ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 287 ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียบ้างเลย

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 287 ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียบ้างเลย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 287 ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียบ้างเลย

จริงหรือเปล่าเนี่ย? ฮูเหยียนเวยผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็อดขำไม่ได้ สตรีนางนี้จะไปรู้จักหนิวโหย่วเต้าได้อย่างไร? จึงเอ่ยด้วยสีหน้าประชดประชัน “เชื่อสิ เชื่ออยู่แล้ว พระองค์เป็นองค์หญิง กระหม่อมจะกล้าไม่เชื่อได้หรือ?”

ท่าทางเช่นนี้ของเขาดูเหมือนเชื่อเสียที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่ากำลังประชดประชัน เฮ่าชิงชิงพลันโมโหขึ้นมา ชี้หน้าด่า “ไอ้หน้าหนวด คำพูดแดกดันของเจ้านี่มันอะไรกัน?”

ฮูเหยียนเวยหัวเราะใส่ “เหอะๆ!”

เฮ่าชิงชิงโกรธขึ้นมา “ห้ามหัวเราะ!”

ฮูเหยียนเวยถาม “มีกฎหมายข้อไหนที่ห้ามไม่ให้กระหม่อมหัวเราะหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ชิ้ง! เฮ่าชิงชิงชักมีดสั้นตรงหว่างเอวที่ใช้ประกอบการปลอมตัวออกมา คิดจะสั่งสอนเขา “ข้าจะช่วยโกนหนวดบนหน้าเจ้าให้เอง!”

เผยเหนียงจื่อจะปล่อยให้นางสมปรารถนาได้อย่างไร พลันกดไหล่นางไว้ ทำให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้

อริคู่นี้ คนที่อยู่รอบข้างเห็นแล้วได้แต่ส่ายหน้า คนที่คุ้นชินกันดีล้วนรู้ว่าสองคนนี้พอเจอหน้ากันเป็นต้องทะเลาะกันร่ำไป

แต่แน่นอน ทุกครั้งล้วนเป็นฮูเหยียนเวยที่เสียเปรียบ ช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ เจ้าไม่อาจด่าทอหยามเกียรติเชื้อพระวงศ์กลับไปได้ ยิ่งไม่อาจตอบโต้กลับได้ เช่นนั้นก็ย่อมต้องเสียเปรียบ

ในบริเวณหนึ่งทางด้านล่าง ซูจ้าวที่ผ่านการแปลงโฉมแล้วก็มีคนจำนวนหนึ่งคอยห้อมล้อมป้องกันอยู่เช่นกัน

ซูจ้าวมองดวงตะวันที่ลอยสูงขึ้นไปบนฟ้าเป็นพักๆ กระซิบถามฉินเหมียนที่ผ่านการแปลงโฉมแล้วเช่นกันว่า “ทำไมยังไม่มาอีก?”

ฉินเหมียนตอบว่า “ไม่ทราบเจ้าค่ะ หรือว่าจะเปลี่ยนใจแล้ว?”

ซูจ้าวหมดคำพูด คนผู้นี้เอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ บอกได้เพียงว่าอาจจะเป็นเช่นนั้น

…..

ณ สวนบุปผาในคฤหาสน์ ยังคงมีคราบเลือดของเมื่อวานติดอยู่

ลิ่งหูชิวและเฟิงเอินไท่เดินกลับไปกลับมาอยู่ในลานเรือนหลัก คอยมองท้องฟ้าเป็นระยะ ตะวันลอยสูงขนาดนี้แล้ว ยังไม่เห็นหนิวโหย่วเต้าปรากฏตัว นี่ยังจะไปสู้ตามคำท้าที่ลานน้ำตกเหินหาวอยู่หรือเปล่า?

หลังรอคอยอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็เห็นพวกหนิวโหย่วเต้าเดินออกมาจากในเรือน

เมื่อเห็นทั้งสองคนที่รออยู่ด้านนอก หนิวโหย่วเต้าประสานมือคำนับ

ลิ่งหูชิวเอ่ยขึ้นว่า “น้องหนิวปล่อยให้พวกเรารออยู่ตั้งนานเชียว”

หนิวโหย่วเต้าแปลกใจ “รอข้าทำไมหรือ?”

ลิ่งหูชิวกลอกตาใส่ “เจ้าจะไปสู้กับเสวียนจื่อชุนที่ลานน้ำตกเหินหาวมิใช่หรือ? พวกเราก็รอชมความองอาจของน้องหนิวอยู่น่ะสิ!”

“ฮ่าๆ ที่แท้ก็ร้อนใจอยากชมเรื่องครื้นเครงนี่เอง” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะ หันกลับไปเอ่ยกับต้วนหู่ที่นำหน้ากลุ่มคนอยู่ทางด้านหลัง “พวกเจ้าไปก่อนเถอะ ระวังด้วย”

“ขอรับ!” ต้วนหู่รับคำ ในมือหิ้วห่อผ้าสองห่อไว้ พายอดฝีมือสิบคนจากสามสำนักจากไป

ให้ลูกน้องล่วงหน้าไปก่อนหรือ? เฟิงเอินไท่ถามด้วยความไม่เข้าใจ “แล้วเจ้าจะไปเมื่อไร?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ข้าย่อมต้องไปเดี๋ยวนี้ ทั้งสองท่านจะไปกับข้าด้วยหรือไม่?”

“แน่นอน!” คนหนึ่งตอบรับ คนหนึ่งพยักหน้ารับ

“ได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ” หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญ จากนั้นเขาก็นำขบวนคนกลุ่มหนึ่ง เดินอาดๆ ตัดผ่านลานเรือน ก้าวออกประตูไปทันที

ตรงหน้าประตู มีคนเตรียมม้าเอาไว้นานแล้ว ทั้งกลุ่มกระโดดขึ้นหลังม้า เสียงฝีเท้าม้าย่ำกุบกับไปตามถนนของเมืองหลวงอันรุ่งเรืองอย่างไม่เร่งร้อน

หลังจากเดินทางไปได้สักพัก เฟิงเอินไท่ที่อยู่บนท้องถนนที่มีคนสัญจรไปมาก็สังเกตเห็นว่าเส้นทางไม่ถูกต้อง

เขาอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีมาระยะหนึ่งแล้ว นับว่าค่อนข้างคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศของที่นี่ จึงเอ่ยถาม “น้องหนิว นี่มิใช่เส้นทางที่จะไปยังประตูทิศเหนือนี่ นี่เจ้าจะไปไหนกัน?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ย่อมไปเยี่ยมเยือนผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง”

ลิ่งหูชิวเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง เอ่ยถามซ้ำว่า “นี่มันยามใดแล้ว เจ้ายังมีแก่ใจไปเยี่ยมเยือนคนอีกหรือ เกรงว่าทางฝั่งลานน้ำตกเหินหาวคงคอยจนร้อนใจแล้ว”

เฟิงเอินไท่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “น้องหนิวต้องการจะวางท่ากระมัง จงใจหมางเมินเสวียนจื่อชุนคนนั้นใช่หรือไม่? หากว่าเป็นเช่นนี้จริง โชคดีที่พวกเราไม่ได้ล่วงหน้าไปก่อน มิเช่นนั้นคงไม่รู้เลยว่าต้องรอไปถึงเมื่อไร”

ผู้ใดจะไปคิดว่าหนิวโหย่วเต้ากลับถามย้อนว่า “ทั้งสองท่านคงไม่ได้คิดว่าข้าจะรับคำท้าแล้วไปที่ลานน้ำตกเหินหาวจริงๆ กระมัง?”

พอเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทั้งสองพลันตะลึงงันไปพร้อมกัน ต่างมองมาที่เขาด้วยความตื่นตะลึงและมึนงงเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ แทบจะนึกว่าตนฟังผิดไปเสียแล้ว

เฟิงเอินไท่ที่ดูเหมือนจะตกใจจนอ้าปากค้างเอ่ยถามว่า “เจ้าไม่ไปอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าผายมือข้างหนึ่งออก เอ่ยว่า “หรือว่าในสายตาของพี่เฟิง ข้าดูว่างขนาดนั้นเลยหรือ? ทำไมข้าต้องไปด้วย? แค่คนผู้หนึ่งที่วิ่งมาท้าข้าสู้ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ถ้าไปก็บ้าไปแล้ว”

บัดซบ! นี่มันอะไรกันเนี่ย? นี่มันจะเหลวไหลเกินไปแล้ว! ความคิดของลิ่งหูชิวค่อนสับสน หลังจากไตร่ตรองเล็กน้อยก็เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเจ้ารับคำท้านางทำไม? เจ้าเอาเรื่องที่รับคำท้าของนางมาใช้ปฏิเสธคนอื่นที่มาท้าสู้ไปมากมายขนาดนั้น ตอนนี้ข่าวแพร่กระจายไปทั่วแล้ว เกรงว่าคนในโลกบำเพ็ญเพียรทั่วทั้งเมืองหลวงคงรู้กันหมดแล้ว ด้วยชื่อเสียงของเจ้าในตอนนี้ ข้ากล้ารับรองเลยว่าที่ลานน้ำตกเหินหาวในยามนี้ เกรงว่าคงมีคนจากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในเมืองหลวงไปรอชมแล้ว หากเจ้าผิดนัดเช่นนี้ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการตบหน้าตัวเองต่อหน้าคนอื่นเลย เกรงว่าคงไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงในอนาคตของเจ้า วันหน้าไม่ว่าไปที่ใด คงได้ถูกคนนินทาแดกดันกันไปทั่วแน่!”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา “ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกคนอื่นๆ ไปว่าพี่ลิ่งหูคือพี่น้องร่วมสาบานของข้า พวกเรามีทุกข์ร่วมต้าน! หากมีคนนินทาแดกดันข้า ท่านอย่าลืมแก้ต่างให้ข้าหน่อยล่ะ”

พี่น้องร่วมสาบานหรือ? เฟิงเอินไท่ผงะไปเล็กน้อย มองหน้าทั้งสองคนสลับกันไปมา เขายังไม่ทราบว่าสองคนนี้สาบานเป็นพี่น้องกัน อีกทั้งไม่เคยได้ยินทางสำนักหยกสวรรค์เอ่ยถึงเลย

มุมปากลิ่งหูชิวกระตุกเล็กน้อย ยังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี “นี่ข้ากำลังจริงจังอยู่นะ เจ้าอย่าทำเป็นเล่นไป เจ้าจะไม่ไปจริงๆ น่ะหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้ามาเพื่อทำสิ่งใด ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ ข้ามีงานใหญ่ต้องจัดการ ไหนเลยจะมีแก่ใจไปเล่นเป็นเพื่อนคนพวกนั้น”

ลิ่งหูชิวชี้นิ้วไปทางเหนือ “ทางนั้นย่อมมีผู้บำเพ็ญเพียรมารวมตัวกันมากมาย คนมากมายปานนั้นต่างรออยู่ ในหมู่พวกเขาอาจจะมีคนสำคัญอยู่ไม่น้อย เจ้าปล่อยให้พวกเขาคอยเก้อเช่นนี้ หากทำให้คนมากมายปานนั้นไม่พอใจ วันหน้าเจ้ายังคิดว่าจะจัดการเรื่องในแคว้นฉีได้อีกหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ายักไหล่ “ข้าไม่ได้เชิญพวกเขาไปเสียหน่อย จะโทษข้าได้หรือ?”

ลิ่งหูชิวหมดคำพูดอย่างสิ้นเชิง ชี้นิ้วไปที่เขา ท่าทางคล้ายจะสื่อว่าเจ้าแน่มาก!

เฟิงเอินไท่กลับมีคำถามอื่น “พวกเจ้าสองคนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันหรือ?”

“ไม่เหมือนหรือ?” หนิวโหย่วเต้าที่ควบอยู่บนหลังม้าย้อนถาม เอ่ยเย้าเล่นต่อ “ไม่ได้เกิดร่วมท้อง หน้าตาไม่เหมือนกันก็พอเข้าใจได้”

เฮยหมู่ตานที่อยู่ด้านหลังเม้มปากยิ้มเล็กน้อย

ลิ่งหูชิวก็ทำได้เพียงพยักหน้าให้เฟิงเอินไท่อย่างจนใจ นับเป็นการยอมรับ จากนั้นเอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าต่อว่า “เจ้าอย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่อง คุยกันให้รู้เรื่องก่อน ไม่เพียงแต่จะล่วงเกินคนมากมายขนาดนั้น แต่ถ้าหากคนที่คิดจะท้าสู้กับเจ้าพวกนั้นเห็นว่าเจ้าไม่มา พวกเขาจะยิ่งคิดว่าเจ้าใจฝ่อไม่กล้ารับคำท้า ถึงเวลานั้นข้าก็อยากเห็นนักว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร”

หนิวโหย่วเต้าถอนใจเอ่ยไปว่า “พี่ลิ่งหูคิดมากไปแล้ว เรื่องนี้ไม่ควรค่าให้กังวลเลย ข้าจัดการเองได้!” เขาวาดแขนเสื้อเล็กน้อย ท่าทางเหมือนจะบอกว่าแค่สะบัดแขนเสื้อก็จัดการได้

…….

ณ คฤหาสน์อันเงียบสงบหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางย่านจอแจเช่นกัน เหนือประตูแขวนป้ายที่เขียนว่า ‘จวนจั่ว’ ไว้สองพยางค์

คณะเดินทางหยุดลงหน้าประตู หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองป้าย หันกลับไปถาม “แน่ใจนะ?”

เฮยหมู่ตานตอบกลับ “แน่ใจเจ้าค่ะ ใต้เท้าจั่วอยู่ที่บ้านเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย เฮยหมู่ตานลงจากม้า ไปยื่นเทียบขอเข้าพบที่หน้าประตู

ลิ่งหูชิวและเฟิงเอินไท่สบตากันเล็กน้อย ที่แท้ก็ไม่ได้ล้อเล่น มาเยี่ยมผู้สูงศักดิ์จริงๆ

เฟิงเอินไท่เอ่ยเสียงขรึม “ที่นี่คือจวนของจั่วเต๋อซ่งผู้เป็นเสนาบดีปฏิคมแห่งแคว้นฉี หนิวโหย่วเต้า เจ้าจะทำอะไรของเจ้า?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มแต่ไม่ตอบ ลงจากหลังม้า ไปคอยหน้าประตูจวนจั่ว

…..

ณ ลานน้ำตกเหินหาว พวกต้วนหู่เหินขึ้นสู่ยอดเขา เมินเฉยต่อคนกลุ่มใหญ่ที่มารอชมเรื่องครื้นเครง ตรงเข้าสู่ลานโล่งที่เหมาะสมสำหรับประลองต่อสู้

ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้น คนจำนวนมากที่รอจนหมดความอดทนแล้วพลันตื่นเต้นขึ้นมา กลุ่มคนเริ่มแตกตื่นฮือฮา

ฮูเหยียนเวยที่ทอดมองจากมุมสูงก็มีสีหน้าท่าทางตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน

เดิมทีแล้วเนื่องจากการมาถึงของเฮ่าชิงชิง ทำให้เขาอารมณ์เสียจนไม่อยากอยู่ต่อ ทว่าเหิงเทียนต้วนหาใช่คนที่เขานึกอยากบอกให้พามาก็พามา นึกอยากจะกลับก็จะให้พากลับไม่ เหิงเทียนต้วนอยากรอดูต่อว่าจะเป็นอย่างไรกันแน่ เขาจึงได้แต่ต้องทนอยู่ที่นี่ต่อไป

ตอนนี้พอเห็นว่ามีคนเข้าสู่ลานประลอง เขาก็อยากเห็นคนที่กล้าสังหารราชทูตประจำแคว้นที่เล่าลือกันเช่นกัน รีบเอ่ยถามว่า “คนไหนคือหนิวโหย่วเต้า? ใช่คนที่เดินนำมาหรือเปล่า?”

เหิงเทียนต้วนก็กำลังสังเกตอยู่เช่นกันว่าคนไหนคือหนิวโหย่วเต้า ไม่อาจให้คำตอบเขาได้

เฮ่าชิงชิงพินิจดูกลุ่มผู้ที่เดินเข้ามาอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าไม่มีหยวนกังอยู่ จึงไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมาทันที แค่นเสียงเอ่ยว่า “ในกลุ่มคนที่มาไม่มีหนิวโหย่วเต้า คนที่เดินนำเข้ามาเป็นหนึ่งในคนสนิทของหนิวโหย่วเต้า ชื่อต้วนหู่ หนิวโหย่วเต้าอ่อนวัยกว่าเขามากนัก”

กลุ่มคนที่อยู่ด้านข้างต่างหันมามองนาง ฮูเหยียนเวยเองก็เช่นกัน คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ชื่อของผู้ที่มานางก็ยังบอกให้กระจ่างได้ จึงถามด้วยความแปลกใจ “พระองค์รู้จักหนิวโหย่วเต้าจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“เฮอะ!” เฮ่าชิงชิงเชิดหน้าเล็กน้อย ท่าทางเย่อหยิ่ง วางท่าคล้ายคร้านจะสนใจ

เหิงเทียนต้วนมองไปทางเผยเหนียงจื่อเงียบๆ เผยเหนียงจื่อพยักหน้าให้เล็กน้อย แปลว่าเฮ่าชิงชิงพูดถูกแล้ว

ซูจ้าวที่ปะปนอยู่ในกลุ่มคนด้านล่างก็กระซิบถามฉินเหมียนที่อยู่ด้านข้าง “คนที่เดินนำเข้ามาผู้นั้นใช่หนิวโหย่วเต้าหรือไม่?”

ฉินเหมียนตอบด้วยความสงสัย “ข้าเองก็ไม่เคยเห็นเขาเช่นกันเจ้าค่ะ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่นะเจ้าคะ จากข่าวที่คนของเรารายงานมา หนิวโหย่วเต้าน่าจะอ่อนวัยกว่านี้ถึงจะถูก”

เวลานี้เสียงกระซิบกระซาบรอบข้างแทบจะเป็นคำถามทำนองเดียวกันทั้งสิ้น

กลุ่มคนที่เดินเข้ามายืนนิ่งบนลานประลอง ต้วนหู่กวาดมองรอบข้างด้วยแววตาเย็นชา พลันใช้พลังขยายเสียง “เสวียนจื่อชุนอยู่หรือไม่?”

ขณะที่ทุกคนเหลียวมองรอบข้าง สตรีนางหนึ่งพลันโฉบกายออกมาจากมุมหนึ่ง ร่อนลงตรงหน้าต้วนหู่ ยกมือขึ้นปลดหน้ากากออกจากหน้า เป็นเสวียนจื่อชุน!

นางคอยอยู่ที่นี่นานแล้ว จนใจที่ไม่เห็นหนิวโหย่วเต้าปรากฏตัวขึ้นเสียที

เวลานี้เสวียนจื่อชุนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง มีคนมองนางอยู่มากมายปานนี้ รู้ดีว่าจะสร้างชื่อเสียงสำเร็จหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมแล้ว

แม้ว่าจะมีเพียงพวกต้วนหู่ที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่เห็นหนิวโหย่วเต้า แต่สำหรับนางแล้ว ต่อให้หนิวโหย่วเต้าไม่มา ไม่กล้ามาสู้ตามคำท้า วันนี้นางก็จะมีชื่อเสียงขึ้นมาเช่นกัน วันหน้าเมื่อคนทั่วหล้ากล่าวถึงหนิวโหย่วเต้า พวกเขาก็จะเอ่ยถึงตัวนางเสวียนจื่อชุนด้วยแน่นอน พวกเขาจะพากันกล่าวว่าหนิวโหย่วเต้าผู้สังหารจั๋วเชาหวาดกลัวนาง ไม่กล้ารับคำท้าสู้!

เสวียนจื่อชุนมองไปรอบๆ มีคนมากมายให้ความสนใจนางอยู่ ชั่วชีวิตนี้นางไม่เคยได้รับความสนใจจากผู้บำเพ็ญเพียรมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย

สถานการณ์ในขณะนี้ทำให้หัวใจนางเต้นแรง เลือดลมสูบฉีด เอ่ยถามเสียงกร้าว “เหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงไม่มา? หรือว่ากลัวตายไม่กล้ามาสู้แล้ว!”

ต้วนหู่แสดงสีหน้าดูแคลน โยนห่อผ้าทั้งสองห่อออกไปตรงหน้านาง เอ่ยด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น “ดูเองเถอะ!”

เสวียนจื่อชุนงุนงง ซัดฝ่ามือหนึ่งแหวกอากาศออกไป ผ้าของห่อผ้าทั้งสองถูกทำลาย ระเบิดกระจายปลิวว่อนดั่งผีเสื้อโบยบิน ศีรษะมนุษย์สองหัวปรากฏต่อสายตาผู้คนมากมาย

หลังจากมองเห็นชัดๆ ว่าศีรษะทั้งสองเป็นของผู้ใด สีหน้าของเสวียนจื่อชุนพลันซีดเผือดลงทันที ตกใจจนเซถอยหลังไปสองก้าว

ในกลุ่มคนที่มาชมการต่อสู้มีคนที่รู้จักพวกเขาร้องอุทานขึ้นมาว่า “เป็นสหายทั้งสองของเสวียนจื่อชุน!”

“พวกเจ้า…” เสวียนจื่อชุนเงยหน้าขึ้นทันที ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมีเจตนาใด แต่กลับรับรู้ได้ถึงอันตราย

“เต้าเหยี่ยใช่คนที่เจ้าสามารถล่วงเกินได้หรือ? ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียบ้างเลย เมื่อรนหาที่ตายเองก็อย่าได้โทษคนอื่น!” ต้วนหู่เอ่ยด้วยรอยยิ้มเหยียดหยามพลางส่งสัญญาณมือ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองทั้งสิบที่อยู่ด้านหลังพุ่งออกไป เข้าโจมตีเสวียนจื่อชุนพร้อมกัน

เมื่อลงมือโจมตีก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องออมมือแล้ว ทันทีที่ลงมือก็ใช้กระบวนท่าสังหาร!

………………………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด