ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 449 ใจคนเปลี่ยนแปลง

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 449 ใจคนเปลี่ยนแปลง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 449 ใจคนเปลี่ยนแปลง

“อาจารย์อา!” ถังอี๋ตะโกนเรียก พอเห็นเงาร่างคนห่างไกลออกไป ไม่อาจรั้งเอาไว้ได้ สีหน้าพลันเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

จากนั้นก็ค่อยๆ เผยสีหน้าขบคิดออกมาอีกครั้ง คิดตามถ้อยคำของจ้าวสยงเกอ ตนต้องไปหาหนิวโหย่วเต้าอย่างนั้นหรือ?

เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมากจริงๆ นางนึกถึงการกระทำของตนในช่วงกราบไหว้ฟ้าดินและนึกถึงการกระทำอย่างขอไปทีในคืนวันเข้าหอขึ้นมา แล้วก็นึกถึงการเมินเฉยปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าถูกกักบริเวณช่วงหลายปีนั้น อันคำว่าสามีภรรยาแม้จะฟังดูชิดเชื้อ แต่ที่ผ่านมาเคยพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

ผู้ใดจะคาดคิดว่าเด็กหนุ่มที่เงียบเชียบว่าง่ายคนนั้นจะเป็นดาบคมในฝัก หากไม่ชักออกก็ไร้คม แต่พอชักออกมากลับชวนตะลึง!

เมื่อเด็กหนุ่มออกจากหุบเขา หลุดพ้นจากพันธนาการ เรื่องราวมากมายที่ยิ่งใหญ่สะท้านสะเทือนแว่วเข้าหูนางมาบ้างไม่มากก็น้อย เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปี ยามนี้ได้กลายเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อเจ้าศักดินาผู้หนึ่งไปเสียแล้ว กุมชะตาชีวิตของคนมากมายไว้ในมือ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์นั้นไม่ได้อยู่ในสายตาเขามานานแล้ว

หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ปีนั้นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไหนเลยจะทำกับเขาเช่นนั้น

นางเองก็ทราบดีเช่นกันว่าเหล่าศิษย์ระดับล่างของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มักจะแอบให้ความสนใจข่าวคราวของคนผู้นั้นอย่างเงียบๆ อยู่เสมอ ในใจต่างมีความคิดว่าความรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่นั้นเดิมทีควรจะเป็นของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ จากนั้นย้อนมองสภาพในปัจจุบันของตน ในใจล้วนรู้สึกอึดอัดคับข้องถ้วนหน้า การบีบคั้นให้คนผู้นั้นส่งมอบตำแหน่งเจ้าสำนักออกมากลายเป็นปมในใจที่ฝังลึกอยู่ในใจของทุกคนในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปแล้ว

เห็นๆ อยู่ว่าขับไล่คนเขาออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปแล้ว แต่ภายในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลับมีความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก คล้ายยังมองว่าหนิวโหย่วเต้ายังคงเป็นคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่ ส่วนนางก็มีสถานะเป็นคู่สมรสของหนิวโหย่วเต้า ทำให้มีคนไม่น้อยแอบคาดหวังว่าความสัมพันธ์นี้จะทำให้หนิวโหย่วเต้ายอมเปลี่ยนใจในสักวันหนึ่ง

นางทราบถึงความคิดของทุกคนดี หากว่าหลังจากถูกขับไล่ออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปแล้วหนิวโหย่วเต้ากลายเป็นตัวไร้ประโยชน์ คาดว่าทุกคนคงหลงลืมหนิวโหย่วเต้าไปนานแล้ว

แต่เด็กหนุ่มที่ถูกกักบริเวณเอาไว้ในเรือนดอกท้อคนนั้นกลับใช้ความสามารถของตนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตัวเขาไม่ได้สนใจตำแหน่งเจ้าสำนักอันใดเลย ใช้ความสามารถของตนพิสูจน์ให้เห็นว่าถึงออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปก็ยังอยู่สุขสบายดี

จู่ๆ ถังอี๋ที่ยืนยิ้มขมขื่นอยู่เงียบๆ ริมลำธารก็อมยิ้มขึ้นมา สายตามองไปตามทิศทางที่จ้าวสยงเกอหายลับไปอีกครั้ง

ถามว่านางตามหาเขาพบได้อย่างไรอย่างนั้นหรือ? นางเองก็มิใช่คนโง่ ย่อมมองออกชัดเจนว่าจ้าวสยงเกอตั้งใจดึงดูดนางมา มีเจตนาจะชี้แนะตน

อาจารย์อาคนนี้ดูคล้ายจะไร้เยื่อใย ดูเหมือนตัดขาดสายสัมพันธ์กับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว แต่อันที่จริงในใจยังคงห่วงใยสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่ ขอเพียงอาจารย์อาท่านนี้ทนมองสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล่มสลายลงไม่ได้ นางยังจะมีอันใดต้องกลัวอีกเล่า?

พอคิดได้เช่นนี้ ในใจถังอี๋พลันมีความกล้าพร้อมจะเผชิญหน้ากับอุปสรรคขึ้นมาในทันใด!

แต่ก็มีความฉงนเช่นกัน เหตุใดคนที่ยังมีตำแหน่งอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถึงช่วยเหลือสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่ได้ กลับเป็นเหล่าศิษย์ที่ถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทอดทิ้งที่มีความสามารถมากพอ ยกตัวอย่างเช่นจ้าวสยงเกอและหนิวโหย่วเต้า

ถังอี๋เหินจากไปพร้อมกับความคิดในใจ ไปพบกับพวกซูพั่วที่รออยู่ภายในป่า

ทั้งสองฝ่ายมาพบกันบนยอดไม้ ซูพั่วมองเพ่งพิศไปทางด้านหลังของถังอี๋เล็กน้อย เอ่ยถามออกไป “เจ้าสำนัก ได้พบหรือไม่ขอรับ?”

ถังอี๋พยักหน้ารับ เอ่ยไปว่า “ไปเถอะ!”

ทั้งกลุ่มเหินทะยานย้อนกลับไป ซูพั่วยังคงเหลียวหลังมองกลับไปเป็นระยะ

พอกลับมาถึงขบวนม้าบนถนนอีกครั้ง พวกเขาก็ควบม้าเดินทางต่อ

ที่นี่อยู่ห่างจากตัวเมืองเป่ยโจวไม่นับว่าไกลนัก ผ่านไปหนึ่งชั่วยามทั้งคณะก็เข้าไปในเมือง

ตามปกติแล้วจะต้องไปรายงานผลต่อเซ่าผิงปอที่จวนผู้ว่าการมณฑลก่อน แต่สิ่งที่ทำให้ซูพั่วแปลกใจคือถังอี๋พาทุกคนกลับไปยังเรือนพำนักของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่อยู่ในเมืองก่อน

พอควบม้าผ่านเข้าประตูข้างไป ถังอี๋กระโดดลงจากหลังม้า ยื่นสายบังเหียนให้ศิษย์ที่อยู่ด้านข้างพลางเอ่ยสั่ง “เรียกรวมตัวเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ที่รับผิดชอบบริหารจัดการมาหารือกันที่โถงหลัก”

ซูพั่วผงะไปเล็กน้อย เขาก็เป็นผู้อาวุโสเช่นกัน ย่อมเดินตามถังอี๋ไปทันที

ทั้งสองคอยอยู่ในโถงหลักไม่นานนัก หลัวหยวนกงและถังซู่ซู่สองผู้อาวุโสทยอยมาถึงตามลำดับ จากนั้นเหล่าศิษย์ฝ่ายบริหารดูแลสิบกว่าคนที่รวมไปถึงเว่ยตัวก็ทยอยมาถึง

นอกจากคนที่กำลังออกปฏิบัติหน้าที่อยู่ คนที่สมควรมาล้วนมากันพร้อมหน้าแล้ว หลัวหยวนกงเอ่ยถามขึ้นมาก่อน “เจ้าสำนักเพิ่งกลับมาก็เรียกรวมตัวทุกคนแล้ว ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดหรือ?”

ถังอี๋ที่จมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิดได้สติกลับมา กวาดสายตามองทุกคน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ข้าเตรียมจะรวมพลทั้งสำนักเดินทางไปยังแคว้นซ่ง ไปเยือนทางสำนักหมื่นสรรพสัตว์สักครา ทุกคนมีความเห็นอย่างไร?”

พอได้ยินประโยคนี้ ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่เข้าใจเหตุผลนัก หลัวหยวนกงและถังซู่ซู่ล้วนมองซูพั่วด้วยแววตาฉงน คล้ายกำลังถามว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ออกไปครั้งเดียว เหตุใดกลับมาแล้วเป็นเช่นนี้?

ซูพั่วก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ไม่สามารถให้คำตอบได้ นึกสงสัยเล็กน้อยว่าจะเกี่ยวข้องกับจ้าวสยงเกอหรือไม่

เมื่ออยู่ต่อหน้าถังซู่ซู่ เขาไม่กล้าเอ่ยถึงจ้าวสยงเกอ มิเช่นนั้นถังซู่ซู่จะต้องคลุ้มคลั่งขึ้นมาเพราะเรื่องการตายของสามีและบุตรชายของนางแน่นอน

ถังซู่ซู่เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าสำนักบอกว่าจะระดมศิษย์ทั้งหมดในสำนักเดินทางไปด้วยกันหรือ?”

ถังอี๋พยักหน้ารับ

หลัวหยวนกงเอ่ยเสริมขึ้นมา “ได้ยินว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์กำลังจะจัด ‘งานชุมนุมสัตว์วิเศษ’ ขึ้น เจ้าสำนักต้องการไปร่วมงานชุมนุมสัตว์วิเศษกระมัง? หากเป็นเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องขนกันไปทั้งสำนักเลย”

ถังอี๋บอกออกไปตามตรง “ไม่ได้ไปร่วมงานชุมนุมสัตว์วิเศษ แต่ไปหาหนิวโหย่วเต้า ข้าได้รับข่าวมาว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังเดินทางไปยังสำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่แคว้นซ่ง ครั้งนี้ไปแล้วน่าจะได้พบเขา”

ทุกคนตะลึงงัน เข้าใจเจตนาของนางขึ้นมาทันที แต่ละคนมองกันไปมองกันมา

สีหน้าถังซู่ซู่มืดมนลง เอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าสำนักยังคิดจะชักจูงหนิวโหย่วเต้ากลับมาที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างหรือ?”

ถังอี๋ตอบว่า “ถูกต้อง เนื่องด้วยเหตุนี้ เพื่อแสดงให้เห็นความจริงใจ ข้าจึงอยากพาคนทั้งสำนักไปเชื้อเชิญเขากลับมาด้วยตัวเอง!”

ถังซู่ซู่เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าสำนัก ท่าทีของไอ้เด็กชั้นต่ำคนนั้นท่านก็น่าจะรู้ดี เหตุใดยังหาเรื่องลำบากใจใส่ตัวอีก! ดีร้ายอย่างไรในอดีตสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็เคยเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งแห่งแคว้นเยี่ยนมาก่อน เกียรติในฐานะเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ผู้สูงส่งไปอยู่ไหนเสียแล้ว ไยต้องทำเรื่องที่ทำคนเขาดูหมิ่นดูแคลนเช่นนี้อีก?”

ถังอี๋ถามกลับไป “เหตุใดผู้อาวุโสถึงยังหลอกตัวเอง จมจ่อมอยู่กับเกียรติยศรุ่งโรจน์ในวันวานของบรรพชนไม่ยอมละวางอีก สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาศมีสำนักใดบ้างที่ยามนี้ด้อยกว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์? กระทั่งสามสำนักที่แข็งแกร่งกว่าพวกเราอย่างมากก็ยังยอมสยบต่อหนิวโหย่วเต้า นับประสาอะไรกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในยามนี้?”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ถังซูซู่โกรธเกรี้ยว “มีสำนักไหนบ้างที่รับตัวศิษย์ที่ถูกขับไล่ออกไปแล้วกลับเข้ามาใหม่!”

ถังอี๋กล่าวว่า “ผู้อาวุโสถัง ท่านต้องทำความเข้าใจเรื่องหนึ่งก่อน หนิวโหย่วเต้ายังมิได้ถูกขับออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่เคยป่าวประกาศต่อภายในหรือภายนอกในโลกบำเพ็ญเพียรอย่างเป็นทางการเลย หนิวโหย่วเต้ายังคงเป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่!

ถังซู่ซู่กล่าวว่า “แต่ตัวเขาเองประกาศตัดสัมพันธ์กันสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว”

ซูพั่วพลันเอ่ยแทรกว่า “ผู้อาวุโสถัง เหตุผลที่เขาประกาศตัดสัมพันธ์ก็เพราะตอนนั้นมีคนต้องการสังหารเขา!”

เป็นการบ่งชี้ว่าตอนนั้นเป็นนางที่ส่งคนไปลอบสังหารหนิวโหย่วเต้าเป็นการส่วนตัว สีหน้าถังซู่ซู่แดงเถือกขึ้นมาในทันใด ตะคอกกลับไปทันควัน “ตอนนั้นล้วนไม่มีผู้ใดเห็นดีในตัวซางเฉาจงเลย การสลัดตัวถ่วงอย่างเขาไปให้ซางเฉาจงก็เป็นการตัดสินใจร่วมกันของทุกคน ผู้ใดบ้างเล่าที่ไม่หวังให้เขาตายไปโดยเร็ว? ตอนนี้พอเขาได้ดีขึ้นมากลับกลายเป็นข้าที่ต้องแบกรับความผิดคนเดียวหรือ?”

พอนางเอ่ยมาเช่นนี้ทุกคนก็เงียบงัน ล้วนถูกว่าจนพูดไม่ออก ประเด็นสำคัญคือสิ่งที่ถังซู่ซู่พูดมาเป็นความจริง แม้ว่าตอนนั้นถังซู่ซู่จะเป็นตัวตั้งตัวตีก็ตาม

ถังอี๋ข้ามหัวข้อนี้ไป เมินเฉยต่อความโกรธเคืองของถังซู่ซู่ ต้องการให้ทุกคนแสดงความเห็นอย่างเป็นทางการ “ผู้ที่ยินดีจะเดินทางไปพบหนิวโหย่วเต้าให้ยกมือขึ้น”

เว่ยตัวที่ยืนอยู่ด้านล่างพลันยกมือขึ้นเป็นคนแรก เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างตื่นเต้นและอดใจรอแทบจะไม่ไหวแล้ว

เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าท้ายที่สุดถังอี๋จะคิดตกแล้ว ในสายตาของเขา เขาคิดมาตลอดว่าหนิวโหย่วเต้าต่างหากที่เป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ อยากจะไปหาหนิวโหย่วเต้าใจแทบขาดและอยากให้หนิวโหย่วเต้าหวนสู่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาตั้งนานแล้ว

ทุกคนสบตาพิจารณากันไปมา หากไม่มีคนนำก็ล้วนไม่กล้าแสดงท่าทีออกมา艾琳小說

ส่วนเว่ยตัวที่ยกมือเป็นคนแรกไม่ถูกนับอยู่แล้ว จุดยืนของเว่ยตัวเป็นเช่นนี้เสมอมา ต่อให้เผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาลแค่ไหนก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจุดยืน ดังนั้นทุกคนจึงไม่แปลกใจเลย เว่ยตัวจึงไม่ถูกนับรวมในฐานะผู้นำแสดงความคิดเห็น

ซูพั่วค่อยๆ ยกมือขึ้นมา

ถังซู่ซู่จ้องมองซูพั่วด้วยความโกรธ

ซูพั่วไม่สนใจท่าทีของนาง มองไปที่หลัวหยวนกังด้วยสีหน้าราบเรียบ สื่อผ่านสายตาว่าให้เขาแสดงความเห็นชอบด้วย

หลัวหยวนกงเข้าใจความนัย เขายิ้มเจื่อนออกมา

ในใจเขาเองก็มีความกระดากที่จะต้องแสดงความเห็นชอบกับเรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะตกอับหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็เคยเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งแห่งแคว้นเยี่ยนมาก่อน ในฐานะผู้อาวุโสของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ย่อมภาคภูมิใจในเกียรติยศวันวานจนเกิดความหยิ่งทะนงขึ้นมา แต่เขาก็จำเป็นต้องยอมรับความเป็นจริงให้ได้ สถานการณ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ทำให้ความหยิ่งทะนงภายในใจเขาลดทอนลงไปไม่น้อยแล้ว ใจคนดั่งสายน้ำ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงได้ล่มสลายเข้าจริงๆ

แต่เขายังคงถามออกไปประโคหนึ่ง “เจ้าสำนัก พวกเราไปหาเขาแล้ว เขาจะยอมกลับมาหรือ?”

ถังอี่เอ่ยว่า “ครั้งนี้ถึงไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้!”

การปรากฏตัวของจ้าวสยงเกอมอบความกล้าในการเผชิญหน้าให้นาง มีอาจารย์อาท่านนั้นอยู่ นางจึงกล้าจะไปลองดู

หลัวหยวนกงเงียบไปสักพัก สุดท้ายถอนหายใจดัง “เฮ้อ” ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้น

สองผู้อาวุโสยกมือแล้ว ถูฮั่นขาเป๋ตาเดียวจึงยกมือขึ้นทันที จากนั้นศิษย์ฝ่ายบริหารดูแลอีกสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหลังก็ทยอยยกมือขึ้นมา

ศิษย์ฝ่ายบริหารทุกคนที่ยกมือขึ้นล้วนถูกถังซู่ซู่หันกลับไปถลึงตาใส่อย่างดุดัน ทว่าไม่มีผู้ใดลดมือลงเลย ไม่มีใครเกรงกลัวนาง ล้วนยกมือค้างไว้อย่างนั้น

ภายในห้องโถง หลักนอกจากถังอี๋แล้ว มีเพียงถังซู่ซู่ที่ไม่ได้ยกมือ คนที่เหลือล้วนยกมือแสดงความเห็นชอบกันหมด ถังซู่ซู่ได้แต่กัดฟันด้วยความชิงชัง

ถังอี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ดี! ตกลงกันตามนี้! พอข้ากลับจากรายงานภารกิจที่จวนผู้ว่าการมณฑลแล้ว ให้เก็บข้าวของเพื่อออกจากเป่ยโจวทันที!”

“ขอรับ!” เว่ยตัวขานรับเป็นคนแรก

“ขอรับ!” เหล่าศิษย์ขานรับอย่างพร้อมเพรียง

มีเพียงถังซู่ซู่ที่เงียบงันสีหน้าเย็นชา ทุกคนเห็นชอบกันหมด มีเพียงนางคนเดียวที่ไม่เห็นด้วย นางรู้ดีว่าตนพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

จะให้นางไปขอร้องไอ้เด็กชั้นต่ำที่นางดูแคลนในสมัยก่อน ทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดใจมากเหลือเกิน

ถังอี๋กวาดตามองทุกคน ในใจเศร้าหมองเล็กน้อย พบว่าศิษย์ฝ่ายบริหารเหล่านี้ต่างแอบตื่นเต้นกันพอสมควร นางอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองอยู่ในใจว่าตนไม่ได้เรื่องขนาดไหนกัน ถึงทำให้เหล่าศิษย์ในสำนักฝากความหวังกับการติดต่อไปหาศิษย์ที่ถูกขับออกจากสำนักมากถึงเพียงนี้

นางไม่เคยคิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะเป็นศูนย์รวมใจของคนในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้มากขนาดนี้ ยังไม่ทันได้พบตัวคน เพียงบอกว่าจะไปหาเท่านั้น พริบตาเดียวก็รวบรวมใจคนที่แตกแยกระส่ำระส่ายกลับมาได้แล้ว!

คนผู้หนึ่งที่ถูกคนในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ร่วมมือกันยึดตำแหน่งเจ้าสำนักมา ทั้งยังถูกขับไล่ออกจากสำนักไป ยามนี้กลับกลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถึงเพียงนี้!

ถังอี๋เพิ่งทราบเอายามนี้เองว่าตอนนี้หากหนิวโหย่วเต้าต้องการตำแหน่งเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็สามารถนำไปได้ตลอดเวลา ขอเพียงหนิวโหย่วเต้าบอกคำเดียวว่าข้าต้องการเป็นเจ้าสำนัก เกรงว่านางคงถูกคนส่วนใหญ่ไล่ลงจากตำแหน่งแน่นอน!

นางหารู้ไม่ว่าเหล่าศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตั้งตารอให้หนิวโหย่วเต้าหวนกลับมานานแล้ว!

เมื่อนางมุ่งหน้าออกจากเรือนพำนัก ก้าวเท้าพ้นประตูใหญ่ไป ความคิดของถังอี๋ก็หลุดพ้นออกจากเรื่องนี้ นางเริ่มกังวลถึงเรื่องอื่นขึ้นมาแทน

ใจคนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ศิษย์ในสำนักจัดการได้ง่าย แต่หากต้องการคำยินยอมจากเซ่าผิงปอกลับไม่ง่ายเลย หากเซ่าผิงปอไม่ยอมปล่อยไป สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็ไม่มีทางออกจากมณฑลเป่ยโจวไปได้

นางใจลอยมาตลอดทาง จนมาถึงจวนผู้ว่าการมณฑล เฝ้ารออยู่นอกห้องโถงว่าการพักหนึ่ง

เซ่าผิงปอเดินออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยื่นมือออกมาผายมือเชื้อเชิญ เชิญให้ถังอี๋เข้าไปนั่งในศาลากลางสวน

ทั้งสองฝ่ายนั่งลง มีบ่าวรับใช้ยกชามาให้

ถังอี๋เอ่ยรายงาน “คุณชายใหญ่ ปีศาจน้อยสองตัวนั้นถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ที่ข้ามานี้ก็เพื่อรายงานผล!”

เซ่าผิงปอเชิญให้จิบน้ำชา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าได้รับรายงานจากทางจังหวัดแล้ว ท่านนำคนออกไปปราบปีศาจด้วยตัวเอง ลำบากท่านแล้ว”

“ไม่ลำบากเลย เป็นเรื่องสมควร” ถังอี๋ตอบกลับด้วยความสุภาพ

หลังจากสนทนาเรื่อยเปื่อยอยู่สองสามประโยค เซ่าผิงปอผู้ช่างสังเกตเห็นว่าสีหน้าท่าทีของถังอี๋ค่อนข้างผิดแผกไป เขาจ้องมองดวงหน้างามพริ้มเพราะของนางแล้วลองถามดู “ท่านมีเรื่องอื่นอยากจะพูดใช่หรือไม่?”

…………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด