ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 272 การค้าของคุณชายสาม

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 272 การค้าของคุณชายสาม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 272 การค้าของคุณชายสาม

กลับไปเข้าร่วมกองทัพหรือ? หยวนกังไม่ตอบ ไม่ง่ายเลยกว่าจะเขาจะสร้างตัวตนเข้ามาที่นี่ได้ แล้วจะทำให้เสียงานได้อย่างไร

ตอนที่เขาเพิ่งพาเฟิง หลิน หั่วและซานเข้าสู่เขตแคว้นฉี พวกเขาก็เผชิญเหตุจลาจลในกองทัพชายแดนแคว้นฉีเข้าพอดี ช่วยเหลือพลทหารสิบกว่าคนที่กำลังหนีตายจากการถูกไล่ล่าไว้ หลังจากได้ทราบสถานการณ์บางอย่าง หยวนกังจึงตัดสินใจจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ ทำการคัดเลือกทหารห้าคนที่มีประวัติภูมิหลังเหมาะสมแล้วเข้าไปสวมรอยแทน จากนั้นช่วยล่อทหารที่มาตามล่าพลทหารเหล่านั้นไป ช่วยให้พลทหารเหล่านั้นหลบหนีออกจากแคว้นฉี

ถึงแม้ว่าสถานะของทั้งห้าคนที่เข้าสวมรอยจะไม่มีปัญหา แต่พวกเขาล้วนเป็นพวกปลายแถวไร้ชื่อเสียง นอกจากกองทหารที่ถูกกวาดล้างไปแล้วก็ไม่รู้จักผู้ใดอีก สำหรับคนอื่นๆ หรือว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงแล้วก็เป็นเพียงห้ารายชื่อในทะเบียนกองทัพเท่านั้น

แต่เพื่อความปลอดภัย ตอนล่อทหารที่ตามมาไล่ล่าออกไป เขายอมเสี่ยงอันตรายอยู่หลายครั้ง พอบ่อยครั้งเข้าก็ทำให้ทหารที่ตามล่าจดจำพวกเขาได้

จากนั้นก็หอบความ ‘อยุติธรรม’ ที่ได้รับหนีไปยังเมืองหลวง

หลังจากมาถึงเมืองหลวง เขาไม่ได้ไปเที่ยวร้องทุกข์ส่งเดช แต่สืบสถานการณ์ภายในเมืองหลวงก่อน ต่อมาพอแน่ใจแล้วว่าฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมต่อการไปร้องทุกข์ เขาจึงตัดสินใจจับตัวบุตรชายของฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเป็นตัวประกัน หรือก็คือฮูเหยียนเวย เมื่อจับคนได้ถึงไปร้องทุกข์กับฮูเหยียนอู๋เฮิ่น

ผู้ใดจะทราบว่าเรื่องราวกลับผิดคาดไป ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นตอบรับเสียดิบดี ทว่าหลังจากบุตรชายปลอดภัยแล้ว เขากลับสั่งให้ลูกน้องลงมือจับพวกหยวนกังทันที!

ทว่าคนนับร้อยที่เข้าโจมตีกลับถูกทั้งห้าคนจัดการจนล้มกองระเนระนาด

“หยุดมือ!” หลังจากเห็นพลธนูปรากฏตัวขึ้น ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยกมือปรามไม่ให้ฝ่าซือติดตามที่อยู่ข้างกายลงมือพร้อมตะโกนออกไป ตะโกนสั่งให้คนที่ปิดล้อมอยู่ถอยไป เอ่ยด้วยสีหน้าเปี่ยมความชื่นชม “มิน่าถึงหนีรอดมาถึงเมืองหลวงได้!”

ในเวลานี้หยวนกังถึงได้ทราบว่าแม่ทัพคนนี้กำลังทดสอบพวกเขาอยู่ กำลังตรวจสอบว่าเหตุใดพวกเขาถึงหนีรอดการตามไล่ล่ามาถึงเมืองหลวงได้

แต่หลังจากนั้นยังคงกักบริเวณพวกเขาต่อ จนกระทั่งผ่านไปหลายวัน เขาก็ได้พาคนกลุ่มหนึ่งมาพบพวกเขา เป็นสมาชิกในกองทัพที่เคยตามไล่ล่าพวกเขา

หยวนกังทราบดี ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยังคงตรวจสอบยืนยันตัวตนของพวกเขาอยู่ เขาก็แอบแปลกใจในความสามารถของแม่ทัพคนนี้อยู่เช่นกัน คิดไม่ถึงว่าจะสามารถหาตัวคนที่เคยเจอหน้าพวกเขามาได้เร็วถึงเพียงนี้

ต่อมาพวกเขาถูกยกเลิกการกักบริเวณ ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นต้องการรับพวกเขาไว้ใต้บังคับบัญชาตน

ทว่าทั้งห้าปฏิเสธ บอกว่าท้อแท้หมดไฟแล้ว ต้องการเป็นชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นก็ไม่ได้บังคับฝืนใจพวกเขา ตอบตกลง และบอกให้พวกเขาลองพิจารณาดูอีกครั้ง หากอยากกลับมาตอนไหนก็กลับมาได้เลย ถึงได้มีเหตุการณ์ตรงหน้านี้

เมื่อเห็นเขาไม่พูดไม่จา ฮูเหยียนเวยจึงเอ่ยเร่งเร้า “อันซยง เจ้าพูดอะไรบ้างสิ!”

มือของหยวนกังที่ยื่นออกไปจับกระสอบถั่วเหลืองเพื่อเคลื่อนย้ายพลันชะงักลง เอ่ยเสียงขรึม “คุณชายสาม พวกเราพี่น้องเอาชีวิตรอดมาได้อย่างไรท่านก็รู้ดี ข้าไม่อยากกลับเข้าไปเกลือกกลั้วในสถานที่ฟอนเฟะเหล่านั้นอีกแล้ว เรื่องของคนใหญ่คนโตเบื้องบนเหล่านั้นซับซ้อนเกินไป พวกเราไม่เข้าใจ และเข้าไม่ถึง ไม่ง่ายเลยกว่าจะหลุดออกมาได้ แค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้น เจตนาดีของท่านแม่ทัพ พวกเรารับไว้ด้วยใจ แต่ไม่คิดจะกลับไปอีกแล้วจริงๆ!”

เขาเพิ่งออกไปซื้อถั่วเหลืองพวกนี้กลับมา ผู้ใดจะรู้ว่าพอกลับมาก็เจอเรื่องด้านนอกเข้าพอดี

ฮูเหยียนเวยถอนหายใจเบาๆ เข้าใจความรู้สึกของเขา แต่ยังคงเกลี้ยกล่อมต่อ “สถานที่ที่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะปรากฏเรื่องน่ารังเกียจบางอย่างขึ้น ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับมันอย่างไร การหลบหนีไม่ใช่วิธีที่ดีเลย ท่านพ่อข้าชื่นชมเจ้าขนาดนี้ โอกาสเช่นนี้มีคนมากน้อยเท่าไรที่ชั่วชีวิตนี้ไม่มีวันเอื้อมถึง หรือเจ้าอยากเป็นพ่อค้าไปตลอดชีวิตจริงๆ?”

หยวนกังตอบ “เป็นพ่อค้าก็ไม่ได้แย่อะไร ตอนนี้ดีมากแล้ว!”

ฮูเหยียนเวยพูดไม่ออก พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาพบว่าท่านพ่อคำนวณพลาดไปเล็กน้อย

ที่ท่านพ่อคิดไว้ในตอนแรกคืออยากให้ห้าคนนี้ได้เผชิญกับความเป็นจริงบางอย่างของโลก ปล่อยให้พวกเขาได้พบเจออุปสรรค เดี๋ยวพวกเขาก็จะเข้าใจเองว่าสมควรเลือกทางใด ดังนั้นจึงไม่ได้บังคับฝืนใจ และไม่คิดด้วยว่ากิจการขายของว่างเล็กๆ น้อยๆ นี้จะดำเนินไปได้ด้วยดี ผู้ใครจะไปคิดล่ะว่ากิจการขายของว่างเล็กๆ น้อยๆ นี้จะรุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นมาได้ ขายดียิ่งนัก ทำเอาท่านพ่อพูดไม่ออกเลย เรื่องที่ตอบตกลงไปแล้วไม่อาจคืนคำได้ จึงทำได้เพียงให้เขาเทียวมาเกลี้ยกล่อมทุกสามวันห้าวัน

เพียงแต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง พฤติกรรมของคนเหล่านี้ก็คลายความคลางแคลงบางอย่างของท่านพ่อลงไปได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นคนที่มีแผนการอันใดอยู่ อีกฝ่ายไม่อยากรับราชการ เพียงแค่อยากเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบเท่านั้น ย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นสายลับที่ต้องการแทรกซึมเข้าไปในกองทัพ

เขามองคนผู้นี้อีกครั้ง กระสอบใบใหญ่หนักนับร้อยจิน หิ้วไปหิ้วมาได้อย่างสบายๆ เรี่ยวแรงนั้นชวนให้คนนึกขยาด เขานึกถึงตอนที่ตนถูกจับเป็นตัวประกัน เหตุการณ์ที่ม้าของตนถูกคนผู้นี้ต่อยตายในหมัดเดียว ช่างรุนแรงนัก!

ต่อมาก็ถูกท่านพ่อหมายตา บอกว่าสามารถเป็นขุนพลทรงพลังได้ ด่าทอกองทัพชายแดนอันฟอนเฟะที่คิดกลบฝังผู้มีความสามารถไว้

เพียงแต่อุปนิสัยของคนผู้นี้ เป็นคนประเภทที่ยอมหักไม่ยอมงอ ล่วงเกินเบื้องบนได้ง่ายๆ ทำให้ท่านพ่อคิดว่าการที่เขาถูกกลบประกายไว้ก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้

แต่ท่านพ่อกลับชื่นชอบ อยากรับตัวไว้ แต่เรื่องราวกลับแย่ไปยิ่งกว่าเดิม กลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว!

“เฮ้อ!” ฮูเหยียนเวยถอนหายใจ เห็นว่าเขายังคงไม่ตอบตกลง จึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามว่า “วันนี้ขายได้กี่ชุด?”

หยวนกังที่ขนของเสร็จแล้วตะโกนเรียก “เสมียนเกา”

ไม่นานนัก ชายชราร่างเล็กคนหนึ่งวิ่งออกมาจากร้านด้านหน้า รีบเข้ามาคำนับทักทาย “คุณชายสาม เถ้าแก่!”

หยวนกังมองท้องฟ้าที่จวนจะพลบค่ำแล้ว เอ่ยถาม “วันนี้ขายได้เท่าไร?”

เสมียนเกาตอบด้วยรอยยิ้ม “ทะลุยอดของเมื่อวานก่อนที่จะปิดร้านแล้วขอรับ ยังไม่ได้คำนวณอย่างละเอียด แต่ขายไปสิบสองถังแล้วขอรับ”

หยวนกังพยักเพยิดหน้าไปทางฮูเหยียนเวย สื่อความหมายว่าท่านได้ยินแล้วกระมัง

ฮูเหยียนเวยมึนงง เอ่ยถาม “หนึ่งถังมีกี่ชุด?” ปกติแล้วเขาไหนเลยจะใส่ใจเรื่องนี้

ผู้ดูแลเกาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรียนคุณชายสาม หนึ่งชุดมีปริมาณไม่มาก อันที่จริงก็แค่ถ้วยเล็กๆ หนึ่งถังมีประมาณพันชุด สิบสองถังย่อมถึงหลักหมื่นแล้วขอรับ”

ฮูเหยียนเวยพลันยิ้มร่าจนหุบปากไม่ลงแล้ว คำนวณอยู่ในใจ หนึ่งชุดสิบเหรียญทองแดง หนึ่งหมื่นชุดเช่นนั้นก็เป็นเงินหนึ่งแสนเหรียญทองแดง หรือก็คือสิบเหรียญทอง เมื่อหักลบต้นทุนออกไปสองเหรียญทอง กำไรสุทธิจะอยู่ที่แปดเหรียญทอง

หนึ่งวันได้กำไรแปดเปรียญทอง นี่มิใช่กำไรน้อยๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นร้านไหนก็ไม่ถือว่าน้อยทั้งนั้น และถ้ามองจากแนวโน้มการเติบโตแล้ว สามารถทำกำไรสุทธิสิบเหรียญทองได้สบายๆ!

นี่เป็นเรื่องที่ก่อนหน้านี้ตัวเขาไม่เคยนึกถึงเลย แรกเริ่มหยวนกังบอกว่าตอนอยู่ในทัพชายแดนต้องเลี้ยงม้าด้วยถั่วเหลือง บังเอิญคิดค้นของว่างนี้ออกมาได้ จึงอยากทำขาย เขายังดูแคลนเสียด้วยซ้ำ

หยวนกังบอกว่าต้องการการสนับสนุนจากเขา อีกทั้งขอให้จัดหาสถานที่ จะนับว่าเขาเป็นหุ้นส่วนครึ่งหนึ่ง วันหน้ากำไรที่ได้จะแบ่งให้เขาครึ่งหนึ่ง เขายังพูดอยู่เลยว่าไม่เอา พูดตามตรงก็คือดูแคลน ไม่คิดว่าจะทำกำไรอันใดได้ คาดว่าต่อให้ได้กำไรก็ไม่เพียงพอให้เขาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ

ทว่าหยวนกังดึงดันจะมอบให้เขา เขาก็ยากจะปฏิเสธน้ำใจได้ จึงรับไว้พอเป็นพิธี

ผู้ใดจะคาดเล่า จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงเลยว่าของว่างเล็กๆ น้อยๆ จะมาถึงจุดที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเช่นนี้ กำไรที่ได้มากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มากนัก!

ตอนนี้เขาก็มีแค่ตำแหน่งทั่วไปในกองทัพเท่านั้น ได้รับเบี้ยเลี้ยงเล็กน้อย ในบ้านเองก็มีแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากในบัญชีของทางบ้านมาให้เขา

ช่วยไม่ได้ ถือกำเนิดในครอบครัวเช่นนี้ การคบค้าสมาคมกับคนบางส่วนเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คนที่ไปมาหาสู่กันล้วนมิใช่คนธรรมดา จะรับรองอย่างขอไปทีก็ไม่เข้าท่า เบี้ยเลี้ยงอันน้อยนิดของเขาไม่พอใช้ด้วยซ้ำ หลังคำนวณจากเบี้ยเลี้ยงของเขาแล้ว ทุกๆ ปีทางบ้านจะมอบเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้เขาหนึ่งพันเหรียญทอง

จะให้มากว่านี้ก็ไม่ได้แล้ว ในบ้านมีคนมากมาย คนที่ต้องเลี้ยงดูไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว แจกจ่ายให้ตามรายรับเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้นคือฮูเหยียนอู๋เฮิ่นก็มิใช่คนที่ชอบยื่นมือเรียกรับเงินไปทั่วเช่นกัน นิสัยค่อนข้างซื่อตรง ตระกูลฮูเหยียนจึงไม่ได้มีรากฐานอู้ฟู่ขนาดนั้น

แต่หนึ่งพันเหรียญทองต่อปีก็ไม่นับว่าน้อยเลย สำหรับชาวบ้านธรรมดาแล้ว นั่นคือเงินสิบล้านเหรียญทองแดง มีชาวบ้านมากมายที่ชั่วชีวิตนี้ล้วนไม่เคยได้รับเงินมากมายขนาดนี้มาก่อน ขอเพียงไม่สุรุ่ยสุร่าย ใช้เพียงสองสามเหรียญทองต่อวันก็เพียงพอจะเลี้ยงดูปูเสื่อสหายในเมืองหลวงแห่งนี้ได้แล้ว ต่อให้ไปหาความสำราญที่ ‘เรือนเมฆาขาว’ จ่ายเงินไม่กี่เหรียญทองก็ได้รับบริการอย่างหรูหราได้แล้ว

แล้วก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะไปขลุกตัวเที่ยวเล่นอยู่ในสถานที่อย่างเรือนเมฆาขาวทุกวัน ตนก็ยังมีงานมีการอยู่ ปกติกินข้าวในบ้านก็ไม่ต้องเสียเงิน ดังนั้นหนึ่งพันเหรียญทองต่อปีก็เกินพอแล้ว นับเป็นค่าใช้จ่ายของลูกหลานในตระกูลร่ำรวยแล้ว

ผลลัพธ์น่ะหรือ ร้านเต้าหู้ที่เปิดขึ้นโดยไม่คิดอะไรกลับเหนือความคาดหมายนัก เพิ่งเปิดกิจการได้แค่ครึ่งเดือน การค้าในแต่ละวันกลับดีขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อร้านเต้าหู้มีชื่อเสียงขึ้นมา หลายวันก่อนตอนที่เหล่าพี่น้องในครอบครัวมารวมตัวกันก็อดถามถึงรายได้ของร้านเต้าหู้ไม่ได้ ผลคือแต่ละคนอิจฉาตาร้อนกัน พากันกล่าวว่าเจ้าสามร่ำรวยแล้ว มีแหล่งรายได้ของตัวเองแล้ว!

ฝ่ายหยวนกังก็ต้องการทำบัญชีให้ชัดเจน จึงให้ฮูเหยียนเวยส่งเสมียนของตนมาดูแลจัดการบัญชี ตอนแรกฮูเหยียนเวยดูแคลนนัก ต่อมาพอรู้ว่ามีรายรับมากมาย ประกอบกับหยวนกังรบเร้าอยู่บ่อยๆ เขาก็ไม่เกรงใจอีก เสมียนเกาคนนี้คือคนของเขา

แต่ขณะที่เขาฝันหวานถึงเงินปันผลช่วงสิ้นเดือนของตนได้ไม่นาน ท่านพ่อก็มาหาเขา ถามว่ารายได้ส่วนนี้ของเขาจะเก็บไว้คนเดียวหรือจะเข้าบัญชีกลางของครอบครัว?

ความคิดของฮูเหยียนอู๋เฮิ่นคือเงินที่เขาได้มาจากร้านเต้าหู้ ให้เก็บไว้เองหนึ่งส่วน ที่เหลือให้เอาเข้าบัญชีกลางของตระกูลฮูเหยียน จากนั้นทางบ้านก็จะจ่ายเงินอุดหนุนให้เขาตามปกติ

ท่านพ่อพูดมาแบบนี้แล้ว เขายังจะทำอันใดได้เล่า? จึงทำได้เพียงตอบตกลง!

ดังนั้นวันนี้พอมาถึงนี่ เขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามถึงยอดขายอย่างที่หาได้ยากในเวลาปกติ แม้ว่าเขาจะได้เงินเพียงหนึ่งส่วนจากรายได้ครึ่งหนึ่งของร้านเต้าหู้เท่านั้น ส่วนที่เหลือต้องเข้ากองกลาง แต่หากว่ายิ่งขายได้ดี ส่วนแบ่งของเขาก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไม่ใช่หรือ

ในมุมมองของเขา หยวนกังทำการค้าได้ดีขนาดนี้ เขาก็ไม่อยากให้หยวนกังกลับเข้ากองทัพอีก ทว่าท่านพ่อที่มีอำนาจเหนือกว่ากลับมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง เขาก็ขัดขืนไม่ได้ ได้แต่มาช่วยพูดโน้มน้าวให้ท่านพ่อ

หลังจากคำนวณดูเล็กน้อย ฮูเหยียนเวยก็เอ่ยพึมพำว่า “แบบนี้แสดงว่าแค่แปดถังต่อวันก็เพียงพอแล้ว”

หยวนกังและเสมียนเกาสบตากัน ไม่ทราบว่าเขากำลังพึมพำถึงเรื่องใด

“แปดถังของคุณชายสามหมายความว่าอย่างไรหรือ?” หยวนกังถาม

ฮูเหยียนเวยหัวเราะฮี่ๆ เอ่ยว่า “ยังจำที่เมื่อวานข้าให้คนมารับไปถ้วยหนึ่งได้หรือไม่? เมื่อวานข้าไปติดต่อผู้ดูแลคนหนึ่งของในวังมา ให้เขานำไปถวายให้ผู้สูงศักดิ์ในวังได้ลิ้มลอง ผลตอบรับไม่เลวเลย ล้วนพูดกันว่าอร่อย”

เพียะ! เขาตบมือฉาดหนึ่ง เอ่ยอย่างมีความสุข “ประสบความสำเร็จแล้ว พวกเขาต้องการให้พวกเราจัดส่งเข้าไปในช่วงเช้า กลางวัน ช่วงเย็นและกลางคืนครั้งล่ะหนึ่งชุด เตรียมไว้ให้ผู้สูงศักดิ์ในวังได้ลิ้มลองตลอดเวลา ทุกเดือนจะจ่ายให้พวกเราหนึ่งพันเหรียญทอง!”

หยวนกังและเสมียนเกาตะลึงงัน ตอนนี้หนึ่งวันก็ขายได้ถึงสิบเหรียญทองแล้ว คำนวณจากตอนนี้ หนึ่งเดือนจะขายได้เงินสามถึงสี่ร้อยเหรียญทอง นี่เดือนเดียวได้พันเหรียญทองเลยหรือ?

หยวนกังถาม “มากมายขนาดนี้ ในวังจะกินกันหมดหรือ?”

ฮูเหยียนเวยส่ายหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา เอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ดังนั้นข้าถึงบอกว่าแปดถังก็พอแล้ว ช่วงเช้า กลางวัน เย็นและกลางคืนส่งเข้าไปครั้งล่ะสองถังก็พอแล้ว”

……………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด