ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 244 หนานโจว เป่ยโจว

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 244 หนานโจว เป่ยโจว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 244 หนานโจว เป่ยโจว

เขาใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้งว่า “ดูเหมือนทุกแคว้นจะซื้อม้าจากแคว้นฉีกระมัง? แล้วพวกเขาซื้อไปได้อย่างไร?”

หลานรั่วถิงโบกมือเล็กน้อย เอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย นั่นมันไม่เหมือนกัน ประการแรกคือแคว้นต่างๆ นั้นพอจะมีสถานที่สำหรับเลี้ยงม้าของตนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ประการที่สองคือแต่ละแคว้นต่างมีการคานอำนาจถ่วงดุลกันและกันอยู่ หากแคว้นฉีควบคุมม้าศึกทั้งหมดไว้ในมือตนแต่เพียงผู้เดียว เกรงว่าคงจะชักนำหายนะที่อาจทำให้แคว้นล่มสลายได้ ทุกแคว้นต้องร่วมมือกันปิดล้อมโจมตีแน่นอน ประกอบกับการค้าม้าศึกเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญที่สุดของแคว้นฉี และเป็นรากฐานสำคัญในการรักษาอำนาจของแคว้นฉี ดังนั้นในทุกๆ ปีแคว้นฉีจะทำการแบ่งขายม้าศึกให้แต่ละแคว้นตามจำนวนที่กำหนดเอาไว้ ส่วนใหญ่ก็เพียงพอที่จะทดแทนม้าศึกที่แก่ชราลงไปของแต่ละแคว้นได้ นอกจากนี้แคว้นฉียังมีการควบคุมดูแลที่เข้มงวด ส่วนม้าศึกที่แบ่งมาให้ทางแคว้นเยี่ยน ราชสำนักย่อมต้องจัดสรรให้คนของตน จะมามอบให้พวกเราได้อย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าร้อง “โอ้” คำหนึ่ง เข้าใจแนวคิดนี้แล้ว เขายังคิดอยู่เลยว่าพอจะมีวิธีกว้านซื้อมาจากแคว้นอื่นๆ หรือไม่ ตอนนี้ดูแล้ว กระทั่งคิดก็ไม่ต้องคิดเลย

เขาเงยหน้ามองดูแผนที่ที่แขวนอยู่ “ระยะนี้รอบข้างไม่มีเรื่องอันใดกระมัง?”

หลานรั่วถิงตอบว่า “ทางเราและทางมณฑลจินโจวช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รักษาสมดุลอันเปราะบางไว้ได้ ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไร เพียงแต่ความเร็วในการพัฒนาเมืองของทางฝั่งเราได้ทำให้พื้นที่รอบข้างเริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าขอคำชี้แนะ “หมายความว่าอย่างไร?”

หลานรั่วถิงชี้แผนที่แล้วอธิบาย “สองจังหวัดดำเนินระเบียบปกครองใหม่ แม้จะพัฒนาไปเร็ว แต่คนที่มีปัญญาต่างมองออก สิ่งที่สองจังหวัดดึงดูดมาคือกำลังคนและกำลังทรัพย์ของพื้นที่รอบข้าง การดึงดูดกำลังคนและกำลังทรัพย์ของพื้นที่รอบข้างมาย่อมส่งผลกระทบต่อพื้นที่รอบข้าง ทางมณฑลจินโจวไม่พอใจพวกเราอย่างมาก เพื่อไม่ให้ความสมดุลของรูปการณ์ต้องถูกทำลาย ทางเราจึงเป็นฝ่ายสกัดกั้นการหลั่งไหลเข้ามาของทรัพยากรจากทางมณฑลจินโจว ถึงได้คลี่คลายความไม่พอใจของมณฑลจินโจวได้”

“ทางมณฑลจินโจวนั้นยังดีหน่อยย เนื่องจากพื้นที่สองจังหวัดนั้นตั้งอยู่ในเขตมณฑลหนานโจว ทรัพยากรที่ดึงดูดเข้ามาอย่างแท้จริงในตอนนี้ยังคงเป็นทรัพยากรของมณฑลหนานโจว ทำให้ในหลายๆ พื้นที่ของมณฑลหนานโจวถูกดึงทรัพยากรออกมาจนหมด จนโจวโส่วเสียนเริ่มวิตกกังวล แล้วทำให้ราชสำนักเกิดความหวาดระแวง เราได้รับข่าวมาจากทางเมืองหลวงว่าโจวโส่วเสียนได้รายงานทางราชสำนักไปแล้ว โดยเขาขอให้ทางราชสำนักช่วยสนับสนุนเรื่องการเงิน เตรียมที่จะเลียนแบบรูปแบบการปกครองของพวกเราเพื่อแข่งกับเรา”

หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้ว “หากเป็นเช่นที่กล่าวมา อย่างนั้นจะไม่เป็นปัญหาหรือ? สองจังหวัดไหนเลยจะสู้กับหนานโจวทั้งมณฑลได้”

“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่!” หลานรั่วถิงโบกมือพลางยิ้มออกมา “โจวโส่วเสียนเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เขาแค่กำลังใช้เรื่องนี้มาปกป้องตัวเองเท่านั้น เพื่อจะได้มีคำอธิบายให้กับทางราชสำนักในอนาคตได้ อันที่จริงโจวโส่วเสียนเองก็ทราบแก่ใจดีว่ามณฑลหนานโจวไม่มีทางเลียนแบบพวกเราได้ ราชสำนักเองก็ไม่มีทางมอบงบประมาณให้เขา”

หนิวโหย่วเต้าแปลกใจ “เพราะเหตุใด?”

“เหตุผลนั้นง่ายมาก หากราชสำนักจัดสรรงบประมาณลงมา สำนักบำเพ็ญเพียรที่อยู่เบื้องหลังมณฑลหนานโจวจะต้องสอดมือเข้ามายุ่งอย่างแน่นอน แล้วจะเหลือให้มณฑลหนานโจวได้ใช้จริงสักเท่าไร? อีกอย่างคือ หากมณฑลหนานโจวเลียนแบบวิธีการของพวกเรา มันก็จะเป็นการดึงดูดทรัพยากรมาจากมณฑลอื่นๆ ที่อยู่รอบข้าง แล้วมณฑลอื่นๆ จะยอมหรือ? เกรงว่าโจวโส่วเสียนคงถูกรุมด่าทอในท้องพระโรงจนทนไม่ไหว อีกอย่าง หากมณฑลอื่นๆ จะของบประมาณจากราชสำนักแบบนี้เช่นกัน แล้วราชสำนักจะลำเอียงให้มณฑลหนานโจว แต่ไม่ให้มณฑลอื่นได้หรือ? ทางราชสำนักมีเงื่อนไขข้อจำกัดภายในอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นราชสำนักไม่มีทางจัดสรรงบประมาณให้มณฑลหนานโจวได้”

“หากทางราชสำนักไม่จัดสรรงบประมาณให้ มณฑลหนานโจวก็ไม่มีทางดำเนินนโยบายลดภาษีเหมือนกับทางเราได้ อีกทั้งหากไม่มีภาษี สำนักบำเพ็ญเพียรที่อยู่เบื้องหลังก็จะขาดรายได้ สำนักเหล่านั้นไม่มีทางยอมตกลง โจวโส่วเสียนแบกรับแรงกดดันเช่นนั้นไม่ไหว หากยืนกรานจะทำล่ะก็ เกรงว่าแค่ไม่กี่วันโจวโส่วเสียนคงต้องลงจากตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลแล้ว เผลอๆ กระทั่งชีวิตก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้ด้วย”

“คิดจะเลียนแบบวิธีการของพวกเรา จำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขบางอย่างก่อน เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เงื่อนไขแรกคือสภาพแวดล้อมโดยรวมต้องเอื้ออำนวย พวกเราปกครองสองจังหวัด มีมณฑลจินโจวแห่งแคว้นจ้าวคอยพึ่งพาอาศัยกัน ราชสำนักไม่กล้าบุ่มบ่ามแตะต้องพวกเราง่ายๆ เพราะหากแตะต้องก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้ พวกเราถึงได้มีช่องว่างให้พัฒนาได้ คนที่จะมีเงื่อนไขเช่นนี้ได้มีไม่มากนัก มณฑลเป่ยโจวที่เซ่าเติงอวิ๋นปกครองก็นับเป็นหนึ่งในนั้น มณฑลเป่ยโจวอาศัยประโยชน์จากสถานการณ์ของแคว้นหานและแคว้นเยี่ยน ปล่อยให้ทั้งสองแคว้นคานอำนาจและต้านรับกันไป ตัวเองที่อยู่กึ่งกลางถึงมีช่องให้ได้หายใจ”

“อันที่จริงรูปแบบการพัฒนาของมณฑลเป่ยโจวในเวลานี้ไม่ได้ต่างไปจากพวกเราเท่าไรนัก เซ่าเติงอวิ๋นคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เมื่อครั้งที่เขาติดตามอยู่ข้างกายหนิงอ๋องนั้นมองไม่ออกจริงๆ ว่าเขาจะมีฝีมือเช่นนี้”

พอเอ่ยถึงมณฑลเป่ยโจว หนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองเขาเล็กน้อย ดูเหมือนทางนี้ก็ให้ความสนใจมณฑลเป่ยโจวเช่นกัน จึงลอบถอนใจเงียบๆ คนที่ไม่ธรรมดาใช่เซ่าเติงอวิ๋นเสียที่ไหนล่ะ หากแต่เป็นเซ่าผิงปอที่เป็นลูกชายของเซ่าเติงอวิ๋นคนนั้นต่างหาก!

ซางเฉาจงจ้องมองแผนที่ด้วยแววตาเจิดจ้าลุกโชน “แต่ก็ต้องมีความพอดีด้วยเช่นกัน เพราะถ้าเกิดเราข้ามเส้นจนราชสำนักไม่สามารถยอมรับได้ขึ้นมา เกรงว่าราชสำนักคงจะยอมเสียสละผลประโยชน์ให้แคว้นอื่นเข้าพัวพันแคว้นจ้าวเอาไว้ แล้วก็คงยกทัพบุกมาบดขยี้พวกเราหลังจากนั้นเป็นแน่ ดังนั้นจึงต้องเร่งสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กองทัพ มีแต่ต้องแข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ทำให้ราชสำนักยากจะยอมรับความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการยกทัพมาได้ ราชสำนักถึงจะไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร ทหารม้ามีความสำคัญยิ่ง มิเช่นนั้นหากราชสำนักบุกโจมตี กองทัพสองขาวิ่งไม่ทันทัพม้าสี่ขา อีกฝ่ายบุกโจมตีเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ทัพหนุนของพวกเรายังอยู่ระหว่างทาง เช่นนี้คงไม่มีทางสู้ได้”

หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้ว พูดวนไปวนมา ปัญหาก็วกกลับมาที่เรื่องม้าศึกอยู่ดี

ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสำนักหยกสวรรค์ถึงยอมออกเงินซื้อม้าศึก เหตุผลแรกคือมีเงินอยู่ในมือแล้ว เหตุผลที่สองคือสำนักหยกสวรรค์เองก็คงจะรับรู้ถึงภัยคุกคามที่มาจ่ออยู่ตรงหน้าได้เช่นกัน ตอนที่ทางนี้ให้สำนักหยกสวรรค์จัดซื้อม้าศึกย่อมต้องมีการพูดถึงปัญหานี้เช่นกัน

ขณะเดียวกัน ปัญหาที่มาจ่ออยู่ตรงหน้านี้ก็ทำให้หนิวโหย่วเต้ารับรู้ได้ถึงภัยคุกคามได้เช่นกัน หากซางเฉาจงพ่ายศึก เขาก็จะสูญเสียสภาพแวดล้อมที่ทำให้เขาสามารถบำเพ็ญเพียรได้อย่างสงบสุขแห่งนี้ไป

หนิวโหย่วเต้าไม่อาจสงบใจบำเพ็ญเพียรต่อไปได้แล้ว เขากลับไปเงียบๆ พร้อมกับความคิดมากมายในหัว

……

มณฑลเป่ยโจว ณ จวนผู้ว่าการมณฑล

เซ่าผิงปอย้ายออกจากจวนท่องคลื่นแล้ว หลังจากพวกอนุหร่วนแม่ลูกตาย เขาก็ย้ายกลับมาที่จวนผู้ว่าการมณฑล

เหตุผลแรกคือเพื่อให้สะดวกต่อการดูแลเรื่องงานราชการ เหตุผลที่สองคือเมื่อผู้คุ้มกันของทั้งสองจวนมารวมอยู่ในที่เดียวกันก็จะยิ่งมีความปลอดภัยมากขึ้น

หลังจากถูกหนิวโหย่วเต้าเล่นงานไปครั้งหนึ่ง ทางนี้ก็ยิ่งเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกัน

และหลังจากเซ่าผิงปอที่มีข้อจำกัดน้อยลงเริ่มเข้ามาดูแลงานราชการและกองทัพ สถานการณ์ของมณฑลเป่ยโจวก็เรียกได้ว่าเปลี่ยนไปอย่างมาก ทำให้สำนักเขามหายานตื่นตัวขึ้นมา

สำนักเขามหายานเล็งเห็นถึงความสามารถของเซ่าผิงปอแล้ว ทราบแล้วว่าเซ่าผิงปอมีความหมายต่อสำนักเขามหายานอย่างไร จึงยกระดับการคุ้มกันเซ่าผิงปอขึ้นจนอยู่ในระดับเดียวกับเซ่าเติงอวิ๋นแล้ว

“คุณชายใหญ่ คุณหนูซูมาแล้วขอรับ”

เซ่าซานเสิ่งเข้ามารายงานในห้องหนังสือ

เซ่าผิงปอวางพู่กันลง “รีบเชิญเข้ามา!”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจ้าวที่สวมผ้าคลุมสีดำเดินเข้ามา เลิกหมวกออก เผยให้เห็นดวงหน้างามงดยวนใจคน

“รบกวนท่านเทียวไปเทียวมาอีกแล้ว ลำบากท่านแล้ว แค่กๆ…” เซ่าผิงปอลุกขึ้นยืนหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นก็ยกกำปั้นป้องปากไอออกมา

ซูจ้าวมองเขา เห็นว่าคุณชายใหญ่ผู้งามสง่าคนนี้ดูอิดโรยลงไปไม่น้อย จอนทั้งสองข้างปรากฏผมหงอกแซมรำไร ซ้ำยังเห็นเขาไอจนตัวโยนอีก มองแล้วรู้สึกปวดใจ อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ “เหตุใดถึงยังไออยู่อีก? ข้าบอกเจ้าไปแต่แรกแล้วว่าหัวใจเจ้าได้รับความเสียหาย ไม่ควรทำงานหนักอีก บอกให้เจ้าอย่าได้หักโหมมากไป สงบใจพักฟื้นไปสักระยะ มีเรื่องใดรอให้สุขภาพดีขึ้นแล้วค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย หากเจ้าทำเช่นนี้ต่อไป ต่อให้เป็นยาที่วิเศษแค่ไหนก็รักษาเจ้าไม่ได้หรอก!”

จากนั้นก็หันขวับไปหาเซ่าซานเสิ่ง เอ่ยตำหนิด้วยความโกรธ “พ่อบ้านอย่างเจ้าทำงานประสาอะไร ไยไม่ดูแลเจ้านายให้ดี?”

เซ่าซานเสิ่งถูกนางด่าก็ก้มหน้าลง บ่นอยู่ในใจ ข้าจะไปทำอะไรได้ คุณชายใหญ่มีภาระงานมากมายทุกวัน แม้แต่เวลาจะนอนก็แทบไม่มี

“ไม่เกี่ยวกับเขา” เซ่าผิงปอโบกมือ “สถานการณ์ในปัจจุบันของมณฑลเป่ยโจวไม่อาจรอช้าได้ ข้ายากจะละมือได้จริงๆ”

ซูจ้าวถลึงตาใส่เขาพลางเอ่ยว่า “ขาดเจ้าไปแล้วมณฑลเป่ยโจวจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้เชียวหรือ? ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ คนคนหนึ่งต่อให้มีความสามารถเก่งกาจแค่ไหน แล้วจะจัดการได้สักเท่าไรกัน? เมื่อถึงเวลาที่ควรวางมือก็ต้องวางมือบ้าง หัดเรียกใช้งานคนอื่นบ้าง มิเช่นนั้นหากเจ้าทำแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องเหนื่อยตาย! เจ้าเนี่ยน้า เจ้าจะเอาคนอื่นมาเปรียบเทียบกับตัวเจ้าไม่ได้ ใครบ้างที่ไม่มีข้อบกพร่องเลย ใช้คนก็ต้องเลือกใช้ตามความถนัด อย่าเอาแต่คิดว่าเรื่องนั้นไม่ดีเรื่องนี้ไม่ได้…”

เซ่าผิงปอถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ที่ท่านพูดมาข้าเข้าใจทุกอย่าง แต่สถานการณ์ของมณฑลเป่ยโจวใช่ว่าท่านจะไม่รู้ แคว้นเยี่ยนมองเป็นกบฏแผ่นดิน แคว้นหานมองว่าลักลอบวางแผนร้าย อีกทั้งชื่อเสียงของข้าก็ถูกหนิวโหย่วเต้าทำลายอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับถูกหนีบอยู่ระหว่างสองขั้วอำนาจ ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญ ไหนเลยจะมีผู้มีความสามารถมาสวามิภักดิ์ได้ คนที่ใช้งานได้ในด้านการบริหารปกครองก็มีอยู่น้อยเหลือเกิน ข้าจึงได้แต่ต้องประกาศรับตัวบัณฑิตผู้มีการศึกษาเข้ามาฝึกอบรม หวังว่าจะเฟ้นหาผู้ที่มีความสามารถออกมาได้ วันหน้าหากท่านพบบุคคลมีความสามารถที่สามารถใช้งานได้ก็แนะนำเข้ามาได้เลย”

ซูจ้าวไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะว่าเขาอย่างไรดี เพียงแต่เห็นเขาอยู่ในสภาพนี้ก็ได้แต่รู้สึกปวดใจ

“ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว ข้ารู้ดีว่าต้องทำอย่างไร คุยเรื่องงานถอะ” เซ่าผิงปอโบกมือเชิญให้นั่ง กระทั่งน้ำชาถูกยกมาแล้ว จึงเอ่ยว่า “สถานการณ์ในปัจจุบันของเป่ยโจวได้สร้างความหวาดระแวงให้แก่แคว้นหานและแคว้นเยี่ยนแล้ว ต้องเร่งยกระดับความแข็งแกร่งด้านกำลังทหาร ทำให้ทั้งสองแคว้นไม่กล้าผลีผลามบุ่มบ่าม มิเช่นนั้นช้าเร็วทั้งสองแคว้นจะต้องร่วมมือกันเพื่อจัดการเป่ยโจวอย่างแน่นอน และความทุ่มเทของข้าก็จะพังทลายลงในพริบตา เป่ยโจวต้องการม้าศึกอย่างเร่งด่วน ทางท่านจัดการเป็นอย่างไรบ้าง?”

ซูจ้าวเอ่ยว่า “มีความคืบหน้า แต่ก็มีปัญหาเช่นกัน ที่บอกว่ามีความคืบหน้าคือด้วยเส้นสายที่สร้างขึ้นมาในช่วงหลายปีมานี้ ดูแล้วน่าจะรวบรวมม้าศึกให้เจ้าได้ห้าหมื่นตัว…”

“ดี!” เซ่าผิงปอสีหน้าสดใสขึ้นมา ตบพนักวางแขนบนเก้าอี้เต็มแรง “ห้าหมื่นตัวก็พอแล้ว!”

ซูจ้าวส่ายหน้า “อย่าเพิ่งดีใจเร็วไปนัก ม้าศึกห้าหมื่นตัวน่าจะส่งออกจากแคว้นฉีได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ปัญหาคือต้องเดินทางไกล ผ่านเขตแคว้นอื่น แคว้นใดบ้างล่ะที่จะยอมปล่อยทรัพยากรทางการทหารจำนวนมหาศาลเช่นนี้ผ่านทางไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร? ข้ากลับกำลังคิดถึงวิธีการเช่นเดียวกับมดย้ายรัง แต่ระยะทางจากแคว้นฉีถึงเป่ยโจวห่างไกลกันขนาดนี้ เจ้าเองก็ไม่อาจให้ม้าวิ่งห้อไปตลอดทางโดยไม่หยุดพักได้กระมัง เดินๆ หยุดๆ เช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเดินทางหลายเดือน นี่มิใช่ม้าแค่ไม่กี่ร้อยตัว หากแต่เป็นม้าจำนวนหลายหมื่นตัว ทั้งยังไม่อาจเดินทางด้วยกันเพราะจะดูสะดุดตาได้ นี่จะต้องสิ้นเปลืองกำลังคน ทรัพยากรและกำลังทรัพย์มากขนาดไหนล่ะ? นี่นับได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่”

“เรื่องนี้ข้าเตรียมการไว้นานแล้ว ท่านดูนี่” เซ่าผิงปอลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดหน้าแผนที่แผ่นหนึ่ง กระทั่งซูจ้าวเดินเข้ามาใกล้ เขาถึงจะชี้แผนที่แล้วเอ่ยว่า “ส่งม้าศึกหลายหมื่นตัวมาในรอบเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้จริงๆ แต่หากทยอยขนส่งมาทีละชุดล่ะ ท่านดูนี่นะ แทนที่จะใช้เส้นทางบก ใช้เส้นทางทะเลดีกว่า ใช้เรือลำเลียงมา ออกจากทะเลทางตอนเหนือของแคว้นฉี อ้อมผ่านทางเหนือของแคว้นหาน ล่องมาตามแม่น้ำสายนี้ จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำใหญ่ที่เป็นเขตพรมแดนระหว่างเป่ยโจวและแคว้นหาน ย่อมต้องมาถึงมือข้าแน่นอน”

ซูจ้าวขมวดคิ้ว “ทางแคว้นหานหาได้ตาบอดไม่ ไหนเลยจะปล่อยให้เรือมากมายขนาดนี้ผ่านแม่น้ำไปได้โดยไม่ตรวจสอบ?”

เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “ในเมื่อข้าเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว ข้าก็ย่อมต้องใคร่ครวญถึงจุดนี้ด้วย หลายปีมานี้ข้าแอบดำเนินการกับแม่น้ำของแคว้นหานสายนี้อย่างลับๆ ก็เพื่อเตรียมการไว้สำหรับวันนี้ ขอเพียงเรือมาถึง ข้าย่อมมีวิธีทำให้เรือล่องผ่านมาได้อย่างราบรื่น ขอเพียงท่านหาทางส่งเรือบรรทุกม้าออกมาจากแคว้นฉีได้ ให้เรือบรรทุกม้าล่องออกทะเล ข้าก็มีวิธีรับมือกับทางแคว้นหาน เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล!”

……………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด