ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 469 ค่ายกลแดนความฝัน

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 469 ค่ายกลแดนความฝัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 469 ค่ายกลแดนความฝัน

ลึกเข้าไปในป่าแปลกประหลาด คณะของหนิวโหย่วเต้าหยุดลงอีกครั้ง พากันปล่อยมือออกจากข้อเท้าอสูรผีเสื้อร่อนลงสู่พื้น

ก่วนฟางอี๋หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมืออีกครั้ง รูปลักษณ์ของอสูรผีเสื้อดูไม่ค่อยน่ามองจริงๆ เมื่อสัมผัสผิวกายแล้วคล้ายค่อนข้างน่าขยะแขยง

แต่ก็ช่วยไม่ได้ หากจะอาศัยเพียงพลังสภาวะเหินทะยานฝ่าผืนป่าไปตลอดล่ะก็ แบบนั้นจะเปลืองพลังเกินไป หากเผชิญเหตุร้ายไม่คาดฝันขึ้นแล้วมาพลังไม่พอ อย่างนั้นเกิดเรื่องยุ่งยากแน่ จึงได้แต่ต้องพึ่งพาความสามารถในการบินของอสูรผีเสื้อแทน

นี่เป็นเพราะมีหยวนกังอยู่ด้วย มิเช่นนั้นฝ่ายอสูรผีเสื้อคงไม่ยินดีทำงานเหนื่อยยากเช่นนี้ แต่มันก็ยังดีที่หากอสูรผีเสื้อกลุ่มหนึ่งเหนื่อยล้าแล้วก็ยังสามารถเปลี่ยนอีกกลุ่มมารับช่วงต่อได้

แทนที่จะบอกว่าทุกคนหยุดลง ความจริงแล้วเป็นเพราะอวิ๋นจีหยุดลงอีกครั้งต่างหาก ทุกคนจึงจำเป็นต้องหยุดตามนาง

พวกหนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน อวิ๋นจีเหินร่างขึ้นไปบนยอดไม้อีกครั้ง ทำการสังเกตดูภูมิประเทศอย่างละเอียด

ผ่านไปครู่หนึ่งอวิ๋นจีก็ร่อนลงมาจากด้านบน ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ลองมุ่งหน้าไปทางนั้นต่อเ”

หนิวโหย่วเต้ายกมือปราม “ข้าว่านะท่านผู้อาวุโส ท่านช่วยกำหนดทิศทางที่แน่ชัดได้หรือไม่? ป่าผืนนี้กว้างใหญ่ไพศาลปานนี้ หากคลำหาอย่างไร้เป้าหมายเช่นนี้ต่อไป เราจะต้องหากันถึงเมื่อไรเล่า? พวกเรายินดีร่วมทางมาด้วย แต่อสูรผีเสื้อจะไม่เหนื่อยตายเอาหรือ?”

อวิ๋นจีกล่าวว่า “ข้าเองก็ต้องตามหาตำแหน่งที่แยกทางกับจูชื่อเฉิงในครั้งนั้นให้ได้ก่อน มิเช่นนั้นก็จะเป็นอย่างที่เจ้าว่า ป่ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ หากคลำหาอย่างไร้เป้าหมายเช่นนี้ต่อไปก็ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร มีแต่ต้องตามหาตำแหน่งที่แยกจากกันในครานั้นให้ได้ เราถึงจะมีโอกาสเจอร่องรอยการต่อสู้ระหว่างจูชื่อเฉิงกับอสูรผีเสื้อในครั้งนั้น และนำมาใช้เป็นเบาะแสในการค้นหาได้”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ผ่านมาร้อยกว่าปีแล้ว ท่านแน่ใจหรือว่าท่านจดจำบริเวณที่แยกจากกันในครานั้นได้?”

อวิ๋นจีตอบว่า “ตำแหน่งที่แยกจากกันมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ข้าจดจำได้ขึ้นใจ ไม่มีทางลืมเลือน ภูเขาลูกนั้นไม่สูงมาก นัก ภูเขาฝั่งหนึ่งสูงฝั่งหนึ่งต่ำ ระหว่างทางให้ทุกคนช่วยกันสังเกตด้วย หากพบสถานที่ที่คล้ายคลึงก็ให้แจ้งมา”

“ภูเขาที่ไม่สูงหรือ?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม ก่อนจะยกมือตบหน้าผากเล็กน้อย ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น

อวิ๋นจีมองดูเขา ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร

หยวนกังกลับทราบดีว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงยิ้มอย่างขมขื่น ในอดีตเต้าเหยี่ยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดูฮวงจุ้ยสร้างบ้านตั้งสุสาน ย่อมรู้ดีว่าคำพูดของอวิ๋นจีมีปัญหา จึงช่วยเอ่ยเตือนไปว่า “หากว่าภูเขาไม่สูงล่ะก็ อย่างนั้นมาพูดว่าด้านหนึ่งสูงด้านหนึ่งต่ำอะไรแบบนี้ไม่มีประโยชน์ มีคำกล่าวที่ว่ามองขวางเห็นยอดมองข้างเห็นสัน หากยืนในตำแหน่งที่ต่างกันก็จะเห็นลักษณ์ภูเขาที่ต่างกันไป มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเราจะผ่านภูเขาลูกนั้นมาแล้ว แต่ยากจะสังเกตเห็นได้ ท่านพอจะรู้ถึงทิศทางของภูเขาลูกนั้นหรือไม่?”

หากไม่พูดก็คงไม่เคยคิดไปถึงด้านนี้เลย พอได้ยินเขาว่ามาเช่นนี้ ก่วนฟางอี๋กับหยวนฟางก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าใช้ความคิด สื่อว่าเห็นด้วย

“อันนี้…” อวิ๋นจีเอ่ยด้วยความลังเล “ตอนนั้นรีบร้อนหลบหนี ไม่ได้สังเกตตำแหน่งทิศทาง แต่ข้าค่อนข้างแน่ใจ เมื่อวิเคราะห์จากลักษณะภูมิประเทศบางส่วนที่ค่อนข้างคุ้นตาที่มองเห็นจากเส้นทางเบื้องหน้าแล้ว พวกเราน่าจะมาถึงละแวกใกล้เคียงแล้ว ตำแหน่งน่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่แล้ว”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวด้วยความแปลกใจ “พวกเราน่าจะออกห่างจากปากทางเข้าแดนความฝันผีเสื้อมาไกลมากแล้ว ตอนที่จูชื่อเฉิงพาท่านเข้ามาในครั้งนั้น ลำพังพวกท่านสองคนฝ่าการโจมตีของอสูรผีเสื้อจำนวนมากจนเข้ามาลึกขนาดนี้ได้อย่างไร?”

“มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์!” พอเห็นว่าทุกคนไม่เข้าใจ อวิ๋นจีจึงอธิบายเพิ่มว่า “มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์เองก็มีผลต่ออสูรผีเสื้ออยู่พอสมควร โดยเฉพาะกับอสูรผีเสื้อระดับต่ำ เพราะมีมุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ พวกเราถึงเข้ามาลึกขนาดนี้ได้ ภายหลังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผีเสื้อโลหิตระดับสูงมีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ถึงได้เจออันตรายเข้า”

อย่างนี้นี่เอง! ทั้งสี่ใคร่ครวญตาม เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าสรุปแล้วคำพูดของสตรีนางนี้เป็นความจริงหรือไม่

หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่อยู่ตรงนั้น ถอนหายใจดังเฮ้อแล้วเอ่ยไปว่า “เสียเวลาเดินทางมากับท่านนานขนาดนี้ หากหันหลังกลับเอาตอนนี้ก็เท่ากับเปลืองแรงทุกคนไปโดยเปล่าประโยชน์ หาต่อกันเถอะ แต่ว่าผู้อาวุโส ข้าขอเตือนท่านเอาไว้สักหน่อย ตั้งแต่เข้าสู่แดนความฝันจนมาถึงตอนนี้ เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งวันแล้ว เส้นทางที่พวกเราเดินทางอ้อมไปอ้อมมา หากขากลับมุ่งหน้าตัดตรงไปก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งวันอยู่ดีกระมัง? พูดอีกอย่างก็คือพวกเราค้นหาเป็นเพื่อนท่านได้อย่างมากอีกหนึ่งวันเท่านั้น พอถึงเวลาจะต้องถอนตัวกลับทันที เมื่อถึงเวลานั้นอย่าหาว่าข้าไม่ยอมช่วยท่านก็แล้วกัน พวกเราไม่มีทางยอมโดนขังอยู่ที่นี่เป็นสิบปีพร้อมกับท่านได้”

อวิ๋นจีเหลือบมองมา “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว! หากว่าครั้งนี้หาไม่พบ ครั้งหน้าเมื่อแดนความฝันเปิดขึ้นค่อยมาใหม่” สายตาเหลือบไปทางหยวนกังอย่างมีนัยยะแอบแฝง คล้ายกำลังบอกว่าครั้งหน้าก็ยังจะพึ่งพาความสามารถของหยวนกังให้มาค้นหากับนางต่อ

ภายนอกหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ปฏิเสธออกไปตรงๆ แต่ภายในใจกลับหัวเราะหยันเล็กน้อย เรื่องราวในอีกสิบปีให้หลังยากจะพูดกันในกระจ่างได้ เรื่องราวในโลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา หาได้ขึ้นอยู่กับคำพูดของเจ้าไม่

หยวนกังมองมา ทว่าหนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าเล็กน้อย สื่อว่าตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องแตกหักกับสตรีนางนี้ เขาโบกมือเอ่ยไปว่า “เช่นนั้นก็รีบค้นหาต่อเถอะ”

ทั้งคณะเดินทางต่อไปอีกครั้ง เกาะร่างของอสูรผีเสื้อออกค้นหาต่อไป

หยวนฟางรู้สึกเบื่อหน่าย นี่มันต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทรกันเล่า?艾琳小說

ก่วนฟางอี๋ด่าอยู่ในใจ เคยส่งสัญญาณถามหนิวโหย่วเต้าอย่างลับๆ ว่าให้ใช้ยันต์กระบี่สวรรค์ลอบโจมตีหรือไม่ บางทีอาจจะปลิดชีวิตอวิ๋นจีได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

แต่หนิวโหย่วเต้าไม่ตอบตกลง ประการแรกคืออวิ๋นจีดูระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด หากลงมือพลาดแล้วปล่อยให้สตรีนางนี้หนีไปได้ นั่นยังไม่ใช่ปัญหาสำคัญ ปัญหาสำคัญคือไม่ว่าเขากับอวิ๋นฮวนจะร่วมสาบานกันด้วยใจจริงสักกี่ส่วน แต่หากไม่อยู่ในสถานการณ์ที่สุดวิสัยจริงๆ ล่ะก็ เขาก็รู้สึกลำบากใจอย่างมากที่ต้องลงมือสังหารมารดาอวิ๋นฮวน เขายังคงยึดมั่นในบรรทัดฐานด้านศีลธรรมบางอย่างอยู่

ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าใจจริงจะคิดอย่างไร แต่หากว่าชั่งผลดีผลเสียดูแล้ว การทำผิดคุณธรรมก็ไม่ใช่เรื่องดีอันใดเลย คนข้างกายก็เป็นคน ไม่ว่าจะเป็นคนสนิทหรือไม่ก็ตาม แต่หัวใจคนเรามีเลือดเนื้อ หากกระทำเรื่องบางอย่างลงไป คนใกล้ชิดล้วนแต่มองเห็น แล้วจดจำฝังอยู่ในใจ

หากเขาข้ามเส้นที่ไม่ควรข้ามไป สักวันหนึ่งคนที่อยู่ข้างกายก็จะข้ามเส้นนั้นไปได้ง่ายๆ เช่นกัน คนที่เลียเลือดบนปลายดาบคือคนที่เผชิญกงเหวียนกรรมเกวียนได้ง่ายที่สุด….

“เจอแล้ว ลูกนั้น!”

เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม เป็นไปตามที่อวิ๋นจีสันนิษฐานไว้ อยู่ห่างจากตำแหน่งที่ประมาณเอาไว้ไม่ไกลจริงๆ อวิ๋นจีที่เหินทะยานขึ้นไปอยู่กลางอากาศเหนือผืนป่าชี้ไปยังภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ทางซ้ายพลางตะโกนด้วยความดีใจ ตื่นเต้นยินดีจนเสียอาการเล็กน้อย

ทุกคนมองออกไป ท่ามกลางภูเขาที่ทอดตัวสลับขึ้นลงนั้นมีภูเขาลูกหนึ่งที่ด้านหนึ่งสูงด้านหนึ่งต่ำอยู่อยู่จริงๆ

อสูรผีเสื้อที่พวกเขาเกาะอยู่เปลี่ยนทิศทางทันที

อวิ๋นจีนำทางอยู่ด้านหน้า พาทั้งคณะมาทางปีกขวาของภูเขาลูกนั้น จากนั้นถึงจะค่อยๆ ร่อนลง

มีลำธารสายหนึ่ง บนหน้าผามีน้ำตกอยู่แห่งหนึ่ง ระดับความสูงของน้ำตกไม่ได้สูงเท่าพฤกษาใหญ่ในป่า ทว่าอวิ๋นจีที่ยืนอยู่ริมลำธารกลับมองน้ำตกสายนั้นพลางเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ไม่ผิดแน่ ที่นี่แหละ ที่นี่แหละ!”

ทุกคนมองไปรอบๆ มีผีเสื้อขนาดใหญ่ที่ส่องแสงได้กระพือปีกโบยบินอยู่ไม่น้อย แล้วก็เกิดความเชื่อถือในคำพูดของอวิ๋นจีเพิ่มมาส่วนหนึ่ง

เป็นอย่างที่อวิ๋นจีบอกจริงๆ ที่นี่ดูเหมือนจะมีอสูรโลหิตอยู่ไม่น้อยเลย อสูรโลหิตที่มากับพวกเขาส่งเสียง “กี้ดๆ” ไม่หยุด คอยสื่อสารกับอสูรโลหิตที่ล้อมวงเข้ามา

กระทั่งอสูรโลหิตที่ล้อมวงเข้ามาล่าถอยออกไปแล้ว ทุกคนถึงได้โล่งอก หากถูกอสูรโลหิตที่รวมตัวเป็นกลุ่มเข้ามาปิดล้อมโจมตีเข้าจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นใครก็อย่าหวังจะรอดชีวิตออกไปได้เลย

เมื่อพบสถานที่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความอีก อวิ๋นจีเริ่มออกค้นหาร่องรอยตามทิศทางของจูชื่อเฉิงในตอนที่แยกจากกันทันที

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ อวิ๋นจีตามไปได้ไม่ไกลก็ค้นพบก้อนหินที่มีตะไคร่น้ำปกคลุมก้อนหนึ่ง บนก้อนหินมีรอยถูกผ่าแยกด้วยปราณกระบี่ไอรีนโนเวล

แต่จากนั้นไม่นานก็พบอุปสรรคเข้า เวลาผ่านมาร้อยกว่าปี ทุกหนทุกแห่งมีตะไคร่น้ำเขียวชอุ่มและเถาวัลย์ขนาดใหญ่ขึ้นปกคลุม หากคิดจะตามหาเบาะแสของเมื่อร้อยกว่าปีก่อน พวกเขาก็ต้องขจัดอุปสรรคจำนวนมากที่กีดขวางออกไปก่อน ต่อให้ทุกคนจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียร แต่หากจะทำเช่นนั้นก็ยังเปลืองแรงเป็นอย่างมาก อีกทั้งขอบเขตพื้นที่ก็กว้างใหญ่เกินไป

ด้วยคำสั่งของหนิวโหย่วเต้า ทุกคนยังคงพยายามตามหาเบาะแสอย่างสุดกำลัง ค้นหาไปตามทิศทางคร่าวๆ ที่จูชื่อเฉิงมุ่งหน้าไปเป็นอันดับแรก

ใครจะไปรู้ว่าหลังจากค้นหากันไปสักพักหนึ่ง พวกเขาก็ค้นพบปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม

ทะเลสาบแห่งหนึ่ง!

ทุกคนเดินมายังริมทะเลสาบแห่งนี้อีกครั้ง!

เดินมายังริมทะเลสาบแห่งนี้เป็นครั้งที่สาม

ครั้งที่สองที่วนกลับมาพบก็ยังคิดอยู่ว่าเป็นเพียงทะเลสาบที่คล้ายคลึงกัน จนวนมาถึงเป็นรอบที่สามถึงได้เฉลียวใจสังเกตดู พบว่ากระทั่งลักษณะของริมฝั่งทะเลสาบในครั้งที่สามเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด ทุกคนถึงตระหนักได้ว่ามันผิดปกติ จึงพากันหยุดเดินกันหมด

หยวนฟางถามด้วยความแปลกใจ “หรือว่าจะหลงทางเสียแล้ว?”

หนิวโหย่วเต้าที่มองดูรอบข้างเอ่ยเนิบๆ ว่า “ไม่ใช่หลงทาง แต่มีคนติดตั้งค่ายกลไว้ที่นี่ พวกเราถูกขังอยู่ในค่ายกลเสียแล้ว”

ใครกันที่มาวางค่ายกลไว้ในสถานที่แห่งนี้ได้? ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลอ สับสนลังเล ในใจแทบจะมีข้อสันนิษฐานแบบเดียวกัน

“หรือว่าพระราชวังของซางซ่งจะตั้งอยู่ในบริเวณนี้?” ก่วนฟางอี๋ที่หมุนตัวมองพินิจรอบข้างเอ่ยความคิดที่อยู่ในใจของทุกคนออกมา

อวิ๋นจีทะยานขึ้นๆ ลงๆ ทันที ค้นหาร่องรอยค่ายกล เพื่อที่จะได้ลงมือแก้ไข

หนิวโหย่วเต้าก็มองสำรวจรอบข้างอย่างเงียบๆ เช่นกัน

ผ่านไปสักพักหนึ่ง อวิ๋นจีหยุดค้นหาแล้ว กลับมาอยู่กับทุกคน เอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าใจระคนโกรธเกรี้ยว “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?” เห็นได้ชัดว่าหาวิธีทำลายค่ายกลไม่พบ

ไม่ง่ายเลยกว่านางจะหาที่นี่พบ แต่กลับต้องมาพบอุปสรรคจากค่ายกลเข้า เวลาเปิดตัวของแดนความฝันมีจำกัดนะ!

เมื่อเห็นว่ากระทั่งอวิ๋นจียังเป็นเช่นนี้ หยวนฟางจึงเอ่ยด้วยความกระวนกระวาย “เต้าเหยี่ย พวกเราจะออกไปได้หรือไม่ขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้าที่มองสำรวจรอบข้างกำลังนับนิ้วคำนวณเปรียบเทียบลักษณะภูมิประเทศอยู่ เขานึกเชื่อมโยงไปถึงคันฉ่องที่เขาพบในสุสานโบราณบานนั้นขึ้นมา นั่นคือคันฉ่องแห่งซาง ตำนานเล่าขานว่าคันฉ่องเป็นสมบัติวิเศษที่ซางซ่งสร้างขึ้น หากว่าค่ายกลของที่นี่เกี่ยวข้องกับซางซ่งจริงๆ ลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร

พอได้ยินคำถาม หนิวโหย่วเต้าที่กำลังนับนิ้วคำนวณอยู่พลันได้สติกลับมา หลังจากใคร่ครวญดูเล็กน้อยก็เอ่ยเนิบๆ ว่า “ไม่จำเป็นต้องตระหนกไป มิสู้ลองตามหามุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ดูก่อน”

ก่วนฟางอี๋กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ถูกขังไว้ที่นี่ ไปต่อไม่ได้แล้ว แล้วยังจะไปหาอย่างไรเล่า” มองจากท่าทางแล้วดูเหมือนกำลังโทษว่าหนิวโหย่วเต้าทำเรื่องผิดพลาดลงไปแล้ว

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างสุขุมว่า “ไม่ลองย้อนคิดดูสักหน่อยหรือ เมื่อดูจากร่องรอยการหลบหนีของจูชื่อเฉิงแล้ว หากว่าที่นี่คือค่ายกลอันใดที่ยากจะทำลายได้จริงๆ มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่สุดท้ายแล้วจูชื่อเฉิงจะติดอยู่ที่นี่เช่นกัน ต่อให้จูชื่อเฉิงเป็นยอดฝีด้านการแก้ค่ายกล ก็ต้องใช้เวลาตรวจสอบค่ายกลก่อนเช่นกัน เว้นเสียแต่เขาจะสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้โดยไม่ต้องตรวจสอบรายละเอียดเลย ในสถานการณ์ที่มีอสูรโลหิตกลุ่มหนึ่งตามไล่ล่าสังหาร เกรงว่าจูชื่อเฉิงคงไม่มีมีเวลาพอจะตรวจสอบค่ายกลอย่างละเอียดได้ หากว่าเขาถูกขังไว้ที่นี่จริง มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่สิ้นชีพของจูชื่อเฉิง ทุกคนมิสู้ลองสำรวจที่นี่ดูให้ละเอียดก่อนเถอะ”

พอได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของอวิ๋นจีที่ยืนทื่ออยู่พลันเปล่งประกาย เริ่มออกค้นหาในสถานที่แห่งนี้เป็นคนแรก

คนอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วก็กำลังช่วยกันอยู่ มีเพียงหนิวโหย่วเต้าที่ยังคงนับนิ้วอยู่ หมกมุ่นจดจ่อกับการคำนวณอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้นต่อไป

ผ่านไปไม่นาน จู่ๆ หยวนฟางก็ตะโกนขึ้นว่า “ที่นี่มีเสื้อผ้าอยู่ เจ้าเขาอวิ๋น ท่านมาดูหน่อยสิว่าท่านจำได้หรือไม่”

ทุกคนหันไปมอง มองเห็นหยวนฟางที่ค้นหาอยู่แถวริมทะเลสาบดึงเศษผ้าชิ้นหนึ่งออกมาจากใต้กองเถาวัลย์ เนื้อผ้ามีความแวววาวเล็กน้อย

หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปมองโดยที่ยังยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม ส่วนคนอื่นๆ ทะยานเข้าไปล้อมวงดู

เหตุผลที่เศษผ้าแวววาวเพราะเนื้อผ้าผลิตขึ้นจากของจำพวกเส้นไหมเงิน จึงยังคงสภาพเดิมของเสื้อผ้าเอาไว้ได้

อวิ๋นจีคว้าไปในทันใด จับไว้ด้วยสองมือ เอ่ยด้วยเสียงที่เจือความสั่นเครือ “เสื้อคลุมหมื่นสรรพสัตว์ ต้านทานคมอาวุธได้เล็กน้อย ตามกฎแล้วมีเพียงเจ้าสำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่จะได้สวมใส่ น่าจะเป็นเสื้อคลุมของเขา”

หยวนกัง หยวนฟางและก่วนฟางอี๋สบตากัน แยกย้ายกันไปค้นหาต่อทันที

มีเบาะแสอยู่จริงๆ อย่างนั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเข้าไปดูให้แน่ชัดเช่นกัน

……………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด