ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 254 ราบรื่นกับผีสิ

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 254 ราบรื่นกับผีสิ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 254 ราบรื่นกับผีสิ

“ไม่ออกห่างจากเขาอย่างนั้นหรือ?” ลิ่งหูชิวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “หรือข้าต้องไปนอนร่วมเตียงกับเขาด้วย?”

หงซิ่วป้องปากยิ้ม รู้ดีว่าเขาพูดไปเพราะความโมโห

หลังจากลิ่งหูชิวใคร่ครวญอยู่สักพัก ก็บ่นขึ้นมาอีก “สตรีนางนั้นอยู่ที่แคว้นฉี หนิวโหย่วเต้าเพิ่งปรากฏตัวขึ้นมาได้ไม่นาน สตรีนางนั้นมีความแค้นกับหนิวโหย่วเต้าได้อย่างไร?”

หงซิ่วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่สะดวกจะสอบถามจากเบื้องบน เรื่องกฎนายท่านก็รู้ดี…”

…..

พริบตาเดียวก็ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจว ภายใต้แสงจันทร์ จงหยางซวี่ยืนยกมือไพล่หลัง เงยหน้ามองดวงจันทร์อยู่ในลานเรือน

เซ่าผิงปอที่ได้รับแจ้งเร่งเดินออกมาจากห้องหนังสือ รีบเดินเข้าไปหาเขา ประสานมือเอ่ยทักทาย “ท่านลุง ท่านมาได้อย่างไร มีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ แค่กๆ…” กล่าวยังไม่ทันจบก็ยกกำปั้นป้องปากไอโขลกๆ

จงหยางซวี่พลิกมือยื่นโอสถหุ้มขี้ผึ้งเม็ดหนึ่งให้ “ได้ยินว่าเจ้าไอหนักขึ้นอีกแล้ว สำนักเขามหายานจึงให้คนไปซื้อโอสถวิญญาณล้ำค่ามาให้เจ้าโดยเฉพาะ”

เซ่าผิงปอรีบยื่นสองมือไปรับมา เอ่ยอย่างสุภาพ “ท่านลุงให้คนนำมาส่งก็ได้ขอรับ ไยท่านลุงต้องลำบากมาด้วยตัวเอง”

จงหยางซวี่เอ่ยว่า “กินเถอะ เป็นของดีช่วยบำรุงเลือดลม ซื้อมาด้วยเงินนับพันเหรียญทอง”

“ขอรับ!” เซ่าผิงปอบีบเปลือกขี้ผึ้งให้ปริแตก เผยให้เห็นยาสีขาวดั่งหยกเม็ดหนึ่งที่อยู่ด้านใน กลิ่นหอมลอยโชยออกมา เขาค่อยๆ เอาใส่เข้าปาก กลืนลงไปพร้อมน้ำลาย

เซ่าซานเสิ่งที่อยู่ด้านข้างรีบเข้าห้องไปหยิบน้ำมาให้เขาถ้วยหนึ่ง เซ่าผิงปอรับไปกระดกดื่ม

จงหยางซวี่มองอยู่ด้านข้าง รู้สึกทอดถอนใจ

พอเห็นเซ่าผิงปอ เขาก็จะนึกถึงภาพพวกอนุหร่วนแม่ลูกที่ตายด้วยพิษ มองอีกฝ่ายเป็นสัตว์ร้ายใจคอโหดเหี้ยมไปนานแล้ว ยิ่งเด็กคนนี้เคารพนอบน้อมต่อเขาเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น

ว่ากันตามตรงแล้ว เขาไม่ชอบคนประเภทนี้เท่าไรนัก เนื่องจากหวาดกลัว กังวลว่าจะถูกแว้งกัดเข้า!

แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ความสามารถของคนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ทุกคนล้วนไม่ใช่คนตาบอด ต่างมองเห็นถึงความก้าวหน้าของมณฑลเป่ยโจวเต็มสองตา ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างในสำนักเขามหายานต่างพากันชื่นชม

กระทั่งเขายื่นถ้วยน้ำชาคืนไปแล้ว จงหยางซวี่ก็โบกมือสื่อให้เขาหันหลังไป “ข้าจะใช้พลังช่วยฟื้นฟูร่างกายให้เจ้าสักหน่อย” จากนั้นก็ทาบฝ่ามือข้างหนึ่งลงบนแผ่นหลังของเซ่าผิงปอ

กระแสปราณสายหนึ่งไหลเวียนตามเส้นลมปราณภายในร่าง เซ่าผิงปอหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย

หลังจากเดินลมปราณไปรอบหนึ่ง เซ่าผิงปอก็รับรู้ได้ว่าทั่วร่างเบาสบายขึ้นไม่น้อย ความเหนื่อยล้าสลายหายไปจนหมด

“ขอบคุณท่านลุงขอรับ!” เซ่าผิงปอหันไปประสานมือกล่าวขอบคุณ

จงหยางซวี่เอ่ยว่า “สุขภาพของเจ้าเป็นเช่นนี้ อย่าได้หักโหมเกินไปนัก ต้องพักผ่อนฟื้นฟูให้มาก มิเช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายตัวเอง ยากจะหายขาดได้ ต่อให้ยาดีแค่ไหนก็ไม่มีทางรักษาให้หายได้!”

เซ่าผิงปอยิ้มเจื่อน

จงหยางซวี่เงียบไปเล็กน้อย พบว่าตนเองพูดเหลวไหลไปเสียแล้ว ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของมณฑลเป่ยโจว คนผู้นี้ไม่อาจพักได้ เกรงว่าสำนักเขามหายานก็คงไม่ต้องการให้เขาพักเช่นกัน จึงหันไปเอ่ยกับเซ่าซานเสิ่ง “ข้าจะส่งคนมาใช้พลังฟื้นฟูสุขภาพให้คุณชายใหญ่ทุกวัน เรื่องเวลาเจ้าไปจัดการมา”

“ขอรับ!” เซ่าซานเสิ่งตอบรับอย่างนอบน้อม

“เข้านอนให้เร็วหน่อยเถอะ!” จงหยางซวี่มองดูตะเกียงภายในห้องหนังสือที่ยังสว่างอยู่ เอ่ยทิ้งท้ายไว้แล้วหันหลังเดินออกไป

เซ่าผิงปอออกมาส่งเขาออกจากประตูเรือนด้วยตัวเอง จากนั้นยืนกุมมือมองส่งอยู่ด้านนอกประตูเรือนเพื่อแสดงความเคารพให้เกียรติ!

เมื่อเงาร่างของจงหยางซวี่หายลับไปแล้ว เซ่าซานเสิ่งกระซิบเรียก “คุณชายใหญ่ขอรับ”

เซ่าผิงปอเหลียวมองเล็กน้อย มองออกว่ามีธุระ จึงหมุนตัวเดินนำเขากลับเข้าไป

เมื่อกลับมาถึงห้องหนังสือ เซ่าซานเสิ่งขยับเข้ามาหาเขา เอ่ยรายงานเสียงเบาๆ ว่า “คุณหนูซูส่งข่าวกลับมาขอรับ ตอนนี้ยังลงมือไม่ได้ บอกว่าลิ่งหูชิวคนนั้นน่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง ตามติดอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า ไม่ห่างไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว หาโอกาสลงมือไม่ได้เลยขอรับ!”

“ฟู่ว!” เซ่าผิงปอพรูลมหายใจออกมาเบาๆ คล้ายรู้สึกเสียดาย “รู้อยู่แล้วว่าเจ้านั่นต้องเตรียมการมาเป็นอย่างดี ไม่มีทางลงมือได้ง่ายๆ… ไม่ห่างไปไหนแม้แต่ก้าวเดียวอย่างนั้นหรือ? ในจดหมายของพี่จ้าวเขียนบรรยายไว้แบบนี้หรือ?” เขาเหลือบมองด้วยหางตา

เซ่าซานเสิ่งพยักหน้า “ขอรับ!”

เซ่าผิงปอเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าลิ่งหูชิวมีไมตรีอันใดกับเขา ว่ากันตามหลักแล้ว ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็ไม่มีทางที่จะเคยติดต่อกันถึงจะถูก ไม่ห่างไปไหนแม้แต่ก้าวเดียวอย่างนั้นหรือ? ลิ่งหูชิวมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้ เจ้าไม่รู้สึกว่ามันปุบปับไปหรือ? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามันไม่ปกติ?”

เขาขมวดคิ้วขึ้นมา เดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง ใคร่ครวญอะไรบางอย่างอยู่

ผ่านไปสักพักก็ชะงักเท้า พึมพำกับตัวเอง “หากข้าจำไม่ผิด พี่จ้าวเคยบอกว่าตอนที่นางเข้าไปทำความรู้จักกับลิ่งหูชิวก็ถูกทางสมาคมรู้เข้า ทางสมาคมเคยเตือนนาง บอกว่าเบื้องหลังของลิ่งหูชิวซับซ้อน ให้พี่จ้าวอย่าไปล่วงเกิน…เรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ!”

เซ่าซานเสิ่งถาม “เบื้องหลังของลิ่งหูชิวซับซ้อนจริงๆ ขอรับ สายสัมพันธ์กว้างขวาง สมาคมที่อยู่เบื้องหลังคุณหนูซูมีความลึกลับ ไม่อยากถูกเปิดเผย การที่ห้ามไม่ให้คุณหนูซูไปล่วงเกินก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผลดี มีปัญหาอะไรหรือขอรับ?”

“ปัญหามันอยู่ตรงนี้นี่แหละ!” เซ่าผิงปอหันขวับกลับมา

เซ่าซานเสิ่งผงะไป ยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยว่า “บ่าวชราโง่เขลา มองปัญหาอันใดไม่ออกเลยขอรับ!”

เซ่าผิงปอย้อนถาม “ตอนนั้นพี่จ้าวไปทำความรู้จักกับลิ่งหูชิวเพียงเล็กน้อยก็ถูกสมาคมที่อยู่เบื้องหลังตักเตือนแล้ว ลิ่งหูชิวร่วมเดินทางไปกับหนิวโหย่วเต้า พี่จ้าวพบว่าพวกเขาไม่ห่างกันเลยแม้แต่ก้าวเดียว แสดงว่าใช้กองกำลังสอดแนมไปเท่าไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะปกปิดสมาคมที่อยู่เบื้องหลังพี่จ้าวได้หรือ?”

เซ่าซานเสิ่งคิดตาม

“ลิ่งหูชิวคนนี้น่าสนใจ…” เซ่าผิงปอหรี่ตาพึมพำ เดินกลับไปกลับมาเล็กน้อย หยุดอยู่ตรงหน้าเซ่าซานเสิ่งอีกครั้ง “ส่งข่าวกลับไปหาพี่จ้าว สอบถามนางดูว่าตอนที่สอดแนมพวกลิ่งหูชิว นางเคยได้รับการตักเตือนจากทางสมาคมอีกหรือไม่ แล้วก็ถือโอกาสเตือนนางไปด้วย หากว่าสมาคมไม่ได้เตือนมาอีก ต่อไปให้นางระมัดระวังลิ่งหูชิวคนนี้เอาไว้หน่อย”

เซ่าซานเสิ่งขอคำชี้แนะ “คุณชายใหญ่หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ?”

ดวงตาเซ่าผิงปอฉายแววใคร่ครวญ เอ่ยไปว่า “ลิ่งหูชิวคนนี้อาจจะเป็นคนในสมาคมเดียวกันกับพี่จ้าว ลิ่งหูชิวตามติดหนิวโหย่วเต้าไม่ห่าง เป็นไปได้สูงว่าจะรู้แล้วว่าพี่จ้าวต้องการลงมือกับหนิวโหย่วเต้า ด้วยเหตุนี้จึงไม่ปล่อยให้พี่จ้าวได้มีโอกาสลงมือ…หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว นี่ก็จะทำให้อธิบายได้ว่าเหตุใดลิ่งหูชิวถึงไปตามติดอยู่กับหนิวโหย่วเต้า”

เซ่าซานเสิ่งเอ่ยเสริมเข้าไป “เป็นไปได้หรือไม่ว่าสมาคมนั้นจะรู้ว่าคุณหนูซูทราบดีว่าอะไรควรไม่ควร รู้ว่าคุณหนูซูไม่มีทางทำให้เรื่องราวพัวพันไปถึงลิ่งหูชิว เมื่อเตือนคุณหนูซูไปแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมไม่จำเป็นต้องเตือนอีกเป็นครั้งที่สอง?”

เซ่าผิงปอแค่นหัวเราะหึหึ “บอกได้เพียงว่ามีความเป็นไปได้ ส่วนจะมีความเป็นไปได้จริงหรือไม่นั้น ในใจพี่จ้าวน่าจะรู้ดีกว่าพวกเรามากนัก ดังนั้นเจ้าจงส่งข่าวไปเตือนพี่จ้าว อีกอย่าง หากว่าความสัมพันธ์ระหว่างลิ่งหูชิวและหนิวโหย่วเต้าดีขนาดนี้จริงๆ หากมีคนปองร้ายหนิวโหย่วเต้า ใครจะรับรองได้ว่าลิ่งหูชิวจะไม่ยื่นมือช่วยเหลือ? ขอเพียงสมาคมนั้นไม่ได้ตักเตือนพี่จ้าว มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่ลิ่งหูชิวคนนั้นจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับทางสมาคมนั้นอยู่ ต่อให้มิใช่คนในสมาคม แต่ต้องมีสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาแน่!

เซ่าซานเสิ่งเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนี้จริง อย่างนั้นเรื่องหนิวโหย่วเต้า ต้องเตือนให้คุณหนูซูหยุดมือไหมขอรับ?”

“ไม่ต้อง!” เซ่าผิงปอโบกมือ “หากว่าลิ่งหูชิวเป็นคนในสมาคมนั้นจริง ที่ครั้งนี้สมาคมไม่ตักเตือนพี่จ้าวก็คงเป็นเพราะไม่อยากเผยฐานะของลิ่งหูชิว จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าสมาคมให้ความสำคัญกับการปิดบังตัวตนของลิ่งหูชิวอย่างมาก หากพี่จ้าวรู้เข้า เกรงว่าจะเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเอาได้ ไปบอกพี่จ้าว นางควรทำสิ่งใดก็จัดการไปตามนั้น ให้ทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แค่รู้อยู่ในใจก็พอ”

“ขอรับ เข้าใจแล้ว ข้าจะไปส่งข่าวให้คุณหนูซูเดี๋ยวนี้ครับ” เซ่าซานเสิ่งพยักหน้าตอบรับ

เมื่ออยู่ในห้องเพียงคนเดียว เซ่าผิงปอยังคงเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องไม่หยุด สุดท้ายก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตะเกียง เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ จ้องมองแสงไฟแล้วคุยกับตัวเอง “ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนหนึ่ง มาถึงวันนี้ได้ มิน่าล่ะ…หอจันทร์กระจ่าง…ดูเหมือนจะคิดหาประโยชน์จากทางนี้มาตลอดสินะ…ข้าก็อยากเห็นนักว่าใครจะหาประโยชน์จากใครกันแน่…”

……

ขบวนม้าควบทะยานไป ยิ่งเดินหน้ายิ่งรกร้าง

ในที่สุดก็มาถึงด้านนอกตำบลเล็กๆ ที่มีฝุ่นควันคละคลุ้งแห่งหนึ่ง ทั้งตำบลให้ความรู้สึกเหมือนดินเหลืองๆ เมื่อมองข้ามตำบลเล็กๆ ไป ไกลออกไปทางด้านหลังของตำบลเล็กๆ มีเทือกเขาที่ทอดยาวอยู่แห่งหนึ่ง

“ทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาขวางกั้นอยู่ด้านหลังเทือกเขาแห่งนั้น หากคิดจะเข้าไปก็ต้องทิ้งม้าเอาไว้” ลิ่งหูชิวที่นั่งอยู่บนหลังม้าชี้ไปยังเทือกเขาที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นชี้ไปยังถนนที่ทอดตัวไกลออกไปจากตำบล เอ่ยว่า “น้องหนิวแน่ใจหรือว่าจะไม่ตรงไปยังแคว้นฉี แต่จะเปลี่ยนเส้นทางไปยัง ‘หอไร้ขอบเขต’ แทน?”

หอไร้ขอบเขต เป็นการคงอยู่ทำนองเดียวกับเมืองไจซิงและหอหิมะเหมันต์ สิ่งที่ต่างกันคือมันตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล เนื่องจากรอบด้านคือทะเลทรายกว้างไกลไร้ขอบเขต มันจึงได้ชื่อว่าหอไร้ขอบเขต

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้ามทะเลทรายไปก็ไปถึงแคว้นฉีได้เหมือนกัน ด้านระยะเวลาก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกันมากเท่าไรกระมัง?”

หงซิ่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ระยะเวลาไม่ต่างกันเท่าไรเจ้าค่ะ แต่ทางหนึ่งคือขี่ม้าไป ส่วนอีกทางต้องเปลืองแรงกันหน่อย เต้าเหยี่ยไม่สงสารสตรีอย่างพวกเราบ้างหรือเจ้าคะ? อีกอย่าง เมื่อเต้าเหยี่ยไปยังหอไร้ขอบเขต ท่านจะต้องรั้งอยู่ที่นั่นแน่นอน ในด้านระยะเวลาย่อมมีความต่างกัน”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ได้ยินชื่อเสียงของหอไร้ขอบเขตมานาน แต่ยังไม่เคยไปชม ในเมื่อผ่านมาทางนี้แล้ว ย่อมต้องถือโอกาสไปเยือนสักหน่อย หากผ่านไปโดยไม่แวะไปเยือน นั่นมิน่าเสียดายหรือ ถึงอย่างไรก็ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้มา”

ลิ่งหูชิวหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยไปว่า “น้องหนิว ไหนเจ้าบอกว่าต้องการม้าศึกอย่างเร่งด่วน แต่ข้าเห็นระหว่างที่เดินทางมา เวลาที่ควรเดินทางเจ้าก็เดินทาง เวลาที่ควรพักเจ้าก็หยุดพัก ไม่เห็นเร่งร้อนเลย ดูไม่เหมือนคนที่ร้อนใจสักนิด!”

หนิวโหย่วเต้ามองไปรอบๆ มุมปากเผยรอยยิ้มที่ชวนให้คนฉงนใจ “บางสิ่งบางอย่างรีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์ จะเร่งให้พี่ลิ่งหูรีบเดินทางก็ไม่ดีเช่นกัน เกรงว่าจะทำให้พี่ลิ่งหูลำบากเกินไป สิ่งที่โชคดีคือตลอดการเดินทางนี้สงบราบรื่นเป็นอย่างดี บอกตามตรง หลังจากที่ข้าแยกตัวมาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ยามที่เดินทางอยู่ด้านนอกนั้นไม่เคยราบรื่นเลย มักจะประสบอันตราย นี่เป็นครั้งแรกที่ราบรื่นถึงเพียงนี้!”

หงฝูมองเขาด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง หงซิ่วยิ้มน้อยๆ ไม่เอ่ยวาจา

ลิ่งหูชิวบ่นในใจ ราบรื่นกับผีสิ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าปกป้องเจ้าอยู่ ข้าก็อยากเห็นนักว่าเจ้ายังจะยังราบรื่นอยู่หรือไม่!

แต่ภายนอกกลับหัวเราะฮ่าๆ กล่าวไปว่า “แล้วไม่ดีหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “แต่จะว่าไปแล้ว ต่อให้มีปัญหาก็ไม่ต้องกลัว ขอเพียงบอกชื่อพี่ลิ่งหูออกไป จะต้องหลีกเลี่ยงภัยร้ายได้แน่นอน!”

“น้องหนิวยกยอกันเกินไปแล้ว” ลิ่งหูชิวส่ายหน้า บังคับม้ามุ่งหน้าไปยังตำบลเล็กๆ อย่างเชื่องช้า “เอาล่ะ อย่ามัวแต่พูดไร้สาระกันเลย ในเมื่อจะไปหอไร้ขอบเขต ก็อย่ามัวโอ้เอ้อยู่ที่นี่เลย ไปถึงหอไร้ขอบเขตแล้วค่อยพักผ่อนให้เต็มที่ก็ยังไม่สาย”

ทั้งกลุ่มเข้าสู่ตำบลเล็กๆ ปรับเปลี่ยนแผนการเล็กน้อย กินอาหารกันก่อนหนึ่งมื้อ ยามที่เดินทางออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของตำบลก็ได้ทิ้งม้าไปแล้ว บนร่างแต่ละคนต่างมีถุงน้ำหนังแกะเพิ่มมาคนละใบ

เงาร่างโฉบทะยานขึ้นๆ ลงๆ ไปตามผืนทะเลทราย เมื่อมาถึงด้านล่างเทือกเขาก็ทะยานขึ้นสู่ด้านบน เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาก็เหินทะยานไปตามยอดเขา

ยามที่หยุดลงตรงชายขอบเทือกเขา ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เนินทรายสีเหลืองที่อยู่ด้านล่างเทือกเขาทอดยาวออกไปไกล สุดลูกหูลูกตา กว้างใหญ่ไพศาล ยิ่งใหญ่อลังการ!

สายลมหนาวเย็นหอบใหญ่โชยปะทะหน้า

แต่บนยอดเขาที่พวกเขาร่อนลงไปกลับไม่มีพืชพรรณใดๆ งอกเงยให้เห็น ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยกระบองเพชรรูปทรงแปลกประหลาด

เมื่อเหลียวมองรอบข้าง บรรยากาศแตกต่างกันราวกับอยู่กันคนละโลก!

………………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด