ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 89 เส้นทางลับ

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 89 เส้นทางลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 89 เส้นทางลับ

“ศิษย์พี่ลู่หนอศิษย์พี่ลู่ ไยท่านจึงประมาทเช่นนี้?” อันเสี่ยวหม่านย่ำเท้าทอดถอนใจ

เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง สถานการณ์เร่งด่วน เขาไม่กล้าชักช้ารีรอ เขียนรายงานลับใต้แสงโคมอย่างรวดเร็ว รีบส่งปีกทองสำหรับติดต่อกับทางสำนักไปแจ้งสถานการณ์อย่างเร่งด่วน

หลังส่งรายงานเสร็จเรียบร้อย เขาเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องครู่หนึ่ง ความคิดสารพัดประเดประดังเข้ามาในหัวสมอง หลิวลู่มีอิทธิพลต่อโจวโส่วเสียนมากแค่ไหน? โจวโส่วเสียนจะจัดการเขาอย่างไร? หลังจากใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆ แล้ว สุดท้ายอันเสี่ยวหมานก็ตัดสินใจไปจากที่นี่ หากไม่มีอะไรค่อยย้อนกลับมาก็ไม่สาย แต่ถ้ารอจนเกิดเรื่องค่อยคิดหลบหนี เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นคงจะไม่ทันการ

เขาเก็บข้าวของเรียบร้อย แม้กระทั่งไฟภายในห้องก็มิได้ดับ เรียกรวมศิษย์ร่วมสำนัก จากนั้นหายลับไปในความมืดยามราตรี

……

นอกหน้าต่าง กลางขุนเขาปรากฏสายหมอกเลือนสลัว

หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หนิวโหย่วเต้านั่งตัวตรง มองสตรีในคันฉ่องที่กำลังหวีผมให้ตนอยู่ ความคมชัดในการสะท้อนภาพของคันฉ่องสำริดมีขีดจำกัด เดิมทีคิดไว้ว่าต่อไปถ้ามีโอกาส เขาจะทำกระจกที่สะท้อนภาพได้ชัดเจนสักบานให้อีกฝ่ายเป็นการตอบแทน แต่พอใคร่ครวญถึงใบหน้าของอีกฝ่ายแล้ว การมอบกระจกที่สะท้อนภาพชัดเจนให้จะไม่เป็นการหยามหน้าคนเขาหรอกหรือ ดังนั้นจึงพับเก็บความคิดนี้ไป

“เต้าเหยี่ย ท่านอาจารย์หลานบอกว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จก็ออกเดินทางได้ทุกเมื่อ” ซางซูชิงเอ่ยเตือน

“ได้พ่ะย่ะค่ะ!” หนิวโหย่วเต้าตอบรับ เขาหลับตาใช้ความคิดเงียบๆ สักพัก จู่ๆ พลันลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวกระหม่อมจะไปรับประทานมื้อเช้าร่วมกับท่านอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ”

ซางซูชิงตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ได้! เดี๋ยวข้าจะไปแจ้งให้”

สาเหตุที่นางตกตะลึงไปเล็กน้อย เป็นเพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมาซางเฉาจงและเฟิ่งรั่วหนานนอนร่วมห้องกันเป็นปกติแล้ว และทุกวันก็จะรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ทุกคนตระหนักได้ว่าซางเฉาจงมิใช่ชายโสดเช่นก่อนหน้านี้แล้ว การไปร่วมวงกินข้าวด้วยบ่อยๆ กลายเป็นเรื่องไม่เหมาะสม หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังปลีกตัวออกมาก่อน ต่อมาหลานรั่วถิงก็ปลีกตัวออกมาเช่นกัน จนกระทั่งหลังจากซางซูชิงแยกตัวออกมา ไป๋เหยาก็คล้ายจะสังเกตเห็นแล้วว่าตนเหมือนจะเป็นส่วนเกิน จึงแยกตัวออกมาเช่นกัน

วันนี้จู่ๆ หนิวโหย่วเต้ากลับบอกว่าจะกลับไปกินข้าวด้วย นี่จึงทำให้นางแปลกใจอยู่พอสมควร

……

พอถึงเวลาอาหาร ทันทีที่หนิวโหย่วเต้ามาถึงเรือนพำนักของซางเฉาจง เขาก็พบว่าหลานรั่วถิงและซางซูชิงก็มาเช่นกัน คงเป็นเพราะจู่ๆ เขาก็กลับมาร่วมโต๊ะอาหาร จึงอยากดูว่าตนมีเจตนาอันใด

หลังจากนั้นเฟิ่งรั่วหนานที่กลับมาจากสนามฝึกก็ตกตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน นางย่อมต้องเห็นว่าวันนี้มีคนเพิ่มขึ้นมา ทุกเช้านางจะออกไปขี่ม้า ยิงธนูและฝึกวรยุทธ์จนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว

“คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ!” หนิวโหย่วเต้าเป็นฝ่ายประสานมือเอ่ยทักทายก่อน

แม้นไม่อาจทำร้ายคนที่มีมารยาทกับเราได้ แต่โทสะที่เฟิ่งรั่วหนานมีต่อเขาก็ไม่มีทางจะสลายไปเร็วขนาดนั้น การถูกหลอกลวงในครานั้นเรียกได้ว่าโหดร้ายน่าเศร้า นางเพียงตอบ “อืม” อย่างเย็นชา แต่กลับพบว่าหนิวโหย่วเต้ามองพินิจตนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างผิดปกติ คล้ายกำลังจ้องมองบริเวณหน้าท้องของนางอยู่

มีใครเขาจ้องมองสตรีเช่นนี้กันบ้าง? ทำไมถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองตนเป็นสตรีเลย! เฟิ่งรั่วหนานโมโหขึ้นมาทันที ตะคอกใส่หนิวโหย่วเต้าว่า “มองอะไร?”

หนิวโหย่วเต้าลูบคางเอ่ยพึมพำ “ยังไม่ท้องอีกหรือนี่?”

พวกหลานรั่วถิงที่อยู่ด้านข้างรู้สึกหมดคำพูดไปเล็กน้อย ไหนเลยจะตั้งท้องไวปานนั้น หรือต่อให้ท้องจริง ตอนนี้ก็ยังมองไม่ออกหรอก!

ซางเฉาจงปวดหัวขึ้นมา รู้สึกว่าเต้าเหยี่ยผู้นี้คล้ายจะชอบหาเรื่องเฟิ่งรั่วหนาน พบหน้าเป็นต้องทะเลาะกัน

“…..” เฟิ่งรั่วหนานตะลึงงัน ก่อนจะได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายพูดอะไรอยู่ นางอับอายจนพาลโกรธ ตวาดไปว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

หนิวโหย่วเต้าชักสีหน้าทันที “พระชายา ทำไมกล่าวเช่นนั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ? หรือว่ากระหม่อมพูดผิดไป? หนิงอ๋องเหลือท่านอ๋องเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวแล้ว หากแต่งกับท่านแล้วยังไม่มีแม้กระทั่งทายาท นั่นมิเท่ากับว่าท่านอ๋องต้องสิ้นเชื้อสายหรือพ่ะย่ะค่ะ? หรือว่ายามที่ท่านออกศึกเคยได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้? หากว่าเป็นเช่นนั้นล่ะก็…” เขาหันไปมองซางเฉาจงที่มีสีหน้าอับอายพลางตะโกนถาม “ท่านอ๋อง ต้องการให้กระหม่อมจัดหาอนุโฉมงามไว้คอยปรนนิบัติท่านสักสองคนไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

เฟิ่งรั่วหนานกำหมัดด้วยความโมโห “พูดบ้าอะไรของเจ้า!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยต่อว่า “พระชายา คุยกันดีๆ ก็ได้ ไยต้องด่ากระหม่อมด้วย? กระหม่อมรู้ว่าทางจังหวัดกว่างอี้อาจจะไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา แต่พระองค์จะดีกว่ากันไปได้สักเท่าไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ? พระองค์คิดว่าทางจังหวัดกว่างอี้ใส่ใจพระองค์นักหรือ? เพื่อผลประโยชน์แล้ว ผู้ว่าการจังหวัดถึงกับยอมยกพระองค์ให้แก่ท่านอ๋องเหมือนเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่ง เคยใส่ใจความรู้สึกของพระองค์เสียที่ไหนล่ะพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมเพียงอยากเตือนพระชายาเอาไว้ ในอนาคตมรดกของผู้ว่าการจังหวัดจะตกเป็นของหลานใน[1] หรือว่าจะตกเป็นของลูกชายของพระองค์กันล่ะพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมขอเตือนพระชายาให้นึกถึงอนาคตของตนให้ดี ทบทวนดูให้ดีว่าตนควรยืนอยู่ฝั่งไหน!”

เฟิ่งรั่วหนานโกรธจัดจนหัวร่อออกมา เอ่ยว่า “นี่เจ้าคิดจะยุแยงให้แตกคอกันหรือ?”

“พระองค์จะคิดอย่างไรก็แล้วแต่พระองค์ ถึงอย่างไรคนที่ต้องทนรับความคับข้องใจ คนที่ต้องอาศัยใต้ชายคาผู้อื่น คนที่ต้องทนมองสีหน้าผู้อื่นก็มิใช่ทายาทของกระหม่อมอยู่แล้ว และผู้ที่จะต้องเสียใจภายหลังก็มิใช่กระหม่อมเช่นกัน” หนิวโหย่วเต้ายักไหล่ หันหลังเดินจากไปอย่างไม่แยแส พลางกวักมือเรียกหยวนกัง “เจ้าลิง ในเมื่อคนเขาไม่ต้อนรับ จะอยู่กินข้าวให้อึดอัดไปทำไม ไปเถอะ!”

ซางเฉาจงอยากรั้งไว้ ทว่าหลานรั่วถิงที่อยู่ด้านข้างกลับดึงแขนเสื้อเขาเล็กน้อย ส่ายหน้าให้เขานิดๆ จากนั้นประสานมือพลางกล่าวว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมนึกขึ้นได้ว่าต้องไปจัดการเรื่องบางอย่าง ขอตัวลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ยามที่เดินออกไปก็ส่งสายตาไปทางซางซูชิง

ซางซูชิงจึงตามออกไปด้วย

มือของเฟิ่งรั่วหนานกุมอยู่บนด้ามกระบี่ ภายในใจรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด พอหันกลับมาก็สบตากับซางเฉาจงเข้า ทั้งสองจ้องตากัน นางพลันตะคอกใส่ “มองอะไร!”

ซางเฉาจงพูดไม่ออก เขาตกเป็นคนกลางพูดอะไรไม่ได้ทั้งนั้น อัดอัดเป็นที่สุด

นอกเรือน ซางซูชิงและหลานรั่วถิงมารวมตัวกัน ทั้งสองเดินเล่นด้วยกัน หลานรั่วถิงถอนใจเบาๆ “เต้าเหยี่ยทำเช่นนี้เพราะใคร่ครวญแล้วว่ากำลังจะไปจากที่นี่ แต่ก็นึกห่วงทางนี้ ตั้งใจปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ลงในใจของพระชายา หวังให้พระชายาคำนึงถึงอนาคตข้างหน้า เลี่ยงไม่ให้บีบคั้นท่านอ๋องให้รีบตามหาสิ่งนั้นจนเกินไป! เรื่องบางอย่างพวกเราไม่สะดวกพูด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระชายาไม่สู้ดีอยู่แล้ว จึงเล่นบทตัวร้ายต่อไปได้ จะพูดอะไรออกมาก็ได้…เต้าเหยี่ยมีน้ำใจนัก! ”

ซางซูชิงถอนหายใจเบาๆ ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง “แม้นจะจงใจพูดเตือนสติ แต่ถ้อยคำเหล่านี้มันก็ออกจะรุนแรงไปหน่อย ต่อให้สตรีทั่วหล้ามาฟังก็ต้องรู้สึกเสียใจเช่นกัน”

หลานรั่วถิงผงะไปเล็กน้อย ลืมไปเลยว่าผู้ที่อยู่ข้างกายก็เป็นสตรีเช่นกัน…

….

เมืองหลวง ณ จวนตระกูลซ่ง สตรีรูปงามนางหนึ่งเปิดประตูออกมาจากด้านในห้อง ซ่งจิ่วหมิงที่ตื่นแต่เช้าก้าวออกมา มองเห็นพ่อบ้านหลิวลู่ที่ยืนคอยอยู่ด้านนอก พบว่าสีหน้าของหลิวลู่ค่อนข้างผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ซ้ำยังดูซีดเซียว

หลิวลู่เผยสีหน้าโศกเศร้าออกมา ประคองจดหมายลับฉบับหนึ่งด้วยสองมือ “นายท่าน บ่าวจัดการงานไม่ดี ทำผิดต่อนายท่านขอรับ”

ความจริงแล้วเขาได้รับจดหมายลับจากทางสำนักเซียนสถิตตั้งแต่ย่ำรุ่งแล้ว แต่นี่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตน เขาไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของซ่งจิ่วหมิง จึงรอคอยจนถึงตอนนี้

เรื่องอะไรกัน? ซ่งจิ่วหมิงขมวดคิ้ว รับจดหมายไปอ่านดู ถึงได้ทราบว่าหลิวจื่ออวี๋บุตรชายของหลิวลู่สิ้นชีพอย่างน่าอนาถที่อำเภอชางหลู จึงอดมองไปทางหลิวลู่ไม่ได้ ใช่อีกฝ่ายทำผิดต่อตนเสียที่ไหน เป็นตนต่างหากที่ทำผิดต่ออีกฝ่าย เป็นเพราะคำสั่งของเขา หลิวจื่ออวี๋ถึงไปที่อำเภอชางหลู

“เหล่าหลิว อย่าเสียใจไปเลย! เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะต้องมีคำอธิบายของเรื่องนี้ให้เจ้าแน่!” ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยปลอบเสียงขรึม หลานชายของเขาตายไปแล้ว หากจำเป็นต้องข่มความรู้สึก เขาก็ยังฝืนอดทนข่มเอาไว้ได้ แต่นี่กลับเป็นบุตรชายของพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ภักดีมาตลอดหลายปีอย่างหลิวลู่ เขาไม่อาจข่มความรู้สึกเอาไว้ได้ มิเช่นนั้นจะเสียความภักดีไป

หลิวลู่ค้อมกายเอ่ยว่า “เป็นเขาจัดการงานไม่ได้เรื่องเอง มิอาจโทษผู้ใดได้ขอรับ”

ซ่งจิ่วหมิงแค่นเสียงเหอะ “คนของสำนักเบญจคีรีใจกล้าไม่เบา กล้าหักหลังแม้กระทั่งคนของข้า แจ้งทางสำนักเซียนสถิต ต้องหาคำอธิบายมาให้ข้าให้ได้! ”

“ขอรับ!” หลิวลู่ตอบรับ

ซ่งจิ่วหมิงเดินเข้าไปหาเขา ลูบหลังเขาเบาๆ “เหล่าหลิว เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ต่อให้ข้าพูดอะไรเพื่อปลอบใจเจ้าก็ไม่มีประโยชน์ มองไปยังปัจจุบันเถอะ ต่อไปก็หาสาวรุ่นมาสักสองสามคน…ครั้งนี้เจ้าต้องฟังข้า ฉวยโอกาสที่ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ มีทายาทอีกสักสองสามคน ข้ารับรองว่าจะปูทางไว้ให้ลูกหลานของเจ้า!”

หลิวลู่ขอบตาแดงก่ำพยักหน้ารับ ในใจอับจนหนทาง พอให้กำเนิดแล้วกว่าจะเติบใหญ่ขึ้นมา ไม่รู้ว่าท่านจะยังอยู่บนโลกนี้หรือไม่ ความตายคือสิ่งที่ไร้เมตตาที่สุด อย่าเห็นว่ายามนี้ตระกูลซ่งรุ่งเรืองแล้วจะย่ามใจ วันใดหากท่านไม่อยู่แล้ว สถานการณ์จะเป็นอย่างไรใครเล่าจะรู้ อาจเกิดการกวาดล้างขึ้นได้ในชั่วข้ามคืนก็เป็นได้…

….

เรือนพำนักของซางเฉาจงและเฟิ่งรั่วหนานเป็นเรือนหลักของคฤหาสน์กลางเขา พอถึงช่วงสายทุกคนก็มารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง

ซางซูชิงเปลี่ยนไปสวมชุดฝึกยุทธ์ทะมัดทะแมง หนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรสตรีนางนี้ถึงแต่งกายเช่นนี้ หรือสตรีผู้นี้จะร่วมทางไปด้วย?

พวกซางเฉาจงทั้งสามก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางหยวนฟางซึ่งติดสอยห้อยตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้าและหยวนกัง อึกอักลังเลคล้ายอยากจะพูดอะไร

เมื่อเห็นว่าหนิวโหย่วเต้ามีทีท่าจะพาหยวนฟางไปด้วยจริงๆ หลานรั่วถิงจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน “เต้าเหยี่ย สถานที่ที่จะไปค่อนข้างเป็นความลับ” สายตาเหลือบมองไปทางหยวนฟางเล็กน้อย พยายามสื่อความนัยกับหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้าทราบเจตนาของเขา จึงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “คนกันเองทั้งนั้น ไม่มีอะไรต้องกังวล ข้าจะพาเขาไปด้วย”

หยวนฟางกะพริบตาปริบๆ เขายังไม่ทราบว่าจะไปทำอะไรกัน ทราบเพียงแต่ว่าหนิวโหย่วเต้าให้เขาจัดการธุระที่มีอยู่ให้เรียบร้อย บอกว่าจะจากไปสักระยะหนึ่ง

พอเขาว่ามาเช่นนี้ ทางนี้ก็ได้แต่ต้องยอมรามือ หลานรั่วถิงเดินไปด้านข้าง ตบห่อสัมภาระน้อยใหญ่ที่วางกองกันอยู่บนโต๊ะ “นี่คือเสบียงอาหารรวมถึงข้าวของที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง จำเป็นต้องนำไปด้วย”

หนิวโหย่วเต้าตรวจสอบดูเล็กน้อย พบว่าเป็นข้าวของจำพวกเสบียงอาหารแห้งจริงๆ จึงข่มความสงสัยไม่ไหว เอ่ยถามไปว่า “พกเสบียงไปมากมายขนาดนี้ หนทางยาวไกลมากหรือ?” ภายในใจก็คำนวณดูคร่าวๆ จำนวนเสบียงอย่างน้อยก็กินไปได้อีกหลายวัน เพียงพอให้กินจนกระทั่งออกจากอำเภอชางหลูได้สบายๆ อย่าว่าแต่อำเภอชางหลูเลย เสบียงเหล่านี้เพียงพอสำหรับเดินทางออกจากจังหวัดชิงซานเลยด้วยซ้ำ ไหนบอกว่าเขตลับอยู่ในอำเภอชางหลูไง?

ซางเฉาจงกล่าวว่า “เมื่อเต้าเหยี่ยไปถึงแล้วย่อมทราบเอง ชิงเอ๋อร์จะร่วมเดินทางไปด้วย”

หนิวโหย่วเต้าแปลกใจ “ท่านหญิงก็ไปด้วยหรือพ่ะย่ะ?”

ซางเฉาจงอธิบาย “สถานที่ที่จะไปจำเป็นต้องมีคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเราสามคนเดินทางไปด้วย มิเช่นนั้นจะไม่สะดวก เมื่อไปถึงเต้าเหยี่ยก็จะทราบเอง จนใจที่ข้ากับท่านอาจารย์มีเรื่องราวต้องจัดการ จึงไม่สะดวกจากไปนานนัก มิเช่นนั้นจะทำให้คนนึกสงสัยได้ง่ายๆ จึงได้แต่ต้องรบกวนชิงเอ๋อร์ให้เดินทางไปแทน ชิงเอ๋อร์เป็นสตรีบอบบาง เรี่ยวแรงมีจำกัด ระหว่างยังคงต้องรบกวนเต้าเหยี่ยช่วยดูแลให้มากหน่อย”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว การมีซางซูชิงเป็นตัวประกันอยู่ข้างกายกลับช่วยลดความกังวลในบางเรื่องลงไปได้ เขาเอ่ยเตือนไปว่า “จำเป็นต้องปกปิดทางพระชายาด้วย”

หลานรั่วถิงเอ่ยตอบ “วางใจได้ พวกเราเตรียมข้ออ้างในการอำพรางไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องราวไม่อาจรั้งรอได้ อาศัยช่วงที่พระชายากำลังฝึกทหารอยู่ รีบออกเดินทางเถิด…”

หลังจากได้รับคำอธิบายแล้ว หนิวโหย่วเต้าถึงได้ทราบว่าการเดินทางไปเขตลับไม่จำเป็นต้องออกจากคฤหาสน์เลย หากแต่ต้องเดินไปตามเส้นทางลับ ปากทางเข้าเส้นทางลับอยู่ในบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่สวนด้านหลัง

บ่อน้ำนั้นมิใช่บ่อน้ำพุ แต่เป็นบ่อเก็บน้ำ เป็นบ่อที่ถูกขุดขึ้นมาใช้เก็บน้ำเผื่อในกรณีที่แหล่งน้ำถูกควบคุมยามเกิดสงคราม คล้ายกับอ่างเก็บน้ำ ในคฤหาสน์มีบ่อน้ำที่คล้ายๆ กันนี้อยู่มากมายหลายจุด และเพื่อให้สะดวกต่อการกักเก็บน้ำ ลำธารที่ไหลผ่านคฤหาสน์จะถูกชักเข้าสู่บ่อผ่านรางไม้ไผ่ เห็นได้ชัดว่าในยามนั้นคฤหาสน์หลังนี้ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถันใส่ใจ

แต่ละคนแบกห่อสัมภาระขึ้นหลัง เมื่อมาถึงทางออกของโถงด้านหลัง กลับมิได้รีบร้อนออกไป

ถึงแม้หลานรั่วถิงจะมีการจัดกำลังคนไว้คอยดูต้นทางเผื่อมีคนเข้ามาใกล้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นจุดสนใจจนเกินไป เขาก็ยังแนะนำให้ออกไปทีละคนจะดีกว่า

หนิวโหย่วเต้าส่งสายตาบอกให้หยวนกังไปสำรวจดูกลไกในเส้นทางลับก่อน

………………………………………………..

[1] หลานใน หมายถึง ลูกของลูกชาย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 89 เส้นทางลับ

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 89 เส้นทางลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 89 เส้นทางลับ

“ศิษย์พี่ลู่หนอศิษย์พี่ลู่ ไยท่านจึงประมาทเช่นนี้?” อันเสี่ยวหม่านย่ำเท้าทอดถอนใจ

เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง สถานการณ์เร่งด่วน เขาไม่กล้าชักช้ารีรอ เขียนรายงานลับใต้แสงโคมอย่างรวดเร็ว รีบส่งปีกทองสำหรับติดต่อกับทางสำนักไปแจ้งสถานการณ์อย่างเร่งด่วน

หลังส่งรายงานเสร็จเรียบร้อย เขาเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องครู่หนึ่ง ความคิดสารพัดประเดประดังเข้ามาในหัวสมอง หลิวลู่มีอิทธิพลต่อโจวโส่วเสียนมากแค่ไหน? โจวโส่วเสียนจะจัดการเขาอย่างไร? หลังจากใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆ แล้ว สุดท้ายอันเสี่ยวหมานก็ตัดสินใจไปจากที่นี่ หากไม่มีอะไรค่อยย้อนกลับมาก็ไม่สาย แต่ถ้ารอจนเกิดเรื่องค่อยคิดหลบหนี เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นคงจะไม่ทันการ

เขาเก็บข้าวของเรียบร้อย แม้กระทั่งไฟภายในห้องก็มิได้ดับ เรียกรวมศิษย์ร่วมสำนัก จากนั้นหายลับไปในความมืดยามราตรี

……

นอกหน้าต่าง กลางขุนเขาปรากฏสายหมอกเลือนสลัว

หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หนิวโหย่วเต้านั่งตัวตรง มองสตรีในคันฉ่องที่กำลังหวีผมให้ตนอยู่ ความคมชัดในการสะท้อนภาพของคันฉ่องสำริดมีขีดจำกัด เดิมทีคิดไว้ว่าต่อไปถ้ามีโอกาส เขาจะทำกระจกที่สะท้อนภาพได้ชัดเจนสักบานให้อีกฝ่ายเป็นการตอบแทน แต่พอใคร่ครวญถึงใบหน้าของอีกฝ่ายแล้ว การมอบกระจกที่สะท้อนภาพชัดเจนให้จะไม่เป็นการหยามหน้าคนเขาหรอกหรือ ดังนั้นจึงพับเก็บความคิดนี้ไป

“เต้าเหยี่ย ท่านอาจารย์หลานบอกว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จก็ออกเดินทางได้ทุกเมื่อ” ซางซูชิงเอ่ยเตือน

“ได้พ่ะย่ะค่ะ!” หนิวโหย่วเต้าตอบรับ เขาหลับตาใช้ความคิดเงียบๆ สักพัก จู่ๆ พลันลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวกระหม่อมจะไปรับประทานมื้อเช้าร่วมกับท่านอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ”

ซางซูชิงตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ได้! เดี๋ยวข้าจะไปแจ้งให้”

สาเหตุที่นางตกตะลึงไปเล็กน้อย เป็นเพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมาซางเฉาจงและเฟิ่งรั่วหนานนอนร่วมห้องกันเป็นปกติแล้ว และทุกวันก็จะรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ทุกคนตระหนักได้ว่าซางเฉาจงมิใช่ชายโสดเช่นก่อนหน้านี้แล้ว การไปร่วมวงกินข้าวด้วยบ่อยๆ กลายเป็นเรื่องไม่เหมาะสม หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังปลีกตัวออกมาก่อน ต่อมาหลานรั่วถิงก็ปลีกตัวออกมาเช่นกัน จนกระทั่งหลังจากซางซูชิงแยกตัวออกมา ไป๋เหยาก็คล้ายจะสังเกตเห็นแล้วว่าตนเหมือนจะเป็นส่วนเกิน จึงแยกตัวออกมาเช่นกัน

วันนี้จู่ๆ หนิวโหย่วเต้ากลับบอกว่าจะกลับไปกินข้าวด้วย นี่จึงทำให้นางแปลกใจอยู่พอสมควร

……

พอถึงเวลาอาหาร ทันทีที่หนิวโหย่วเต้ามาถึงเรือนพำนักของซางเฉาจง เขาก็พบว่าหลานรั่วถิงและซางซูชิงก็มาเช่นกัน คงเป็นเพราะจู่ๆ เขาก็กลับมาร่วมโต๊ะอาหาร จึงอยากดูว่าตนมีเจตนาอันใด

หลังจากนั้นเฟิ่งรั่วหนานที่กลับมาจากสนามฝึกก็ตกตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน นางย่อมต้องเห็นว่าวันนี้มีคนเพิ่มขึ้นมา ทุกเช้านางจะออกไปขี่ม้า ยิงธนูและฝึกวรยุทธ์จนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว

“คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ!” หนิวโหย่วเต้าเป็นฝ่ายประสานมือเอ่ยทักทายก่อน

แม้นไม่อาจทำร้ายคนที่มีมารยาทกับเราได้ แต่โทสะที่เฟิ่งรั่วหนานมีต่อเขาก็ไม่มีทางจะสลายไปเร็วขนาดนั้น การถูกหลอกลวงในครานั้นเรียกได้ว่าโหดร้ายน่าเศร้า นางเพียงตอบ “อืม” อย่างเย็นชา แต่กลับพบว่าหนิวโหย่วเต้ามองพินิจตนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างผิดปกติ คล้ายกำลังจ้องมองบริเวณหน้าท้องของนางอยู่

มีใครเขาจ้องมองสตรีเช่นนี้กันบ้าง? ทำไมถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองตนเป็นสตรีเลย! เฟิ่งรั่วหนานโมโหขึ้นมาทันที ตะคอกใส่หนิวโหย่วเต้าว่า “มองอะไร?”

หนิวโหย่วเต้าลูบคางเอ่ยพึมพำ “ยังไม่ท้องอีกหรือนี่?”

พวกหลานรั่วถิงที่อยู่ด้านข้างรู้สึกหมดคำพูดไปเล็กน้อย ไหนเลยจะตั้งท้องไวปานนั้น หรือต่อให้ท้องจริง ตอนนี้ก็ยังมองไม่ออกหรอก!

ซางเฉาจงปวดหัวขึ้นมา รู้สึกว่าเต้าเหยี่ยผู้นี้คล้ายจะชอบหาเรื่องเฟิ่งรั่วหนาน พบหน้าเป็นต้องทะเลาะกัน

“…..” เฟิ่งรั่วหนานตะลึงงัน ก่อนจะได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายพูดอะไรอยู่ นางอับอายจนพาลโกรธ ตวาดไปว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

หนิวโหย่วเต้าชักสีหน้าทันที “พระชายา ทำไมกล่าวเช่นนั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ? หรือว่ากระหม่อมพูดผิดไป? หนิงอ๋องเหลือท่านอ๋องเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวแล้ว หากแต่งกับท่านแล้วยังไม่มีแม้กระทั่งทายาท นั่นมิเท่ากับว่าท่านอ๋องต้องสิ้นเชื้อสายหรือพ่ะย่ะค่ะ? หรือว่ายามที่ท่านออกศึกเคยได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้? หากว่าเป็นเช่นนั้นล่ะก็…” เขาหันไปมองซางเฉาจงที่มีสีหน้าอับอายพลางตะโกนถาม “ท่านอ๋อง ต้องการให้กระหม่อมจัดหาอนุโฉมงามไว้คอยปรนนิบัติท่านสักสองคนไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

เฟิ่งรั่วหนานกำหมัดด้วยความโมโห “พูดบ้าอะไรของเจ้า!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยต่อว่า “พระชายา คุยกันดีๆ ก็ได้ ไยต้องด่ากระหม่อมด้วย? กระหม่อมรู้ว่าทางจังหวัดกว่างอี้อาจจะไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา แต่พระองค์จะดีกว่ากันไปได้สักเท่าไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ? พระองค์คิดว่าทางจังหวัดกว่างอี้ใส่ใจพระองค์นักหรือ? เพื่อผลประโยชน์แล้ว ผู้ว่าการจังหวัดถึงกับยอมยกพระองค์ให้แก่ท่านอ๋องเหมือนเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่ง เคยใส่ใจความรู้สึกของพระองค์เสียที่ไหนล่ะพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมเพียงอยากเตือนพระชายาเอาไว้ ในอนาคตมรดกของผู้ว่าการจังหวัดจะตกเป็นของหลานใน[1] หรือว่าจะตกเป็นของลูกชายของพระองค์กันล่ะพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมขอเตือนพระชายาให้นึกถึงอนาคตของตนให้ดี ทบทวนดูให้ดีว่าตนควรยืนอยู่ฝั่งไหน!”

เฟิ่งรั่วหนานโกรธจัดจนหัวร่อออกมา เอ่ยว่า “นี่เจ้าคิดจะยุแยงให้แตกคอกันหรือ?”

“พระองค์จะคิดอย่างไรก็แล้วแต่พระองค์ ถึงอย่างไรคนที่ต้องทนรับความคับข้องใจ คนที่ต้องอาศัยใต้ชายคาผู้อื่น คนที่ต้องทนมองสีหน้าผู้อื่นก็มิใช่ทายาทของกระหม่อมอยู่แล้ว และผู้ที่จะต้องเสียใจภายหลังก็มิใช่กระหม่อมเช่นกัน” หนิวโหย่วเต้ายักไหล่ หันหลังเดินจากไปอย่างไม่แยแส พลางกวักมือเรียกหยวนกัง “เจ้าลิง ในเมื่อคนเขาไม่ต้อนรับ จะอยู่กินข้าวให้อึดอัดไปทำไม ไปเถอะ!”

ซางเฉาจงอยากรั้งไว้ ทว่าหลานรั่วถิงที่อยู่ด้านข้างกลับดึงแขนเสื้อเขาเล็กน้อย ส่ายหน้าให้เขานิดๆ จากนั้นประสานมือพลางกล่าวว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมนึกขึ้นได้ว่าต้องไปจัดการเรื่องบางอย่าง ขอตัวลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ยามที่เดินออกไปก็ส่งสายตาไปทางซางซูชิง

ซางซูชิงจึงตามออกไปด้วย

มือของเฟิ่งรั่วหนานกุมอยู่บนด้ามกระบี่ ภายในใจรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด พอหันกลับมาก็สบตากับซางเฉาจงเข้า ทั้งสองจ้องตากัน นางพลันตะคอกใส่ “มองอะไร!”

ซางเฉาจงพูดไม่ออก เขาตกเป็นคนกลางพูดอะไรไม่ได้ทั้งนั้น อัดอัดเป็นที่สุด

นอกเรือน ซางซูชิงและหลานรั่วถิงมารวมตัวกัน ทั้งสองเดินเล่นด้วยกัน หลานรั่วถิงถอนใจเบาๆ “เต้าเหยี่ยทำเช่นนี้เพราะใคร่ครวญแล้วว่ากำลังจะไปจากที่นี่ แต่ก็นึกห่วงทางนี้ ตั้งใจปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ลงในใจของพระชายา หวังให้พระชายาคำนึงถึงอนาคตข้างหน้า เลี่ยงไม่ให้บีบคั้นท่านอ๋องให้รีบตามหาสิ่งนั้นจนเกินไป! เรื่องบางอย่างพวกเราไม่สะดวกพูด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระชายาไม่สู้ดีอยู่แล้ว จึงเล่นบทตัวร้ายต่อไปได้ จะพูดอะไรออกมาก็ได้…เต้าเหยี่ยมีน้ำใจนัก! ”

ซางซูชิงถอนหายใจเบาๆ ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง “แม้นจะจงใจพูดเตือนสติ แต่ถ้อยคำเหล่านี้มันก็ออกจะรุนแรงไปหน่อย ต่อให้สตรีทั่วหล้ามาฟังก็ต้องรู้สึกเสียใจเช่นกัน”

หลานรั่วถิงผงะไปเล็กน้อย ลืมไปเลยว่าผู้ที่อยู่ข้างกายก็เป็นสตรีเช่นกัน…

….

เมืองหลวง ณ จวนตระกูลซ่ง สตรีรูปงามนางหนึ่งเปิดประตูออกมาจากด้านในห้อง ซ่งจิ่วหมิงที่ตื่นแต่เช้าก้าวออกมา มองเห็นพ่อบ้านหลิวลู่ที่ยืนคอยอยู่ด้านนอก พบว่าสีหน้าของหลิวลู่ค่อนข้างผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ซ้ำยังดูซีดเซียว

หลิวลู่เผยสีหน้าโศกเศร้าออกมา ประคองจดหมายลับฉบับหนึ่งด้วยสองมือ “นายท่าน บ่าวจัดการงานไม่ดี ทำผิดต่อนายท่านขอรับ”

ความจริงแล้วเขาได้รับจดหมายลับจากทางสำนักเซียนสถิตตั้งแต่ย่ำรุ่งแล้ว แต่นี่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตน เขาไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของซ่งจิ่วหมิง จึงรอคอยจนถึงตอนนี้

เรื่องอะไรกัน? ซ่งจิ่วหมิงขมวดคิ้ว รับจดหมายไปอ่านดู ถึงได้ทราบว่าหลิวจื่ออวี๋บุตรชายของหลิวลู่สิ้นชีพอย่างน่าอนาถที่อำเภอชางหลู จึงอดมองไปทางหลิวลู่ไม่ได้ ใช่อีกฝ่ายทำผิดต่อตนเสียที่ไหน เป็นตนต่างหากที่ทำผิดต่ออีกฝ่าย เป็นเพราะคำสั่งของเขา หลิวจื่ออวี๋ถึงไปที่อำเภอชางหลู

“เหล่าหลิว อย่าเสียใจไปเลย! เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะต้องมีคำอธิบายของเรื่องนี้ให้เจ้าแน่!” ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยปลอบเสียงขรึม หลานชายของเขาตายไปแล้ว หากจำเป็นต้องข่มความรู้สึก เขาก็ยังฝืนอดทนข่มเอาไว้ได้ แต่นี่กลับเป็นบุตรชายของพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ภักดีมาตลอดหลายปีอย่างหลิวลู่ เขาไม่อาจข่มความรู้สึกเอาไว้ได้ มิเช่นนั้นจะเสียความภักดีไป

หลิวลู่ค้อมกายเอ่ยว่า “เป็นเขาจัดการงานไม่ได้เรื่องเอง มิอาจโทษผู้ใดได้ขอรับ”

ซ่งจิ่วหมิงแค่นเสียงเหอะ “คนของสำนักเบญจคีรีใจกล้าไม่เบา กล้าหักหลังแม้กระทั่งคนของข้า แจ้งทางสำนักเซียนสถิต ต้องหาคำอธิบายมาให้ข้าให้ได้! ”

“ขอรับ!” หลิวลู่ตอบรับ

ซ่งจิ่วหมิงเดินเข้าไปหาเขา ลูบหลังเขาเบาๆ “เหล่าหลิว เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ต่อให้ข้าพูดอะไรเพื่อปลอบใจเจ้าก็ไม่มีประโยชน์ มองไปยังปัจจุบันเถอะ ต่อไปก็หาสาวรุ่นมาสักสองสามคน…ครั้งนี้เจ้าต้องฟังข้า ฉวยโอกาสที่ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ มีทายาทอีกสักสองสามคน ข้ารับรองว่าจะปูทางไว้ให้ลูกหลานของเจ้า!”

หลิวลู่ขอบตาแดงก่ำพยักหน้ารับ ในใจอับจนหนทาง พอให้กำเนิดแล้วกว่าจะเติบใหญ่ขึ้นมา ไม่รู้ว่าท่านจะยังอยู่บนโลกนี้หรือไม่ ความตายคือสิ่งที่ไร้เมตตาที่สุด อย่าเห็นว่ายามนี้ตระกูลซ่งรุ่งเรืองแล้วจะย่ามใจ วันใดหากท่านไม่อยู่แล้ว สถานการณ์จะเป็นอย่างไรใครเล่าจะรู้ อาจเกิดการกวาดล้างขึ้นได้ในชั่วข้ามคืนก็เป็นได้…

….

เรือนพำนักของซางเฉาจงและเฟิ่งรั่วหนานเป็นเรือนหลักของคฤหาสน์กลางเขา พอถึงช่วงสายทุกคนก็มารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง

ซางซูชิงเปลี่ยนไปสวมชุดฝึกยุทธ์ทะมัดทะแมง หนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรสตรีนางนี้ถึงแต่งกายเช่นนี้ หรือสตรีผู้นี้จะร่วมทางไปด้วย?

พวกซางเฉาจงทั้งสามก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางหยวนฟางซึ่งติดสอยห้อยตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้าและหยวนกัง อึกอักลังเลคล้ายอยากจะพูดอะไร

เมื่อเห็นว่าหนิวโหย่วเต้ามีทีท่าจะพาหยวนฟางไปด้วยจริงๆ หลานรั่วถิงจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน “เต้าเหยี่ย สถานที่ที่จะไปค่อนข้างเป็นความลับ” สายตาเหลือบมองไปทางหยวนฟางเล็กน้อย พยายามสื่อความนัยกับหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้าทราบเจตนาของเขา จึงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “คนกันเองทั้งนั้น ไม่มีอะไรต้องกังวล ข้าจะพาเขาไปด้วย”

หยวนฟางกะพริบตาปริบๆ เขายังไม่ทราบว่าจะไปทำอะไรกัน ทราบเพียงแต่ว่าหนิวโหย่วเต้าให้เขาจัดการธุระที่มีอยู่ให้เรียบร้อย บอกว่าจะจากไปสักระยะหนึ่ง

พอเขาว่ามาเช่นนี้ ทางนี้ก็ได้แต่ต้องยอมรามือ หลานรั่วถิงเดินไปด้านข้าง ตบห่อสัมภาระน้อยใหญ่ที่วางกองกันอยู่บนโต๊ะ “นี่คือเสบียงอาหารรวมถึงข้าวของที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง จำเป็นต้องนำไปด้วย”

หนิวโหย่วเต้าตรวจสอบดูเล็กน้อย พบว่าเป็นข้าวของจำพวกเสบียงอาหารแห้งจริงๆ จึงข่มความสงสัยไม่ไหว เอ่ยถามไปว่า “พกเสบียงไปมากมายขนาดนี้ หนทางยาวไกลมากหรือ?” ภายในใจก็คำนวณดูคร่าวๆ จำนวนเสบียงอย่างน้อยก็กินไปได้อีกหลายวัน เพียงพอให้กินจนกระทั่งออกจากอำเภอชางหลูได้สบายๆ อย่าว่าแต่อำเภอชางหลูเลย เสบียงเหล่านี้เพียงพอสำหรับเดินทางออกจากจังหวัดชิงซานเลยด้วยซ้ำ ไหนบอกว่าเขตลับอยู่ในอำเภอชางหลูไง?

ซางเฉาจงกล่าวว่า “เมื่อเต้าเหยี่ยไปถึงแล้วย่อมทราบเอง ชิงเอ๋อร์จะร่วมเดินทางไปด้วย”

หนิวโหย่วเต้าแปลกใจ “ท่านหญิงก็ไปด้วยหรือพ่ะย่ะ?”

ซางเฉาจงอธิบาย “สถานที่ที่จะไปจำเป็นต้องมีคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเราสามคนเดินทางไปด้วย มิเช่นนั้นจะไม่สะดวก เมื่อไปถึงเต้าเหยี่ยก็จะทราบเอง จนใจที่ข้ากับท่านอาจารย์มีเรื่องราวต้องจัดการ จึงไม่สะดวกจากไปนานนัก มิเช่นนั้นจะทำให้คนนึกสงสัยได้ง่ายๆ จึงได้แต่ต้องรบกวนชิงเอ๋อร์ให้เดินทางไปแทน ชิงเอ๋อร์เป็นสตรีบอบบาง เรี่ยวแรงมีจำกัด ระหว่างยังคงต้องรบกวนเต้าเหยี่ยช่วยดูแลให้มากหน่อย”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว การมีซางซูชิงเป็นตัวประกันอยู่ข้างกายกลับช่วยลดความกังวลในบางเรื่องลงไปได้ เขาเอ่ยเตือนไปว่า “จำเป็นต้องปกปิดทางพระชายาด้วย”

หลานรั่วถิงเอ่ยตอบ “วางใจได้ พวกเราเตรียมข้ออ้างในการอำพรางไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องราวไม่อาจรั้งรอได้ อาศัยช่วงที่พระชายากำลังฝึกทหารอยู่ รีบออกเดินทางเถิด…”

หลังจากได้รับคำอธิบายแล้ว หนิวโหย่วเต้าถึงได้ทราบว่าการเดินทางไปเขตลับไม่จำเป็นต้องออกจากคฤหาสน์เลย หากแต่ต้องเดินไปตามเส้นทางลับ ปากทางเข้าเส้นทางลับอยู่ในบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่สวนด้านหลัง

บ่อน้ำนั้นมิใช่บ่อน้ำพุ แต่เป็นบ่อเก็บน้ำ เป็นบ่อที่ถูกขุดขึ้นมาใช้เก็บน้ำเผื่อในกรณีที่แหล่งน้ำถูกควบคุมยามเกิดสงคราม คล้ายกับอ่างเก็บน้ำ ในคฤหาสน์มีบ่อน้ำที่คล้ายๆ กันนี้อยู่มากมายหลายจุด และเพื่อให้สะดวกต่อการกักเก็บน้ำ ลำธารที่ไหลผ่านคฤหาสน์จะถูกชักเข้าสู่บ่อผ่านรางไม้ไผ่ เห็นได้ชัดว่าในยามนั้นคฤหาสน์หลังนี้ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถันใส่ใจ

แต่ละคนแบกห่อสัมภาระขึ้นหลัง เมื่อมาถึงทางออกของโถงด้านหลัง กลับมิได้รีบร้อนออกไป

ถึงแม้หลานรั่วถิงจะมีการจัดกำลังคนไว้คอยดูต้นทางเผื่อมีคนเข้ามาใกล้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นจุดสนใจจนเกินไป เขาก็ยังแนะนำให้ออกไปทีละคนจะดีกว่า

หนิวโหย่วเต้าส่งสายตาบอกให้หยวนกังไปสำรวจดูกลไกในเส้นทางลับก่อน

………………………………………………..

[1] หลานใน หมายถึง ลูกของลูกชาย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+