคำสั่งแล้วออกไป…

ช่วงพลบค่ำ อาชาสี่ตัวควบผ่านเข้าสู่ประตูเมืองทิศตะวันออก เป็นหนิวโหย่วเต้า ก่วนฟางอี๋ ลุงเฉินและสวี่เหล่าลิ่วที่ผ่านการแปลงโฉมแล้ว

ที่ไม่โดยสารวิหคยักษ์เข้าเมืองเพราะจะสะดุดตาเกินไป รูปลักษณ์ของหยวนกังก็สะดุดตาเช่นกัน ดังนั้นจึงให้คอยเฝ้าอิ๋นเอ๋อร์กับวิหคยักษ์อยู่ในจุดลับตานอกเมือง ขณะเดียวกันก็ให้รับหน้าที่รับมือในสถานการณ์ฉุกเฉินตามต้องการได้ด้วย

พอได้เห็นหนทางที่คุ้นเคยในเมืองนี้อีกครั้ง พวกก่วนฟางอี๋ดูทอดถอนใจนัก

ทั้งคณะเดินทางมาถึงจุดลับตาแห่งหนึ่งในตัวเมือง ติดต่อกับสายข่าวสำนักเบญจคีรีที่อยู่ทางนี้

ผลลัพธ์ทำให้หนิวโหย่วเต้าค่อนข้างผิดหวัง หาที่พำนักของเซ่าผิงปอไม่พบ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเช่นกัน คนที่สำนักเบญจคีรีจัดวางไว้ที่นี่ตอนนี้เป็นได้เพียงสายข่าวหรือไม่ก็จัดการเรื่องจิปาถะบางอย่างตามที่ทราบ ยังไม่ได้ขยายกองกำลังในด้านการสืบหาตัวบุคคลในเมืองหลวงแคว้นฉี

หลังจากให้สายข่าวที่ติดต่อด้วยออกค้นหาต่อแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็มองไปที่ก่วนฟางอี๋ต่อ “เจ้ามีเส้นสายอยู่ที่นี่มากมาย ต้องฝากพวกเจ้าแล้ว”

ก่วนฟางอี๋ส่งสัญญาณให้เหล่าสือซาน อีกฝ่ายจากไปอย่างรวดเร็ว หายลับไปที่ปลายตรอก

“ติดต่อไปหาเจ้าลิงทันที ให้เขาส่งข่าวติดต่อเฮ่าเจินกับหอจันทร์กระจ่าง ถามพวกเขาตามตรงว่าเซ่าผิงปออยู่ที่ไหน” หนิวโหย่วเต้าเริ่มวางแผนต่ออีกครั้ง เรียกได้ว่าเริ่มค้นหาในหลายทิศทางไปพร้อมกัน

หลังจากส่งข่าวติดต่อไปแล้ว ทั้งคณะก็ไปหาโรงเตี๊ยมสักแห่งสำหรับพำนัก…

ณ จวนอิงอ๋อง เฮ่าเจินและเซ่าหลิ่วเอ๋อร์กำลังกินอาหารกันอยู่ บนโต๊ะยังมีองค์ชายน้อยอีกสองคนด้วย มีสาวใช้คอยปรนนิบัติด้านข้าง

ขันทีผู้ดูแลมู่จิ่วเดินเข้ามาในห้องโถง เรียกเอาผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนบิดหมาดมาจากสาวใช้ เดินเข้าไปยื่นส่งให้เฮ่าเจิน

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์เงยหน้ามองเล็กน้อย นางรู้ว่าการที่จู่ๆ มู่จิ่วก็ทำเช่นนี้ต้องมีธุระแน่นอน

เฮ่าเจินเช็ดปากและมือเล็กน้อย จากนั้นลุกออกไป

พอมาถึงในสวนด้านนอกแล้ว มู่จิ่วยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้ “หนิวโหย่วเต้าส่งจดหมายมาพ่ะย่ะค่ะ สอบถามถึงที่อยู่ของเซ่าผิงปอ”

“ไฉนจึงมีจดหมายมาเร็วขนาดนี้อีก?” เฮ่าเจินค่อนข้างแปลกใจ หลังจากอ่านจดหมายแล้วก็ถอนหายใจด้วยความสะท้อนใจ “เห็นทีว่าเซ่าผิงปอจะถึงที่ตายจริงๆ เสียแล้ว!”

เขาไม่ได้บอกชัดเจนว่าให้จัดการเช่นไร หลังจากยื่นจดหมายให้มู่จิ่วก็หันหลังเดินออกไป

มู่จิ่วเข้าใจเจตนาของเขาในทันที ทางหนิวโหย่วเต้าไว้หน้าท่านอ๋องถึงเพียงนั้น หากเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ยังปฏิเสธอีก ก็ออกจะไม่เข้าท่านัก เท่ากับเสียความจริงใจในการคบค้าไป

เพียงแต่ถึงอย่างไรเซ่าผิงปอก็เป็นพี่เขยของท่านอ๋อง ท่านอ๋องไม่สะดวกจะบอกออกไป เรื่องราวบางอย่างไม่จำเป็นต้องให้เจ้านายพูดออกมา ไม่ตอบก็คือคำตอบอย่างหนึ่ง

มู่จิ่วทราบแล้วว่าสมควรจัดการอย่างไร ไอรีนโนเวล

….

ฟ้ามืดแล้ว ภายในสวนไม้เลื้อย อวี้ชางยื่นอยู่นอกศาลาเงยหน้ามองท้องนภาราตรี

ตู๋กูจิ้งเร่งเดินเข้ามา ยื่นจดหมายให้ “อาจารย์ หนิวโหย่วเต้าสอบถามถึงที่อยู่ของเซ่าผิงปอขอรับ”

อวี้ชางไม่ตอบ แต่กลับเอ่ยถาม “มีคำตอบจากฝั่งเซ่าผิงปอหรือยัง?”

ตู๋กูจิ้งตอบว่า “ยังไม่มีขอรับ”

“ไม่ต้องสนใจทางหนิวโหย่วเต้า ให้รอคำตอบจากเซ่าผิงปอถึงเช้าวันพรุ่ง หากไม่มีข่าวมาอีกก็ทำให้เขาได้เห็นดีสักหน่อย ให้เขารู้ว่าอะไรควรไม่ควร” อวี้ชางแค่นเสียง

….

ภายในโรงเตี๊ยม หนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋กำลังกินอาหารอยู่ ลุงเฉินที่รับผิดชอบด้านข่าวสารรีบเดินเข้ามา โน้มตัวเข้าไประหว่างคนทั้งสอง เอ่ยกระซิบ “ทางจวนอ๋องตอบกลับมาแล้วขอรับ…”

“อยู่ที่เมืองหลวงแคว้นฉีจริงๆ สินะ” หนิวโหย่วเต้าแค่นเสียง โยนตะเกียบทิ้งไม่กินต่อแล้ว ลุกขึ้นยืน “ยังไม่หนีก็ดี ไป!”

ก่วนฟางอี๋รีบรั้งเขาไว้ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ นั่นคือเรือนรับรองแขกบ้านแขกเมืองจากแคว้นต่างๆ มีผู้บำเพ็ญเพียรรับผิดชอบดูแลโดยเฉพาะ มิใช่สถานที่ที่จะเข้าไปส่งเดชได้นะ”

“ข้ารู้จักขอบเขตอยู่ ไปเยือนวังหลวงกันสักรอบเถอะ”

ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ทั้งสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นนอกวังหลวง หากคิดจะเข้าวังเลยย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ พวกเขาถูกองครักษ์สกัดเอาไว้ บนป้อมปราการที่อยู่ตรงประตูวังมีผู้บำเพ็ญเพียรปรากฏตัวขึ้นจ้องมองลงมา

หลังจากทั้งสามรออยู่นอกประตูวังพักหนึ่ง องครักษ์ที่เข้าไปรายงานก็ออกมาหา “เจ้าตามข้ามา ส่วนพวกเจ้าสองคนรออยู่ด้านนอก”

ไม่อนุญาตให้ทั้งสองเข้าไป พาหนิวโหย่วเต้าเดินผ่านเข้าประตูไปเพียงคนเดียว

เป็นครั้งแรกที่หนิวโหย่วเต้าได้เข้ามาเยือนวังหลวงแคว้นฉี เพิ่งจะผ่านเข้าประตูมา องครักษ์ก็ส่งตัวให้ขันทีอีกคนนำทางไป

ขันทีก็ไม่ได้พาเขาเข้าไปลึกนัก พาเขาเข้าไปในห้องห้องหนึ่งที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของเรือนแถวหนึ่งในวังหลวงแล้วให้เขารออยู่ด้านใน

ภายในห้องตกแต่งเรียบง่าย มีม้านั่งกลมหลายตัวตั้งรอบโต๊ะตัวหนึ่ง คาดว่าคงเป็นสถานที่สำหรับให้ทหารภายในวังได้พักเท้า แม้แต่น้ำชาก็ไม่มี มีขันทีคนนั้นเฝ้าอยู่ด้านข้าง

รออยู่นานพักใหญ่ เงาร่างของปู้สวินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าประตู

หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นหันหลังกลับไปประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้ดูแลหลวงปู้ จะพบหน้าท่านไม่ง่ายเลยจริงๆ ไม่ได้พบกันเสียนาน คิดถึงท่านจริงๆ”

“ปากหวานขึ้นนะ” ปู้สวินยิ้ม เดินเข้ามามองพินิจเล็กน้อย “ได้ข่าวว่าเจ้ายังอยู่ที่เป่ยโจว จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวที่นี่ ข้าหลงนึกว่ามีคนแอบอ้าง ไม่ต้องมาทำเป็นเอาใจ มีเรื่องใดก็ว่ามา”

หนิวโหย่วเต้าพยักพเยิดหน้าไปทางผู้ติดตามด้านหลังเขา

ปู้สวินยกมือข้ามไหล่พลางโบกเล็กน้อย คนที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกไปทันที

หนิวโหย่วเต้าไม่นั่งและไม่ได้เชิญอีกฝ่ายนั่ง ด้วยรีบร้อนอยู่จึงเอ่ยเข้าประเด็นทันที “ผู้ดูแลหลวง ข้าจะไม่พูดไร้สาระอีก ในเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้ไม่มีเรื่องใดที่ปกปิดท่านได้ เซ่าผิงปอมายังเมืองหลวง ท่านน่าจะทราบแล้วกระมัง?”

ปู้สวินเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา “นี่จะตามล่าไม่ยอมปล่อยหรือ! พวกเจ้าสองคนจะสู้กันเอาเป็นเอาตายไปทำไม ครั้งก่อนเข้าปล้นม้าศึกของเขาไป เขายังไม่ไปคิดบัญชีกับเจ้าเลยมิใช่หรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ขอบอกตามตรงว่าข้ามีความแค้นกับเขา ท่านช่วยเป็นธุระให้ข้า ให้ข้าได้เด็ดหัวเขาทีเถิด”

ปู้สวินถาม “เจ้าวิ่งมาหาข้าถึงในวังเพื่อล้อเล่นกันเช่นนี้ เหมาะสมหรือ?”

“เป่ยโจว!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงกร้าว “หากไม่อยากให้เป่ยโจววุ่นวาย ก็มอบหัวเขาให้ข้าเสีย”

ตอนนี้มุมมองและความคิดของเขาต่างไปจากในอดีตแล้ว เข้าใจแล้วว่าที่ตอนนั้นอีกฝ่ายให้ตนโน้มน้าวซางเฉาจงอย่าก่อเรื่องขึ้นในมณฑลหนานโจวเพราะอะไรกันแน่ พูดกันตามตรงคือ ตอนนี้แคว้นฉีต้องการให้สี่แคว้นที่อยู่ทางตะวันตกสงบมั่นคง มิเช่นนั้นพยัคฆ์เฒ่าอย่างทางแคว้นจิ้นอาจจะออกมาขย้ำสักคำสองคำได้

ปู้สวินแสร้งทำไขสือ “หากเขาตายไปเกรงว่าเป่ยโจวจะวุ่นวายเร็วขึ้นกว่าเดิม”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ที่เขาหลบหนีมาทางนี้เป็นเพราะถูกข้าขับไล่ออกมาจากเป่ยโจว ขอบอกผู้ดูแลหลวงตามตรง เซ่าเติงอวิ๋นอยู่ในการควบคุมของข้าแล้ว ตอนนี้ชีวิตเขาอยู่ในกำมือข้า นี่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ดูแลหลวงแล้วว่าจะเลือกปกป้องผู้ใด ข้าเชื่อในสายข่าวของผู้ดูแลหลวง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทราบถึงสถานการณ์ในเป่ยโจวเลยสักนิด”

ปู้สวินเอ่ยว่า “ข้าสามารถคิดได้หรือไม่ว่าเจ้าหาเรื่องใส่ตัวด้วยการถ่อมาเพื่อข่มขู่ข้าถึงที่นี่?”

หนิวโหย่วเต้ารีบโบกมือเอ่ยไปว่า “ข้ามิได้มีเจตนาเช่นนั้นแน่นอน! ว่ากันตามตรง เขาลอบทำร้ายข้าหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็ส่งคนมาลอบสังหารที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ ซ้ำยังสมคบกับสำนักหยกสวรรค์หมายจะเล่นงานข้าให้ตาย ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักหยกสวรรค์ถึงต้องตายอยู่ที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ ข้าถูกเขาบีบคั้นจนหมดหนทางแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่คิดเลยเช่นกันว่าจะทำให้เซ่าผิงปอต้องหนีได้ ทันทีที่เขาหนีข้าก็หมดหนทางแล้ว หากข้าจับเขาไม่ได้ ก็คงทำได้เพียงสังหารเซ่าเติงอวิ๋นทำให้เป่ยโจววุ่นวาย ตัดขาดแหล่งอำนาจที่พึ่งของเขา ข้าไม่มีทางปล่อยให้เขาใช้ประโยชน์จากอิทธิพลของมณฑลหนึ่งมาลงมือกับข้าได้อีก ด้วยสายข่าวของผู้ดูแลหลวง เรื่องบางอย่างคาดว่าผู้ดูแลหลวงคงวิเคราะห์ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดมากอีก”

ปู้สวินขมวดคิ้ว “เซ่าผิงปอคือพี่ชายของพระชายาอิงอ๋อง ไหนเลยจะสังหารโดยไม่มีสาเหตุได้?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก ผู้ดูแลหลวงเพียงลอบโยกย้ายผู้คุ้มกันเขาออกไป ย่อมมีคนลงมือจัดการแน่นอน ผู้ดูแลหลวง ข้าอาจจะต้องขอเตือนท่านไว้สักหน่อย เซ่าผิงปอสมคบสำนักหยกสวรรค์ลงมือกับข้า หากเกิดเหตุร้ายขึ้นกับข้า มิใช่แค่เป่ยโจวเท่านั้นที่จะวุ่นวาย หนานโจวก็จะเกิดปัญหาขึ้นเช่นกัน เกิดเรื่องทางเหนือใต้พร้อมกัน อาจทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในแคว้นเยี่ยนได้ เซ่าผิงปอกลายเป็นหมาจรพลัดถิ่นแล้ว ทำเพื่อเซ่าผิงปอมันคุ้มกันหรือ?”

….

ภายในห้องทรงงาน ปู้สวินเดินเข้าไป กระทั่งเฮ่าอวิ๋นถูละมือจากฎีกาที่ตรวจอยู่ใต้แสงตะเกียงแล้ว เขาถึงเข้าไปกระซิบงึมงำอยู่ข้างหู

เฮ่าอวิ๋นถูวางพู่กันลง ใช้ความคิดเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ “เซ่าผิงปอเป็นคนมีความสามารถ น่าเสียดายจริงๆ แต่คนผู้นี้ก็มิใช่คนสงบเสงี่ยมอันใด เก็บไว้ก็ไม่รู้จะยุแยงอันใดเฮ่าเจินบ้าง”

เขาหันไปเอ่ยกับปู้สวิน “เรื่องที่อาจารย์อวี้ชางอยากพาหลานมากราบอาจารย์เจ้ายังจำได้หรือไม่? เราเสียหน้าไปมากมายนัก ครั้งนี้เจ้าเด็กคนนี้เข้ามาหาถึงที่เอง ได้โอกาสมอบคำอธิบายให้อาจารย์อวี้ชางพอดี”

ปู้สวินค้อมกายยิ้มน้อยๆ กล่าวไปว่า “พ่ะย่ะค่ะ!”

ไม่นานนัก ขันทีร่างกำยำคนหนึ่งก็พาคนไปด้วยสิบกว่าคน ออกจากวังหลวงไปพร้อมกับหนิวโหย่วเต้า

………………………………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด