ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 73 วัวลืมตีน

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 73 วัวลืมตีน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 73 วัวลืมตีน

เมื่อถังอี๋กลับมา เหล่าศิษย์ที่ชุมนุมอยู่ดูเหมือนจะแยกย้ายกันไปแล้ว ทว่าหลัวหยวนกง ซูพั่วและถังซู่ซู่ยังคงรออยู่ที่เดิม

ถังซู่ซู่เห็นนางอุ้มไหสุรากลับมาจากหุบเขา สีหน้าคร่ำเคร่งลงทันที ระเบิดอารมณ์ออกมาในทันใด “เขาให้เจ้ามาหรือ?”

ถังอี๋สบตากับนาง ท่าทางจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นกลับกดดันให้ถังซู่ซู่สงบลงไปไม่น้อยเลย

“นี่อาจจะเป็นสุราที่ท่านพ่อฝังไว้ในหุบเขา” ถังอี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา

“….” ถังซู่ซู่ลังเลที่จะพูดต่อ เดิมทีนางอยากบอกให้ถังอี๋ทิ้งของที่คนผู้นั้นให้มา แต่พอได้ยินว่าอาจเป็นของที่ถังมู่เหลือทิ้งไว้ให้ นางก็พูดอะไรไม่ออก

ซูพั่วมองไปยังทิศทางที่นางจากมา ลองถามดูว่า “เจ้าสำนัก แล้วเขาล่ะ?”

ถังอี๋ถอนหายใจเบาๆ พลางกล่าวว่า “เขาไม่ยอมอยู่ จากไปแล้ว!”

ถังซู่ซู่แค่นเสียงคราหนึ่ง “ความอัปยศของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เขายังมีหน้ามาเหยียบสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีกหรือ ปีนั้นหากมิใช่เพราะศิษย์พี่เจ้าสำนักออกหน้าปกป้อง เขาจะรอดชีวิตมาได้อย่างไร!”

“หยุดพูดเรื่องไร้ประโยชน์ซะ” ศิษย์พี่อย่างหลัวหยวนกงเอ่ยตำหนิ จากนั้นก็เอ่ยกับถังอี๋ว่า “เจ้าสำนัก มีเขาช่วยออกหน้าข่มขวัญให้ คาดว่าภายในช่วงนี้คงไม่มีผู้ใดกล้ามาหาเรื่องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก สิ่งที่พวกเราต้องทำในตอนนี้คือจัดการเก็บกวาดในสำนัก ข้าส่งคนไปตามล่าศิษย์หลายสิบคนที่หลบหนีไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่หุบเขากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้คาดว่าคงยากจะหาตัวพบภายในระยะเวลาอันสั้น อีกทั้งได้ถ่ายทอดคำสั่งในนามเจ้าสำนัก แจ้งให้สายสืบที่อยู่ด้านนอกคอยจับตามอง หากพบตัวให้รายงานข่าวทันที จะได้ส่งคนไปจัดการศิษย์ทรยศเหล่านี้ได้ทันท่วงที!”

ถังอี๋เอ่ยว่า “ศิษย์ทรยศเหล่านี้หนีไปก็ดีเหมือนกัน คนที่ไม่ยินดีร่วมหัวจมท้ายไปกับสำนัก เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่แน่ภายในกลุ่มนั้นอาจจะมีสายสืบจากภายนอกแฝงตัวอยู่ก็เป็นได้ พบเจอเรื่องราวเช่นนี้ มิแน่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย อาจจะเป็นความโชคดีในคราวเคราะห์ ทำให้เราได้กวาดล้างไส้ศึกจากภายนอกที่ซุกซ่อนอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ออกไป”

คำพูดนี้ทำให้สามผู้อาวุโสต่างพยักหน้ายอมรับโดยปริยาย เป็นอย่างที่นางว่ามาจริงๆ ไส้ศึกที่ภายนอกแอบจัดวางไว้ในสำนักไม่มีทางยอมร่วมหัวจมท้ายกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มีความเป็นไปได้สูงที่พอได้รับความกดดันก็จะชิงหลบหนีไปก่อน เพียงแต่ทั้งสามคล้ายจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเล็กน้อยบางอย่างจากตัวถังอี๋ ปกติแล้วถังอี๋จะรอฟังความเห็นของพวกเขาสามผู้อาวุโสเป็นหลัก แต่สำหรับเรื่องราวในครานี้ ถังอี๋คล้ายจะแสดงจุดยืนในฐานะเจ้าสำนักออกมาอย่างจริงจังวิเคราะห์เรื่องราวพลางเป็นฝ่ายเสนอความคิดออกมาก่อน

ถังซู่ซู่เอ่ยด้วยความชิงชัง “จะปล่อยศิษย์ทรยศเหล่านี้ไปไม่ได้เด็ดขาด!”

ถังอี๋กล่าวตอบ “ศิษย์ทรยศย่อมไม่อาจปล่อยไปได้ แต่ตอนนี้มิใช่เวลามาใส่ใจเรื่องนี้ ก็เหมือนอย่างที่ผู้อาวุโสหลัวกล่าวมา คนผู้นั้นช่วยออกหน้าข่มขวัญให้ ภายในช่วงนี้น่าจะไม่มีผู้ใดกล้ามาระรานสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แต่ก็เป็นแค่เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นพวกเราสมควรฉวยโอกาสนี้จัดการเรื่องที่สมควรทำ เรียกตัวเหล่าศิษย์ที่ส่งออกไปไล่ล่ากลับมาเถอะ ส่วนศิษย์ทรยศเหล่านั้น สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของพวกเราจะป่าวประกาศต่อโลกบำเพ็ญเพียร เปิดโปงศิษย์ทรยศเหล่านี้ ทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาฉาวโฉ่ ทำให้พวกเขาตั้งตัวในโลกบำเพ็ญเพียรได้ยากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นค่อยหาโอกาสสะสางในภายหลังก็ยังไม่สาย ส่วนเรื่องของซ่งซู ข้าขอประกาศในฐานะเจ้าสำนัก ซ่งซูบงการบุตรชายตนไปลอบสังหารหนิวโหย่วเต้าศิษย์ร่วมสำนัก ทว่าทำไม่สำเร็จ จึงโยนความผิดมาให้สำนัก ซ้ำยังสมคบคิดกับสำนักเซียนสถิตโจมตีสำนัก คัดชื่อลงบัญชีศิษย์ทรยศที่คิดล้างครูล้มสำนัก ให้ผู้คนทั่วหล้าต่างรังเกียจเขา”

“…..” สามผู้อาวุโสตกตะลึง

คัดชื่อซ่งซูลงบัญชีศิษย์ล้างครูล้มสำนักอย่างนั้นหรือ? แต่ทั้งสามกลับรู้สึกว่าสมควรแล้ว ที่บอกว่าสมคบสำนักเซียนสถิตล้มล้างสำนักก็ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย อาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็เป็นได้ ทว่าเรื่องสังหารหนิวโหย่วเต้า เห็นๆ อยู่ว่าเป็นถังซู่ซู่ที่บงการซ่งเหยียนชิง ตอนนี้กลับโยนความผิดให้ซ่งซู นี่คือการปรักปรำกันชัดๆ! แต่พอมีเรื่องการโจมตีจากสำนักเซียนสถิต ผนวกกับทางนี้ออกประกาศตัดหน้า ชิงข่มขวัญศัตรูก่อน เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเชื่อถือคำโต้แย้งจากซ่งซูอีก

นี่กลับเป็นแผนการที่ดี ซ้ำยังช่วยให้ถังซู่ซู่รอดตัวด้วย หากภายหน้ามีข่าวลือว่าถังอี๋ใช้อุบายชิงตำแหน่งเจ้าสำนักมา ผู้คนก็จะพากันคิดว่าตระกูลซ่งกำลังปล่อยข่าวลือเพื่อแก้แค้น กลยุทธ์ ‘ชิงข่มขวัญ’ นี้ยอดเยี่ยมนัก!

แต่วิธีนี้กลับทำให้ถังซู่ซู่ทำกระอักกระอ่วนเล็กน้อย สายตาที่มองถังอี๋อ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด พบว่าหลานสาวของตนก็ยังคงเป็นหลานสาวของตนอยู่วันยันค่ำ ไม่เสียทีที่ตนทุ่มเทผลักดันให้ได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก สุดท้ายก็ยังคำนึงถึงย่าเล็กอย่างนางอยู่ สุดท้ายก็ยังคงเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่ดี!

พอกล่าวมาถึงตรงนี้ ทั้งสามล้วนตระหนักได้ว่าคำพูดคำจาของถังอี๋เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

หลัวหยวนกงใคร่ครวญดูพลางเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก วิธีนี้ยอดเยี่ยมนัก เพียงแต่หากเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเราแตกหักกับทางตระกูลซ่งอย่างเด็ดขาดแล้ว ตระกูลซ่งสามารถแก้แค้นอย่างเปิดเผยได้ นับจากนี้เกรงว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงตั้งหลักในแคว้นเยี่ยนได้ยากกว่าเดิม”

“ข้าตัดสินใจแล้ว!” ถังอี๋เงยหน้ามองไปทางวังสวรรค์พิสุทธิ์ แววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางอุ้มไหสุราพลางเดินปลีกตัวออกมาจากคนทั้งสาม เอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง “ข้าจะจุดธูปสักการะปฐมจารย์!”

จุดธูปสักการะบรรพจารย์หรือ? สามผู้อาวุโสตกตะลึงอีกครั้ง มองหน้ากันเหลอหลา ทำได้เพียงเดินตามไป การจุดธูปสักการะปฐมจารย์ มิว่าจะกระทำยามไหนก็ล้วนมิใช่เรื่องเกินเหตุ ผู้ใดก็ไม่อาจปฏิเสธได้

พวกเขามาที่วังสวรรค์พิสุทธิ์ ถังอี๋วางไหสุราไว้ด้านข้าง เดินไปหยุดอยู่ตรงด้านหน้ารูปปั้นปฐมจารย์ที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งใจกลางวัง จุดธูปสามดอก จากนั้นถอยหลังออกมาสามก้าว เงยหน้ามองรูปปั้นที่อยู่ในท่านั่งสมาธิ มองเงียบๆ ไม่พูดอะไร

สามผู้อาวุโสต่างเข้าไปจุดธูปเช่นกัน จากนั้นกลับไปยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังถังอี๋ เงยหน้ามองรูปปั้นปฐมจารย์เช่นกัน

ถังอี๋ที่นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่พลันคุกเข่าลงไปอย่างช้าๆ ทันใดนั้นพลันกราบคารวะแนบลงไปกับพื้น ทำให้ทั้งสามคนที่อยู่ด้านหลังตกตะลึง

การคุกเข่าต่อหน้าปฐมจารย์มิใช่เรื่องแปลก แต่โดยทั่วไปแล้วจะกราบคารวะเช่นนี้ก็ต่อเมื่อมีพิธีการสำคัญหรือเกิดเรื่องขึ้นเท่านั้น

กระทั่งเจ้าสำนักก็ยังคุกเข่าแล้ว ถึงสามผู้อาวุโสจะมีตำแหน่งสูงแค่ไหน พวกเขาก็จำเป็นต้องคุกเข่าตามลงไปเช่นกัน

ถังอี๋ประคองธูปด้วยสองมือเงยหน้ามองรูปปั้น เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เรียนท่านปฐมจารย์ที่อยู่บนสวรรค์ ปรมาจารย์ทุกรุ่นที่อยู่บนสวรรค์ ข้าถังอี๋เจ้าสำนักรุ่นที่สิบเอ็ดของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ น้อมคุกเข่าคารวะขอรับผิด! ยามนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เข้าตาจน ยากจะเอาตัวรอดได้ ล้วนเป็นเพราะศิษย์ไร้ความสามารถ ยามนี้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เผชิญกับวิกฤตแห่งความเป็นความตาย ศิษย์ขอปฏิญาณต่อหน้าปฐมจารย์และอดีตปรมาจารย์ทุกรุ่น ข้าจะทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อฟื้นฟูสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ หากเกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้น ศิษย์ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ขอให้ดวงวิญญาณเหล่าบรรพจารย์บนสรวงสวรรค์โปรดช่วยคุ้มครองด้วย!” พูดจบก็โขกศีรษะคำนับสามครั้ง

ทั้งสามคนที่อยู่ด้านหลังล้วนแสดงสีหน้าตกตะลึง ทุกคนต่างทราบดี ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตกต่ำลงมาจนถึงจุดนี้ มิได้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ หากแต่ผ่านการสั่งสมมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ไม่อาจกล่าวโทษถังอี๋เพียงคนเดียว แต่ถังอี๋กลับยอมรับต่อหน้าปฐมจารย์ แบกรับความผิดทั้งหมดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

ทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง ประคองธูปโขกศีรษะสามครั้งเช่นกัน

ถังอี๋ลุกขึ้นสืบเท้าไปเบื้องหน้า ปักธูปสามดอกลงในกระถางธูปหน้าแท่นบูชา รอจนกระทั่งผู้อาวุโสทั้งสามปักธูปเสร็จแล้วถอยกลับมา นางถึงหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนทั้งสาม หลังจากกวาดสายตามองหน้าผู้อาวุโสทั้งสามสลับไปสลับมาด้วยสายตาจริงจัง นางก็เอ่ยถามว่า “จากสถานการณ์ปัจจุบันของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ผู้อาวุโสทั้งสามมีแนวทางแก้ไขสถานการณ์อย่างไรบ้าง?”

ทั้งสามเงียบงัน จะมีแนวทางแก้ไขสถานการณ์อะไรได้ หากมีคงเสนอไปนานแล้ว

หลัวหยวนกงถามหยั่งเชิงดู “เจ้าสำนักมีความคิดใดหรือไม่”

ถังอี๋เอ่ยตอบ “ข้าก็ไม่มีวิธีจัดการเช่นกัน แต่คงไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่เฝ้ามองสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล่มสลายลงไป ไม่อาจเฝ้ารอความตายอยู่ที่นี่ได้ หากเป็นเช่นนี้จริง พวกเราจะกลายเป็นคนบาปของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปตลอดกาล!”

คนบาปตลอดกาลประโยคนี้ฟังดูค่อนข้างร้ายแรง ทำให้ทั้งสามมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมา เนื่องจากคำพูดนี้มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นจริง หากปล่อยให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล่มสลายลงในรุ่นของพวกเขาจริงๆ พวกเขาคงไม่มีหน้าไปพบเหล่าบรรพชนได้ ความจริงแล้วมันเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น!

หลัวหยวนกงเอ่ยว่า “เจ้าสำนักมีอะไรก็ว่ามาตามตรงเถิด”

ถังอี๋จึงกล่าวว่า “สถานการณ์ในปัจจุบันของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นอย่างไร ข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก ต่อให้ไม่มีผู้ใดบุกมาเข่นฆ่าถึงสำนัก พวกเราก็ถูกตัดขาดจากปัจจัยด้านทรัพยากรบำเพ็ญเพียรอยู่ดี ทางฝั่งตระกูลซ่ง คงจะไม่จัดหาทรัพยากรบำเพ็ญเพียรมาให้พวกเราอีก หากถูกตัดขาดด้านทรัพยากรเช่นนี้ จะอธิบายกับเหล่าศิษย์อย่างไร? ความเชื่อมั่นภักดีจะอยู่ที่ไหน? เกรงว่าพอถึงเวลานั้นผู้ทรยศคงมิได้มีเพียงคนเหล่านั้น สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทั้งสำนักต้องล่มสลายแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นจะเอาอะไรไปเก็บกวาดสำนัก? พฤกษาย้ายถิ่นย่อมสิ้นซาก มนุษย์ย้ายถิ่นกลับอยู่รอด ข้าต้องการโยกย้ายสำนักชั่วคราว พาศิษย์ทั้งหมดในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อพยพไปค้นหาทรัพยากรบำเพ็ญเพียรในถิ่นอื่น วางแผนกอบกู้ฟื้นฟู!”

หลัวหยวนกังและซูพั่วต่างเบิกตากว้าง

ถังซู่ซู่ประหนึ่งแมวถูกเหยียบหาง แผดเสียงขึ้นมา “ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าสำนักผู้สง่างามอย่างเจ้าคิดจะละทิ้งถิ่นฐานของบรรพชน คิดบ้างหรือไม่ว่าผู้คนทั่วหล้าจะมองเจ้าอย่างไร? ผู้คนทั่วหล้าจะหัวเราะเยาะหยันว่าเจ้าไร้ความสามารถ! เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ กระดูกของท่านปฐมจารย์และปรมาจารย์รุ่นก่อนๆ ล้วนถูกฝังไว้ในขุนเขาแห่งนี้ รวมถึงบิดาของเจ้าด้วย จะย้ายออกไปแล้วปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามาเหยียบย่ำอย่างนั้นรึ? เจ้ากล้าพูดจาลืมตัวดั่งวัวลืมตีนเยี่ยงนี้ต่อหน้าปฐมจารย์และอดีตปรมาจารย์ทุกรุ่นได้อย่างไร?”

มีบางประโยคที่นางมิได้กล่าวออกมา นั่นคือสามีของนางและบุตรชายของนางก็ถูกฝังไว้ที่นี่เช่นกัน นางจะปล่อยให้คนนอกเข้าเหยียบย่ำแผ้วถางหลุมศพของสามีรวมถึงบุตรชายของนางได้อย่างไร

อีกอย่างกระดูกของบรรพบุรุษบางส่วนก็สลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว ต่อให้เจ้าอยากขุดขึ้นมาเพื่อโยกย้ายสถานที่กลบฝังก็ทำไม่ได้แล้ว หากโยกย้ายไปได้แค่บางส่วนแล้วจะมีประโยชน์อันใด?

และในความเป็นจริงมันก็เป็นอย่างที่นางว่าจริงๆ ก็เหมือนอย่างที่สำนักเซียนสถิตกล่าวไว้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ครอบครองพื้นที่ทำเลดีไว้ ขอเพียงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ย้ายออกไป ย่อมมีคนเข้ามาแทนที่ทันที

จะย้ายออกนั้นง่ายนัก แต่ด้วยความสามารถของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในยามนี้ หากคิดจะชิงกลับมาอีกก็คงยากแล้ว ในเมื่อพวกเจ้าละทิ้งไปเอง เป็นพวกเจ้าเองที่ไม่ต้องการอีกต่อไป แล้วพวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาไล่ให้คนอื่นย้ายออกไปเพื่อคืนให้เจ้า?

ถังอี๋โต้แย้งกลับไป “หากไม่เหลือแม้กระทั่งคนที่จะปกป้องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แล้วจะปกป้องถิ่นฐานบรรพชนไว้ได้อย่างไร? สุดท้ายก็ต้องถูกผู้อื่นยึดครองอยู่ดีมิใช่หรือ! ขอเพียงฟื้นฟูสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้ ขอเพียงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แข็งแกร่งเพียงพอ ท้ายที่สุดก็ย่อมต้องมีโอกาสหวนกลับมาได้! ข้าเองก็ไม่อาจทนเห็นสุสานปฐมจารย์และปรมาจารย์ทุกรุ่นต้องถูกเหยียดหยามดูหมิ่นโดยไม่อาจทำอะไรได้เช่นกัน แต่นี่คือราคาที่จำเป็นต้องจ่ายเพื่อแลกกับการฟื้นฟูสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มิเช่นนั้นก็ทำได้เพียงนั่งจับเจ่าเฝ้ารอความตายอยู่ที่นี่ ข้าเชื่อว่าปฐมจารย์และบรรพบุรุษทุกท่านต้องเข้าใจพวกเราแน่นอน!”

“เจ้า…” ถังซู่ซู่ชี้หน้าถังอี๋ โกรธเกรี้ยวสุดขีดจากนั้นพลันหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ดีๆๆ ตอนนี้นับว่าเจ้าพูดถูก เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าสำนักสักประโยคเถิด ถึงแม้แคว้นเยี่ยนจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่พวกเราจะไปอยู่ไหนได้? เจ้าบอกมาสิว่าจะให้ข้าไปที่ใด? หรือจะเอาอย่างหนิวโหย่วเต้าที่ไปเข้าร่วมกับเฟิ่งหลิงปอ?”

ถังอี๋เอ่ยตอบ “ด้วยสถานการณ์อันยากลำบากของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ข้าเคยขบคิดอย่างหนักทั้งวันทั้งคืน เมื่อทราบข่าวการเกี่ยวดองระหว่างซางเฉาจงและเฟิ่งหลิงปอ ข้าเคยนึกถึงความเป็นไปได้ที่จะยอมสวามิภักดิ์ต่อเฟิ่งหลิงปอจริงๆ ทว่าไม่เหมาะ! เฟิ่งหลิงปอรับซางเฉาจงเอาไว้ได้ แต่กลับไม่แน่ว่าจะยอมรับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของพวกเรา เฟิ่งหลิงปอรับตัวซางเฉาจงไว้ก็ได้รับแรงกดดันมากพอแล้ว สำนักหยกสวรรค์เองก็จำเป็นต้องมอบคำอธิบายให้แก่โลกบำเพ็ญเพียรเช่นกัน หากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของพวกเราเข้าไปพัวพันกับบุตรชายหนิงอ๋องอีก คาดว่าสำนักหยกสวรรค์เองก็คงไม่มีทางยอมแบกรับแรงกดดันนี้เช่นกัน กองกำลังของเฟิ่งหลิงปอยังเล็กไปหน่อย ยามนี้ยังมองไม่ออกว่าเขาจะขยายอิทธิพลออกไปได้อย่างไร อำนาจของเขายังเทียบกับฝั่งราชวงศ์ไม่ได้ ส่วนตัวแคว้นเยี่ยนเองก็กำลังเผชิญมรสุมอยู่เช่นกัน อาจถูกแคว้นอื่นรุมทึ้งได้ตลอดเวลา หากกองกำลังของเฟิ่งหลิงปอต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังขนาดใหญ่เช่นนี้คงยากจะต้านทานไหวเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกองกำลังใดในแคว้นเยี่ยนก็ไม่เหมาะให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของเราได้ใช้แสวงหาความก้าวหน้าในระยะยาว”

ถังซู่ซู่หัวเราะหยันเอ่ยไปว่า “หรือเจ้าสำนักคิดจะพาสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปสวามิภักดิ์ต่อแคว้นอื่นเล่า? เรื่องกีดกันคนต่างเชื้อชาตินั้นมีอยู่ทุกที่ กองกำลังของแคว้นอื่นไม่มีทางยอมให้กองกำลังต่างแคว้นเข้าไปร่วมแบ่งปันผลประโยชน์ง่ายๆ แน่”

ถังอี๋ตอบโต้ว่า “ข้าเตรียมจะพาทุกคนขึ้นเหนือ ไปสวามิภักดิ์ต่อทัพกบฏของแม่ทัพเซ่าเติงอวิ๋น!”

…………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 73 วัวลืมตีน

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 73 วัวลืมตีน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 73 วัวลืมตีน

เมื่อถังอี๋กลับมา เหล่าศิษย์ที่ชุมนุมอยู่ดูเหมือนจะแยกย้ายกันไปแล้ว ทว่าหลัวหยวนกง ซูพั่วและถังซู่ซู่ยังคงรออยู่ที่เดิม

ถังซู่ซู่เห็นนางอุ้มไหสุรากลับมาจากหุบเขา สีหน้าคร่ำเคร่งลงทันที ระเบิดอารมณ์ออกมาในทันใด “เขาให้เจ้ามาหรือ?”

ถังอี๋สบตากับนาง ท่าทางจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นกลับกดดันให้ถังซู่ซู่สงบลงไปไม่น้อยเลย

“นี่อาจจะเป็นสุราที่ท่านพ่อฝังไว้ในหุบเขา” ถังอี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา

“….” ถังซู่ซู่ลังเลที่จะพูดต่อ เดิมทีนางอยากบอกให้ถังอี๋ทิ้งของที่คนผู้นั้นให้มา แต่พอได้ยินว่าอาจเป็นของที่ถังมู่เหลือทิ้งไว้ให้ นางก็พูดอะไรไม่ออก

ซูพั่วมองไปยังทิศทางที่นางจากมา ลองถามดูว่า “เจ้าสำนัก แล้วเขาล่ะ?”

ถังอี๋ถอนหายใจเบาๆ พลางกล่าวว่า “เขาไม่ยอมอยู่ จากไปแล้ว!”

ถังซู่ซู่แค่นเสียงคราหนึ่ง “ความอัปยศของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เขายังมีหน้ามาเหยียบสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีกหรือ ปีนั้นหากมิใช่เพราะศิษย์พี่เจ้าสำนักออกหน้าปกป้อง เขาจะรอดชีวิตมาได้อย่างไร!”

“หยุดพูดเรื่องไร้ประโยชน์ซะ” ศิษย์พี่อย่างหลัวหยวนกงเอ่ยตำหนิ จากนั้นก็เอ่ยกับถังอี๋ว่า “เจ้าสำนัก มีเขาช่วยออกหน้าข่มขวัญให้ คาดว่าภายในช่วงนี้คงไม่มีผู้ใดกล้ามาหาเรื่องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก สิ่งที่พวกเราต้องทำในตอนนี้คือจัดการเก็บกวาดในสำนัก ข้าส่งคนไปตามล่าศิษย์หลายสิบคนที่หลบหนีไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่หุบเขากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้คาดว่าคงยากจะหาตัวพบภายในระยะเวลาอันสั้น อีกทั้งได้ถ่ายทอดคำสั่งในนามเจ้าสำนัก แจ้งให้สายสืบที่อยู่ด้านนอกคอยจับตามอง หากพบตัวให้รายงานข่าวทันที จะได้ส่งคนไปจัดการศิษย์ทรยศเหล่านี้ได้ทันท่วงที!”

ถังอี๋เอ่ยว่า “ศิษย์ทรยศเหล่านี้หนีไปก็ดีเหมือนกัน คนที่ไม่ยินดีร่วมหัวจมท้ายไปกับสำนัก เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่แน่ภายในกลุ่มนั้นอาจจะมีสายสืบจากภายนอกแฝงตัวอยู่ก็เป็นได้ พบเจอเรื่องราวเช่นนี้ มิแน่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย อาจจะเป็นความโชคดีในคราวเคราะห์ ทำให้เราได้กวาดล้างไส้ศึกจากภายนอกที่ซุกซ่อนอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ออกไป”

คำพูดนี้ทำให้สามผู้อาวุโสต่างพยักหน้ายอมรับโดยปริยาย เป็นอย่างที่นางว่ามาจริงๆ ไส้ศึกที่ภายนอกแอบจัดวางไว้ในสำนักไม่มีทางยอมร่วมหัวจมท้ายกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มีความเป็นไปได้สูงที่พอได้รับความกดดันก็จะชิงหลบหนีไปก่อน เพียงแต่ทั้งสามคล้ายจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเล็กน้อยบางอย่างจากตัวถังอี๋ ปกติแล้วถังอี๋จะรอฟังความเห็นของพวกเขาสามผู้อาวุโสเป็นหลัก แต่สำหรับเรื่องราวในครานี้ ถังอี๋คล้ายจะแสดงจุดยืนในฐานะเจ้าสำนักออกมาอย่างจริงจังวิเคราะห์เรื่องราวพลางเป็นฝ่ายเสนอความคิดออกมาก่อน

ถังซู่ซู่เอ่ยด้วยความชิงชัง “จะปล่อยศิษย์ทรยศเหล่านี้ไปไม่ได้เด็ดขาด!”

ถังอี๋กล่าวตอบ “ศิษย์ทรยศย่อมไม่อาจปล่อยไปได้ แต่ตอนนี้มิใช่เวลามาใส่ใจเรื่องนี้ ก็เหมือนอย่างที่ผู้อาวุโสหลัวกล่าวมา คนผู้นั้นช่วยออกหน้าข่มขวัญให้ ภายในช่วงนี้น่าจะไม่มีผู้ใดกล้ามาระรานสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แต่ก็เป็นแค่เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นพวกเราสมควรฉวยโอกาสนี้จัดการเรื่องที่สมควรทำ เรียกตัวเหล่าศิษย์ที่ส่งออกไปไล่ล่ากลับมาเถอะ ส่วนศิษย์ทรยศเหล่านั้น สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของพวกเราจะป่าวประกาศต่อโลกบำเพ็ญเพียร เปิดโปงศิษย์ทรยศเหล่านี้ ทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาฉาวโฉ่ ทำให้พวกเขาตั้งตัวในโลกบำเพ็ญเพียรได้ยากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นค่อยหาโอกาสสะสางในภายหลังก็ยังไม่สาย ส่วนเรื่องของซ่งซู ข้าขอประกาศในฐานะเจ้าสำนัก ซ่งซูบงการบุตรชายตนไปลอบสังหารหนิวโหย่วเต้าศิษย์ร่วมสำนัก ทว่าทำไม่สำเร็จ จึงโยนความผิดมาให้สำนัก ซ้ำยังสมคบคิดกับสำนักเซียนสถิตโจมตีสำนัก คัดชื่อลงบัญชีศิษย์ทรยศที่คิดล้างครูล้มสำนัก ให้ผู้คนทั่วหล้าต่างรังเกียจเขา”

“…..” สามผู้อาวุโสตกตะลึง

คัดชื่อซ่งซูลงบัญชีศิษย์ล้างครูล้มสำนักอย่างนั้นหรือ? แต่ทั้งสามกลับรู้สึกว่าสมควรแล้ว ที่บอกว่าสมคบสำนักเซียนสถิตล้มล้างสำนักก็ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย อาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็เป็นได้ ทว่าเรื่องสังหารหนิวโหย่วเต้า เห็นๆ อยู่ว่าเป็นถังซู่ซู่ที่บงการซ่งเหยียนชิง ตอนนี้กลับโยนความผิดให้ซ่งซู นี่คือการปรักปรำกันชัดๆ! แต่พอมีเรื่องการโจมตีจากสำนักเซียนสถิต ผนวกกับทางนี้ออกประกาศตัดหน้า ชิงข่มขวัญศัตรูก่อน เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเชื่อถือคำโต้แย้งจากซ่งซูอีก

นี่กลับเป็นแผนการที่ดี ซ้ำยังช่วยให้ถังซู่ซู่รอดตัวด้วย หากภายหน้ามีข่าวลือว่าถังอี๋ใช้อุบายชิงตำแหน่งเจ้าสำนักมา ผู้คนก็จะพากันคิดว่าตระกูลซ่งกำลังปล่อยข่าวลือเพื่อแก้แค้น กลยุทธ์ ‘ชิงข่มขวัญ’ นี้ยอดเยี่ยมนัก!

แต่วิธีนี้กลับทำให้ถังซู่ซู่ทำกระอักกระอ่วนเล็กน้อย สายตาที่มองถังอี๋อ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด พบว่าหลานสาวของตนก็ยังคงเป็นหลานสาวของตนอยู่วันยันค่ำ ไม่เสียทีที่ตนทุ่มเทผลักดันให้ได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก สุดท้ายก็ยังคำนึงถึงย่าเล็กอย่างนางอยู่ สุดท้ายก็ยังคงเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่ดี!

พอกล่าวมาถึงตรงนี้ ทั้งสามล้วนตระหนักได้ว่าคำพูดคำจาของถังอี๋เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

หลัวหยวนกงใคร่ครวญดูพลางเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก วิธีนี้ยอดเยี่ยมนัก เพียงแต่หากเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเราแตกหักกับทางตระกูลซ่งอย่างเด็ดขาดแล้ว ตระกูลซ่งสามารถแก้แค้นอย่างเปิดเผยได้ นับจากนี้เกรงว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงตั้งหลักในแคว้นเยี่ยนได้ยากกว่าเดิม”

“ข้าตัดสินใจแล้ว!” ถังอี๋เงยหน้ามองไปทางวังสวรรค์พิสุทธิ์ แววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางอุ้มไหสุราพลางเดินปลีกตัวออกมาจากคนทั้งสาม เอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง “ข้าจะจุดธูปสักการะปฐมจารย์!”

จุดธูปสักการะบรรพจารย์หรือ? สามผู้อาวุโสตกตะลึงอีกครั้ง มองหน้ากันเหลอหลา ทำได้เพียงเดินตามไป การจุดธูปสักการะปฐมจารย์ มิว่าจะกระทำยามไหนก็ล้วนมิใช่เรื่องเกินเหตุ ผู้ใดก็ไม่อาจปฏิเสธได้

พวกเขามาที่วังสวรรค์พิสุทธิ์ ถังอี๋วางไหสุราไว้ด้านข้าง เดินไปหยุดอยู่ตรงด้านหน้ารูปปั้นปฐมจารย์ที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งใจกลางวัง จุดธูปสามดอก จากนั้นถอยหลังออกมาสามก้าว เงยหน้ามองรูปปั้นที่อยู่ในท่านั่งสมาธิ มองเงียบๆ ไม่พูดอะไร

สามผู้อาวุโสต่างเข้าไปจุดธูปเช่นกัน จากนั้นกลับไปยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังถังอี๋ เงยหน้ามองรูปปั้นปฐมจารย์เช่นกัน

ถังอี๋ที่นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่พลันคุกเข่าลงไปอย่างช้าๆ ทันใดนั้นพลันกราบคารวะแนบลงไปกับพื้น ทำให้ทั้งสามคนที่อยู่ด้านหลังตกตะลึง

การคุกเข่าต่อหน้าปฐมจารย์มิใช่เรื่องแปลก แต่โดยทั่วไปแล้วจะกราบคารวะเช่นนี้ก็ต่อเมื่อมีพิธีการสำคัญหรือเกิดเรื่องขึ้นเท่านั้น

กระทั่งเจ้าสำนักก็ยังคุกเข่าแล้ว ถึงสามผู้อาวุโสจะมีตำแหน่งสูงแค่ไหน พวกเขาก็จำเป็นต้องคุกเข่าตามลงไปเช่นกัน

ถังอี๋ประคองธูปด้วยสองมือเงยหน้ามองรูปปั้น เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เรียนท่านปฐมจารย์ที่อยู่บนสวรรค์ ปรมาจารย์ทุกรุ่นที่อยู่บนสวรรค์ ข้าถังอี๋เจ้าสำนักรุ่นที่สิบเอ็ดของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ น้อมคุกเข่าคารวะขอรับผิด! ยามนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เข้าตาจน ยากจะเอาตัวรอดได้ ล้วนเป็นเพราะศิษย์ไร้ความสามารถ ยามนี้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เผชิญกับวิกฤตแห่งความเป็นความตาย ศิษย์ขอปฏิญาณต่อหน้าปฐมจารย์และอดีตปรมาจารย์ทุกรุ่น ข้าจะทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อฟื้นฟูสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ หากเกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้น ศิษย์ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ขอให้ดวงวิญญาณเหล่าบรรพจารย์บนสรวงสวรรค์โปรดช่วยคุ้มครองด้วย!” พูดจบก็โขกศีรษะคำนับสามครั้ง

ทั้งสามคนที่อยู่ด้านหลังล้วนแสดงสีหน้าตกตะลึง ทุกคนต่างทราบดี ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตกต่ำลงมาจนถึงจุดนี้ มิได้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ หากแต่ผ่านการสั่งสมมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ไม่อาจกล่าวโทษถังอี๋เพียงคนเดียว แต่ถังอี๋กลับยอมรับต่อหน้าปฐมจารย์ แบกรับความผิดทั้งหมดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

ทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง ประคองธูปโขกศีรษะสามครั้งเช่นกัน

ถังอี๋ลุกขึ้นสืบเท้าไปเบื้องหน้า ปักธูปสามดอกลงในกระถางธูปหน้าแท่นบูชา รอจนกระทั่งผู้อาวุโสทั้งสามปักธูปเสร็จแล้วถอยกลับมา นางถึงหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนทั้งสาม หลังจากกวาดสายตามองหน้าผู้อาวุโสทั้งสามสลับไปสลับมาด้วยสายตาจริงจัง นางก็เอ่ยถามว่า “จากสถานการณ์ปัจจุบันของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ผู้อาวุโสทั้งสามมีแนวทางแก้ไขสถานการณ์อย่างไรบ้าง?”

ทั้งสามเงียบงัน จะมีแนวทางแก้ไขสถานการณ์อะไรได้ หากมีคงเสนอไปนานแล้ว

หลัวหยวนกงถามหยั่งเชิงดู “เจ้าสำนักมีความคิดใดหรือไม่”

ถังอี๋เอ่ยตอบ “ข้าก็ไม่มีวิธีจัดการเช่นกัน แต่คงไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่เฝ้ามองสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล่มสลายลงไป ไม่อาจเฝ้ารอความตายอยู่ที่นี่ได้ หากเป็นเช่นนี้จริง พวกเราจะกลายเป็นคนบาปของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปตลอดกาล!”

คนบาปตลอดกาลประโยคนี้ฟังดูค่อนข้างร้ายแรง ทำให้ทั้งสามมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมา เนื่องจากคำพูดนี้มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นจริง หากปล่อยให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล่มสลายลงในรุ่นของพวกเขาจริงๆ พวกเขาคงไม่มีหน้าไปพบเหล่าบรรพชนได้ ความจริงแล้วมันเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น!

หลัวหยวนกงเอ่ยว่า “เจ้าสำนักมีอะไรก็ว่ามาตามตรงเถิด”

ถังอี๋จึงกล่าวว่า “สถานการณ์ในปัจจุบันของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นอย่างไร ข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก ต่อให้ไม่มีผู้ใดบุกมาเข่นฆ่าถึงสำนัก พวกเราก็ถูกตัดขาดจากปัจจัยด้านทรัพยากรบำเพ็ญเพียรอยู่ดี ทางฝั่งตระกูลซ่ง คงจะไม่จัดหาทรัพยากรบำเพ็ญเพียรมาให้พวกเราอีก หากถูกตัดขาดด้านทรัพยากรเช่นนี้ จะอธิบายกับเหล่าศิษย์อย่างไร? ความเชื่อมั่นภักดีจะอยู่ที่ไหน? เกรงว่าพอถึงเวลานั้นผู้ทรยศคงมิได้มีเพียงคนเหล่านั้น สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทั้งสำนักต้องล่มสลายแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นจะเอาอะไรไปเก็บกวาดสำนัก? พฤกษาย้ายถิ่นย่อมสิ้นซาก มนุษย์ย้ายถิ่นกลับอยู่รอด ข้าต้องการโยกย้ายสำนักชั่วคราว พาศิษย์ทั้งหมดในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อพยพไปค้นหาทรัพยากรบำเพ็ญเพียรในถิ่นอื่น วางแผนกอบกู้ฟื้นฟู!”

หลัวหยวนกังและซูพั่วต่างเบิกตากว้าง

ถังซู่ซู่ประหนึ่งแมวถูกเหยียบหาง แผดเสียงขึ้นมา “ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าสำนักผู้สง่างามอย่างเจ้าคิดจะละทิ้งถิ่นฐานของบรรพชน คิดบ้างหรือไม่ว่าผู้คนทั่วหล้าจะมองเจ้าอย่างไร? ผู้คนทั่วหล้าจะหัวเราะเยาะหยันว่าเจ้าไร้ความสามารถ! เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ กระดูกของท่านปฐมจารย์และปรมาจารย์รุ่นก่อนๆ ล้วนถูกฝังไว้ในขุนเขาแห่งนี้ รวมถึงบิดาของเจ้าด้วย จะย้ายออกไปแล้วปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามาเหยียบย่ำอย่างนั้นรึ? เจ้ากล้าพูดจาลืมตัวดั่งวัวลืมตีนเยี่ยงนี้ต่อหน้าปฐมจารย์และอดีตปรมาจารย์ทุกรุ่นได้อย่างไร?”

มีบางประโยคที่นางมิได้กล่าวออกมา นั่นคือสามีของนางและบุตรชายของนางก็ถูกฝังไว้ที่นี่เช่นกัน นางจะปล่อยให้คนนอกเข้าเหยียบย่ำแผ้วถางหลุมศพของสามีรวมถึงบุตรชายของนางได้อย่างไร

อีกอย่างกระดูกของบรรพบุรุษบางส่วนก็สลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว ต่อให้เจ้าอยากขุดขึ้นมาเพื่อโยกย้ายสถานที่กลบฝังก็ทำไม่ได้แล้ว หากโยกย้ายไปได้แค่บางส่วนแล้วจะมีประโยชน์อันใด?

และในความเป็นจริงมันก็เป็นอย่างที่นางว่าจริงๆ ก็เหมือนอย่างที่สำนักเซียนสถิตกล่าวไว้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ครอบครองพื้นที่ทำเลดีไว้ ขอเพียงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ย้ายออกไป ย่อมมีคนเข้ามาแทนที่ทันที

จะย้ายออกนั้นง่ายนัก แต่ด้วยความสามารถของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในยามนี้ หากคิดจะชิงกลับมาอีกก็คงยากแล้ว ในเมื่อพวกเจ้าละทิ้งไปเอง เป็นพวกเจ้าเองที่ไม่ต้องการอีกต่อไป แล้วพวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาไล่ให้คนอื่นย้ายออกไปเพื่อคืนให้เจ้า?

ถังอี๋โต้แย้งกลับไป “หากไม่เหลือแม้กระทั่งคนที่จะปกป้องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แล้วจะปกป้องถิ่นฐานบรรพชนไว้ได้อย่างไร? สุดท้ายก็ต้องถูกผู้อื่นยึดครองอยู่ดีมิใช่หรือ! ขอเพียงฟื้นฟูสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้ ขอเพียงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แข็งแกร่งเพียงพอ ท้ายที่สุดก็ย่อมต้องมีโอกาสหวนกลับมาได้! ข้าเองก็ไม่อาจทนเห็นสุสานปฐมจารย์และปรมาจารย์ทุกรุ่นต้องถูกเหยียดหยามดูหมิ่นโดยไม่อาจทำอะไรได้เช่นกัน แต่นี่คือราคาที่จำเป็นต้องจ่ายเพื่อแลกกับการฟื้นฟูสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มิเช่นนั้นก็ทำได้เพียงนั่งจับเจ่าเฝ้ารอความตายอยู่ที่นี่ ข้าเชื่อว่าปฐมจารย์และบรรพบุรุษทุกท่านต้องเข้าใจพวกเราแน่นอน!”

“เจ้า…” ถังซู่ซู่ชี้หน้าถังอี๋ โกรธเกรี้ยวสุดขีดจากนั้นพลันหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ดีๆๆ ตอนนี้นับว่าเจ้าพูดถูก เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าสำนักสักประโยคเถิด ถึงแม้แคว้นเยี่ยนจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่พวกเราจะไปอยู่ไหนได้? เจ้าบอกมาสิว่าจะให้ข้าไปที่ใด? หรือจะเอาอย่างหนิวโหย่วเต้าที่ไปเข้าร่วมกับเฟิ่งหลิงปอ?”

ถังอี๋เอ่ยตอบ “ด้วยสถานการณ์อันยากลำบากของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ข้าเคยขบคิดอย่างหนักทั้งวันทั้งคืน เมื่อทราบข่าวการเกี่ยวดองระหว่างซางเฉาจงและเฟิ่งหลิงปอ ข้าเคยนึกถึงความเป็นไปได้ที่จะยอมสวามิภักดิ์ต่อเฟิ่งหลิงปอจริงๆ ทว่าไม่เหมาะ! เฟิ่งหลิงปอรับซางเฉาจงเอาไว้ได้ แต่กลับไม่แน่ว่าจะยอมรับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของพวกเรา เฟิ่งหลิงปอรับตัวซางเฉาจงไว้ก็ได้รับแรงกดดันมากพอแล้ว สำนักหยกสวรรค์เองก็จำเป็นต้องมอบคำอธิบายให้แก่โลกบำเพ็ญเพียรเช่นกัน หากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของพวกเราเข้าไปพัวพันกับบุตรชายหนิงอ๋องอีก คาดว่าสำนักหยกสวรรค์เองก็คงไม่มีทางยอมแบกรับแรงกดดันนี้เช่นกัน กองกำลังของเฟิ่งหลิงปอยังเล็กไปหน่อย ยามนี้ยังมองไม่ออกว่าเขาจะขยายอิทธิพลออกไปได้อย่างไร อำนาจของเขายังเทียบกับฝั่งราชวงศ์ไม่ได้ ส่วนตัวแคว้นเยี่ยนเองก็กำลังเผชิญมรสุมอยู่เช่นกัน อาจถูกแคว้นอื่นรุมทึ้งได้ตลอดเวลา หากกองกำลังของเฟิ่งหลิงปอต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังขนาดใหญ่เช่นนี้คงยากจะต้านทานไหวเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกองกำลังใดในแคว้นเยี่ยนก็ไม่เหมาะให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของเราได้ใช้แสวงหาความก้าวหน้าในระยะยาว”

ถังซู่ซู่หัวเราะหยันเอ่ยไปว่า “หรือเจ้าสำนักคิดจะพาสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปสวามิภักดิ์ต่อแคว้นอื่นเล่า? เรื่องกีดกันคนต่างเชื้อชาตินั้นมีอยู่ทุกที่ กองกำลังของแคว้นอื่นไม่มีทางยอมให้กองกำลังต่างแคว้นเข้าไปร่วมแบ่งปันผลประโยชน์ง่ายๆ แน่”

ถังอี๋ตอบโต้ว่า “ข้าเตรียมจะพาทุกคนขึ้นเหนือ ไปสวามิภักดิ์ต่อทัพกบฏของแม่ทัพเซ่าเติงอวิ๋น!”

…………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด