ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 406 ลูกอกตัญญู

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 406 ลูกอกตัญญู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 406 ลูกอกตัญญู

แม้ว่าจะสันนิษฐานไว้แล้ว แต่พอได้รับคำยืนยันจากอีกฝ่าย หยวนกังก็ยังตกใจอย่างมากอยู่ดี ได้ยินว่าคนผู้นี้เป็นพี่สาวของฮ่องเต้แคว้นเว่ย ส่วนฮ่องเต้แคว้นเว่ยก็ขึ้นชื่อเรื่องบริหารบ้านเมืองไม่อ่าว ร่ำลือกันว่าผู้กุมอำนาจปกครองแคว้นเว่ยตัวจริงคือสตรีนางนี้

หยวนกังไม่ทราบว่าข่าวลือเป็นจริงหรือเท็จประการใด แต่ข่าวลือย่อมมีมูลอยู่บ้าง องค์หญิงใหญ่คนหนึ่งสามารถกลายเป็นมหาเสนาบดีประจำแคว้นได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา

บุคคลเช่นนี้ดันบังเอิญมารู้จักกับเขาในสถานการณ์เช่นนี้ได้ ทำให้เขาแปลกใจอย่างมาก

หยวนกังเอ่ยถาม “มหาเสนาบดีแคว้นเว่ย ไฉยถึงมาปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้ได้?”

เสวียนเวยฟังความหมายในวาจาเขาออก มหาเสนาบดีแห่งแคว้นแคว้นหนึ่งออกเดินทางข้างกายน่าจะมีคนจำนวนมากติดตามคุ้มกันถึงจะถูก นางยิ้มพลางเอ่ยตอบไปว่า “ก่อนหน้านี้ไปคารวะหลานหมิงประมุขแห่งหอไร้ขอบเขตมา เดินทางข้ามพรมแดนแคว้นอื่นไม่สะดวกจะเปิดเผยโจ่งแจ้ง” จากนั้นผายมือแนะนำบุรุษข้างกาย “นี่คือสหายของข้า ซีเหมินชิงคง”

ท่าทางนั้นคล้ายกำลังบอกว่ามีผู้นี้คุ้มกันก็เพียงพอแล้ว

หยวนกังจ้องมองไปที่ชายคนนั้นทันที “ท่านคือซีเหมินชิงคงยอดฝีมืออันดับหนึ่งบนทำเนียบโอสถ?”

บางทีเขาอาจจะจำชื่อหจำนวนมากบนทำเนียบโอสถไม่ได้ แต่ชื่อของอันดับหนึ่งบนทำเนียบโอสถย่อมจำได้แม่นอย่างแน่นอน

ซีเหมินชิงคงเอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องบางอย่างฟังหูไว้หูก็พอ อย่าถือเป็นจริงเป็นจัง ข้าก็ไม่ได้แข็งแกร่งถึงขั้นที่กล้าเรียกตนว่าอันดับหนึ่ง เกียรตินี้เป็นผู้อื่นมอบให้ ทำเนียบโอสถจัดลำดับกันอย่างไรก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้า”

หยวนกังเอ่ยว่า “ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือ”

ซีเหมินชิงคงเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ข้าเองหาได้ช่วยเหลืออะไรเจ้าไม่”

หยวนกังมิใช่คนขี้เกรงใจจนเกินไป ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เขาก็ไม่พูดอีก

กลับเป็นเสวียนเวยที่อดซักถามต่อไม่ได้ “น้องหยวน เหตุใดดาบสามคำรามถึงมาอยู่กับเจ้าได้ แล้วเหตุใดหอจันทร์กระจ่างถึงตามล่าเจ้า?”

หยวนกังตอบสั้นๆ “ยากจะบอกเล่าได้!”

เสวียนเวยร้องโอ้คำหนึ่ง เมื่ออีกฝ่ายไม่อยากเล่า นางเองก็ไม่ซักไซ้อีก เปลี่ยนหัวสนทนาไปเสีย “น้องหยวนสามารถควบคุมแมงป่องทรายได้หรือ?”

หยวนกังตอบว่า “ไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าควบคุม ข้าเองก็ค้นพบวิธีโดยบังเอิญระหว่างที่หลบหนีก่อนหน้านี้”

สองชายหญิงสบตากัน ต่างนึกว่าหยวนกังอยากเก็บความลับไว้ไม่ยอมแพร่งพราย เมื่อเป็นเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายจึงไม่สะดวกจะถามมาก

เสวียนเวยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอีกครั้ง “น้องหยวนกังจะไปที่ใดหรือ?”

“ไปไหนอย่างนั้นหรือ?” หยวนกังเหม่อลอย ซูจ้าวตายแล้ว เขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตนสมควรไปที่ใดอีก จึงพึมพำกับตัวเองว่า “กลับจังหวัดชิงซานกระมัง!”

เขาไม่ใช่คนทะนงตัว หลังเผชิญสถานการณ์วิกฤตชนตอเข้าอย่างจัง เขาก็รู้ตัวแล้วว่าเขาไม่มีความสามารถพอจะควบคุมสถานการณ์อันซับซ้อนได้ แม้ว่าเขาจะดูถูกเซ่าผิงปอ ก่อนหน้านี้คิดว่าอีกฝ่ายก็เป็นแค่คนธรรมดา ตนเองก็เป็นคนธรรมดาเช่นกัน เซ่าผิงปอสามารถจัดการชีวิตได้เป็นอย่างดี แล้วทำไมคนที่เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตในอีกโลกหนึ่งมาแล้วอย่างตนจะทำไม่ได้? ตอนนี้พอสงบใจลองใคร่ครวญดูก็รู้ว่าความสามารถของตนเทียบอีกฝ่ายไม่ติดเลย

ตอนที่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า หลายเรื่องราวดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรซับซ้อนยุ่งยาก แต่ความจริงแล้วหาได้เป็นไปตามนั้นจริงๆ ไม่ นั่นเป็นเพราะเต้าเหยี่ยจัดการทุกอย่างไว้แล้วถึงสั่งให้เขาไปจัดการต่างหาก

ตามที่ชายไว้เคราคนนั้นกล่าวไว้ หนนี้หากมิใช่เพราะเต้าเหยี่ยเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้เขาล่วงหน้า หากว่าชายไว้เคราคนนั้นลงมือสังหารเขาทันทีที่เจอเขา เกรงว่าเขาคงรอดชีวิตมาไม่ได้ถึงตอนนี้

อีกทั้งก่อนหน้านี้ เขาสั่งให้พวกหยวนเฟิงสลายตัวแยกย้ายกลับไปยังจังหวัดชิงซานแล้ว

พอเห็นว่าสุ้มเสียงเขาคล้ายจะแฝงความลังเลเอาไว้ เสวียนเวยพลันตาเป็นประกาย รีบเอ่ยเชิญชวนทันที “น้องหยวน อยากไปเที่ยวเล่นที่แคว้นเว่ยของข้าสักคราหรือไม่?”

….

ณ สวนไม้เลื้อย อวี้ชางยืนอยู่ใต้ดงไผ่ รับฟังตู๋กูจิ้งที่รายงานข่าวอยู่ด้านข้าง

“ราชาแมงป่องทรายช่วยพวกเขาไว้อย่างนั้นหรือ?” หลังจากอวี้ชางฟังรายงานจบก็หันไปเอ่ยถาม คล้ายจะสงสัย

ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “ศิษย์ก็สงสัยว่าจะเป็นข้ออ้างเพื่อปัดความรับผิดชอบขอรับ เพียงแต่ผู้อาวุโสไป๋บอกว่ามีพยานบุคคล ในช่วงเวลานั้นบังเอิญพบซีเหมินชิงคงและเสวียนเวยระหว่างทาง ทั้งสองก็เห็นเหตุการณ์ขอรับ บอกว่าทั้งสองคนสามารถเป็นพยานได้ ส่งคนไปสอบถามดูสักหน่อยก็สามารถยืนยันได้ขอรับ”

อวี้ชางเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เสวียนเวยไปที่ทะเลทรายแห่งนั้นหรือ?”

ตู๋กูจิ้ง “ในที่เกิดเหตุมีเพียงซีเหมินชิงคงและเสวียนเวยโดยสารวิหคตัวหนึ่งมาเท่านั้น ผู้อาวุโสไป๋สงสัยว่าจะไปคารวะหลานหมิงที่หอไร้ขอบเขตขอรับ”

อวี้ชางยกมือลูบเครา ใคร่ครวญแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “มีโอกาสจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วยฐานะของเสวียนเวย ตามหลักแล้วก็มีเพียงความเป็นไปได้นี้เท่านั้น คนอื่นๆ ไม่คู่ควรพอให้นางเดินทางไกลไปพบด้วยตัวเอง” จากนั้นก็ถามอีกครั้ง “สรุปคือผู้อาวุโสไป๋สังหารซูจ้าวไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “เป็นตายไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่ผู้อาวุโสยืนยันว่าโจมตีซูจ้าวจนบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว”

อวี้ชางกล่าวว่า “เขาเคยบอกว่าจะรับผิดชอบด้วยตัวเอง ข้าไม่สนว่าเขาจะใช้วิธีการใด แต่ต้องยืนยันให้ได้ว่าซูจ้าวเป็นหรือตาย”

ตู๋กูจิ้งตอบรับ “ขอรับ ศิษย์เข้าใจแล้ว นี่คือบรรทัดฐาน ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ต้องกำจัดคนทรยศทิ้งให้จงได้ ไม่ปล่อยไว้เด็ดขาด”

อวี้ชางกล่าวว่า “ยังมีหยวนกังคนนั้นด้วย คอยจับตามองไว้ สามารถบงการกองทัพแม่ป่องทรายได้ ซ้ำยังควบคุมราชาแมงป่องทรายได้ พวกเราประเมินเขาต่ำไปจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนมีความสามารถน่าอัศจรรย์ ไม่แปลกเลยที่หนิวโหย่วเต้าจะให้ความสำคัญกับเขาอย่างมาก หากว่าเป็นไปได้ก็หาทางดึงตัวเขามาจากหนิวโหย่วเต้าเสีย เขาได้รับโอสถเทพระทมไปแล้วมิใช่หรือ? ไม่ว่าจะทำอะไร ยิ่งมีคนมากความสามารถอยู่ในมือมากเท่าไรก็ยิ่งดี”

ตู๋กูจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “ขอรับ!”

“เฮ้อ เสียดายก็แต่เจ้าบอด พวกเราเสียสมบัติล้ำค่าไปแล้ว ทำเอาข้าปวดใจเหลือเกิน!” อวี้ชางถอนหายใจด้วยความเสียดาย

สำหรับหอจันทร์กระจ่างแล้ว เอาแค่ภายในองค์กร ยังไม่ต้องเอ่ยไปถึงด้านอื่น ความสามารถอันเป็นพรสวรรค์เลิศล้ำของเจ้าบอดนับเป็นเครื่องมือข่มขวัญคนบางกลุ่มที่มีจิตคิดไม่ซื่อได้ ทำให้คนไม่กล้าทรยศหักหลังง่ายๆ มิเช่นนั้นถึงหลบซ่อนไปก็มีโอกาสจะถูกตามตัวพบ การสูญเสียของเจ้าบอดไป นับเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวงที่แท้จริง

ทว่าในเหตุต่อสู้ฆ่าฟันกัน ไม่ว่าใครก็เลี่ยงอุบัติเหตุไม่คาดฝันไปไม่ได้ ได้แต่นึกเสียดายเท่านั้น

….

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจว ขบวนม้ากลุ่มหนึ่งหยุดลงด้านนอกประตูจวน เซ่าผิงปอมุดออกมาจากรถม้า ยืนอยู่บนคานไม้ด้านหน้า มองไปรอบๆ เงยหน้ามองป้ายเหนือประตูจวนที่เด่นสะดุดตา จากนั้นลงจากรถม้า

ในที่สุดเซ่าผิงปอก็กลับมาแล้ว ในที่สุดก็เผยตัวต่อที่สาธารณะได้อีกครั้ง

เพิ่งกลับมาถึงเรือนตน ยังไม่ทันได้อาบน้ำชะล้างฝุ่นดิน หยางซวงพ่อบ้านจวนผู้ว่าการมณฑลที่ได้ยินข่าวก็เข้ามาหา

เซ่าซานเสิ่งคำนับหยางซวงอย่างอ่อนน้อม ถึงแม้อำนาจการปกครองเป่ยโจวจะอยู่ในมือเซ่าผิงปออย่างลับๆ แล้ว แต่คนผู้นี้คือพ่อบ้านอย่างเป็นทางการของจวนผู้ว่าการมณฑล ในอดีตเซ่าซานเสิ่งก็เคยเป็นผู้ช่วยที่ได้รับการฝึกฝนจากหยางซวง ภายหลังถึงได้ถูกเซ่าผิงปอขอตัวไป

“ท่านลุงหยางรีบร้อนมาเยือน มีธุระใดหรือ?” เซ่าผิงปอถาม

หยาวซวงประสานมือเอ่ยว่า “คุณชายใหญ่ นายท่านให้มาเชิญขอรับ”

เซ่าผิงปอกล่าวว่า “เนื้อตัวยังมอมแมม ไปพบท่านพ่อในสภาพนี้จะเสียมารยาท รอให้ข้าอาบน้ำเสร็จแล้วจะไปเข้าพบ”

หยางซวงเอ่ยว่า “นายท่านต้องการให้คุณชายไปทันทีขอรับ”

เซ่าผิงปอเงียบไปเล็กน้อย สุดท้ายก็พยักหน้ารับแล้วเดินตามเขาไป

ภายในเรือนเงียบสงัด ณ ศาลาริมน้ำหลังหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้ เซ่าเติงอวิ๋นยกมือไพล่หลังอยู่ริมราวกั้น มองปลาในสระแหวกว่ายธารา

หยางซวงมาถึงก็เข้าไปรายงานด้านข้าง “นายท่าน คุณชายใหญ่มาแล้วขอรับ”

เซ่าผิงปอเดินเข้าไปคารวะเอ่ยว่า “ท่านพ่อ! ลูกอกตัญญู ทำให้ท่านพ่อต้องลำบากแล้ว”

“สำหรับเจ้า เรื่องอกตัญญูสำคัญด้วยหรือ?” เซ่าเติงอวิ๋นที่หันหลังอยู่เอ่ยด้วยเสียงเฉยชา ทำให้ใบหน้าเซ่าผิงปอกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เซ่าเติงอวิ๋นถามต่อว่า “เรื่องม้าศึกเรียบร้อยแล้วหรือ?”

เซ่าผิงปอตอบว่า “เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ น่าจะขนส่งมาถึงเขตมณฑลเป่ยโจวภายในสองเดือนขอรับ คงไม่เกิดอุบัติเหตุใดขึ้น ลูกวางแผนไว้อย่างดีแล้ว อีกทั้งมีไห่อู๋จี๋ฮ่องเต้แคว้นจ้าวให้ความร่วมมืออยู่ นอกเสียจากจะมีกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่เข้ามาสกัดขวาง หาไม่แล้วก็คงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก”

“ร่วมมือกันด้วยมีผลประโยชน์ร่วมกัน ช่างมีความสามารถในการพลิกแผลงสถานการณ์โดยแท้! มีบุตรชายเช่นนี้ ตัวข้าเซ่าเติงอวิ๋นรู้สึกว่าตนเทียบไม่ติดเลย!” เซ่าเติงอวิ๋นเงยหน้าทอดถอนใจ

เซ่าผิงปอรีบเอ่ยถ่อมตัวว่า “ท่านพ่อกล่าวเกินไปแล้ว ท่านพ่อต่างหากที่เป็นศูนย์รวมใจที่แท้จริงของมณฑลเป่ยโจว หากไม่มีท่านพ่อ เกรงว่าลูก…” ทันใดนั้นเซ่าเติงอวิ๋นพลันหันขวับมาด้วยแววตาเคืองขุ่น คำพูดหลังจากนั้นชะงักไป

สองพ่อลูกสบตากัน

เซ่าเติงอวิ๋นเอ่ยด้วยความโกรธ “เรื่องที่จะให้หลิ่วเอ๋อร์ออกเรือนหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดบิดาอย่างข้าถึงไม่รู้เรื่องเลย? บุตรีออกเรือนเป็นเรื่องใหญ่ บิดาอย่างข้ายังมีชีวิตอยู่ ถึงคราวที่เจ้าต้องมาตัดสินใจแทนตั้งแต่เมื่อไร? พวกเขาสามแม่ลูกเจ้าไม่ยอมละเว้น หรือว่าตอนนี้แม้แต่น้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง เจ้าก็จะไม่ละเว้นเช่นกัน? อีกหน่อยคงไม่ปล่อยตัวเกะกะคอยขวางทางอย่างข้าไปด้วยใช่หรือเปล่า?”

ยามนี้คนทั่วหล้าล้วนทราบเรื่องที่อิงอ๋องแห่งแคว้นฉีจะแต่งชายาใหม่กันถ้วนหน้าแล้ว เจ้าศักดินาในแว่นแคว้นต่างๆ ย่อมให้ความสนใจขึ้นมา เรื่องใหญ่ขนาดนี้ย่อมปิดบังเซ่าเติงอวิ๋นไว้ไม่อยู่

เซ่าผิงปอทราบดีว่าเมื่อตนกลับมาจะต้องเผชิญหน้ากันแน่นอน เขาเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ท่านพ่อกล่าวเกินไปแล้ว เรื่องใหญ่ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของหลิ่วเอ๋อร์ พี่ชายอย่างข้าย่อมไม่นำมาล้อเล่น ต้องคิดหาทางเพื่อนางแน่นอน”

เซ่าเติงอวิ๋นโบกมือคราหนึ่ง “คำพูดหน้าซื่อใจคดเหล่านั้นเอามาพูดกับข้าให้มันน้อยๆ หน่อย ข้าขอถามเจ้าหน่อย เหตุใดถึงไม่มาแจ้งข้าก่อน?”

หน้าซื่อใจคดอย่างนั้นหรือ? จิตใจของเซ่าผิงปอเองก็ปั่นป่วนขึ้นมาแล้วเช่นกัน แต่ยังคงรักษาความสงบนิ่งไว้ เอ่ยเนิบๆ ไปว่า “ที่ไม่แจ้งท่านพ่อก็เพราะรู้ว่าท่านพ่อต้องคัดค้านแน่ ท่านพ่อเป็นนักรบ ไม่เห็นด้วยกับเรื่องสมรสเชื่อมสัมพันธ์ ไม่มีทางยอมให้บุตรีของตนแต่งงานไปเชื่อมสัมพันธ์แน่นอน”

เซ่าเติงอวิ๋นตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว “แล้วตอนนี้ข้าจะตกลงหรือไง?”

เซ่าผิงปอเงียบไป ตอนนี้บิดาตนไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธแล้ว ทุกอย่างจัดการเอาไว้หมดแล้ว ผลประโยชน์ก็ตกลงกันแล้ว ทางสำนักเขามหายานก็ตอบตกลงแล้วด้วย

ก่อนเขาจะตัดสินใจเรื่องนี้ เขาก็ได้ทำใจรอรับความโกรธเกรี้ยวของท่านพ่อไว้แล้ว เพราะเขารู้ว่าสุดท้ายแล้วท่านพ่อก็คงคิดได้เช่นกันว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องราวเกี่ยวพันไปถึงชีวิตของลูกน้องมากมายใต้สังกัดของท่านพ่อด้วย ทำให้ท่านพ่อไม่อาจปฏิเสธได้อีก

“ข้ามีเรื่องจะถามเข้า เจ้าจงตอบข้ามาตามตรง การตายของชายาอิงอ๋องเป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่?” เซ่าเติงอวิ๋นชี้หน้าเขาแล้วตวาดใส่

หยางซวงที่อยู่ด้านข้างเห็นสองพ่อลูกเผชิญหน้ากันเช่นนี้ก็มีสีหน้าหม่นหมอง ไม่เข้าใจเลยว่าครอบครัวที่เคยอยู่กันมาดีๆ กลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร

เซ่าผิงปอยอมรับอย่างสงบนิ่ง “ขอรับ!”

เซ่าเติงอวิ๋นเอ่ยเสียงโศก “เจ้าคิดว่าคนใต้หล้านี้ล้วนโง่งมหรือ? ขนาดข้ายังมองออก แล้วคนอื่นจะมองไม่ออกหรือ? นี่เจ้ากำลังส่งน้องสาวตัวเองเข้าสู่กองไฟชัดๆ!”

เซ่าผิงปอกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านพ่อ ท่านโปรดเชื่อลูกเถิด ถึงข้าจะทำร้ายผู้ใด แต่ข้าก็ไม่มีวันทำร้ายท่านและน้องสาวแน่นอน”

เซ่าเติงอวิ๋นเอ่ยไปว่า “แม้แต่แม่เลี้ยงกับน้องชายเจ้ายังสังหารได้ แล้วจะให้ข้าเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร?”

เซิ่งปอพลันตวาดเสียงดังว่า “อนุหร่วนมิใช่มารดาข้า สองคนนั้นก็มิใช่น้องชายข้า พวกเขาเป็นครอบครัวของท่านแต่มิใช่ครอบครัวของข้า! ท่านเองก็เคยเห็นกับตามาแล้วว่าพวกเขาบีบคั้นข้าไปสู่ความตาย หากพวกเขาไม่ตาย คนที่ตายก็จะเป็นข้า ส่วนหลิ่วเอ๋อร์ก็จะตายด้วยน้ำมือพวกเขาในไม่ช้าก็เร็ว ท่านห่วงใยแต่พวกเขา เคยไยดีความเป็นความตายของพวกเราพี่น้องบ้างหรือไม่? หรือท่านคิดว่าชีวิตพวกเขาทั้งครอบครัวสำคัญกว่าชีวิตของพวกเราพี่น้อง? ท่านบอกข้าสิ แค่กๆ ท่านบอกข้ามาว่าใช่หรือไม่?” สองตาเขาแดงก่ำ อารมณ์พลุ่งพล่าน จากนั้นปิดปากไอโขลกๆ ขึ้นมา

ถ้อยคำตำหนิที่ออกมาจากจิตใจ ทุกคำพูดชวนให้ใจสลาย ทำให้เซ่าเติงอวิ๋นประหนึ่งถูกสายฟ้าผ่าใส่ ซวนเซถอยหลังไปก้าวหนึ่งจนต้องเอามือเท้าราวกั้นเอาไว้

เซ่าผิงปอคลายมือออก เลือดสดๆ เปื้อนฝ่ามือ ลมหายใจถี่กระชั้น

หยางซวงยื่นมือไปหาทางนั้นทีแล้วก็ยื่นกลับมาหาทางนี้ที ไม่รู้ว่าควรจะช่วยพยุงคนไหนดี

………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด