ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 120 ความหวัง

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 120 ความหวัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 120 ความหวัง

เฮยหมู่ตานเองก็เดาออกเช่นกันว่าหยวนฟางจะทำอะไร นางจัดการเรื่องของตนเองไป เปิดกล่องอาหารทั้งสองใบออก ยกอาหารออกมาจัดวาง

ณ ห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยม หยวนฟางวางใบเสร็จลงบนโต๊ะ เอ่ยถาม “นี่เป็นของจริงหรือของปลอม?”

เถ้าแก่รับไปมองเพียงแวบเดียวก็เข้าใจ ยื่นคืนให้พลางตอบว่า “ของจริงขอรับ เมื่อครู่สตรีที่ผิวค่อนข้างคล้ำคนนั้นเพิ่งมาจ่ายค่าเช่าให้”

หยวนฟางรับใบเสร็จคืน หันหลังจากไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แววตาวูบไหวไม่หยุดนิ่ง อุทานอยู่ในใจ แบบนี้ก็ได้หรือ?

เขาพบว่าตนปล้นชิงก่อกรรมซ้ำไปซ้ำมาอยู่ที่วัดหนานซานตั้งหลายปีเพิ่งสะสมเงินได้ไม่กี่ร้อยเหรียญทอง ยังสู้ทำแบบนี้ไม่ได้เลย ต้องใคร่ครวญดูให้กระจ่างว่าต้องทำอย่างไร หากว่าเข้าเท่า นี่จะกลายเป็นช่องทางหาเงิน!

เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก รีบกลับไปที่ห้องพัก เดินไปหยุดข้างกายหนิวโหย่วเต้า ก้มกระซิบข้างหูว่า “เต้าเหยี่ย ของจริงขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าปรายตามองแวบหนึ่ง รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย พบว่าหยวนฟางทำตัวตระหนี่ถี่เหนียวไปหน่อย ทำเหมือนว่าไม่เคยเห็นเงินมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น มิใช่ว่าอยากเลียนแบบหยวนกังหรอกหรือ เหตุใดเงินแค่พันกว่าเหรียญทองก็ทำให้เจ้าละทิ้งการคุ้มกันข้าไปได้เล่า? เงินสำคัญกว่าหรือข้าสำคัญกว่ากันแน่?

อาหารจัดวางแล้ว สุรารินไว้แล้ว เฮยหมู่ตานหยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา โรยผงสีขาวลงบนอาหารทุกจานเล็กน้อย ทำการทดสอบพิษให้ดูเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ

หยวนฟางกลับยื่นมือไปคว้าขวดกระเบื้องใบน้อยมาจากมือนาง ใช้ปลายนิ้วหยิบมาเล็กน้อย แตะชิมที่ปลายลิ้น เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาถึงคืนให้อีกฝ่ายอีกครั้ง

หนิวโหย่วเต้าอดขำไม่ได้ ลืมไปเลยว่าเจ้าหมีตัวนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวางยา เขาชี้นิ้วไปทาง ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ ที่เฮยหมู่ตานวางไว้ด้านข้าง

เฮยหมู่ตานรีบหยิบขึ้นมาแล้วยื่นส่งให้ด้วยสองมือ

หนิวโหย่วเต้ารับ ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ ไปถือ พลิกดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพลิกไปถึงหน้าที่บันทึกภาพราชาหมีขนทองไว้ก็ยื่นไปให้หยวนฟาง “เจ้าลองดูสิ”

ดูอะไร? หยวนฟางฉงน รับไปอ่านดู สองตาพลันตกตะลึง

หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญเฮยหมู่ตานให้นั่งลงฝั่งตรงข้าม พร้อมเอ่ยถามว่า “เฮยหมู่ตานเป็นนามแฝงกระมัง?”

ในที่สุดก็ยอมเจรจากับตนแล้ว เฮยหมู่ตานกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา นั่งลงตรงข้ามเขาอย่างเรียบร้อย พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม “เป็นนามแฝง แต่ก็เป็นนามจริงด้วยเช่นกัน ตั้งแต่เล็กมาไม่เคยรู้ว่าพ่อแม่ตนเป็นใคร พอเริ่มจำความได้ก็รู้ว่าเร่ร่อนไปตามท้องถนนมาโดยตลอด ข้าผิวพรรณดำคล้ำมาตั้งแต่เล็ก ถูกคนเรียกว่าสาวน้อยตัวดำ ต่อมาบังเอิญพบอาจารย์ จึงได้รับนามว่าเฮยหมู่ตาน”

หนิวโหย่วเต้าร้องอ้อ ถามต่อว่า “อาจารย์ของเจ้าเป็นยอดฝีมือจากสำนักใดเหรอ?”

เฮยหมู่ตานตอบว่า “เป็นผู้บำเพ็ญเพียรอิสระที่ไร้สำนัก มีครั้งหนึ่งตอนที่พาข้าออกทะเลไปเก็บสมุนไพรวิญญาณ เผชิญการปล้นชิงเข้า อาจารย์ถูกสังหารสิ้นชีพ ข้าหนีลงทะเลจึงหลบเลี่ยงเคราะห์ภัยมาได้”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า ถามต่ออีก “เจ้าเป็นโสด?”

เฮยหมู่ตานกล่าวตอบ “เมื่อก่อนมีตาแต่ไร้แวว เคยติดตามบุรุษคนหนึ่ง ภายหลังไอ้สารเลวผู้นั้นต้องการปีนป่ายใฝ่สูง จึงทิ้งข้าไป ตอนนี้จับกลุ่มร่วมงานกับพรรคพวกที่มีปณิธานแบบเดียวกัน”

เมื่อตระหนักได้ว่าสุ้มเสียงของตนมีความเกลียดชังเจือปนอยู่ นางจึงยกจอกสุราขึ้นมาคารวะเพื่อกลบเกลื่อน

หนิวโหย่วเต้าร่วมดื่มเป็นเพื่อนจอกหนึ่ง พร้อมกับปรายตามองหยวนฟางที่อยู่ด้านข้าง สังเกตเห็นว่าสีหน้าหยวนฟางไม่สู้ดี จึงลอบขบขันอยู่ในใจ

เฮยหมู่ตานวางจอกสุราลง เชื้อเชิญให้ลิ้มลองอาหาร “คุณชายลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” พร้อมกับลุกขึ้นมา ย้ายไปนั่งด้านข้างหนิวโหย่วเต้า ช่วยรินสุราให้

หนิวโหย่วเต้าหยิบตะเกียบคีบชิมสองสามคำ ถามขึ้นมาอีกว่า “เจ้ามีสภาวะระดับใด? แล้วพรรคพวกของเจ้าที่อยู่ด้านนอกมีสภาวะระดับใด?”

“ล้วนมีสภาวะระดับสร้างฐานกันหมดแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่กล้ามาหาคุณชายที่นี่” หลังจากเฮยหมู่ตานยกการินสุราให้เขา ก็ลองสอบถามว่า “ข้ายังไม่ทราบนามอันสูงส่งของคุณชายเลย”

“เซวียนหยวนเต้า” หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางแนะนำตัวเองเล็กน้อย จากนั้นชี้ไปทางหยวนฟางที่สีหน้าย่ำแย่ เขานามว่า “จินเวย”

หลังผูกความแค้นกับตระกูลซ่งเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสังหารซ่งหลงที่เป็นราชทูตแคว้นเยี่ยนไปแล้ว เวลาออกมาด้านนอกทั้งสองล้วนต้องเปลี่ยนแปลงชื่อแซ่ ส่วนหยวนฟางเดิมทีก็ไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการอยู่แล้ว เมื่อก่อนที่วัดหนานซานล้วนเรียกขานเขาว่าเสี่ยวจิน นามจินเวยเป็นหยวนฟางที่ตั้งขึ้นมาเอง หยวนฟางรู้สึกว่านามของหยวนกังดูแกร่งกร้าวนัก คิดว่านามของตนก็ไม่ควรจะด้อยกว่าเช่นกัน จึงตั้งชื่อให้ตัวเองว่าจินเวย

เฮยหมู่ตานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ได้ยินพี่จินเวยเรียกคุณชายว่าเต้าเหยี่ย ที่แท้ก็มีที่มาเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นต่อไปข้าจะเรียกคุณชายว่าเต้าเหยี่ยเช่นกัน ไม่ทราบว่าเต้าเหยี่ยเป็นยอดฝีมือจากสำนักใดหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “เช่นเดียวกับเจ้า ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก”

สีหน้าเฮยหมู่ตานแปรเปลี่ยนทันที จากนั้นสีหน้าดูผ่อนคลายลงอีกครั้ง ยิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้”

หนิวโหย่วเต้าถามด้วยความแปลกใจ “เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้เล่า”

เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักหาเงินยาก จะมีสักกี่คนที่หักใจยอมจ่ายเงินสิบเหรียญทองเพื่อเข้าพักในโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์หนึ่งวันได้ อีกทั้งเต้าเหยี่ยก็ยังดูหนุ่มแน่นงามสง่าเช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีผู้ติดตามข้างกาย…” นางมองหยวนฟางแวบหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะ

หยวนฟางปิด ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ นั่งลงด้านข้าง คว้าจอกสุรากรอกเข้าปากเพื่อระงับความตกใจ

เขาเพิ่งรู้ตอนนี้ว่าตนเป็นสิ่งที่มนุษย์มากมายต้องการเข่นฆ่าเอาชีวิต เพิ่งรู้ว่าขนของตนเป็นสมบัติล้ำค่าในสายตาของผู้บำเพ็ญเพียร นำมาตัดเย็บเป็นชุดเกราะป้องกันฟันแทงไม่เข้าได้ นึกโทษตัวเองที่ก่อนหน้านี้กล้าเผยขนบนตัวออกมา พอนึกๆ ไปก็ตกใจจนหลั่งเหงื่อโซมกาย

หนิวโหย่วเต้าปรายตามองเขาแวบหนึ่ง รู้แจ้งแก่ใจดี ก่อนจะยิ้มให้เฮยหมู่ตานพลางเอ่ยว่า “แล้วเจ้ามิใช่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักหรือ?”

เฮยหมู่ตานทราบว่าเขากำลังสื่อว่าตนก็จ่ายเงินสิบเหรียญทองเข้ามาเหมือนกันมิใช่หรือ จึงตอบไปว่า “ไม่เหมือนกัน ข้าจ่ายเงินเข้ามาพัก ก็เพื่อมาพบเต้าเหยี่ย”

หนิวโหย่วเต้าถามด้วยความสนใจ “มาหาข้าทำไม?”

เฮยหมู่ตานไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้ หากไม่รู้จริงๆ จะเรียกใช้งานนางเช่นนี้ทำไม นางปลุกขวัญกำลังใจตนอยู่ในใจ ในที่สุดก็บอกเล่าจุดประสงค์ที่มา “ข้าอยากก่อตั้งสำนักแห่งหนึ่งขึ้น เพื่อให้หลุดพ้นจากสถานะผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก”

หนิวโหย่วเต้าถาม “นี่เป็นเรื่องดี แต่เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า?”

เฮยหมู่ตานกล่าวไปว่า “คาดว่าเต้าเหยี่ยน่าจะทราบเงื่อนไขในการก่อตั้งสำนักกระมัง มิใช่พวกเราบอกว่าตนเองมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักแล้วจะมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักในทันที แล้วก็มิใช่บอกว่าตนเองมีสำนักแล้วก็จะมีสำนักในทันทีเช่นกัน”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “อย่างแรกคือสำนักนี้ต้องได้รับการยอมรับจากโลกบำเพ็ญเพียรเสียก่อน ถึงจะก่อตั้งสร้างสำนักขึ้นในโลกบำเพ็ญเพียรได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะได้รับการยอมรับจากทุกคน ด้วยเหตุนี้โลกบำเพ็ญเพียรจึงเห็นชอบที่จะให้ยอดฝีมือระดับจิตทารกทั้งเก้าท่านที่ได้รับความเคารพเป็นอย่างสูงเป็นพยานรับรอง ยกตัวอย่างเช่นเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังเมืองไจซิงเองก็เป็นหนึ่งในเก้าท่านนั้น ขอเพียงได้รับการลงนามรับรองจากเก้าท่านนี้ ถึงจะมีสิทธิ์ก่อตั้งสำนักขึ้น! แต่ถ้าอยากได้การรับรองนี้ ก็จำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและกำลังทรัพย์ของตนว่ามีคุณสมบัติพร้อมก่อตั้งสร้างสำนัก ซ้ำยังต้องได้รับการแนะนำและรับรองจากสำนักอื่นด้วย ไม่ทราบว่าข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”

เฮยหมู่ตานพยักหน้ารับ “เต้าเหยี่ยกล่าวถูกต้องครบถ้วนทุกประการ พวกเรามิใช่ยอดฝีมือที่มีชื่อติดสิบลำดับแรกในทำเนียบโอสถ ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังที่คนทั่วหล้าให้การยอมรับ จึงไม่สามารถไปขอให้ผู้อาวุโสเก้าท่านนั้นลงนามรับรองตรงๆ ได้ จำเป็นต้องใช้วิธีปกติธรรมดา”

หนิวโหย่วเต้าถามยิ้มๆ “เช่นนั้นไม่ทราบว่าตรงตามเงื่อนไขกี่ข้อเล่า?”

เฮยหมู่ตานตอบว่า “ด้านความสามารถพวกเราพิสูจน์มาแล้ว พวกเราทำภารกิจสามสิบรายการบนทำเนียบมารร้ายนอกรีตสำเร็จลุล่วงแล้ว”

สิ่งที่เรียกว่าทำเนียบมารร้ายนอกรีต หนิวโหย่วเต้าก็รู้จักเช่นกัน มันหมายถึงคนบางกลุ่มที่ทำผิดกฎของโลกบำเพ็ญเพียร หรือกระทำเรื่องชั่วร้ายบางอย่างที่ทำให้สาธารณชนขุ่นเคือง ซึ่งชื่อเหล่านั้นจะถูกปิดประกาศเอาไว้ในสถานที่สาธารณะที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรจะมารวมตัวกันเหมือนอย่างเมืองไจซิงแห่งนี้ เพื่อสนับสนุนผลักดันให้ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้าขุดรากถอนโคนและร่วมกันพิทักษ์กฎของโลกบำเพ็ญเพียร

ส่วนคนที่ต้องการก่อตั้งสำนักขึ้น มิใช่เจ้าบอกว่ามีความสามารถก็แปลว่าเจ้ามีความสามารถ เจ้าต้องพิสูจน์ตัวเองให้เห็นด้วย หากเจ้าอยากก่อตั้งสร้างสำนักในโลกบำเพ็ญเพียร อย่างแรกที่ต้องทำคือพิสูจน์ว่าตนยินดีจะพิทักษ์กฎของโลกบำเพ็ญเพียรหรือไม่?

เอาล่ะ บนทำเนียบมีชื่อคนชั่วอยู่เป็นกอง เจ้าไปหาทางจัดการซะ

แต่ก็ไม่ได้บังคับเจ้าเช่นกัน หากเจ้าคิดว่าจัดการคนไหนได้ เจ้าก็ไปจัดการคนนั้นก็แล้วกัน

สรุปแล้วมีภารกิจทั้งหมดสามสิบรายการ เป็นภารกิจกำจัดทิ้งยี่สิบรายการ ที่เหลืออีกสิบรายการให้ตามหาเบาะแสแหล่งกบดานของคนชั่วแล้วรายงานที่ซ่อนตัวก็พอ ผู้ติดประกาศจะแจ้งให้ศัตรูคู่แค้นของคนชั่วเหล่านั้นไปจัดการเอง แต่แน่นอน หากเจ้ายินดีจะกำจัดทิ้งหมดทั้งสามสิบรายการก็ยิ่งดี นับว่าเจ้าทำภารกิจได้สำเร็จลุล่วงอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

หนิวโหย่วเต้าร้องจุ๊ๆ แล้วกล่าวว่า “ทำภารกิจสามสิบรายการสำเร็จได้ ไม่ง่ายเลยๆ” แค่ลองคิดดูก็รู้แล้วว่าไม่ง่ายเลย อันตรายหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่มันต้องสิ้นเปลืองเวลาและสติปัญญาเท่าไรกว่าจะทำสำเร็จได้ นับว่าคนเหล่านี้ทุ่มเทเป็นอย่างมากเพื่อทำให้ตนเองหลุดพ้นจากสถานะผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก

เฮยหมู่ตานเอ่ยด้วยท่าทางเศร้าหมองเล็กน้อย “เพื่อจัดการภารกิจสามสิบรายการนี้ให้สำเร็จลุล่วง พรรคพวกของพวกเราสิ้นชีพไปถึงสิบกว่าคน ตอนนี้พวกเราเหลือกันอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น สูญเสียค่าตอบแทนไปมากมายขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องมีคำอธิบายให้ทั้งคนที่จากไปแล้วและคนที่ยังอยู่ให้ได้”

หนิวโหย่วเต้ายกจอกแนบริมฝีปาก เอ่ยเนิบๆ ว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า มีปัญหาติดขัดในเงื่อนไขด้านอื่นๆ”

เฮยหมู่ตานมองเขาด้วยแววตาที่เจือความหวังเอาไว้นิดๆ “การพิสูจน์ในด้านกำลังทรัพย์ ค่าใช้จ่ายในการยื่นเรื่องเบื้องต้นจำนวนหมื่นเหรียญทองพวกเราหาทางจัดการกันเองได้ ตอนนี้ยังขาดเพียงจดหมายแนะนำจากสำนักสักแห่ง รวมถึงค่าปรับอีกแสนเหรียญทองที่พวกเราจ่ายไม่ไหว”

อันที่จริงค่าปรับแสนเหรียญทองนี้มิใช่สิ่งที่ผู้ยื่นเรื่องก่อตั้งสำนักต้องจ่าย แต่คนที่ต้องจ่ายคือสำนักที่ให้การแนะนำและรับรอง ในมุมของโลกบำเพ็ญเพียรมองว่าการก่อตั้งสำนักเป็นเรื่องจริงจัง มิใช่การละเล่นของเด็กน้อย มิใช่สิ่งที่เจ้านึกอยากทำก็ทำ นึกไม่อยากทำก็ไม่ทำแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจช่วยรับรองให้ใครส่งเดชได้

ผู้ให้การแนะนำและรับรองก็ต้องรับผิดชอบด้วย สำนักที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ไม่อนุญาตให้มีคนถอนตัวออกจากสำนักเป็นเวลาสามปี หากมีปัญหาภายในก็ต้องแก้ไขกันเอง สรุปคร่าวๆ คือหากก่อตั้งสำนักแห่งหนึ่งขึ้นมาแล้วยังไม่มีแม้แต่ความสามารถในการบริหารจัดการตัวเอง แล้วเจ้าจะก่อตั้งสำนักขึ้นมาทำไม? ตั้งขึ้นเล่นๆ อย่างนั้นหรือ?

หากว่าเกิดเรื่องประเภทนี้ขึ้น สำนักนี้ก็จะถือว่าถูกยุบลงโดยปริยาย ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นสำนักอีกต่อไป ส่วนผู้ให้การรับรองก็ต้องเสียค่าปรับแสนเหรียญทองให้หอเลือนสลัว ส่วน ‘หอเลือนสลัว’ ที่ว่านี้มิใช่นามของสถานที่หรือวัตถุใด กล่าวโดยสรุปแล้วก็คือองค์กรแห่งหนึ่งที่เป็นตัวแทนคอยดูแลพิทักษ์กฎของโลกบำเพ็ญเพียร

เมื่ออยู่ภายใต้กฎระเบียบเช่นนี้ ขอถามหน่อยเถิดว่าสำนักไหนจะยอมรับรองให้คนอื่นง่ายๆ? หากมิใช่ผู้ที่มีไมตรีแน่นแฟ้น ก็ไม่มีใครที่จะยอมตกลงรับปากเรื่องที่จะชักนำความเดือดร้อนมาให้ตนเป็นแน่ หากมีผู้ที่ยินดีช่วยรับรองและให้การแนะนำเจ้าก็นับว่าใจบุญเปี่ยมเมตตามากแล้ว ขอเพียงมีสำนึกสักนิดก็ต้องเอาเงินแสนเหรียญทองไปให้อีกฝ่าย จะปล่อยให้ผู้ค้ำประกันมาแบกรับความเสี่ยงแทนเจ้าก็คงไม่ได้กระมัง? ถือเสียว่าเงินนี้เป็นเงินค้ำประกันให้แก่อีกฝ่าย ในอนาคตเมื่อผ่านเงื่อนไขกฎเกณฑ์แล้วค่อยคืนให้เจ้า หรือไม่เจ้าก็อย่าได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะคืนให้เจ้า ถือว่ายกให้เป็นสินน้ำใจที่อีกฝ่ายให้ความช่วยเหลือก็แล้วกัน

พูดกันมาถึงขนาดนี้แล้ว หนิวโหย่วเต้าจะไม่ทราบเจตนาของนางได้อย่างไร

ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเป็นชนชั้นที่น่ากระอักกระอ่วนที่สุดของโลกบำเพ็ญเพียร เจ้าอยากเข้าร่วมกับสำนักอื่นๆ แต่สำนักปกติทั่วไปที่ดูแลจัดการตัวเองได้ล้วนไม่ค่อยอยากรับคนนอกที่ทำตัวครึ่งๆ กลางๆ เหลวไหลเลอะเทอะเข้ามาในสำนักง่ายๆ เว้นแต่เจ้าจะมีประโยชน์ต่อสำนักแห่งนี้จริงๆ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักส่วนใหญ่ที่มีความสามารถอยู่แล้วกลับดูแคลนเรื่องประเภทนี้ เหตุใดต้องหาสำนักมาเป็นห่วงผูกคอตนด้วยเล่า?

ปัญหาสำคัญคือสำนักบำเพ็ญเพียรต่างๆ ล้วนต้องการรักษาผลประโยชน์ของตนไว้ จึงได้มีการรวมกลุ่มตั้งกฎระเบียบของโลกบำเพ็ญเพียรผ่านทาง ‘หอเลือนสลัว’ ขึ้นมา พูดให้ฟังดูดีคือเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นการรบกวนวิถีชีวิตปกติของประชาชนในโลกปุถุชน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแก่งแย่งชิงดีระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรและคนธรรมดา จึงไม่อนุญาตให้ผู้บำเพ็ญเพียรคนใดทำการค้ากับคนธรรมดาทั้งในทางตรงและทางอ้อม หากพบผู้กระทำผิดจะลงโทษอย่างหนัก ไม่ผ่อนปรนเด็ดขาด

ถ้ามองจากกฎข้อนี้เพียงข้อเดียว มันก็คล้ายจะยุติธรรมสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมด แต่เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัจจัยในด้านต่างๆ จึงทำให้ช่องทางหาเงินของผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักถูกตัดขาดไปไม่น้อยทีเดียว

…………………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 120 ความหวัง

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 120 ความหวัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 120 ความหวัง

เฮยหมู่ตานเองก็เดาออกเช่นกันว่าหยวนฟางจะทำอะไร นางจัดการเรื่องของตนเองไป เปิดกล่องอาหารทั้งสองใบออก ยกอาหารออกมาจัดวาง

ณ ห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยม หยวนฟางวางใบเสร็จลงบนโต๊ะ เอ่ยถาม “นี่เป็นของจริงหรือของปลอม?”

เถ้าแก่รับไปมองเพียงแวบเดียวก็เข้าใจ ยื่นคืนให้พลางตอบว่า “ของจริงขอรับ เมื่อครู่สตรีที่ผิวค่อนข้างคล้ำคนนั้นเพิ่งมาจ่ายค่าเช่าให้”

หยวนฟางรับใบเสร็จคืน หันหลังจากไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แววตาวูบไหวไม่หยุดนิ่ง อุทานอยู่ในใจ แบบนี้ก็ได้หรือ?

เขาพบว่าตนปล้นชิงก่อกรรมซ้ำไปซ้ำมาอยู่ที่วัดหนานซานตั้งหลายปีเพิ่งสะสมเงินได้ไม่กี่ร้อยเหรียญทอง ยังสู้ทำแบบนี้ไม่ได้เลย ต้องใคร่ครวญดูให้กระจ่างว่าต้องทำอย่างไร หากว่าเข้าเท่า นี่จะกลายเป็นช่องทางหาเงิน!

เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก รีบกลับไปที่ห้องพัก เดินไปหยุดข้างกายหนิวโหย่วเต้า ก้มกระซิบข้างหูว่า “เต้าเหยี่ย ของจริงขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าปรายตามองแวบหนึ่ง รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย พบว่าหยวนฟางทำตัวตระหนี่ถี่เหนียวไปหน่อย ทำเหมือนว่าไม่เคยเห็นเงินมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น มิใช่ว่าอยากเลียนแบบหยวนกังหรอกหรือ เหตุใดเงินแค่พันกว่าเหรียญทองก็ทำให้เจ้าละทิ้งการคุ้มกันข้าไปได้เล่า? เงินสำคัญกว่าหรือข้าสำคัญกว่ากันแน่?

อาหารจัดวางแล้ว สุรารินไว้แล้ว เฮยหมู่ตานหยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา โรยผงสีขาวลงบนอาหารทุกจานเล็กน้อย ทำการทดสอบพิษให้ดูเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ

หยวนฟางกลับยื่นมือไปคว้าขวดกระเบื้องใบน้อยมาจากมือนาง ใช้ปลายนิ้วหยิบมาเล็กน้อย แตะชิมที่ปลายลิ้น เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาถึงคืนให้อีกฝ่ายอีกครั้ง

หนิวโหย่วเต้าอดขำไม่ได้ ลืมไปเลยว่าเจ้าหมีตัวนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวางยา เขาชี้นิ้วไปทาง ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ ที่เฮยหมู่ตานวางไว้ด้านข้าง

เฮยหมู่ตานรีบหยิบขึ้นมาแล้วยื่นส่งให้ด้วยสองมือ

หนิวโหย่วเต้ารับ ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ ไปถือ พลิกดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพลิกไปถึงหน้าที่บันทึกภาพราชาหมีขนทองไว้ก็ยื่นไปให้หยวนฟาง “เจ้าลองดูสิ”

ดูอะไร? หยวนฟางฉงน รับไปอ่านดู สองตาพลันตกตะลึง

หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญเฮยหมู่ตานให้นั่งลงฝั่งตรงข้าม พร้อมเอ่ยถามว่า “เฮยหมู่ตานเป็นนามแฝงกระมัง?”

ในที่สุดก็ยอมเจรจากับตนแล้ว เฮยหมู่ตานกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา นั่งลงตรงข้ามเขาอย่างเรียบร้อย พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม “เป็นนามแฝง แต่ก็เป็นนามจริงด้วยเช่นกัน ตั้งแต่เล็กมาไม่เคยรู้ว่าพ่อแม่ตนเป็นใคร พอเริ่มจำความได้ก็รู้ว่าเร่ร่อนไปตามท้องถนนมาโดยตลอด ข้าผิวพรรณดำคล้ำมาตั้งแต่เล็ก ถูกคนเรียกว่าสาวน้อยตัวดำ ต่อมาบังเอิญพบอาจารย์ จึงได้รับนามว่าเฮยหมู่ตาน”

หนิวโหย่วเต้าร้องอ้อ ถามต่อว่า “อาจารย์ของเจ้าเป็นยอดฝีมือจากสำนักใดเหรอ?”

เฮยหมู่ตานตอบว่า “เป็นผู้บำเพ็ญเพียรอิสระที่ไร้สำนัก มีครั้งหนึ่งตอนที่พาข้าออกทะเลไปเก็บสมุนไพรวิญญาณ เผชิญการปล้นชิงเข้า อาจารย์ถูกสังหารสิ้นชีพ ข้าหนีลงทะเลจึงหลบเลี่ยงเคราะห์ภัยมาได้”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า ถามต่ออีก “เจ้าเป็นโสด?”

เฮยหมู่ตานกล่าวตอบ “เมื่อก่อนมีตาแต่ไร้แวว เคยติดตามบุรุษคนหนึ่ง ภายหลังไอ้สารเลวผู้นั้นต้องการปีนป่ายใฝ่สูง จึงทิ้งข้าไป ตอนนี้จับกลุ่มร่วมงานกับพรรคพวกที่มีปณิธานแบบเดียวกัน”

เมื่อตระหนักได้ว่าสุ้มเสียงของตนมีความเกลียดชังเจือปนอยู่ นางจึงยกจอกสุราขึ้นมาคารวะเพื่อกลบเกลื่อน

หนิวโหย่วเต้าร่วมดื่มเป็นเพื่อนจอกหนึ่ง พร้อมกับปรายตามองหยวนฟางที่อยู่ด้านข้าง สังเกตเห็นว่าสีหน้าหยวนฟางไม่สู้ดี จึงลอบขบขันอยู่ในใจ

เฮยหมู่ตานวางจอกสุราลง เชื้อเชิญให้ลิ้มลองอาหาร “คุณชายลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” พร้อมกับลุกขึ้นมา ย้ายไปนั่งด้านข้างหนิวโหย่วเต้า ช่วยรินสุราให้

หนิวโหย่วเต้าหยิบตะเกียบคีบชิมสองสามคำ ถามขึ้นมาอีกว่า “เจ้ามีสภาวะระดับใด? แล้วพรรคพวกของเจ้าที่อยู่ด้านนอกมีสภาวะระดับใด?”

“ล้วนมีสภาวะระดับสร้างฐานกันหมดแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่กล้ามาหาคุณชายที่นี่” หลังจากเฮยหมู่ตานยกการินสุราให้เขา ก็ลองสอบถามว่า “ข้ายังไม่ทราบนามอันสูงส่งของคุณชายเลย”

“เซวียนหยวนเต้า” หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางแนะนำตัวเองเล็กน้อย จากนั้นชี้ไปทางหยวนฟางที่สีหน้าย่ำแย่ เขานามว่า “จินเวย”

หลังผูกความแค้นกับตระกูลซ่งเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสังหารซ่งหลงที่เป็นราชทูตแคว้นเยี่ยนไปแล้ว เวลาออกมาด้านนอกทั้งสองล้วนต้องเปลี่ยนแปลงชื่อแซ่ ส่วนหยวนฟางเดิมทีก็ไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการอยู่แล้ว เมื่อก่อนที่วัดหนานซานล้วนเรียกขานเขาว่าเสี่ยวจิน นามจินเวยเป็นหยวนฟางที่ตั้งขึ้นมาเอง หยวนฟางรู้สึกว่านามของหยวนกังดูแกร่งกร้าวนัก คิดว่านามของตนก็ไม่ควรจะด้อยกว่าเช่นกัน จึงตั้งชื่อให้ตัวเองว่าจินเวย

เฮยหมู่ตานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ได้ยินพี่จินเวยเรียกคุณชายว่าเต้าเหยี่ย ที่แท้ก็มีที่มาเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นต่อไปข้าจะเรียกคุณชายว่าเต้าเหยี่ยเช่นกัน ไม่ทราบว่าเต้าเหยี่ยเป็นยอดฝีมือจากสำนักใดหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “เช่นเดียวกับเจ้า ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก”

สีหน้าเฮยหมู่ตานแปรเปลี่ยนทันที จากนั้นสีหน้าดูผ่อนคลายลงอีกครั้ง ยิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้”

หนิวโหย่วเต้าถามด้วยความแปลกใจ “เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้เล่า”

เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักหาเงินยาก จะมีสักกี่คนที่หักใจยอมจ่ายเงินสิบเหรียญทองเพื่อเข้าพักในโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์หนึ่งวันได้ อีกทั้งเต้าเหยี่ยก็ยังดูหนุ่มแน่นงามสง่าเช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีผู้ติดตามข้างกาย…” นางมองหยวนฟางแวบหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะ

หยวนฟางปิด ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ นั่งลงด้านข้าง คว้าจอกสุรากรอกเข้าปากเพื่อระงับความตกใจ

เขาเพิ่งรู้ตอนนี้ว่าตนเป็นสิ่งที่มนุษย์มากมายต้องการเข่นฆ่าเอาชีวิต เพิ่งรู้ว่าขนของตนเป็นสมบัติล้ำค่าในสายตาของผู้บำเพ็ญเพียร นำมาตัดเย็บเป็นชุดเกราะป้องกันฟันแทงไม่เข้าได้ นึกโทษตัวเองที่ก่อนหน้านี้กล้าเผยขนบนตัวออกมา พอนึกๆ ไปก็ตกใจจนหลั่งเหงื่อโซมกาย

หนิวโหย่วเต้าปรายตามองเขาแวบหนึ่ง รู้แจ้งแก่ใจดี ก่อนจะยิ้มให้เฮยหมู่ตานพลางเอ่ยว่า “แล้วเจ้ามิใช่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักหรือ?”

เฮยหมู่ตานทราบว่าเขากำลังสื่อว่าตนก็จ่ายเงินสิบเหรียญทองเข้ามาเหมือนกันมิใช่หรือ จึงตอบไปว่า “ไม่เหมือนกัน ข้าจ่ายเงินเข้ามาพัก ก็เพื่อมาพบเต้าเหยี่ย”

หนิวโหย่วเต้าถามด้วยความสนใจ “มาหาข้าทำไม?”

เฮยหมู่ตานไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้ หากไม่รู้จริงๆ จะเรียกใช้งานนางเช่นนี้ทำไม นางปลุกขวัญกำลังใจตนอยู่ในใจ ในที่สุดก็บอกเล่าจุดประสงค์ที่มา “ข้าอยากก่อตั้งสำนักแห่งหนึ่งขึ้น เพื่อให้หลุดพ้นจากสถานะผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก”

หนิวโหย่วเต้าถาม “นี่เป็นเรื่องดี แต่เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า?”

เฮยหมู่ตานกล่าวไปว่า “คาดว่าเต้าเหยี่ยน่าจะทราบเงื่อนไขในการก่อตั้งสำนักกระมัง มิใช่พวกเราบอกว่าตนเองมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักแล้วจะมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักในทันที แล้วก็มิใช่บอกว่าตนเองมีสำนักแล้วก็จะมีสำนักในทันทีเช่นกัน”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “อย่างแรกคือสำนักนี้ต้องได้รับการยอมรับจากโลกบำเพ็ญเพียรเสียก่อน ถึงจะก่อตั้งสร้างสำนักขึ้นในโลกบำเพ็ญเพียรได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะได้รับการยอมรับจากทุกคน ด้วยเหตุนี้โลกบำเพ็ญเพียรจึงเห็นชอบที่จะให้ยอดฝีมือระดับจิตทารกทั้งเก้าท่านที่ได้รับความเคารพเป็นอย่างสูงเป็นพยานรับรอง ยกตัวอย่างเช่นเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังเมืองไจซิงเองก็เป็นหนึ่งในเก้าท่านนั้น ขอเพียงได้รับการลงนามรับรองจากเก้าท่านนี้ ถึงจะมีสิทธิ์ก่อตั้งสำนักขึ้น! แต่ถ้าอยากได้การรับรองนี้ ก็จำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและกำลังทรัพย์ของตนว่ามีคุณสมบัติพร้อมก่อตั้งสร้างสำนัก ซ้ำยังต้องได้รับการแนะนำและรับรองจากสำนักอื่นด้วย ไม่ทราบว่าข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”

เฮยหมู่ตานพยักหน้ารับ “เต้าเหยี่ยกล่าวถูกต้องครบถ้วนทุกประการ พวกเรามิใช่ยอดฝีมือที่มีชื่อติดสิบลำดับแรกในทำเนียบโอสถ ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังที่คนทั่วหล้าให้การยอมรับ จึงไม่สามารถไปขอให้ผู้อาวุโสเก้าท่านนั้นลงนามรับรองตรงๆ ได้ จำเป็นต้องใช้วิธีปกติธรรมดา”

หนิวโหย่วเต้าถามยิ้มๆ “เช่นนั้นไม่ทราบว่าตรงตามเงื่อนไขกี่ข้อเล่า?”

เฮยหมู่ตานตอบว่า “ด้านความสามารถพวกเราพิสูจน์มาแล้ว พวกเราทำภารกิจสามสิบรายการบนทำเนียบมารร้ายนอกรีตสำเร็จลุล่วงแล้ว”

สิ่งที่เรียกว่าทำเนียบมารร้ายนอกรีต หนิวโหย่วเต้าก็รู้จักเช่นกัน มันหมายถึงคนบางกลุ่มที่ทำผิดกฎของโลกบำเพ็ญเพียร หรือกระทำเรื่องชั่วร้ายบางอย่างที่ทำให้สาธารณชนขุ่นเคือง ซึ่งชื่อเหล่านั้นจะถูกปิดประกาศเอาไว้ในสถานที่สาธารณะที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรจะมารวมตัวกันเหมือนอย่างเมืองไจซิงแห่งนี้ เพื่อสนับสนุนผลักดันให้ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้าขุดรากถอนโคนและร่วมกันพิทักษ์กฎของโลกบำเพ็ญเพียร

ส่วนคนที่ต้องการก่อตั้งสำนักขึ้น มิใช่เจ้าบอกว่ามีความสามารถก็แปลว่าเจ้ามีความสามารถ เจ้าต้องพิสูจน์ตัวเองให้เห็นด้วย หากเจ้าอยากก่อตั้งสร้างสำนักในโลกบำเพ็ญเพียร อย่างแรกที่ต้องทำคือพิสูจน์ว่าตนยินดีจะพิทักษ์กฎของโลกบำเพ็ญเพียรหรือไม่?

เอาล่ะ บนทำเนียบมีชื่อคนชั่วอยู่เป็นกอง เจ้าไปหาทางจัดการซะ

แต่ก็ไม่ได้บังคับเจ้าเช่นกัน หากเจ้าคิดว่าจัดการคนไหนได้ เจ้าก็ไปจัดการคนนั้นก็แล้วกัน

สรุปแล้วมีภารกิจทั้งหมดสามสิบรายการ เป็นภารกิจกำจัดทิ้งยี่สิบรายการ ที่เหลืออีกสิบรายการให้ตามหาเบาะแสแหล่งกบดานของคนชั่วแล้วรายงานที่ซ่อนตัวก็พอ ผู้ติดประกาศจะแจ้งให้ศัตรูคู่แค้นของคนชั่วเหล่านั้นไปจัดการเอง แต่แน่นอน หากเจ้ายินดีจะกำจัดทิ้งหมดทั้งสามสิบรายการก็ยิ่งดี นับว่าเจ้าทำภารกิจได้สำเร็จลุล่วงอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

หนิวโหย่วเต้าร้องจุ๊ๆ แล้วกล่าวว่า “ทำภารกิจสามสิบรายการสำเร็จได้ ไม่ง่ายเลยๆ” แค่ลองคิดดูก็รู้แล้วว่าไม่ง่ายเลย อันตรายหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่มันต้องสิ้นเปลืองเวลาและสติปัญญาเท่าไรกว่าจะทำสำเร็จได้ นับว่าคนเหล่านี้ทุ่มเทเป็นอย่างมากเพื่อทำให้ตนเองหลุดพ้นจากสถานะผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก

เฮยหมู่ตานเอ่ยด้วยท่าทางเศร้าหมองเล็กน้อย “เพื่อจัดการภารกิจสามสิบรายการนี้ให้สำเร็จลุล่วง พรรคพวกของพวกเราสิ้นชีพไปถึงสิบกว่าคน ตอนนี้พวกเราเหลือกันอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น สูญเสียค่าตอบแทนไปมากมายขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องมีคำอธิบายให้ทั้งคนที่จากไปแล้วและคนที่ยังอยู่ให้ได้”

หนิวโหย่วเต้ายกจอกแนบริมฝีปาก เอ่ยเนิบๆ ว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า มีปัญหาติดขัดในเงื่อนไขด้านอื่นๆ”

เฮยหมู่ตานมองเขาด้วยแววตาที่เจือความหวังเอาไว้นิดๆ “การพิสูจน์ในด้านกำลังทรัพย์ ค่าใช้จ่ายในการยื่นเรื่องเบื้องต้นจำนวนหมื่นเหรียญทองพวกเราหาทางจัดการกันเองได้ ตอนนี้ยังขาดเพียงจดหมายแนะนำจากสำนักสักแห่ง รวมถึงค่าปรับอีกแสนเหรียญทองที่พวกเราจ่ายไม่ไหว”

อันที่จริงค่าปรับแสนเหรียญทองนี้มิใช่สิ่งที่ผู้ยื่นเรื่องก่อตั้งสำนักต้องจ่าย แต่คนที่ต้องจ่ายคือสำนักที่ให้การแนะนำและรับรอง ในมุมของโลกบำเพ็ญเพียรมองว่าการก่อตั้งสำนักเป็นเรื่องจริงจัง มิใช่การละเล่นของเด็กน้อย มิใช่สิ่งที่เจ้านึกอยากทำก็ทำ นึกไม่อยากทำก็ไม่ทำแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจช่วยรับรองให้ใครส่งเดชได้

ผู้ให้การแนะนำและรับรองก็ต้องรับผิดชอบด้วย สำนักที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ไม่อนุญาตให้มีคนถอนตัวออกจากสำนักเป็นเวลาสามปี หากมีปัญหาภายในก็ต้องแก้ไขกันเอง สรุปคร่าวๆ คือหากก่อตั้งสำนักแห่งหนึ่งขึ้นมาแล้วยังไม่มีแม้แต่ความสามารถในการบริหารจัดการตัวเอง แล้วเจ้าจะก่อตั้งสำนักขึ้นมาทำไม? ตั้งขึ้นเล่นๆ อย่างนั้นหรือ?

หากว่าเกิดเรื่องประเภทนี้ขึ้น สำนักนี้ก็จะถือว่าถูกยุบลงโดยปริยาย ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นสำนักอีกต่อไป ส่วนผู้ให้การรับรองก็ต้องเสียค่าปรับแสนเหรียญทองให้หอเลือนสลัว ส่วน ‘หอเลือนสลัว’ ที่ว่านี้มิใช่นามของสถานที่หรือวัตถุใด กล่าวโดยสรุปแล้วก็คือองค์กรแห่งหนึ่งที่เป็นตัวแทนคอยดูแลพิทักษ์กฎของโลกบำเพ็ญเพียร

เมื่ออยู่ภายใต้กฎระเบียบเช่นนี้ ขอถามหน่อยเถิดว่าสำนักไหนจะยอมรับรองให้คนอื่นง่ายๆ? หากมิใช่ผู้ที่มีไมตรีแน่นแฟ้น ก็ไม่มีใครที่จะยอมตกลงรับปากเรื่องที่จะชักนำความเดือดร้อนมาให้ตนเป็นแน่ หากมีผู้ที่ยินดีช่วยรับรองและให้การแนะนำเจ้าก็นับว่าใจบุญเปี่ยมเมตตามากแล้ว ขอเพียงมีสำนึกสักนิดก็ต้องเอาเงินแสนเหรียญทองไปให้อีกฝ่าย จะปล่อยให้ผู้ค้ำประกันมาแบกรับความเสี่ยงแทนเจ้าก็คงไม่ได้กระมัง? ถือเสียว่าเงินนี้เป็นเงินค้ำประกันให้แก่อีกฝ่าย ในอนาคตเมื่อผ่านเงื่อนไขกฎเกณฑ์แล้วค่อยคืนให้เจ้า หรือไม่เจ้าก็อย่าได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะคืนให้เจ้า ถือว่ายกให้เป็นสินน้ำใจที่อีกฝ่ายให้ความช่วยเหลือก็แล้วกัน

พูดกันมาถึงขนาดนี้แล้ว หนิวโหย่วเต้าจะไม่ทราบเจตนาของนางได้อย่างไร

ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเป็นชนชั้นที่น่ากระอักกระอ่วนที่สุดของโลกบำเพ็ญเพียร เจ้าอยากเข้าร่วมกับสำนักอื่นๆ แต่สำนักปกติทั่วไปที่ดูแลจัดการตัวเองได้ล้วนไม่ค่อยอยากรับคนนอกที่ทำตัวครึ่งๆ กลางๆ เหลวไหลเลอะเทอะเข้ามาในสำนักง่ายๆ เว้นแต่เจ้าจะมีประโยชน์ต่อสำนักแห่งนี้จริงๆ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักส่วนใหญ่ที่มีความสามารถอยู่แล้วกลับดูแคลนเรื่องประเภทนี้ เหตุใดต้องหาสำนักมาเป็นห่วงผูกคอตนด้วยเล่า?

ปัญหาสำคัญคือสำนักบำเพ็ญเพียรต่างๆ ล้วนต้องการรักษาผลประโยชน์ของตนไว้ จึงได้มีการรวมกลุ่มตั้งกฎระเบียบของโลกบำเพ็ญเพียรผ่านทาง ‘หอเลือนสลัว’ ขึ้นมา พูดให้ฟังดูดีคือเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นการรบกวนวิถีชีวิตปกติของประชาชนในโลกปุถุชน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแก่งแย่งชิงดีระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรและคนธรรมดา จึงไม่อนุญาตให้ผู้บำเพ็ญเพียรคนใดทำการค้ากับคนธรรมดาทั้งในทางตรงและทางอ้อม หากพบผู้กระทำผิดจะลงโทษอย่างหนัก ไม่ผ่อนปรนเด็ดขาด

ถ้ามองจากกฎข้อนี้เพียงข้อเดียว มันก็คล้ายจะยุติธรรมสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมด แต่เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัจจัยในด้านต่างๆ จึงทำให้ช่องทางหาเงินของผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักถูกตัดขาดไปไม่น้อยทีเดียว

…………………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด