ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 356 ข้ายินยอมเอง

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 356 ข้ายินยอมเอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 356 ข้ายินยอมเอง

ฉินเหมียนเดินออกจากสถานที่ขายความสำราญกลับไปยังเรือนด้านหลังอันเงียบสงบ

นอกจากดูแลแขกสูงศักดิ์บางส่วนแล้ว นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องเฝ้าอยู่ในโถงด้านหน้าตลอด แขกทั่วไปจะมีพนักงานคอยให้บริการ

“พี่ฉิน!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่คอยเฝ้าเรือนด้านหลังเอ่ยทักทาย

ฉินเหมียนยืนอยู่ในลานเรือนพลางมองไปรอบๆ ถามขึ้นว่า “นายหญิงล่ะ”

“กลับห้องไปแล้ว!” ชายฉกรรจ์ตอบ จากนั้นเอ่ยแจ้งอีกครั้ง “อันไท่ผิงจากร้านเต้าหูมาหา ไปที่ห้องของนายหญิงแล้วเช่นกัน”

บุรุษที่เป็นคนนอกผู้หนึ่งเข้าไปในห้องส่วนตัวของซูจ้าวอย่างนั้นหรือ? ฉินเหมียนตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นหันหลังเดินออกไป

นางเดาว่าทั้งสองคงอยากคุยเรื่องบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยได้ จึงอยากไปดูว่ามีอะไรกันแน่

พอเดินมาถึงหน้าประตูห้องส่วนตัวของซูจ้าว ขณะที่กำลังจะยกมือเคาะประตูห้อง ภายในห้องกลับมาเสียงดังลอดออกมา ทำให้มือของนางที่เตรียมจะเคาะประตูชะงักไปทันที

ฉินเหมียนนึกว่าตนคงฟังอันใดผิดไป ถึงขนาดที่เหลียวมองรอบข้าง ด้วยหลงนึกว่าตนมาผิดห้อง

เพราะเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านในทำให้นางรู้สึกไม่กล้าจะเชื่อจริงๆ

แต่ความจริงมันก็ได้พิสูจน์แล้วว่านางไม่ได้มาผิดที่ นางคุ้นเคยกับเสียงที่ไม่เหมาะสมที่แว่วออกมาจากในห้องเป็นอย่างดี อยู่ในเรือนเมฆาขาวมานานหลายปีขนาดนี้ นางคุ้นเคยเป็นอย่างมากจริงๆ นางฟังเพียงเล็กน้อยก็ทราบแล้วว่าด้านในกำลังทำอะไร ทั้งยังร้อนแรงมากด้วย!

สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกยากจะเชื่อได้ยิ่งกว่านั้นคือมีเสียงครวญครางเคลิบเคลิ้มของซูจ้าวแว่วออกมาเป็นครั้งคราว บทสนทนาประโยคสองประโยคที่แว่วออกมาเป็นครั้งคราวดูไม่คล้ายว่าจะถูกบังคับขืนใจ แต่เหมือนหฤหรรษ์เคลิบเคลิ้มเสียมากกว่า ทำให้ใบหน้าของฉินเหมียนกระตุกขึ้นมา

มือของฉินเหมียนที่ยกค้างอยู่คิดจะผลักประตูเปิดเข้าไป แต่สุดท้ายก็ยังคงลดมือลง ค่อยๆ หมุนตัว ยืนอยู่ใต้ชายคา

นางมองความมืดมิดยามราตรี ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากภายในห้องดังอยู่เป็นเวลานาน สีหน้านางดูหนักใจเป็นอย่างยิ่ง

…..

เมื่อเสร็จสมอารมณ์หมาย ภายในห้องก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม

คนสองคนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง ฝ่านชายนอนหงาย ส่วนฝ่ายหญิงผมรุ่ยร่ายยุ่งเหยิงนอนตะแคงหันหลังให้

หยวนกังเหม่อมองเพดาน สับสนเลื่อนลอย แต่ที่มากกว่านั้นคือหงุดหงิดและนึกเสียใจ เขาไม่คิดเลยว่าตนจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้

ด้วยความหุนหันพลันแล่นจากความรู้สึกว้าวุ่นยุ่งเหยิง เขามาเพราะมีจุดประสงค์บางอย่างจริงๆ แต่หลังจากใจเย็นลงและมีสติขึ้นมา เขานึกเสียใจอย่างแท้จริง เหตุใดตนถึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้?

ซูจ้าวนอนตะแคงขดตัวหันหลังให้ เรือนร่างโค้งเว้าอรชร ผิวกายขาวผ่องดั่งหิมะ เส้นผมรุ่ยร่ายยุ่งเหยิงแผ่ปรกหน้า ฟันขาวขบริมฝีปากแน่นไม่ยอมคลาย

เมื่อครู่นี้ราวกับวิญญาณกระเจิดกระเจิงออกไป

ตอนนี้พอได้สติขึ้นมา ก็ตระหนักได้ชัดเจนว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งพบเจอเรื่องใดไป

นางเองก็สับสนเช่นกัน ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงทำเช่นนี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตนมีกำลังพอจะปฏิเสธได้ กลิ่นอายความเป็นชายที่แสนแกร่งกล้านั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนตนกลายเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ ไปในชั่วพริบตา รู้สึกว่าตนถูกพิชิตได้ในทันใด สติปัญญาและอารมณ์ว้าวุ่นพัวพันกันยุ่งเหยิง สุดท้ายสติก็พ่ายแพ้ให้แก่อารมณ์อันว้าวุ่น สุดท้ายก็ตกเป็นทาสอย่างสิ้นเชิง!

ตอนนี้สมองของนางเดี๋ยวกระจ่าง เดี๋ยวสับสนยุ่งเหยิง

กระจ่างเพราะนางรู้ตัวแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สับสนเพราะมีภาพของเซ่าผิงปอผุดขึ้นมาในหัวเป็นระยะ รู้สึกว่าตนทำผิดต่อเซ่าผิงปอไปเสียแล้ว

นางและเซ่าผิงปอต่างสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต นางคิดว่าสุดท้ายตนจะได้อยู่ครองคู่กับเซ่าผิงปออย่างแน่นอน

แต่หลังผ่านประสบการณ์ดั่งความฝันครั้งนี้ ดูเหมือนนางจะเข้าใจเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาในทันใด เรื่องระหว่างเซ่าผิงปอที่ว่าเป็นเรื่องแน่นอนนั้นเป็นความแน่นอนที่ตัวนางคิดเองเออเองมาโดยตลอด ทว่าชายที่ทำให้ตนหวั่นไหวได้อย่างแท้ก็คือชายที่อยู่ข้างกายคนนี้ เพียงแต่ถูกความแน่นอนที่ตนเองคิดเอาเองบดบังไว้เท่านั้น จนทำให้ตัวนางแยกแยะไม่ได้มาโดยตลอด

ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว นางยืนยันได้ชัดเจนแล้วว่านับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบชายคนนี้ นางก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว ภายหลังถึงได้จงใจไปลองหยั่งเชิง ถึงได้จงใจเข้าไปใกล้ชิด ตอนนี้นางทราบความคิดของตนในช่วงนั้นอย่างแจ่มแจ้งแล้ว แต่นางแค่ถูกความคิดของตนหลอกตัวเองเท่านั้น

หลังผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้มา ความสับสันที่นางถักทอขึ้นมาด้วยตัวเองถึงได้คลี่คลายกระจ่างชัด

อันที่จริงจิตใต้สำนึกของนางรู้ดีมาตลอด นางเคยใกล้ชิดและทำความรู้จักเซ่าผิงปอ รู้ดีว่าเซ่าผิงปอเป็นคนเช่นไร เซ่าผิงปอคนนั้นเห็นบ้านเมืองสำคัญกว่าทุกสิ่ง หลังจากประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง เขาก็ไม่มีทางแต่งสตรีชื่อเสียงเสื่อมเสียอย่างตนเป็นภรรยาแน่นอน

ความจริงแล้วนางเข้าใจถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด รู้ซึ้งแก่ใจดีเสมอมา แต่กลับยังคงโอบอุ้มความหวังอันน้อยนิดเอาไว้ตลอดมา

ตอนนี้บุรุษที่อยู่ด้านข้างทำให้นางตัดเศษเสี้ยวความหวังนี้ลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว แล้วก็ทำให้นางมีเหตุผลและการตัดสินใจที่ชัดเจน

นางไม่รู้ว่าการโอนอ่อนยอมคล้อยตามเขาเมื่อครู่นี้ มันเป็นการแสดงถึงความคิดบางอย่างในจิตใต้สำนึกของตนหรือไม่

“ขออภัยด้วย!” หยวนกังเอ่ยเบาๆ ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรดี จึงทำได้เพียงเอ่ยขออภัยออกไป

อีกทั้งไม่กล้ามองนางด้วย ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ควรมอง

ซูจ้าวขยับตัวเล็กน้อย เอ่ยถามทั้งที่หันหลังให้ “เหตุใดถึงต้องขออภัย?”

หยวนกังไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร เขาดันตัวลุกขึ้นนั่ง

ซูจ้าวที่หันหลังอยู่ยื่นแขนมาด้านหลัง วางลงบนแผงอกที่แข็งแกร่งของเขา “ไม่จำเป็นต้องขออภัย เป็นข้าที่ยินยอมเอง”

ในแง่หนึ่งแล้ว นี่ก็นับว่าเป็นความยินยอมของตัวนางจริงๆ มิเช่นนั้นหยวนกังไม่มีทางบังคับนางได้

หยวนกังค่อยๆ หันไปมองนาง

ซูจ้าวพลิกตัวกลับมาช้าๆ การที่ต้องเผยร่างต่อสายตาเขาทำให้นางเขินอายเป็นอย่างยิ่ง นางโผตัวเข้าไปโอบกอดหยวนกังไว้ กดให้เขานอนเอนลงไปแล้วทับอยู่บนร่างเขา สายตาของทั้งสองคนประสานกัน

“ตอนนี้ท่านคงรู้แล้วกระมังว่าข้ามิใช่สตรีของซีย่วนต้าอ๋อง” ซูจ้าวเอ่ยเตือนเขาประโยคหนึ่ง คล้ายจะสื่อความหมายว่าเจ้าต้องรับผิดชอบข้า!

หยวนกังเงียบไป ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

ซูจ้าวเอ่ยว่า “เรื่องราวบางอย่างตอนนี้ข้ายังอธิบายกับท่านไม่ได้ ไม่สามารถชี้แจงให้กระจ่างได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ท่านไม่ควรอยู่ในห้องข้านานเกินไป ไปเถอะ รีบออกไปเสีย ออกจากที่นี่ในทันที และห้ามเอ่ยเรื่องนี้กับผู้ใด เดี๋ยวข้าจะไปหาท่านทีหลัง แล้วค่อยอธิบายให้ท่านฟัง”

ดวงหน้างามดั่งวาดขึ้น พวงแก้มแดงเรื่อ นางที่อยู่ในท่วงท่างามเย้ายวนค่อยๆ ก้มหน้าลงมาพลางเอ่ยว่า “ไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไร ข้าก็ไม่เสียใจเลย!”

กล่าวจบก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ดึงผ้าห่มบนเตียงมาห่อร่างตนไว้ เบือนหน้าไปด้านข้างไม่กล้ามองเรือนกายแกร่งกำยำดั่งประติมากรรมหินของเขา คิดไปคิดมาก็หน้าแดง เอ่ยเร่งอีกครั้ง “ไป รีบไปเสีย!”

หยวนกังลุกขึ้นมาทันที หยิบเสื้อผ้าตนขึ้นมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว เปิดประตูเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมา ราวกับกำลังหลบหนีอยู่

ยามที่เดินออกมาถึงประตูท้ายเรือน คนงานผู้หนึ่งยื่นมือออกมาขวางได้ “เถ้าแก่อัน ช้าก่อน!”

ทว่าในขณะที่หยวนกังเดินผ่านเขาไป คนงานผู้นั้นพลันลงมือสกัดจุดที่ช่วงเอวของหยวนกัง

หยวนกังกำลังสับสนว้าวุ่น เป็นช่วงที่การระวังตัวลดต่ำลงที่สุด

ใครอีกคนโผล่ออกมาจากด้านข้าง ทำงานประสานกัน เข้าควบคุมตัวหยวนกังอย่างเงียบเชียบ

ไม่นานนัก หยวนกังที่สลบไปแล้วถูกทั้งสองคนลากกลับมา คนงานทั้งสองมองไปยังฉินเหมียนที่ยืนอยู่ในศาลาด้วยสีหน้าเย็นชา

ฉินเหมียนสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง คนงานทั้งสองลากหยวนกังเดินออกไปทันที

ฉินเหมียนหันหลังเดินไปยังหน้าห้องของซูจ้าว

ครั้งนี้นางไม่ได้เคาะประตู หากแต่ผลักเปิดเข้าไปทันที

ภายในห้อง ซูจ้าวกำลังสวมเสื้อผ้าอยู่ นางถูกหยวนกังเคี่ยวกรำมากพอดู จึงขยับไม่ค่อยสะดวกเท่าไร จู่ๆ ก็มีคนโผล่พรวดเข้ามา ตัวนางที่เหมือนเป็นวัวสันหลังหวะพลันสะดุ้งโหยง

พอเห็นว่าเป็นฉินเหมียน ซูจ้าวที่ยกมือกุมอกอยู่ก็กล่าวอย่างโมโหว่า “ยังรู้จักกฎเกณฑ์อยู่หรือไม่ ไม่รู้จักเคาะประตูหรือไร?”

พอพูดจบนางก็จับสังเกตพฤติกรรมที่ผิดปกติไปของฉินเหมียนได้ ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง พลันลนลานขึ้นมาทันที ถึงขนาดเกิดความคิดจะสังหารคนปิดปากด้วย ทว่าไม่สะดวกจะลงมือ!

ฉินเหมียนก้มตัวลงเก็บอาภรณ์ขาดวิ่นที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ค่อยๆ เดินเข้าไปยังข้างเตียง มองรอยเปื้อนแดงเป็นดวงๆ บนเตียง กัดฟันเอ่ยถามออกไป “เขาบังคับขืนใจท่านหรือเจ้าคะ?”

ซูจ้าวเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “เขาจะบังคับขืนใจข้าได้อย่างไร? เป็นข้ายินยอมเอง!”

ฉินเหมียนพลันเอ่ยด้วยความโมโหคับข้อง “เหลวไหล! ช่างเหลวไหลนัก!”

ซูจ้าวพยายามสงบอารมณ์ลง สวมเสื้อผ้าต่อไปพลางเอ่ยช้าๆ ว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ไม่มีทางกระทบถึงองค์กร เรื่องหลังจากนี้ข้าจะจัดการให้เรียบร้อย เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล! จำไว้ เรื่องใดที่เจ้าไม่ควรก้าวก่ายก็อย่าได้เข้ามาก้าวก่าย!”

ฉินเหมียนเอ่ยว่า “ท่านไป๋ส่งข้ามาดูแลท่าน หากเกิดเรื่องใดขึ้นกับท่านจะให้ข้าไปอธิบายกับท่านไป๋อย่างไรล่ะเจ้าคะ?”

ซูจ้าวกล่าวว่า “ทางท่านอาจารย์ข้าจะอธิบายด้วยตัวเอง เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย!”

ฉินเหมียนโยนอาภรณ์ขาดวิ่นในมือทิ้ง ชี้คราบแดงเป็นดวงๆ บนเตียง “ท่านจะอธิบายอย่างนั้นหรือ? ผู้คนต่างทราบกันทั่วว่าท่านเป็นสตรีของซีย่วนต้าอ๋อง แล้วท่านจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร? เบื้องหลังของอันไท่ผิงคือตระกูลฮูเหยียน นี่ต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่! ตัวท่านเดิมทีก็อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ร่างกายอันผุดผ่องถือเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุด แต่หากร่างกายมัวหมองแล้วท่านจะอธิบายต่อเซ่าผิงปออย่างไรเล่า? การกระทำนี้ของท่านทำลายอนาคตตัวเองไปแล้ว!”

ซูจ้าวหันมามอง “แล้วเหตุใดข้าต้องอธิบายกับเขาด้วย? ข้าไม่มีสถานะอะไรกับเขาด้วยซ้ำ อีกทั้งมิได้หมั้นหมายกัน แล้วเหตุใดต้องอธิบายกับเขาด้วย?”

ฉินเหมียนกล่าวออกไป “ท่านเคยบอกกับท่านไป๋เอาไว้เอง ท่านลืมแล้วหรือ?”

ซูจ้าวตอบว่า “เรื่องงานคือเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวคือเรื่องส่วนตัว ไม่มีผู้ใดกำหนดไว้เสียหน่วยว่าข้าต้องอุทิศตัวให้เซ่าผิงปอเท่านั้น เรื่องใดที่สมควรทำข้าก็จะทำต่อไปให้ดี เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล! ข้าขอยืนยันคำเดิม เรื่องใดที่เจ้าไม่ควรก้าวก่ายก็อย่าได้เข้ามาก้าวก่าย!” นางปรายตามองมาอย่างเย็นชา

“ท่าน…”

“พอได้แล้ว ข้าเหนื่อยแล้ว”

สองมือของฉินเหมียนกำแน่น ขบกรามจนแก้มตึง หันหลังเดินออกมา

ซูจ้าวที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วค่อยๆ นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองเงาตนในคันฉ่อง นั่งทื่อนิ่งเงียบอยู่นานพักใหญ่ ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้นางเขินอายที่จะนึกถึง แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังสลักลึกอยู่ในสมองไม่อาจลบเลือนได้ ทุกฉากดั่งภาพฝัน

ทว่าหลังตื่นจากฝันก็ยังต้องเผชิญกับโลกความเป็นจริง ฉินเหมียนรู้เรื่องนี้เข้าแล้ว เกรงว่าคงต้องเผชิญปัญหาวุ่นวายแน่

ทันใดนั้นเอง ซูจ้าวพลันมีสีหน้าตื่นตะลึง คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ในเมื่อฉินเหมียนทราบเรื่องแล้วยังจะปล่อยอันไท่ผิงจากไปอย่างนั้นหรือ?

ดวงตานางฉายแววหวาดหวั่นเล็กน้อย รีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งออกไป

นางวิ่งออกมาด้วยสภาพปล่อยผมยาวสยาย พอพบตัวลูกน้องคนหนึ่งก็รีบเอ่ยถาม “ฉินเหมียนไปไหนแล้ว?”

ลูกน้องค่อนข้างแปลกใจที่นางอยู่ในสภาพแต่งตัวไม่เรียบร้อย ทว่าชี้ยังไปทิศทางหนึ่ง “ไปทางห้องมืดขอรับ!”

พอได้ยินคำว่าห้องมืด ซูจ้าวก็ยิ่งหวั่นวิตก รีบมุ่งหน้าไปด้วยความร้อนใจ

ภายในห้องมืด แสงตะเกียงหรี่สลัว หยวนกังที่สลบอยู่ถูกมัดไว้บนแท่นทรมาน

ฉินเหมียนเดินออกมาจากเงามืด ยืนอยู่เบื้องหน้าหยวนกัง จ้องมองหยวนกังที่อยู่ในสภาพหมดสติอยู่ครู่หนึ่ง ยื่นมือไปบีบปลายคางหยวนกัง ง้างเปิดปากของหยวนกัง มืออีกข้างที่ถือยาสีแดงเม็ดหนึ่งไว้ดีดมันเข้าไปในปากหยวนกัง จากนั้นใช้พลังส่งยาลงไปยังกระเพาะของหยวนกัง อีกทั้งใช้พลังช่วยละลายยาภายในร่างเขา…

ปัง! ซูจ้าวผลักเปิดประตูบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว เห็นหยวนกังถูกมัดไว้โดยที่สลบอยู่ แล้วก็มองเห็นการกระทำของฉินเหมียน

ฉินเหมียนหันกลับมามองนาง ฝ่ามือข้างนั้นยังคงทาบอยู่บนร่างหยวนกัง

“ปล่อยเขาซะ!” ซูจ้าวพุ่งเข้ามา ผลักฉินเหมียนออกไป จากนั้นก็ตรวจสอบร่างกายของหยวนกังอย่างรวดเร็ว แต่ไม่พบจุดผิดปกติใด นางหันขวับไปจ้องมองฉินเหมียนอย่างเยียบเย็น “เจ้าทำอะไรกับเขา?”

ฉินเหมียนตอบว่า “โอสถเทพระทมที่ท่านไป๋มอบให้เม็ดนั้น ข้าป้อนให้เขาไปแล้ว!”

“นังแพศยาสมควรตาย!” ซูจ้าวตวาดด่าเสียงกร้าว ตอนนี้ไม่มีเวลามาเอาความกับนางแล้ว นางทาบฝ่ามือลงบนหน้าท้องหยวนกัง เตรียมจะโคจรลมปราณกระตุ้นให้หยวนกังสำรอกออกมา

ฉินเหมียนเอ่ยว่า “ท่านมาช้าไปเสียแล้ว ข้าช่วยละลายยาให้เขาไปแล้ว!”

………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด