ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 131 ใช้เงินเหมือนละลายน้ำ

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 131 ใช้เงินเหมือนละลายน้ำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 131 ใช้เงินเหมือนละลายน้ำ

เมื่ออยู่ต่อหน้าซาฮ่วนลี่ เถ้าแก่ไม่ทราบว่าควรจะตอบอย่างไรดี

เซี่ยงหมิงเงยหน้าขึ้น ค่อยๆ เดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า ยกมือแตะไหล่หนิวโหย่วเต้า แผ่พลังออกมาจากฝ่ามือ รวมกันอยู่ที่หัวไหล่ของหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้าหันไปมอง สบตากับเซี่ยงหมิงเล็กน้อย รับรู้ได้ถึงแววตาตักเตือนในดวงตาของเซี่ยงหมิง

เซี่ยงหมิงยิ้มให้ซาฮ่วนลี่แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูเข้าใจผิดแล้วขอรับ ภาพวาดเพียงภาพเดียวไหนเลยจะมีราคาถึงแสนเหรียญทองได้ คุณชายเซวียนหยวนมาทำการค้าที่เมืองไจซิง ทำข้อตกลงการค้ามูลค่าแสนเหรียญทองกับทางเรา แล้วรวมภาพวาดของคุณหนูเข้าไปด้วย เพียงแต่ตอนแรกตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่าตามมูลค่าทางการค้าที่ตกลงกันเอาไว้จะวาดแค่ภาพเดียวเท่านั้น”

เขาหันกลับไปเอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง “วันนี้รบกวนคุณชายมากแล้ว เชิญคุณชายไปพักก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาวาดอีกครั้ง เรื่องราคาของอีกภาพเดี๋ยวเราค่อยเจรจากันทีหลังได้” เขาเตรียมจะต่อรองราคากับหนิวโหย่วเต้าลับหลัง

แต่ซาฮ่วนลี่มิใช่คนโง่ แค่เห็นท่าทางของเถ้าแก่ก็มองออกถึงอะไรบางอย่าง “ปล่อยมือเจ้าซะ!”

เซี่ยงหมิงถึงได้ยอมปล่อยมือที่วางอยู่บนไหล่ของหนิวโหย่วเต้า

ซาฮ่วนลี่จ้องมองหนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยว่า “คุณชายเซวียนหยวน เชิญกล่าวมาตามจริงเถิด เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่? ท่านวางใจเถอะ หากมีผู้ใดกล้าข่มขู่คุกคามท่าน ข้าจะทวงความเป็นธรรมให้ท่านเอง”

เซี่ยงหมิงก้มหน้าหลุบตา สีหน้าสงบนิ่ง

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองมีน้ำใจยิ่งนัก ก็เป็นอย่างที่พ่อบ้านเซี่ยงกล่าวไป ภาพวาดนั้นเป็นการพ่วงเข้าไปในข้อตกลงทางการค้า เพียงแต่ตอนแรกตกลงกันไว้ว่าวาดแค่ภาพเดียวเท่านั้น หากวาดอีกย่อมต้องคิดเงินแยก”

หลังจากทราบว่าซาฮ่วนลี่มิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร เขาก็เข้าใจแล้วว่าซาฮ่วนลี่ไม่สามารถควบคุมเมืองไจซิงที่เป็นศูนย์รวมผู้บำเพ็ญเพียรแห่งนี้ได้ คนที่ใช้อำนาจเจ้าเมืองในการควบคุมดูแลเมืองไจซิงอย่างแท้จริงน่าจะเป็นท่านพ่อบ้านคนนี้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มาก เลือกยืนอยู่ข้างเซี่ยงหมิง ช่วยแก้ต่างให้เซี่ยงหมิง เว้นเสียแต่เขาไม่อยากมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองไจซิงแห่งนี้แล้ว

เซี่ยงหมิงสงบนิ่งไร้อารมณ์

ซาฮ่วนลี่จ้องมองท่าทีของพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “พ่อบ้าน ข้าเพียงหวังให้เจ้าเข้าใจว่าบนโลกนี้ยังมีคนอีกมากมายที่อดอยากยากไร้!”

นางพูดออกมาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ายังคงมีความคลางแคลงสงสัยอยู่

เซี่ยงหมิงอับจนวาจานัก นึกในใจ อาหารที่ท่านกินเป็นประจำอย่างไหนบ้างเล่าที่มิใช่ของที่ดีที่สุดในโลก ท่านเพียงแค่ไม่รู้ก็เท่านั้น แสนเหรียญทองสำหรับท่านแล้วจะนับเป็นอันใดได้? แต่ฉากหน้ายังคงค้อมคำนับกล่าวไปว่า “คุณหนูวางใจเถิดขอรับ พวกเราบริจาคเงินทองช่วยคนยากไร้ทุกปี ทำในสิ่งที่พวกเราพอจะทำได้”

เฮยหมู่ตานมองไปทางนั้นทีทางนี้ที

ซาฮ่วนลี่ชี้ไปที่ภาพนั้น “คุณชายเซวียนหยวน ท่านบอกข้ามาตามตรง ให้ท่านวาดภาพเช่นนี้ใช้เงินเท่าไรกันแน่ ห้ามปิดบัง มิเช่นนั้นท่านจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา”

หนิวโหย่วเต้ารู้สึกเอือมระอา เหตุใดถึงมาเจอสตรีซื่อบื้อแบบนี้เข้า ทำเอาเขาตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ปุบปับกะทันหัน เหนือความคาดหมายจริงๆ

“ภาพนี้พ่วงรวมกับการค้าที่เจรจาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถประเมินราคาเฉพาะของภาพนี้ได้จริงๆ” หนิวโหย่วเต้ายิ้มเจื่อน

ซาฮ่วนลี่จึงถามว่า “เช่นนั้นหากตอนนี้ข้าต้องการให้ท่านวาดอีกภาพ ท่านจะคิดราคาเท่าไร”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เรียนท่านเจ้าเมือง ข้ามิใช่จิตรกร ไม่ขายทักษะ ปกติแล้วไม่วาดภาพให้ผู้อื่น แต่หากว่าจำเป็นต้องวาด อย่างน้อยๆ ก็หนึ่งพันเหรียญทอง”

เซี่ยงหมิงหันมาเอ่ยทันที “พันเหรียญทองแพงเกินไป วัสดุอุปกรณ์ล้วนเป็นทางเราจัดเตรียม ไม่ได้รบกวนเวลาท่านสักเท่าไหร่”

หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “เช่นนั้นท่านว่าเท่าไรดี?”

เซี่ยงหมิงชูนิ้วหนึ่งออกมา “ข้าให้ท่านได้มากสุดหนึ่งร้อย!”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “ไม่ได้ๆ ต่ำเกินไปแล้ว!”

ทั้งสองเล่นละครเข้าขากันเป็นธรรมชาติยิ่ง เจรจาต่อราคากันอยู่ตรงนั้น เหมือนทำการค้ากันอยู่จริงๆ เอาจริงเอาจังนัก

ซาฮ่วนลี่มองคนนั้นที มองคนนี้ที

เมื่อเห็นว่าเซี่ยงหมิงไม่ยอมอ่อนข้อให้ หนิวโหย่วเต้าพลันประสานมือกล่าวกับซาฮ่วนลี่ว่า “ท่านเจ้าเมือง ท่านให้ความเป็นธรรมด้วย ของบางอย่างไหนเลยใช้วัสดุอุปกรณ์และเวลามาประเมินค่าได้?” เขาชี้ไปยังภาพที่วางอยู่บนกระดานวาดภาพ “ท่านเจ้าเมือง หรือท่านก็คิดว่าภาพนี้ของข้ามีมูลค่าเพียงร้อยเหรียญทอง?”

ซาฮ่วนลี่มองภาพนั้น รู้สึกชอบใจ ถ้าคิดราคาหนึ่งร้อยเหรียญทอง มันก็คล้ายจะต่ำไปหน่อยจริงๆ แต่นางหันกลับมาเอ่ยว่า “พันเหรียญทองแพงไปหน่อย เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านวาดอีกภาพ ข้าให้ท่านห้าร้อยเหรียญทองเป็นอย่างไร?”

“เรื่องนี้…” หนิวโหย่วเต้าลำบากใจเล็กน้อย

เซี่ยงหมิงเอ่ยเสียงขรึม “ท่านเจ้าเมืองออกปากด้วยตัวเองแล้ว หรือว่าเกียรติของท่านเจ้าเมืองยังมีราคาไม่เท่าห้าร้อยเหรียญทอง?

ซาฮ่วนลี่ยกมือปรามเขาเล็กน้อย สื่อว่าห้ามไม่ให้เขาข่มขู่ ให้คุยกันดีๆ

“เฮ้อ” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “ในเมื่อพ่อบ้านเซี่ยงเอ่ยมาเช่นนี้ ตกลง ห้าร้อยก็ห้าร้อย”

ซาฮ่วนลี่มีท่าทางพึงพอใจขึ้นมาทันที คล้ายว่าจะดีใจเพราะประหยัดเงินไปได้ห้าร้อยเหรียญทอง รีบให้คนปลดภาพออกจากกระดานวาดภาพอย่างระมัดระวัง ให้หนิวโหย่วเต้ามีที่ว่างสำหรับวาดภาพใหม่อีกภาพ

หนิวโหย่วเต้าให้คนยกเก้าอี้มา สั่งให้สาวใช้คนนั้นนั่งตัวตรงห้ามขยับเขยื้อน แล้วก็ไม่ได้ให้ทำท่าทางอันใดเลย หยิบแท่งถ่านขึ้นมาวาดภาพ

ซาฮ่วนลี่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้ากระตือรือร้น คอยสังเกตดูว่าหนิวโหย่วเต้าวาดภาพประเภทนี้อย่างไร

เมื่อเค้าโครงของต้นแบบค่อยๆ ปรากฏขึ้น ซาฮ่วนลี่อุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ ส่งเสียงซักถามเป็นระยะ ขอคำชี้เเนะเกี่ยวกับเคล็ดลับในการวาด หนิวโหย่วเต้าก็อธิบายไปเล็กน้อย

เมื่อเห็นซาฮ่วนลี่มีความสุข เซี่ยงหมิงที่อยู่ด้านหลังอมยิ้มเล็กน้อย ท่าทางปลาบปลื้มอย่างยิ่ง

จนกระทั่งวาดเสร็จ หนิวโหย่วเต้าถึงได้วางแท่งถ่านลง “เสร็จแล้ว!”

“….” ซาฮ่วนลี่มึนงง บนกระดาษมีเพียงภาพสาวใช้ในท่านั่ง นอกจากเก้าอี้ตัวนั้นที่นั่งอยู่ พื้นที่รอบข้างล้วนว่างเปล่าขาวโพลน ไม่มีฉากหลังใดๆ ทั้งสิ้น ซ้ำขนาดภาพก็เล็กยิ่งนัก เมื่อเทียบกับภาพนั้นของนางแล้ว ภาพหนึ่งกว้างใหญ่รายละเอียดซับซ้อน ส่วนอีกภาพเล็กกะทัดรัดเรียบง่าย

นางอดถามไม่ได้ว่า “เหตุใดคุณชายถึงไม่วาดฉากหลังเล่า?”

หนิวโหย่วเต้าตอบด้วยท่าทางคล้ายตระหนี่ถี่เหนียว “ความจริงการวาดภาพเช่นนี้เปลืองแรงอย่างมาก ราคาห้าร้อยเหรียญทองข้าก็เค้นแรงวาดได้เพียงเท่านี้แหละ”

เซี่ยงหมิงเดินเข้าไปดู มุมปากกระตุกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

โชคดีที่ซาฮ่วนลี่พูดคุยง่าย ไม่ได้ถือสาหาความอันใดให้วุ่นวาย

จากนั้นซาฮ่วนลี่ที่ได้สังเกตดูวิธีการวาดก็มีท่าทางคันไม้คันมืออยากลองวิชาอย่างเห็นได้ชัด นางเรียกสาวใช้คนหนึ่งมานั่งตรงหน้า ส่วนตนก็หยิบแท่งถ่านขึ้นมาลองวาดดู

ขณะที่เซี่ยงหมิงหันหลังเดินออกไป เขาได้พยักหน้าส่งสัญญาณให้เถ้าแก่เล็กน้อย เถ้าแก่ผายมือเชิญหนิวโหย่วเต้าและเฮยหมู่ตานออกไป

เมื่อมาถึงสวนบุปผาด้านล่าง เถ้าแก่เชิญให้ทั้งสองรอสักครู่ เขาเดินจากไปพักใหญ่ ยามที่กลับมาอีกครั้ง เขาหยิบเอาตัวแลกทองปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นส่งให้หนิวโหย่วเต้า “คุณชายลองนับดูก่อน”

เฮยหมู่ตานเหลือบมอง ตาลุกวาวเล็กน้อย มองเห็นมูลค่าบนตั๋วแลกทอง หนึ่งใบมีมูลค่าหนึ่งหมื่นเหรียญทอง นับเป็นมูลค่าสูงสุดในบรรดาตั๋วแลกทองแล้ว

หนิวโหย่วเต้านับดูเล็กน้อย มียี่สิบใบพอดี หรือก็คือสองแสนเหรียญทอง จึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ พบว่าพ่อบ้านเซี่ยงคนนั้นรักษาคำพูดเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งภาพหนึ่งแสนเหรียญทอง สองภาพก็สองแสนเหรียญทอง ไม่ได้กดราคาเขาเลย การต่อรองราคาต่อหน้าซาฮ่วนลี่ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการแสดงทั้งสิ้น

เถ้าแก่นึกอิจฉาอยู่บ้าง เอ่ยกำชับด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อบ้านฝากคำพูดมาถึงคุณชายเซวียนหยวน สิ่งใดที่ไม่สมควรพูดก็อย่าได้พูดเหลวไหล มิเช่นนั้นจะเป็นการชักภัยมาให้ตัวเองขอรับ”

“เข้าใจแล้ว” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ ส่งสัญญาณให้เฮยหมู่ตานเดินออกไปก่อน

พอเฮยหมู่ตานเดินออกไปแล้ว หนิวโหย่วเต้ามองไปรอบๆ รีบนับตั๋วแลกทองที่อยู่ในมือสิบใบ ก่อนจะหยิบออกมาครึ่งหนึ่งแล้วยัดใส่มือเถ้าแก่ “รบกวนเถ้าแก่แล้ว นี่ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ”

เถ้าแก่ตะลึงไปเล็กน้อย เขาเคยเห็นแขกของโรงเตี๊ยมตกรางวัล แต่ไม่เคยเห็นคนตกรางวัลหนึ่งแสนเหรียญทองมาก่อน ทำเอาเขาตกใจไม่น้อย รีบดันคืนไป

หนิวโหย่วเต้าดันกลับไปอีกครั้ง “เถ้าแก่วางใจได้ เรื่องนี้ฟ้ารู้ดินรู้ ท่านรู้ข้ารู้ ข้าเองก็ไม่กล้าพูดเหลวไหลชักภัยมาหาตัวเองเช่นกัน”

คำพูดนี้ทำให้เถ้าแก่รู้สึกอบอุ่นใจ โรงเตี๊ยมให้บริการครบครันรอบด้าน การที่แขกตกรางวัลให้นับเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่อีกฝ่ายใจกว้างจนน่าตกใจ เขาไม่กล้ารับรางวัลนี้ไว้ จึงผลักคืนอีกครั้ง

“คนเราหากไร้สัจจะก็ยากจะมีที่ยืน ตกลงกันไว้แล้วว่าหนึ่งแสนเหรียญทอง มากเกินกว่านี้ข้ารับไว้ไม่ได้ เถ้าแก่หาโอกาสไปสอบถามท่านพ่อบ้านดูเถอะว่าจะจัดการกับเงินจำนวนนี้อย่างไร”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เถ้าแก่จึงกำตั๋วแลกทองไว้ในมือ สะบัดแขนเสื้อคลุมเอาไว้ เหลียวมองรอบข้างตามสัญชาตญาณ

ความจริงแล้วเขารู้แก่ใจดี หนึ่งแสนเหรียญทองนี้ยกให้เขาจัดการได้เลย

เขาอยากเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าคิดจะทำอะไร หากต้องการให้เขาไปทำเรื่องอันใดที่ส่งผลร้ายต่อทางฝั่งนี้ เขาจะนำเงินนี้ไปมอบให้เซี่ยงหมิงทันที

ทั้งสองเดินตามกันออกไปอย่างเข้าใจกันดี

เมื่อเดินลงบันได ผ่านซุ้มประตูออกมา ก็มองเห็นหยวนฟางและเฮยหมู่ตานที่รออยู่

หลังจากทางฝั่งนี้บอกลาเถ้าแก่ก็แยกย้ายกันไป ระหว่างทางหยวนฟางอดใจไว้ไม่อยู่ กระซิบถามว่า “ได้เงินไหมขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้าปรายตามองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยกำชับทั้งสอง “เรื่องในวันนี้ ห้ามแพร่งพรายต่อใครหน้าไหนทั้งสิ้น”

“ขอรับ! เจ้าค่ะ!” ทั้งสองตอบรับ

เมื่อกลับมาถึงห้องพักในโรงเตี๊ยม หนิวโหย่วเต้าหยิบตั๋วแลกเงินมูลค่าหนึ่งแสนเหรียญทองออกมา แบ่งให้หยวนฟางและเฮยหมู่ตานคนละห้าหมื่นเหรียญทอง ให้ทั้งสองเก็บไว้กับตัวเผื่อใช้สอย ส่วนตัวเขาไม่เก็บไว้เลย

แต่แน่นอน ในมุมมองของเฮยหมู่ตาน นางคิดว่าเขาเก็บไว้กับตัวหนึ่งแสนเหรียญทองแล้ว

เพิ่งจะมาติดตามอีกฝ่ายก็ได้รับเงินมากมายขนาดนี้แล้ว เฮยหมู่ตานรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง จึงเอ่ยปฏิเสธ

“ให้เจ้ารับเจ้าก็รับไว้เถอะ อย่าพูดไร้สาระให้มากความ” ในคำพูดที่ฟังดูเฉยชาของหนิวโหย่วเต้าเจือไว้ด้วยความเผด็จการ “เรื่องราวบางอย่างเจ้ารู้อยู่แก่ใจก็พอ ตอนนี้ยังไม่ต้องบอกเล่าต่อพวกพ้องของเจ้ามากเกินไปนัก ยิ่งรู้มากเท่าไรก็ยิ่งคิดมากได้ง่าย ซึ่งนั่นมันไม่แน่ว่าจะใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขา เข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”

“เจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานจำต้องรับไว้ แล้วก็ทราบความหมายในวาจาของเขาดี ขณะเดียวกันก็กำลังตำหนิตัวเองที่ก่อนหน้านี้ร้อนใจอยากจะพึ่งพาบารมีของจวนเจ้าเมืองด้วย

ระหว่างที่ออกมาจากห้องแล้วกลับมายังห้องพักของตัวเอง ภายในใจรู้สึกสะท้อนใจ คิดถึงว่าหลายปีมานี้กว่าตัวเองจะหาเงินมาได้นิดหน่อยนั้นไม่ง่ายเลย แต่ลองดูเขาสิ หามาได้ง่ายๆ จ่ายออกไปง่ายๆ ไม่ได้นึกแยแสเลยแม้แต่นิดเดียว ความใจกว้างและเด็ดเดี่ยวนี้ทำให้นางรู้สึกละอาย

เมื่อกลับถึงห้องพัก นางนำภาพนั้นออกมาชื่นชม เมื่อนึกถึงว่าภาพนี้มีมูลค่าหนึ่งแสนเหรียญทอง จู่ๆ พลันตกตะลึง หยิบเอาตั๋วแลกทองห้าหมื่นเหรียญทองออกมา แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัย

นางนึกถึงคำพูดที่หนิวโหย่วเต้าเคยถามนางหลังจากวาดภาพนี้ให้นางเสร็จก่อนหน้านี้ ‘สมมุติว่าขายภาพนี้ให้เจ้าในราคาหนึ่งแสนเหรียญทอง เจ้าจะซื้อหรือไม่?’

ยามนี้พอนึกขึ้นมาพลันรู้สึกตื่นตะลึง หรือว่าเต้าเหยี่ยจะคิดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ทราบแต่แรกแล้วว่าจะมีคนยอมจ่ายหนึ่งแสนเหรียญทองเพื่อซื้อภาพนี้ของเขา?

นางอดไม่ได้ที่จะวิเคราะห์แยกแยะต้นสายปลายเหตุดูอย่างละเอียด นึกถึงตอนที่หนิวโหย่วเต้าเคยถามเรื่องซาฮ่วนลี่กับนาง นึกถึงเรื่องที่จงใจให้หยวนฟางไปเรียกเสี่ยวเอ้อมาส่งสุราตอนวาดภาพ จากนั้นก็ให้เสี่ยวเอ้อนำภาพไปใส่กรอบ…พอนึกดูอย่างละเอียดก็พบว่ามีเบาะแสให้ไล่ตามได้อยู่เต็มไปหมด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตกใจ เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจเข้าหาซาฮ่วนลี่ แต่พอได้เข้าใกล้แล้วกลับรักษาระยะห่างกับซาฮ่วนลี่ หรือเขาคิดจะใช้แผนแสร้งปล่อยเพื่อจับ?

หยวนฟางที่อยู่ภายในห้องยังคงถือตั๋วแลกทองห้าหมื่นเหรียญทองเอาไว้ พลิกไปพลิกมามองดูซ้ำๆ ยิ้มหน้าบานปานบุปผา อีกทั้งบ่นอุบอิบเป็นระยะ “เต้าเหยี่ย เราเพิ่งรู้จักนางได้ไม่นาน นางเป็นคนอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย เหตุใดถึงให้เงินนางมากขนาดนั้นล่ะขอรับ”

คำพูดนี้ฟังดูเหมือนแบ่งพรรคแบ่งพวกอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้นึกถึงเช่นกันว่าตนเพิ่งติดตามหนิวโหย่วเต้ามาได้เท่าไรเอง ไม่ทันไรก็ยอมรับอย่างหมดจิตหมดใจแล้วว่าตนเป็นพวกเดียวกับหนิวโหย่วเต้า

……………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 131 ใช้เงินเหมือนละลายน้ำ

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 131 ใช้เงินเหมือนละลายน้ำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 131 ใช้เงินเหมือนละลายน้ำ

เมื่ออยู่ต่อหน้าซาฮ่วนลี่ เถ้าแก่ไม่ทราบว่าควรจะตอบอย่างไรดี

เซี่ยงหมิงเงยหน้าขึ้น ค่อยๆ เดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า ยกมือแตะไหล่หนิวโหย่วเต้า แผ่พลังออกมาจากฝ่ามือ รวมกันอยู่ที่หัวไหล่ของหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้าหันไปมอง สบตากับเซี่ยงหมิงเล็กน้อย รับรู้ได้ถึงแววตาตักเตือนในดวงตาของเซี่ยงหมิง

เซี่ยงหมิงยิ้มให้ซาฮ่วนลี่แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูเข้าใจผิดแล้วขอรับ ภาพวาดเพียงภาพเดียวไหนเลยจะมีราคาถึงแสนเหรียญทองได้ คุณชายเซวียนหยวนมาทำการค้าที่เมืองไจซิง ทำข้อตกลงการค้ามูลค่าแสนเหรียญทองกับทางเรา แล้วรวมภาพวาดของคุณหนูเข้าไปด้วย เพียงแต่ตอนแรกตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่าตามมูลค่าทางการค้าที่ตกลงกันเอาไว้จะวาดแค่ภาพเดียวเท่านั้น”

เขาหันกลับไปเอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง “วันนี้รบกวนคุณชายมากแล้ว เชิญคุณชายไปพักก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาวาดอีกครั้ง เรื่องราคาของอีกภาพเดี๋ยวเราค่อยเจรจากันทีหลังได้” เขาเตรียมจะต่อรองราคากับหนิวโหย่วเต้าลับหลัง

แต่ซาฮ่วนลี่มิใช่คนโง่ แค่เห็นท่าทางของเถ้าแก่ก็มองออกถึงอะไรบางอย่าง “ปล่อยมือเจ้าซะ!”

เซี่ยงหมิงถึงได้ยอมปล่อยมือที่วางอยู่บนไหล่ของหนิวโหย่วเต้า

ซาฮ่วนลี่จ้องมองหนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยว่า “คุณชายเซวียนหยวน เชิญกล่าวมาตามจริงเถิด เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่? ท่านวางใจเถอะ หากมีผู้ใดกล้าข่มขู่คุกคามท่าน ข้าจะทวงความเป็นธรรมให้ท่านเอง”

เซี่ยงหมิงก้มหน้าหลุบตา สีหน้าสงบนิ่ง

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองมีน้ำใจยิ่งนัก ก็เป็นอย่างที่พ่อบ้านเซี่ยงกล่าวไป ภาพวาดนั้นเป็นการพ่วงเข้าไปในข้อตกลงทางการค้า เพียงแต่ตอนแรกตกลงกันไว้ว่าวาดแค่ภาพเดียวเท่านั้น หากวาดอีกย่อมต้องคิดเงินแยก”

หลังจากทราบว่าซาฮ่วนลี่มิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร เขาก็เข้าใจแล้วว่าซาฮ่วนลี่ไม่สามารถควบคุมเมืองไจซิงที่เป็นศูนย์รวมผู้บำเพ็ญเพียรแห่งนี้ได้ คนที่ใช้อำนาจเจ้าเมืองในการควบคุมดูแลเมืองไจซิงอย่างแท้จริงน่าจะเป็นท่านพ่อบ้านคนนี้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มาก เลือกยืนอยู่ข้างเซี่ยงหมิง ช่วยแก้ต่างให้เซี่ยงหมิง เว้นเสียแต่เขาไม่อยากมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองไจซิงแห่งนี้แล้ว

เซี่ยงหมิงสงบนิ่งไร้อารมณ์

ซาฮ่วนลี่จ้องมองท่าทีของพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “พ่อบ้าน ข้าเพียงหวังให้เจ้าเข้าใจว่าบนโลกนี้ยังมีคนอีกมากมายที่อดอยากยากไร้!”

นางพูดออกมาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ายังคงมีความคลางแคลงสงสัยอยู่

เซี่ยงหมิงอับจนวาจานัก นึกในใจ อาหารที่ท่านกินเป็นประจำอย่างไหนบ้างเล่าที่มิใช่ของที่ดีที่สุดในโลก ท่านเพียงแค่ไม่รู้ก็เท่านั้น แสนเหรียญทองสำหรับท่านแล้วจะนับเป็นอันใดได้? แต่ฉากหน้ายังคงค้อมคำนับกล่าวไปว่า “คุณหนูวางใจเถิดขอรับ พวกเราบริจาคเงินทองช่วยคนยากไร้ทุกปี ทำในสิ่งที่พวกเราพอจะทำได้”

เฮยหมู่ตานมองไปทางนั้นทีทางนี้ที

ซาฮ่วนลี่ชี้ไปที่ภาพนั้น “คุณชายเซวียนหยวน ท่านบอกข้ามาตามตรง ให้ท่านวาดภาพเช่นนี้ใช้เงินเท่าไรกันแน่ ห้ามปิดบัง มิเช่นนั้นท่านจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา”

หนิวโหย่วเต้ารู้สึกเอือมระอา เหตุใดถึงมาเจอสตรีซื่อบื้อแบบนี้เข้า ทำเอาเขาตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ปุบปับกะทันหัน เหนือความคาดหมายจริงๆ

“ภาพนี้พ่วงรวมกับการค้าที่เจรจาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถประเมินราคาเฉพาะของภาพนี้ได้จริงๆ” หนิวโหย่วเต้ายิ้มเจื่อน

ซาฮ่วนลี่จึงถามว่า “เช่นนั้นหากตอนนี้ข้าต้องการให้ท่านวาดอีกภาพ ท่านจะคิดราคาเท่าไร”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เรียนท่านเจ้าเมือง ข้ามิใช่จิตรกร ไม่ขายทักษะ ปกติแล้วไม่วาดภาพให้ผู้อื่น แต่หากว่าจำเป็นต้องวาด อย่างน้อยๆ ก็หนึ่งพันเหรียญทอง”

เซี่ยงหมิงหันมาเอ่ยทันที “พันเหรียญทองแพงเกินไป วัสดุอุปกรณ์ล้วนเป็นทางเราจัดเตรียม ไม่ได้รบกวนเวลาท่านสักเท่าไหร่”

หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “เช่นนั้นท่านว่าเท่าไรดี?”

เซี่ยงหมิงชูนิ้วหนึ่งออกมา “ข้าให้ท่านได้มากสุดหนึ่งร้อย!”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “ไม่ได้ๆ ต่ำเกินไปแล้ว!”

ทั้งสองเล่นละครเข้าขากันเป็นธรรมชาติยิ่ง เจรจาต่อราคากันอยู่ตรงนั้น เหมือนทำการค้ากันอยู่จริงๆ เอาจริงเอาจังนัก

ซาฮ่วนลี่มองคนนั้นที มองคนนี้ที

เมื่อเห็นว่าเซี่ยงหมิงไม่ยอมอ่อนข้อให้ หนิวโหย่วเต้าพลันประสานมือกล่าวกับซาฮ่วนลี่ว่า “ท่านเจ้าเมือง ท่านให้ความเป็นธรรมด้วย ของบางอย่างไหนเลยใช้วัสดุอุปกรณ์และเวลามาประเมินค่าได้?” เขาชี้ไปยังภาพที่วางอยู่บนกระดานวาดภาพ “ท่านเจ้าเมือง หรือท่านก็คิดว่าภาพนี้ของข้ามีมูลค่าเพียงร้อยเหรียญทอง?”

ซาฮ่วนลี่มองภาพนั้น รู้สึกชอบใจ ถ้าคิดราคาหนึ่งร้อยเหรียญทอง มันก็คล้ายจะต่ำไปหน่อยจริงๆ แต่นางหันกลับมาเอ่ยว่า “พันเหรียญทองแพงไปหน่อย เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านวาดอีกภาพ ข้าให้ท่านห้าร้อยเหรียญทองเป็นอย่างไร?”

“เรื่องนี้…” หนิวโหย่วเต้าลำบากใจเล็กน้อย

เซี่ยงหมิงเอ่ยเสียงขรึม “ท่านเจ้าเมืองออกปากด้วยตัวเองแล้ว หรือว่าเกียรติของท่านเจ้าเมืองยังมีราคาไม่เท่าห้าร้อยเหรียญทอง?

ซาฮ่วนลี่ยกมือปรามเขาเล็กน้อย สื่อว่าห้ามไม่ให้เขาข่มขู่ ให้คุยกันดีๆ

“เฮ้อ” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “ในเมื่อพ่อบ้านเซี่ยงเอ่ยมาเช่นนี้ ตกลง ห้าร้อยก็ห้าร้อย”

ซาฮ่วนลี่มีท่าทางพึงพอใจขึ้นมาทันที คล้ายว่าจะดีใจเพราะประหยัดเงินไปได้ห้าร้อยเหรียญทอง รีบให้คนปลดภาพออกจากกระดานวาดภาพอย่างระมัดระวัง ให้หนิวโหย่วเต้ามีที่ว่างสำหรับวาดภาพใหม่อีกภาพ

หนิวโหย่วเต้าให้คนยกเก้าอี้มา สั่งให้สาวใช้คนนั้นนั่งตัวตรงห้ามขยับเขยื้อน แล้วก็ไม่ได้ให้ทำท่าทางอันใดเลย หยิบแท่งถ่านขึ้นมาวาดภาพ

ซาฮ่วนลี่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้ากระตือรือร้น คอยสังเกตดูว่าหนิวโหย่วเต้าวาดภาพประเภทนี้อย่างไร

เมื่อเค้าโครงของต้นแบบค่อยๆ ปรากฏขึ้น ซาฮ่วนลี่อุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ ส่งเสียงซักถามเป็นระยะ ขอคำชี้เเนะเกี่ยวกับเคล็ดลับในการวาด หนิวโหย่วเต้าก็อธิบายไปเล็กน้อย

เมื่อเห็นซาฮ่วนลี่มีความสุข เซี่ยงหมิงที่อยู่ด้านหลังอมยิ้มเล็กน้อย ท่าทางปลาบปลื้มอย่างยิ่ง

จนกระทั่งวาดเสร็จ หนิวโหย่วเต้าถึงได้วางแท่งถ่านลง “เสร็จแล้ว!”

“….” ซาฮ่วนลี่มึนงง บนกระดาษมีเพียงภาพสาวใช้ในท่านั่ง นอกจากเก้าอี้ตัวนั้นที่นั่งอยู่ พื้นที่รอบข้างล้วนว่างเปล่าขาวโพลน ไม่มีฉากหลังใดๆ ทั้งสิ้น ซ้ำขนาดภาพก็เล็กยิ่งนัก เมื่อเทียบกับภาพนั้นของนางแล้ว ภาพหนึ่งกว้างใหญ่รายละเอียดซับซ้อน ส่วนอีกภาพเล็กกะทัดรัดเรียบง่าย

นางอดถามไม่ได้ว่า “เหตุใดคุณชายถึงไม่วาดฉากหลังเล่า?”

หนิวโหย่วเต้าตอบด้วยท่าทางคล้ายตระหนี่ถี่เหนียว “ความจริงการวาดภาพเช่นนี้เปลืองแรงอย่างมาก ราคาห้าร้อยเหรียญทองข้าก็เค้นแรงวาดได้เพียงเท่านี้แหละ”

เซี่ยงหมิงเดินเข้าไปดู มุมปากกระตุกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

โชคดีที่ซาฮ่วนลี่พูดคุยง่าย ไม่ได้ถือสาหาความอันใดให้วุ่นวาย

จากนั้นซาฮ่วนลี่ที่ได้สังเกตดูวิธีการวาดก็มีท่าทางคันไม้คันมืออยากลองวิชาอย่างเห็นได้ชัด นางเรียกสาวใช้คนหนึ่งมานั่งตรงหน้า ส่วนตนก็หยิบแท่งถ่านขึ้นมาลองวาดดู

ขณะที่เซี่ยงหมิงหันหลังเดินออกไป เขาได้พยักหน้าส่งสัญญาณให้เถ้าแก่เล็กน้อย เถ้าแก่ผายมือเชิญหนิวโหย่วเต้าและเฮยหมู่ตานออกไป

เมื่อมาถึงสวนบุปผาด้านล่าง เถ้าแก่เชิญให้ทั้งสองรอสักครู่ เขาเดินจากไปพักใหญ่ ยามที่กลับมาอีกครั้ง เขาหยิบเอาตัวแลกทองปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นส่งให้หนิวโหย่วเต้า “คุณชายลองนับดูก่อน”

เฮยหมู่ตานเหลือบมอง ตาลุกวาวเล็กน้อย มองเห็นมูลค่าบนตั๋วแลกทอง หนึ่งใบมีมูลค่าหนึ่งหมื่นเหรียญทอง นับเป็นมูลค่าสูงสุดในบรรดาตั๋วแลกทองแล้ว

หนิวโหย่วเต้านับดูเล็กน้อย มียี่สิบใบพอดี หรือก็คือสองแสนเหรียญทอง จึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ พบว่าพ่อบ้านเซี่ยงคนนั้นรักษาคำพูดเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งภาพหนึ่งแสนเหรียญทอง สองภาพก็สองแสนเหรียญทอง ไม่ได้กดราคาเขาเลย การต่อรองราคาต่อหน้าซาฮ่วนลี่ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการแสดงทั้งสิ้น

เถ้าแก่นึกอิจฉาอยู่บ้าง เอ่ยกำชับด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อบ้านฝากคำพูดมาถึงคุณชายเซวียนหยวน สิ่งใดที่ไม่สมควรพูดก็อย่าได้พูดเหลวไหล มิเช่นนั้นจะเป็นการชักภัยมาให้ตัวเองขอรับ”

“เข้าใจแล้ว” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ ส่งสัญญาณให้เฮยหมู่ตานเดินออกไปก่อน

พอเฮยหมู่ตานเดินออกไปแล้ว หนิวโหย่วเต้ามองไปรอบๆ รีบนับตั๋วแลกทองที่อยู่ในมือสิบใบ ก่อนจะหยิบออกมาครึ่งหนึ่งแล้วยัดใส่มือเถ้าแก่ “รบกวนเถ้าแก่แล้ว นี่ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ”

เถ้าแก่ตะลึงไปเล็กน้อย เขาเคยเห็นแขกของโรงเตี๊ยมตกรางวัล แต่ไม่เคยเห็นคนตกรางวัลหนึ่งแสนเหรียญทองมาก่อน ทำเอาเขาตกใจไม่น้อย รีบดันคืนไป

หนิวโหย่วเต้าดันกลับไปอีกครั้ง “เถ้าแก่วางใจได้ เรื่องนี้ฟ้ารู้ดินรู้ ท่านรู้ข้ารู้ ข้าเองก็ไม่กล้าพูดเหลวไหลชักภัยมาหาตัวเองเช่นกัน”

คำพูดนี้ทำให้เถ้าแก่รู้สึกอบอุ่นใจ โรงเตี๊ยมให้บริการครบครันรอบด้าน การที่แขกตกรางวัลให้นับเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่อีกฝ่ายใจกว้างจนน่าตกใจ เขาไม่กล้ารับรางวัลนี้ไว้ จึงผลักคืนอีกครั้ง

“คนเราหากไร้สัจจะก็ยากจะมีที่ยืน ตกลงกันไว้แล้วว่าหนึ่งแสนเหรียญทอง มากเกินกว่านี้ข้ารับไว้ไม่ได้ เถ้าแก่หาโอกาสไปสอบถามท่านพ่อบ้านดูเถอะว่าจะจัดการกับเงินจำนวนนี้อย่างไร”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เถ้าแก่จึงกำตั๋วแลกทองไว้ในมือ สะบัดแขนเสื้อคลุมเอาไว้ เหลียวมองรอบข้างตามสัญชาตญาณ

ความจริงแล้วเขารู้แก่ใจดี หนึ่งแสนเหรียญทองนี้ยกให้เขาจัดการได้เลย

เขาอยากเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าคิดจะทำอะไร หากต้องการให้เขาไปทำเรื่องอันใดที่ส่งผลร้ายต่อทางฝั่งนี้ เขาจะนำเงินนี้ไปมอบให้เซี่ยงหมิงทันที

ทั้งสองเดินตามกันออกไปอย่างเข้าใจกันดี

เมื่อเดินลงบันได ผ่านซุ้มประตูออกมา ก็มองเห็นหยวนฟางและเฮยหมู่ตานที่รออยู่

หลังจากทางฝั่งนี้บอกลาเถ้าแก่ก็แยกย้ายกันไป ระหว่างทางหยวนฟางอดใจไว้ไม่อยู่ กระซิบถามว่า “ได้เงินไหมขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้าปรายตามองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยกำชับทั้งสอง “เรื่องในวันนี้ ห้ามแพร่งพรายต่อใครหน้าไหนทั้งสิ้น”

“ขอรับ! เจ้าค่ะ!” ทั้งสองตอบรับ

เมื่อกลับมาถึงห้องพักในโรงเตี๊ยม หนิวโหย่วเต้าหยิบตั๋วแลกเงินมูลค่าหนึ่งแสนเหรียญทองออกมา แบ่งให้หยวนฟางและเฮยหมู่ตานคนละห้าหมื่นเหรียญทอง ให้ทั้งสองเก็บไว้กับตัวเผื่อใช้สอย ส่วนตัวเขาไม่เก็บไว้เลย

แต่แน่นอน ในมุมมองของเฮยหมู่ตาน นางคิดว่าเขาเก็บไว้กับตัวหนึ่งแสนเหรียญทองแล้ว

เพิ่งจะมาติดตามอีกฝ่ายก็ได้รับเงินมากมายขนาดนี้แล้ว เฮยหมู่ตานรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง จึงเอ่ยปฏิเสธ

“ให้เจ้ารับเจ้าก็รับไว้เถอะ อย่าพูดไร้สาระให้มากความ” ในคำพูดที่ฟังดูเฉยชาของหนิวโหย่วเต้าเจือไว้ด้วยความเผด็จการ “เรื่องราวบางอย่างเจ้ารู้อยู่แก่ใจก็พอ ตอนนี้ยังไม่ต้องบอกเล่าต่อพวกพ้องของเจ้ามากเกินไปนัก ยิ่งรู้มากเท่าไรก็ยิ่งคิดมากได้ง่าย ซึ่งนั่นมันไม่แน่ว่าจะใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขา เข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”

“เจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานจำต้องรับไว้ แล้วก็ทราบความหมายในวาจาของเขาดี ขณะเดียวกันก็กำลังตำหนิตัวเองที่ก่อนหน้านี้ร้อนใจอยากจะพึ่งพาบารมีของจวนเจ้าเมืองด้วย

ระหว่างที่ออกมาจากห้องแล้วกลับมายังห้องพักของตัวเอง ภายในใจรู้สึกสะท้อนใจ คิดถึงว่าหลายปีมานี้กว่าตัวเองจะหาเงินมาได้นิดหน่อยนั้นไม่ง่ายเลย แต่ลองดูเขาสิ หามาได้ง่ายๆ จ่ายออกไปง่ายๆ ไม่ได้นึกแยแสเลยแม้แต่นิดเดียว ความใจกว้างและเด็ดเดี่ยวนี้ทำให้นางรู้สึกละอาย

เมื่อกลับถึงห้องพัก นางนำภาพนั้นออกมาชื่นชม เมื่อนึกถึงว่าภาพนี้มีมูลค่าหนึ่งแสนเหรียญทอง จู่ๆ พลันตกตะลึง หยิบเอาตั๋วแลกทองห้าหมื่นเหรียญทองออกมา แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัย

นางนึกถึงคำพูดที่หนิวโหย่วเต้าเคยถามนางหลังจากวาดภาพนี้ให้นางเสร็จก่อนหน้านี้ ‘สมมุติว่าขายภาพนี้ให้เจ้าในราคาหนึ่งแสนเหรียญทอง เจ้าจะซื้อหรือไม่?’

ยามนี้พอนึกขึ้นมาพลันรู้สึกตื่นตะลึง หรือว่าเต้าเหยี่ยจะคิดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ทราบแต่แรกแล้วว่าจะมีคนยอมจ่ายหนึ่งแสนเหรียญทองเพื่อซื้อภาพนี้ของเขา?

นางอดไม่ได้ที่จะวิเคราะห์แยกแยะต้นสายปลายเหตุดูอย่างละเอียด นึกถึงตอนที่หนิวโหย่วเต้าเคยถามเรื่องซาฮ่วนลี่กับนาง นึกถึงเรื่องที่จงใจให้หยวนฟางไปเรียกเสี่ยวเอ้อมาส่งสุราตอนวาดภาพ จากนั้นก็ให้เสี่ยวเอ้อนำภาพไปใส่กรอบ…พอนึกดูอย่างละเอียดก็พบว่ามีเบาะแสให้ไล่ตามได้อยู่เต็มไปหมด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตกใจ เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจเข้าหาซาฮ่วนลี่ แต่พอได้เข้าใกล้แล้วกลับรักษาระยะห่างกับซาฮ่วนลี่ หรือเขาคิดจะใช้แผนแสร้งปล่อยเพื่อจับ?

หยวนฟางที่อยู่ภายในห้องยังคงถือตั๋วแลกทองห้าหมื่นเหรียญทองเอาไว้ พลิกไปพลิกมามองดูซ้ำๆ ยิ้มหน้าบานปานบุปผา อีกทั้งบ่นอุบอิบเป็นระยะ “เต้าเหยี่ย เราเพิ่งรู้จักนางได้ไม่นาน นางเป็นคนอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย เหตุใดถึงให้เงินนางมากขนาดนั้นล่ะขอรับ”

คำพูดนี้ฟังดูเหมือนแบ่งพรรคแบ่งพวกอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้นึกถึงเช่นกันว่าตนเพิ่งติดตามหนิวโหย่วเต้ามาได้เท่าไรเอง ไม่ทันไรก็ยอมรับอย่างหมดจิตหมดใจแล้วว่าตนเป็นพวกเดียวกับหนิวโหย่วเต้า

……………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด