ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 26 สวัสดี

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 26 สวัสดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังเพิ่งพบหน้ากัน มีเรื่องให้พูดคุยกันมากมาย จึงรั้งท้ายตามอยู่ด้านหลังขบวน

ด้านหน้า ซางเฉาจงบังเอิญได้ยินซางซูชิงยังคงพึมพำคำว่า ‘เครื่องบินรถถัง’ อยู่ จึงหันกลับไปมองสองคนนั้นที่อยู่ห่างไปทางด้านหลัง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เขาไม่ยอมพูด ชิงเอ๋อร์ยังคิดถึงเรื่องนี้อยู่อีกหรือ? เช่นนั้นก่อนหน้านี้ไยจึงไม่ซักไซ้ไล่ถามให้รู้เรื่องเล่า?”

ซางซูชิงอยู่ภายใต้หมวกม่านแพร จึงมองไม่เห็นสีหน้าของนาง “ก็คนเขาไม่ยอมพูด แต่ข้ารู้สึกว่าหนิวโหย่วเต้าคนนั้นก็มิใช่คนพูดจาเหลวไหลส่งเดช คำพูดที่เผลอพูดออกมาตามใจคิดครั้งนี้ทำให้ข้ารู้สึกแปลกๆ ข้ารู้สึกเหมือนว่าคำพูดที่กล่าวโดยไม่ตั้งใจของเขานั้นมิคล้ายเป็นการหลุดปาก หากแต่ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่เขาคร้านจะปิดบังพวกเรา ส่วนสายตาที่หยวนกังผู้นั้นมองดูพวกเราก็แฝงความดูแคลนเอาไว้”

ซางเฉาจงเอ่ยด้วยความฉงน “ชิงเอ๋อร์ วาจานี้ของเจ้าขัดแย้งกันเองนะ เหตุใดข้าฟังแล้วค่อนข้างสับสนเล่า?”

ซางซูชิงเอ่ยว่า “ข้าก็บอกไม่ถูกเช่นกัน คล้ายว่าพวกเขากำลังดูแคลนพวกเราอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนว่าพลั้งปากพูดแล้วก็พูดไป ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี ในแง่หนึ่งแล้ว เหมือนพวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือกว่าเวลาที่เผชิญหน้ากับพวกเรา”

ซางเฉาจงร้องเฮอะ “อาจเพราะคิดว่าตนเป็นฝ่าซือ ในสายตาพวกเขาพวกเราคงเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนกระมัง”

“อาจจะใช่!” ซางซูชิงเอ่ยงึมงำ หันไปถามอีกครั้งว่า “ท่านอาจารย์หลาน ท่านคิดว่าการที่ตอนแรกเขารับปากจะไปที่หมู่บ้านกับเรา แต่จู่ๆ มาปฏิเสธทีหลังหมายความว่าอย่างไร?”

หลานรั่วถิงกล่าวว่า “คงต้องการปกป้องชาวบ้านกระมัง หยวนกังคนนี้อาจจะไม่อยากให้พวกเราไปเจอชาวบ้านจริงๆ”

ซางเฉาจงกล่าวเสริม “รู้สถานที่แล้ว หากอยากกลับมาตรวจสอบก็มิใช่เรื่องยากแล้วมิใช่หรือ?”

หลานรั่วถิงเอ่ยว่า “เมื่อครู่ท่านอ๋องยังมองไม่ออกหรือ? หากในหุบเขามีหมู่บ้านอันใดอยู่จริง หมู่บ้านนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จากเสียงผิวปากนั่นก็พอจะฟังออกแล้วว่าในหมู่บ้านแห่งนี้มีมาตรการป้องกันตัวที่เข้มงวด เกรงว่าทันทีที่คนนอกเข้าใกล้ คนในหมู่บ้านคงระวังตัวแจ บางทีอาจเป็นอย่างที่พวกเขาว่าจริงๆ ถูกทหารปล้นสะดมจนหวาดผวา”

ขบวนพ้นจากทางเดินเล็กๆ ควบม้าไปตามทางหลวงต่อ

หนิวโหย่วเต้าขี่ม้าเคียงคู่หยวนกังอยู่ด้านหลัง แต่ละคนบอกเล่าสถานการณ์ในหลายปีมานี้ของตัวเอง ได้พบกันอีกครั้งช่างน่ายินดี รั้งท้ายขบวนรมฝุ่นควันก็ไม่เป็นไร

สำหรับหยวนกัง หนิวโหย่วเต้าไม่อำพรางปิดบังเรื่องใด ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในวัดร้างและได้พบตงกัวเฮ่าหราน ตลอดจนเหตุการณ์ที่ออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาครั้งนี้ก็ล้วนแต่บอกเล่าไปตามจริง แม้แต่เรื่องที่ค้นพบ ‘เคล็ดวิชามหาจักรวาล’ ในคันฉ่องก็ไม่ปิดบัง

หยวนกังไม่คิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะถูกกักบริเวณถึงห้าปี “เต้าเหยี่ย ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่ามา แปลว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คิดจะทำร้ายคุณ?”

หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วน ดูจากเบาะแสต่างๆ อีกทั้งคำเตือนจากถูฮั่นคนนั้น พวกเขาคงอยากส่งฉันไปปรโลกก่อนกำหนด ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำอะไรให้พวกเขาโกรธเข้า ฉันก็ไม่ได้มีพิษมีภัยกับพวกเขา ทำไมถึงไม่เลิกยุ่งกับฉันสักที เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่เข้าใจ”

หยวนกังเอ่ยว่า “ตอนอยู่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ พวกเขาสามารถลงมือได้สบาย ทำไมต้องถ่วงเวลามาถึงตอนนี้ด้วยล่ะ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบ “เรื่องนี้ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”

หยวนกังถาม “เต้าเหยี่ยวางแผนจัดการเรื่องนี้ยังไง?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าว “ดูเหมือนตามกลุ่มคนด้านหน้าพวกนั้นไปก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน รอให้ผ่านวัดหนานซานไป รอจนกว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นึกว่าฉันตายและกำจัดอันตรายที่พัวพันไปได้แล้ว พวกเราจะสลัดพวกเขาทิ้งทันที นับจากนี้ไปนภากว้างไกลปฐพีไพศาล อาศัยความสามารถของพวกเราพี่น้อง ออกไปท่องดูให้ทั่วกันเถอะ”

หลังจากทั้งสองหารือเรื่องนี้กันอยู่ครู่หนึ่ง เต้าเหยี่ยก็เริ่มเล่าเรื่องของโลกบำเพ็ญที่ตนรู้ให้หยวนกังฟัง เพื่อที่จะได้ยกระดับมุมมองของหยวนกังให้หลุดพ้นจากหมู่บ้านในหุบเขาแห่งนั้นและมีความเข้าใจต่อโลกใบนี้มากขึ้น เพื่อที่จะได้เอาตัวรอดในโลกนี้ได้ น่าเสียดายที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่ยอมให้นำตำราที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวสำคัญในโลกบำเพ็ญเพียรออกมา มิเช่นนั้นคงประหยัดคำพูดไปได้มาก หยวนกังติดตามเขาคลุกคลีอยู่ใน ‘โลกโบราณคดี’ มานานหลายปี อ่านอักษรเสี่ยวจ้วนได้ไม่มีปัญหาเลย

จู่ๆ หยวนกังที่ฟังและครุ่นคิดตามไปด้วยตลอดทั้งทางก็โพล่งออกมาประโยคหนึ่ง “ผู้คนในโลกบำเพ็ญเพียรเข้าแทรกแซงเรื่องทางโลก ถึงขั้นที่เข้าร่วมการแก่งแย่งอำนาจของแคว้นต่างๆ ด้วย ผมรู้สึกว่ามันยากจะเข้าใจได้จริงๆ”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “มีอะไรเข้าใจยากกัน การไม่รู้อะไรเลยต่างหากที่ยากจะเข้าใจได้ เรื่องที่ไม่รู้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่ เคยอ่าน ‘สถาปนาเทพ[1]’ ไหม? ศึกราชวงศ์ซางกับราชวงศ์โจวในเรื่อง มีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายที่เข้าร่วมด้วย อาทิเจียงจื่อหยา นาจา หยางเจี้ยนอะไรพวกนั้น สถานการณ์คล้ายคลึงกับโลกที่พวกเราอยู่ในตอนนี้เลย นายคิดซะว่าพวกเราเข้าไปอยู่ในโลกที่อยู่ในหนังสือ ‘สถาปนาเทพ’ ก็แล้วกัน เดี๋ยวสมองก็ปรับตัวไปได้เอง”

หยวนกังพูดไม่ออกอยู่บ้าง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เต้าเหยี่ย จากที่คุณว่ามา หรือว่าบนโลกนี้จะมีเทพเซียนที่เหาะเหินไปมาได้อยู่จริงๆ?”

หนิวโหย่วเต้าที่กุมบังเหียนกระทุ้งม้ายิ้มออกมาอีกครั้ง “สิ่งที่เรียกว่าเทพเซียนนั่นน่ะ มันขึ้นอยู่กับว่านายเข้าใจแบบไหน ถ้านิยามแค่เหาะเหินไปมา มันก็น่าจะอยู่มีนั่นแหละ เพียงแต่ผู้คนในโลกนี้ที่บำเพ็ญเพียรไปถึงขั้นนั้นได้ดูเหมือนจะมีไม่มาก ถ้าบำเพ็ญเพียรไปถึงระดับนั้นได้จริงๆ ก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารแล้ว ผู้คนด้านล่างก็คงดาหน้าเข้ามาหยิบยื่นผลประโยชน์ให้ แต่โดยทั่วไปแล้วคิดว่าพวกเขาน่าจะไม่ยอมเผยตัวกันง่ายๆ”

“เหาะเหินไปมาได้จริงๆ น่ะหรือ?” หยวนกังส่ายหน้า แม้ว่าเป็นคำพูดของคนที่เขาไว้วางใจ แต่เขาก็ยังกล่าวอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อว่า “เป็นไปไม่ได้!”

หนิวโหย่วเต้าผายสองมือออก “เป็นไปได้สิ แค่นายไม่ได้สัมผัสถึงแก่นแท้ของมัน ก็เลยไม่เข้าใจเท่านั้นเอง”

หยวนกังประหลาดใจ “เป็นไปได้? เป็นไปได้ยังไง?”

หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญเล็กน้อย คิดว่าควรจะอธิบายเขาอย่างไรดี หลังจากตรึกตรอกดูแล้ว จึงเอ่ยว่า “ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่ ฉันก็เหมือนกับนายที่ไม่เชื่อเรื่องเทพเซียนอะไรเลย แต่หลังจากฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาห้าปี พอเปรียบเทียบทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ฉันก็พอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าแก่นแท้มันอยู่ตรงไหน นายดูนะ!”

เขาส่งสายตาบอกให้หยวนกังจับตามอง จากนั้นพลิกฝ่ามือ เดินลมปราณดันออกไป มองเห็นฝุ่นธุลีจากฝูงม้าที่ควบทะยานอยู่ด้านหน้ารวมตัวหมุนวนอยู่ในฝ่ามือของเขาไม่หยุดราวพายุหมุน หลังจากโบกมือให้สลายไป เขาก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “นายคิดว่าเมื่อกี้ฉันทำอะไร?”

หยวนกังตอบ “นี่คือผลลัพธ์จากกำลังภายในที่เกิดจากลมปราณที่คุณฝึกฝน” เหตุการณ์ประเภทนี้เมื่อก่อนเขาเคยเห็นจากหนิวโหย่วเต้ามาแล้ว

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า “เป็นลมปราณน่ะไม่ผิดหรอก แต่หลังจากเดินลมปราณแล้ว พลังนี้มาจากไหน นายอธิบายได้ไหม?”

หยวนกังเงียบไป เรื่องนี้เขาไม่เคยคิดให้ลึกลงไปเลยจริงๆ รู้เพียงว่าเป็นลมปราณ จึงส่ายหน้า สื่อว่าไม่รู้

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ช่วงแรกๆ ที่ฝึกฝนลมปราณ พอประสาทสัมผัสทางร่างกายและจิตใจเปิดออก ฉันก็สัมผัสได้ว่าร่างกายดูดซับบางสิ่งบางอย่างจากในสถานที่ที่มองไม่เห็นเข้าสู่ร่างกาย ตามคำอธิบายของลัทธิเต๋า พวกเขาเรียกมันว่าพลังวิญญาณในฟ้าดิน ฉันเองก็เข้าใจเจ้าสิ่งลี้ลับนี้อย่างคลุมเครือมาโดยตลอด แต่หลังจากที่มาอยู่ในโลกนี้และมีสิ่งที่ให้เปรียบเทียบแล้ว ฉันคิดว่าฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เรียกกันว่าพลังวิญญาณในฟ้าดินมันคืออะไรกันแน่”

หยวนกังสงบนิ่ง ทว่ายังคงอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “คืออะไรล่ะ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ถ้าใช้คำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์มาอธิบาย นายน่าจะเข้าใจ สสารมืด เคยได้ยินเรื่องสสารมืดไหม?”

ดวงตาหยวนกังฉายแววประหลาดใจ “คุณหมายถึงสสารที่เล็กยิ่งกว่าอิเล็กตรอนกับโฟตอน ไม่สามารถทำการสังเกตดูโดยตรงได้และนักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามหาทางค้นคว้าอยู่นั่นน่ะเหรอ?”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “ถูกต้อง หลังจากฉันทำการเปรียบเทียบและครุ่นคิดดูอย่างละเอียดแล้ว สิ่งที่เรียกว่าพลังวิญญาณก็น่าจะเป็นสสารมืดนั่นแหละ ในอดีตในทางไสยศาสตร์มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าภูตผี นายน่าจะคุ้นเคยดี คล้ายว่ามีอยู่ แล้วก็คล้ายว่าไม่มีอยู่ แต่ตอนอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ฉันได้ทำการตรวจสอบตำราโบราณบางส่วนจนแน่ใจแล้วว่าภูตผีมีตัวตนอยู่จริงๆ ฉันคิดว่าสิ่งที่เรียกว่าภูตผีอันที่จริงก็คือสิ่งที่ก่อตัวขึ้นจากสสารมืดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หลังจากมนุษย์ตายไป ความคิดและความยึดติดคงอยู่ได้โดยอาศัยสสารมืดเป็นตัวกลาง จากนั้นก่อตัวเป็นสิ่งที่เรียกว่าภูตผี อันที่จริงหลักการนี้มันก็เหมือนการที่นายกับฉันครอบครองร่างกายอยู่ในตอนนี้ ความแตกต่างระหว่างพวกเรากับภูติผีน่าจะอยู่ที่ตัวกลางที่คอยควบคุมความคิดที่มีความแตกต่างกันเท่านั้น จักรวาลกว้างใหญ่ หลายสิ่งอยู่ปะปนรวมกัน เรื่องที่มนุษย์ไม่เข้าใจมีอยู่มากมาย แต่นั่นไม่ได้แปลว่าจะไม่มีอยู่ ทุกอย่างมีกระบวนการในการสัมผัสและทำความเข้าใจทั้งนั้น”

หยวนกังมองเขาด้วยความรู้สึกจนปัญญา

“อย่ามองฉันแบบนี้ ไม่มีอะไรต้องแปลกใจเลย ถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็ ระดับสูงต่ำของสิ่งที่เรียกว่ากำลังภายในและพลังวิเศษ ความจริงก็เป็นแค่ผลลัพธ์อย่างหนึ่งจากการควบคุมสสารมืดแล้วปลดปล่อยพลังงานมืดออกมาในปริมาณมากน้อยต่างกันเท่านั้น” หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อสกัดฝุ่นควันกลุ่มใหญ่ที่ลอยมา เอ่ยต่อว่า “หลังจากฉันได้มาฝึกบำเพ็ญเพียรที่โลกนี้ถึงได้พบว่าพลังวิญญาณ หรือก็คือสสารมืดตามความเข้าใจของนายในโลกนี้มีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าโลกที่พวกเราเคยอาศัยอยู่มากนัก ฉันเคยทดลองดูหลายครั้งแล้ว ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญเพียรที่โลกทางนี้เหนือกว่าโลกทางนั้น ตามที่อ่านมาจากตำราบางส่วน ในอดีตโลกนี้ก็ไม่ได้มีพลังวิญญาณมากมายขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่ได้มีผู้บำเพ็ญเพียรเยอะขนาดนี้ด้วยเช่นกัน ภายหลังผู้คนพากันบอกเล่าว่าเป็นเพราะซางซ่งผู้เป็นจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งแคว้นอู่ได้ไปเจาะรูบนฟ้า ด้วยเหตุนี้เลยมีพลังวิญญาณมากมายหลั่งไหลเข้ามายังโลกนี้อย่างไม่ขาดสาย รายละเอียดเป็นอย่างไรฉันเองก็ไม่รู้แน่ชัด เออใช่ นายยังฝึกปราณเสริมแกร่งอยู่ไหม? ”

หยวนกังพยักหน้ารับ “หลังหายดีก็ฝึกมาตลอด ทักษะป้องกันตัวต้องมีไว้บ้าง”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าหยอกล้อ “ความจริงแล้วปราณเสริมแกร่งหลอมกายที่แท้จริงต้องฝึกควบคู่กับเคล็ดกำหนดลมหายใจ ต้องดูดซับพลังวิญญาณ หรือก็คือสสารมืดตามความเข้าใจของนายเหมือนกัน ถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็ ความคืบหน้าในการฝึกฝนปราณเสริมแกร่งของนายในตอนนี้ต้องเหนือกว่าเมื่อก่อนแน่”

หยวนกังเงียบไปไม่เอ่ยตอบ ใช่แล้ว เต้าเหยี่ยเดาถูกจริงๆ เมื่อก่อนเขาคิดไม่ออกเลยว่าเป็นเพราะอะไร ตอนนี้พอเต้าเหยี่ยอธิบายความรู้ลึกซึ้งเหล่านั้นด้วยคำพูดง่ายๆ แบบนี้ เขาก็คล้ายจะพอเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “เคล็ดวิชามหาจักรวาลที่ฉันฝึกก็ไม่เลวเลย กลับไปฉันจะช่วยตรวจสอบร่างกายให้นาย ดูว่าตอนนี้คุณสมบัติร่างกายนายเหมาะกับการบำเพ็ญเพียรไหม ถ้าหากว่าเหมาะจะให้นายฝึกด้วย”

หยวนกังส่ายหน้า “ผมไม่สนใจเรื่องนั่งสมาธิเข้าฌานพวกนั้น ถ้ามีเวลาก็อยากเอาไปทำเรื่องที่มีประโยชน์มากกว่า”

หนิวโหย่วเต้าบ่น “นายอย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า โลกนี้ไม่เหมือนกับโลกในอดีตนะ มีพลังป้องกันตัวเพิ่มขึ้นอีกอย่างไม่ดีหรือไง? ยืดอายุขัยชะลอวัยอยู่ได้นานขึ้นก็ดีออก”

หยวนกังยังคงส่ายหน้า “ถ้าต้องเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งสมาธิ แล้วชีวิตยืนยาวจะไปมีความหมายอะไร? ชีวิตคือการเคลื่อนไหว!”

“เจ้าลิง ฉันว่านาย…”

“เต้าเหยี่ย ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมแล้ว ผมไม่ได้หลงใหลหมกมุ่นในเรื่องนี้เหมือนคุณ ผมไม่สนใจเรื่องอภินิหารลึกลับพวกนั้นจริงๆ มุมมองการใช้ชีวิตของผมคุณก็น่าจะรู้”

“ได้ ฉันขี้เกียจพูดแล้ว” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ จากนั้นเอ่ยชี้แนะเขาอีกครั้ง “ยังไงก็ตามนายห้ามทิ้งปราณเสริมแกร่งนะ ฉันว่าปราณเสริมแกร่งที่นายฝึกต้องไม่ธรรมดาแน่ จากตำนานเล่าขานบางส่วนของสำนักเต๋าในโลกทางนั้นชี้ให้เห็นเงื่อนงำบางอย่าง ในอดีตเมื่อนานมาแล้วคงมีพลังวิญญาณอยู่มากเหมือนกัน ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พลังวิญญาณเหือดแห้งเบาบาง เมื่อเวลาผ่านไป ขอเพียงเป็นวิชาที่รับรู้และดูดซับพลังวิญญาณได้ไม่ดี ฝึกแล้วไม่ได้ผลอะไร สุดท้ายก็จะถูกลืมเลือนหายไปในกาลเวลา วิชาที่เหลือรอดมาถึงยุคสมัยของพวกเราแล้วยังฝึกได้ผลอยู่ก็น่าจะเป็นวิชาที่ไม่ธรรมดา ฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ไม่แน่ว่าอาจได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็ได้ ในจุดนี้ฉันไม่พูดนายก็น่าจะรับรู้ได้”

หยวนกังตอบอืมคำหนึ่ง เงียบไปสักพักถึงเอ่ยถามอีกครั้ง “เต้าเหยี่ย คุณวางแผนอนาคตไว้ยังไง?”

หนิวโหย่วเต้ากวาดตามองโลกรอบตัว เอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส “เมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่อย่างเป็นสุข มอบสามคำให้โลกใบนี้!”

“สามคำ?” หยวนกังไม่เข้าใจ ถามด้วยความฉงน “สามคำไหน?”

“สวัสดี!”

หนิวโหย่วเต้ายักคิ้วกล่าวออกมา พลันหวดแส้เร่งม้าหนีไป

“สวัสดี?” หยวนกังตะลึงไปแวบหนึ่ง มองไปรอบๆ จากนั้นก็หวดแส้เร่งม้าตามไป หนึ่งหน้าหนึ่งหลังไล่ตามกันไป

…………………………………………………

[1] สถาปนาเทพ หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ห้องสิน เป็นวรรณกรรมจีนที่ประพันธ์ขึ้นในยุคราชวงศ์หมิง มีทั้งหมดหนึ่งร้อยตอน เป็นเรื่องราวอภินิหารเกี่ยวกับเทพเซียนมารปีศาจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 26 สวัสดี

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 26 สวัสดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังเพิ่งพบหน้ากัน มีเรื่องให้พูดคุยกันมากมาย จึงรั้งท้ายตามอยู่ด้านหลังขบวน

ด้านหน้า ซางเฉาจงบังเอิญได้ยินซางซูชิงยังคงพึมพำคำว่า ‘เครื่องบินรถถัง’ อยู่ จึงหันกลับไปมองสองคนนั้นที่อยู่ห่างไปทางด้านหลัง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เขาไม่ยอมพูด ชิงเอ๋อร์ยังคิดถึงเรื่องนี้อยู่อีกหรือ? เช่นนั้นก่อนหน้านี้ไยจึงไม่ซักไซ้ไล่ถามให้รู้เรื่องเล่า?”

ซางซูชิงอยู่ภายใต้หมวกม่านแพร จึงมองไม่เห็นสีหน้าของนาง “ก็คนเขาไม่ยอมพูด แต่ข้ารู้สึกว่าหนิวโหย่วเต้าคนนั้นก็มิใช่คนพูดจาเหลวไหลส่งเดช คำพูดที่เผลอพูดออกมาตามใจคิดครั้งนี้ทำให้ข้ารู้สึกแปลกๆ ข้ารู้สึกเหมือนว่าคำพูดที่กล่าวโดยไม่ตั้งใจของเขานั้นมิคล้ายเป็นการหลุดปาก หากแต่ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่เขาคร้านจะปิดบังพวกเรา ส่วนสายตาที่หยวนกังผู้นั้นมองดูพวกเราก็แฝงความดูแคลนเอาไว้”

ซางเฉาจงเอ่ยด้วยความฉงน “ชิงเอ๋อร์ วาจานี้ของเจ้าขัดแย้งกันเองนะ เหตุใดข้าฟังแล้วค่อนข้างสับสนเล่า?”

ซางซูชิงเอ่ยว่า “ข้าก็บอกไม่ถูกเช่นกัน คล้ายว่าพวกเขากำลังดูแคลนพวกเราอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนว่าพลั้งปากพูดแล้วก็พูดไป ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี ในแง่หนึ่งแล้ว เหมือนพวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือกว่าเวลาที่เผชิญหน้ากับพวกเรา”

ซางเฉาจงร้องเฮอะ “อาจเพราะคิดว่าตนเป็นฝ่าซือ ในสายตาพวกเขาพวกเราคงเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนกระมัง”

“อาจจะใช่!” ซางซูชิงเอ่ยงึมงำ หันไปถามอีกครั้งว่า “ท่านอาจารย์หลาน ท่านคิดว่าการที่ตอนแรกเขารับปากจะไปที่หมู่บ้านกับเรา แต่จู่ๆ มาปฏิเสธทีหลังหมายความว่าอย่างไร?”

หลานรั่วถิงกล่าวว่า “คงต้องการปกป้องชาวบ้านกระมัง หยวนกังคนนี้อาจจะไม่อยากให้พวกเราไปเจอชาวบ้านจริงๆ”

ซางเฉาจงกล่าวเสริม “รู้สถานที่แล้ว หากอยากกลับมาตรวจสอบก็มิใช่เรื่องยากแล้วมิใช่หรือ?”

หลานรั่วถิงเอ่ยว่า “เมื่อครู่ท่านอ๋องยังมองไม่ออกหรือ? หากในหุบเขามีหมู่บ้านอันใดอยู่จริง หมู่บ้านนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จากเสียงผิวปากนั่นก็พอจะฟังออกแล้วว่าในหมู่บ้านแห่งนี้มีมาตรการป้องกันตัวที่เข้มงวด เกรงว่าทันทีที่คนนอกเข้าใกล้ คนในหมู่บ้านคงระวังตัวแจ บางทีอาจเป็นอย่างที่พวกเขาว่าจริงๆ ถูกทหารปล้นสะดมจนหวาดผวา”

ขบวนพ้นจากทางเดินเล็กๆ ควบม้าไปตามทางหลวงต่อ

หนิวโหย่วเต้าขี่ม้าเคียงคู่หยวนกังอยู่ด้านหลัง แต่ละคนบอกเล่าสถานการณ์ในหลายปีมานี้ของตัวเอง ได้พบกันอีกครั้งช่างน่ายินดี รั้งท้ายขบวนรมฝุ่นควันก็ไม่เป็นไร

สำหรับหยวนกัง หนิวโหย่วเต้าไม่อำพรางปิดบังเรื่องใด ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในวัดร้างและได้พบตงกัวเฮ่าหราน ตลอดจนเหตุการณ์ที่ออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาครั้งนี้ก็ล้วนแต่บอกเล่าไปตามจริง แม้แต่เรื่องที่ค้นพบ ‘เคล็ดวิชามหาจักรวาล’ ในคันฉ่องก็ไม่ปิดบัง

หยวนกังไม่คิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะถูกกักบริเวณถึงห้าปี “เต้าเหยี่ย ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่ามา แปลว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คิดจะทำร้ายคุณ?”

หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วน ดูจากเบาะแสต่างๆ อีกทั้งคำเตือนจากถูฮั่นคนนั้น พวกเขาคงอยากส่งฉันไปปรโลกก่อนกำหนด ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำอะไรให้พวกเขาโกรธเข้า ฉันก็ไม่ได้มีพิษมีภัยกับพวกเขา ทำไมถึงไม่เลิกยุ่งกับฉันสักที เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่เข้าใจ”

หยวนกังเอ่ยว่า “ตอนอยู่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ พวกเขาสามารถลงมือได้สบาย ทำไมต้องถ่วงเวลามาถึงตอนนี้ด้วยล่ะ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบ “เรื่องนี้ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”

หยวนกังถาม “เต้าเหยี่ยวางแผนจัดการเรื่องนี้ยังไง?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าว “ดูเหมือนตามกลุ่มคนด้านหน้าพวกนั้นไปก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน รอให้ผ่านวัดหนานซานไป รอจนกว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นึกว่าฉันตายและกำจัดอันตรายที่พัวพันไปได้แล้ว พวกเราจะสลัดพวกเขาทิ้งทันที นับจากนี้ไปนภากว้างไกลปฐพีไพศาล อาศัยความสามารถของพวกเราพี่น้อง ออกไปท่องดูให้ทั่วกันเถอะ”

หลังจากทั้งสองหารือเรื่องนี้กันอยู่ครู่หนึ่ง เต้าเหยี่ยก็เริ่มเล่าเรื่องของโลกบำเพ็ญที่ตนรู้ให้หยวนกังฟัง เพื่อที่จะได้ยกระดับมุมมองของหยวนกังให้หลุดพ้นจากหมู่บ้านในหุบเขาแห่งนั้นและมีความเข้าใจต่อโลกใบนี้มากขึ้น เพื่อที่จะได้เอาตัวรอดในโลกนี้ได้ น่าเสียดายที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่ยอมให้นำตำราที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวสำคัญในโลกบำเพ็ญเพียรออกมา มิเช่นนั้นคงประหยัดคำพูดไปได้มาก หยวนกังติดตามเขาคลุกคลีอยู่ใน ‘โลกโบราณคดี’ มานานหลายปี อ่านอักษรเสี่ยวจ้วนได้ไม่มีปัญหาเลย

จู่ๆ หยวนกังที่ฟังและครุ่นคิดตามไปด้วยตลอดทั้งทางก็โพล่งออกมาประโยคหนึ่ง “ผู้คนในโลกบำเพ็ญเพียรเข้าแทรกแซงเรื่องทางโลก ถึงขั้นที่เข้าร่วมการแก่งแย่งอำนาจของแคว้นต่างๆ ด้วย ผมรู้สึกว่ามันยากจะเข้าใจได้จริงๆ”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “มีอะไรเข้าใจยากกัน การไม่รู้อะไรเลยต่างหากที่ยากจะเข้าใจได้ เรื่องที่ไม่รู้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่ เคยอ่าน ‘สถาปนาเทพ[1]’ ไหม? ศึกราชวงศ์ซางกับราชวงศ์โจวในเรื่อง มีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายที่เข้าร่วมด้วย อาทิเจียงจื่อหยา นาจา หยางเจี้ยนอะไรพวกนั้น สถานการณ์คล้ายคลึงกับโลกที่พวกเราอยู่ในตอนนี้เลย นายคิดซะว่าพวกเราเข้าไปอยู่ในโลกที่อยู่ในหนังสือ ‘สถาปนาเทพ’ ก็แล้วกัน เดี๋ยวสมองก็ปรับตัวไปได้เอง”

หยวนกังพูดไม่ออกอยู่บ้าง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เต้าเหยี่ย จากที่คุณว่ามา หรือว่าบนโลกนี้จะมีเทพเซียนที่เหาะเหินไปมาได้อยู่จริงๆ?”

หนิวโหย่วเต้าที่กุมบังเหียนกระทุ้งม้ายิ้มออกมาอีกครั้ง “สิ่งที่เรียกว่าเทพเซียนนั่นน่ะ มันขึ้นอยู่กับว่านายเข้าใจแบบไหน ถ้านิยามแค่เหาะเหินไปมา มันก็น่าจะอยู่มีนั่นแหละ เพียงแต่ผู้คนในโลกนี้ที่บำเพ็ญเพียรไปถึงขั้นนั้นได้ดูเหมือนจะมีไม่มาก ถ้าบำเพ็ญเพียรไปถึงระดับนั้นได้จริงๆ ก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารแล้ว ผู้คนด้านล่างก็คงดาหน้าเข้ามาหยิบยื่นผลประโยชน์ให้ แต่โดยทั่วไปแล้วคิดว่าพวกเขาน่าจะไม่ยอมเผยตัวกันง่ายๆ”

“เหาะเหินไปมาได้จริงๆ น่ะหรือ?” หยวนกังส่ายหน้า แม้ว่าเป็นคำพูดของคนที่เขาไว้วางใจ แต่เขาก็ยังกล่าวอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อว่า “เป็นไปไม่ได้!”

หนิวโหย่วเต้าผายสองมือออก “เป็นไปได้สิ แค่นายไม่ได้สัมผัสถึงแก่นแท้ของมัน ก็เลยไม่เข้าใจเท่านั้นเอง”

หยวนกังประหลาดใจ “เป็นไปได้? เป็นไปได้ยังไง?”

หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญเล็กน้อย คิดว่าควรจะอธิบายเขาอย่างไรดี หลังจากตรึกตรอกดูแล้ว จึงเอ่ยว่า “ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่ ฉันก็เหมือนกับนายที่ไม่เชื่อเรื่องเทพเซียนอะไรเลย แต่หลังจากฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาห้าปี พอเปรียบเทียบทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ฉันก็พอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าแก่นแท้มันอยู่ตรงไหน นายดูนะ!”

เขาส่งสายตาบอกให้หยวนกังจับตามอง จากนั้นพลิกฝ่ามือ เดินลมปราณดันออกไป มองเห็นฝุ่นธุลีจากฝูงม้าที่ควบทะยานอยู่ด้านหน้ารวมตัวหมุนวนอยู่ในฝ่ามือของเขาไม่หยุดราวพายุหมุน หลังจากโบกมือให้สลายไป เขาก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “นายคิดว่าเมื่อกี้ฉันทำอะไร?”

หยวนกังตอบ “นี่คือผลลัพธ์จากกำลังภายในที่เกิดจากลมปราณที่คุณฝึกฝน” เหตุการณ์ประเภทนี้เมื่อก่อนเขาเคยเห็นจากหนิวโหย่วเต้ามาแล้ว

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า “เป็นลมปราณน่ะไม่ผิดหรอก แต่หลังจากเดินลมปราณแล้ว พลังนี้มาจากไหน นายอธิบายได้ไหม?”

หยวนกังเงียบไป เรื่องนี้เขาไม่เคยคิดให้ลึกลงไปเลยจริงๆ รู้เพียงว่าเป็นลมปราณ จึงส่ายหน้า สื่อว่าไม่รู้

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ช่วงแรกๆ ที่ฝึกฝนลมปราณ พอประสาทสัมผัสทางร่างกายและจิตใจเปิดออก ฉันก็สัมผัสได้ว่าร่างกายดูดซับบางสิ่งบางอย่างจากในสถานที่ที่มองไม่เห็นเข้าสู่ร่างกาย ตามคำอธิบายของลัทธิเต๋า พวกเขาเรียกมันว่าพลังวิญญาณในฟ้าดิน ฉันเองก็เข้าใจเจ้าสิ่งลี้ลับนี้อย่างคลุมเครือมาโดยตลอด แต่หลังจากที่มาอยู่ในโลกนี้และมีสิ่งที่ให้เปรียบเทียบแล้ว ฉันคิดว่าฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เรียกกันว่าพลังวิญญาณในฟ้าดินมันคืออะไรกันแน่”

หยวนกังสงบนิ่ง ทว่ายังคงอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “คืออะไรล่ะ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ถ้าใช้คำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์มาอธิบาย นายน่าจะเข้าใจ สสารมืด เคยได้ยินเรื่องสสารมืดไหม?”

ดวงตาหยวนกังฉายแววประหลาดใจ “คุณหมายถึงสสารที่เล็กยิ่งกว่าอิเล็กตรอนกับโฟตอน ไม่สามารถทำการสังเกตดูโดยตรงได้และนักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามหาทางค้นคว้าอยู่นั่นน่ะเหรอ?”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “ถูกต้อง หลังจากฉันทำการเปรียบเทียบและครุ่นคิดดูอย่างละเอียดแล้ว สิ่งที่เรียกว่าพลังวิญญาณก็น่าจะเป็นสสารมืดนั่นแหละ ในอดีตในทางไสยศาสตร์มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าภูตผี นายน่าจะคุ้นเคยดี คล้ายว่ามีอยู่ แล้วก็คล้ายว่าไม่มีอยู่ แต่ตอนอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ฉันได้ทำการตรวจสอบตำราโบราณบางส่วนจนแน่ใจแล้วว่าภูตผีมีตัวตนอยู่จริงๆ ฉันคิดว่าสิ่งที่เรียกว่าภูตผีอันที่จริงก็คือสิ่งที่ก่อตัวขึ้นจากสสารมืดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หลังจากมนุษย์ตายไป ความคิดและความยึดติดคงอยู่ได้โดยอาศัยสสารมืดเป็นตัวกลาง จากนั้นก่อตัวเป็นสิ่งที่เรียกว่าภูตผี อันที่จริงหลักการนี้มันก็เหมือนการที่นายกับฉันครอบครองร่างกายอยู่ในตอนนี้ ความแตกต่างระหว่างพวกเรากับภูติผีน่าจะอยู่ที่ตัวกลางที่คอยควบคุมความคิดที่มีความแตกต่างกันเท่านั้น จักรวาลกว้างใหญ่ หลายสิ่งอยู่ปะปนรวมกัน เรื่องที่มนุษย์ไม่เข้าใจมีอยู่มากมาย แต่นั่นไม่ได้แปลว่าจะไม่มีอยู่ ทุกอย่างมีกระบวนการในการสัมผัสและทำความเข้าใจทั้งนั้น”

หยวนกังมองเขาด้วยความรู้สึกจนปัญญา

“อย่ามองฉันแบบนี้ ไม่มีอะไรต้องแปลกใจเลย ถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็ ระดับสูงต่ำของสิ่งที่เรียกว่ากำลังภายในและพลังวิเศษ ความจริงก็เป็นแค่ผลลัพธ์อย่างหนึ่งจากการควบคุมสสารมืดแล้วปลดปล่อยพลังงานมืดออกมาในปริมาณมากน้อยต่างกันเท่านั้น” หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อสกัดฝุ่นควันกลุ่มใหญ่ที่ลอยมา เอ่ยต่อว่า “หลังจากฉันได้มาฝึกบำเพ็ญเพียรที่โลกนี้ถึงได้พบว่าพลังวิญญาณ หรือก็คือสสารมืดตามความเข้าใจของนายในโลกนี้มีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าโลกที่พวกเราเคยอาศัยอยู่มากนัก ฉันเคยทดลองดูหลายครั้งแล้ว ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญเพียรที่โลกทางนี้เหนือกว่าโลกทางนั้น ตามที่อ่านมาจากตำราบางส่วน ในอดีตโลกนี้ก็ไม่ได้มีพลังวิญญาณมากมายขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่ได้มีผู้บำเพ็ญเพียรเยอะขนาดนี้ด้วยเช่นกัน ภายหลังผู้คนพากันบอกเล่าว่าเป็นเพราะซางซ่งผู้เป็นจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งแคว้นอู่ได้ไปเจาะรูบนฟ้า ด้วยเหตุนี้เลยมีพลังวิญญาณมากมายหลั่งไหลเข้ามายังโลกนี้อย่างไม่ขาดสาย รายละเอียดเป็นอย่างไรฉันเองก็ไม่รู้แน่ชัด เออใช่ นายยังฝึกปราณเสริมแกร่งอยู่ไหม? ”

หยวนกังพยักหน้ารับ “หลังหายดีก็ฝึกมาตลอด ทักษะป้องกันตัวต้องมีไว้บ้าง”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าหยอกล้อ “ความจริงแล้วปราณเสริมแกร่งหลอมกายที่แท้จริงต้องฝึกควบคู่กับเคล็ดกำหนดลมหายใจ ต้องดูดซับพลังวิญญาณ หรือก็คือสสารมืดตามความเข้าใจของนายเหมือนกัน ถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็ ความคืบหน้าในการฝึกฝนปราณเสริมแกร่งของนายในตอนนี้ต้องเหนือกว่าเมื่อก่อนแน่”

หยวนกังเงียบไปไม่เอ่ยตอบ ใช่แล้ว เต้าเหยี่ยเดาถูกจริงๆ เมื่อก่อนเขาคิดไม่ออกเลยว่าเป็นเพราะอะไร ตอนนี้พอเต้าเหยี่ยอธิบายความรู้ลึกซึ้งเหล่านั้นด้วยคำพูดง่ายๆ แบบนี้ เขาก็คล้ายจะพอเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “เคล็ดวิชามหาจักรวาลที่ฉันฝึกก็ไม่เลวเลย กลับไปฉันจะช่วยตรวจสอบร่างกายให้นาย ดูว่าตอนนี้คุณสมบัติร่างกายนายเหมาะกับการบำเพ็ญเพียรไหม ถ้าหากว่าเหมาะจะให้นายฝึกด้วย”

หยวนกังส่ายหน้า “ผมไม่สนใจเรื่องนั่งสมาธิเข้าฌานพวกนั้น ถ้ามีเวลาก็อยากเอาไปทำเรื่องที่มีประโยชน์มากกว่า”

หนิวโหย่วเต้าบ่น “นายอย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า โลกนี้ไม่เหมือนกับโลกในอดีตนะ มีพลังป้องกันตัวเพิ่มขึ้นอีกอย่างไม่ดีหรือไง? ยืดอายุขัยชะลอวัยอยู่ได้นานขึ้นก็ดีออก”

หยวนกังยังคงส่ายหน้า “ถ้าต้องเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งสมาธิ แล้วชีวิตยืนยาวจะไปมีความหมายอะไร? ชีวิตคือการเคลื่อนไหว!”

“เจ้าลิง ฉันว่านาย…”

“เต้าเหยี่ย ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมแล้ว ผมไม่ได้หลงใหลหมกมุ่นในเรื่องนี้เหมือนคุณ ผมไม่สนใจเรื่องอภินิหารลึกลับพวกนั้นจริงๆ มุมมองการใช้ชีวิตของผมคุณก็น่าจะรู้”

“ได้ ฉันขี้เกียจพูดแล้ว” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ จากนั้นเอ่ยชี้แนะเขาอีกครั้ง “ยังไงก็ตามนายห้ามทิ้งปราณเสริมแกร่งนะ ฉันว่าปราณเสริมแกร่งที่นายฝึกต้องไม่ธรรมดาแน่ จากตำนานเล่าขานบางส่วนของสำนักเต๋าในโลกทางนั้นชี้ให้เห็นเงื่อนงำบางอย่าง ในอดีตเมื่อนานมาแล้วคงมีพลังวิญญาณอยู่มากเหมือนกัน ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พลังวิญญาณเหือดแห้งเบาบาง เมื่อเวลาผ่านไป ขอเพียงเป็นวิชาที่รับรู้และดูดซับพลังวิญญาณได้ไม่ดี ฝึกแล้วไม่ได้ผลอะไร สุดท้ายก็จะถูกลืมเลือนหายไปในกาลเวลา วิชาที่เหลือรอดมาถึงยุคสมัยของพวกเราแล้วยังฝึกได้ผลอยู่ก็น่าจะเป็นวิชาที่ไม่ธรรมดา ฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ไม่แน่ว่าอาจได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็ได้ ในจุดนี้ฉันไม่พูดนายก็น่าจะรับรู้ได้”

หยวนกังตอบอืมคำหนึ่ง เงียบไปสักพักถึงเอ่ยถามอีกครั้ง “เต้าเหยี่ย คุณวางแผนอนาคตไว้ยังไง?”

หนิวโหย่วเต้ากวาดตามองโลกรอบตัว เอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส “เมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่อย่างเป็นสุข มอบสามคำให้โลกใบนี้!”

“สามคำ?” หยวนกังไม่เข้าใจ ถามด้วยความฉงน “สามคำไหน?”

“สวัสดี!”

หนิวโหย่วเต้ายักคิ้วกล่าวออกมา พลันหวดแส้เร่งม้าหนีไป

“สวัสดี?” หยวนกังตะลึงไปแวบหนึ่ง มองไปรอบๆ จากนั้นก็หวดแส้เร่งม้าตามไป หนึ่งหน้าหนึ่งหลังไล่ตามกันไป

…………………………………………………

[1] สถาปนาเทพ หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ห้องสิน เป็นวรรณกรรมจีนที่ประพันธ์ขึ้นในยุคราชวงศ์หมิง มีทั้งหมดหนึ่งร้อยตอน เป็นเรื่องราวอภินิหารเกี่ยวกับเทพเซียนมารปีศาจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+