ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 378 คนที่ได้หัวเราะในตอนสุดท้ายต่างหากถึงจะเป็นผู้มีชัยอย่างแท้จริง!

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 378 คนที่ได้หัวเราะในตอนสุดท้ายต่างหากถึงจะเป็นผู้มีชัยอย่างแท้จริง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 378 คนที่ได้หัวเราะในตอนสุดท้ายต่างหากถึงจะเป็นผู้มีชัยอย่างแท้จริง!

“ขอบคุณเจ้า?” ดวงตากุ่ยหมู่แทบลุกเป็นไฟแล้ว ตอนนี้สิ่งที่นางกังวลมิใช่เรื่องที่ว่าฮ่องเต้แคว้นฉีจะหมายหัวนางหรือไม่ นางนึกห่วงจางสิงรุ่ยมากกว่า “พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแล้วจางสิงรุ่ยจะไปอยู่ที่ไหนได้? หรือจะให้พวกเขาทั้งบ้านย้ายตามข้าไปอยู่ในเขาลับแลที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันทั้งปีทั้งชาติแห่งนั้น? อิทธิพลหอจันทร์กระจ่างลึกล้ำเกินหยั่ง ไม่ว่าจะไปหลบซ่อนอยู่ที่ใดก็อาจจะถูกตามตัวพบทั้งสิ้น จางสิงรุ่ยจะรอดพ้นการตามล่าของหอจันทร์กระจ่างไปได้หรือ? หรือเขาจะต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนไปชั่วชีวิต? หากไม่ใช่เพราะเจ้าสอดมือเข้ามายุ่ง จางสิงรุ่ยจะเดือดร้อนได้อย่างไร เจ้ายังจะให้ข้าขอบคุณเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “พี่หญิงโปรดใจเย็นก่อน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ฐานะของจางสิงรุ่ยเปิดเผยแล้ว ย่อมกลับไปอยู่ข้างกายเฮ่าอวิ๋นเซิ่งไม่ได้แล้ว มิเช่นนั้นต้องถูกเฮ่าอวิ๋นเซิ่งจับเป็นตัวประกันข่มขู่พี่หญิงแน่ น่าเสียดายที่ทางฝั่งพี่หญิงมีคนกลุ่มใหญ่ติดตามอยู่ ยากจะเสาะหาสถานที่บำเพ็ญเพียรที่เหมาะกว่าเขาลับแลได้ มิเช่นนั้นคงให้ท่านและจางสิงรุ่ยมาอยู่ที่นี่แล้ว”

กุ่ยหมู่เอ่ยด้วยความโกรธ “สถานที่คับแคบแห่งนี้ของเจ้าจะสามารถขวางหอจันทร์กระจ่างได้หรือ? หากหอจันทร์กระจ่างระดมยอดฝีมือมาโจมตี สำนักหยกสวรรค์ก็ขวางไม่อยู่ เจ้ายากจะป้องกันตัวเองได้ แล้วยังจะมาพูดเรื่องปกป้องเขาอะไรอีก!”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือพลางเอ่ยว่า “ดังนั้นข้าถึงไม่ได้ให้พวกท่านมาอยู่ที่นี่ ในเมื่อข้ากับพี่หญิงร่วมสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่กันแล้ว เรื่องของพี่หญิงก็เป็นเรื่องของข้าเช่นกัน ข้าจะมองดูเรื่องนี้เฉยๆ ได้หรือ? หากข้าต้องการอยู่เฉยๆ ไม่สนใจไยดีอะไรจริงๆ ข้าก็แค่ให้เงินท่านแล้วก็ปล่อยคนไปก็ได้ ไยข้าต้องหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองด้วย? พี่หญิงวางใจเถิด ข้ามีวิธีช่วยให้ครอบครัวจางสิงรุ่ยปลอดภัย!”

กุ่ยหมู่เอ่ยถาม “วิธีอะไร?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “หากว่าให้ใครคนหนึ่งในแคว้นฉีช่วยออกหน้า ก็จะสามารถปกป้องเขาลับแลได้ แล้วก็จะปกป้องครอบครัวของจางสิงรุ่ยได้ ทั้งยังทำให้หอจันทร์กระจ่างไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ แล้วก็ทำให้ซีย่วนต้าอ๋องไม่กล้าบุ่มบ่ามด้วย!”

กุ่ยหมู่ตะลึงไปเล็กน้อย ดวงตากลอกกลิ้งไปมา เอ่ยด้วยความสงสัยว่า “เฮ่าอวิ๋นถู? เจ้าจะให้เฮ่าอวิ๋นถูออกหน้าอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “พี่หญิงโปรดวางใจเถิด หากพี่หญิงไว้วางใจในตัวข้า เช่นนั้นก็ยกเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถิด ข้าจะให้คำตอบที่พี่หญิงพอใจอย่างแน่นอน…”

คนด้านนอกก็ไม่ทราบเช่นกันว่าสองคนที่อยู่ด้านในคุยอะไรกัน กว่าทั้งสองคนจะออกมาจากจุดพักม้า ฟ้าก็มืดแล้ว

ม้าศึกชุดใหญ่เริ่มทำการแบ่งกลุ่มขนย้ายเป็นชุดๆ ศิษย์จากแต่ละสำนักเข้าร่วมคุ้มกัน

กุ่ยหมู่เดินเข้ามาลู่หลีจวิน ทำการจัดวางกำลังผู้บำเพ็ญเพียรผีที่มาที่นี่ นางจะพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว หากหนิวโหย่วเต้าไม่ให้คำตอบที่นางพึงพอใจ นางก็จะไม่ไปไหนเช่นกัน

คำพูดปากเปล่าไม่มีประโยชน์ นางต้องการเห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง

หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่นอกจุดพักม้า กวาดตามองไปรอบๆ กงซุนปู้เดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ทางท่านอ๋องให้ข้ามาถามว่าอีกนานหรือไม่กว่าทางท่านจะเสร็จธุระ ต้องการกลับไปพร้อมกันหรือไม่”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “แจ้งท่านอ๋องว่าสามารถออกเดินทางได้เลย”

ตรงข้ามจุดพักม้ามีโรงฝากเงินแห่งหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งออกันอยู่ตรงประตู ไม่นานนักก็มีหลายคนปล่อยปีกทองออกไป หลังจากสวี่เหล่าลิ่วและคนกลุ่มคนนั้นคำนับลากันแล้ว เขาก็ปลีกตัวเดินกลับมา

หนิวโหย่วเต้าพยักเพยิดหน้าไปทางโรงฝากเงิน เอ่ยถามสวี่เหล่าลิ่วว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”

สวี่เหล่าลิ่วเอ่ยว่า “ชำระค่าใช้จ่ายที่ติดค้างกับเรือเหล่านั้นแล้วขอรับ ส่วนที่สมควรจะชดเชยก็ชดเชยไปแล้วเช่นกัน ได้รับเงินมากขึ้น พวกเขาล้วนแต่ดีใจกันมาก แต่เงินมากมายขนาดนี้ พวกเขาไม่สะดวกจะพกติดตัวไปด้วย จึงให้ฝากเงินทั้งหมดเข้าบัญชีของเจ้าของเรือแทน จากนั้นก็พากันส่งข่าวกลับไปแจ้งเจ้าของเรือ เรื่องนี้นับว่าเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “สอบถามเบื้องหลังมาชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?”

สวี่เหล่าลิ่วตอบว่า “ถามมาชัดเจนแล้ว จดไว้หมดแล้วขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าหรี่ตาเพ่งมองกลุ่มลูกเรือที่รวมตัวกันอยู่หน้าประตูโรงฝากเงินอย่างคึกคักเตรียมจะไปสังสรรค์ดื่มกินกัน เขาพึมพำกับตัวเอง “ไม่รู้ว่าเบื้องหลังของคนเหล่านี้จะมีกองกำลังของหอจันทร์กระจ่างแฝงตัวอยู่หรือไม่”

ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ข้างๆ ก็จ้องมองอยู่พักหนึ่ง แต่ไหนเลยจะมองอะไรออก นางหันไปเอ่ยหยอกว่า “เงินห้าล้านเหรียญทองที่เพิ่งได้มา ใช้หมดไปเช่นนี้น่ะหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าไม่ได้คิดมากอะไร “หมดแล้วก็หมดไป คนอยู่เงินอยู่ คนตายเงินหมด มีเงินมิสู้มีชีวิต!”

ก่วนฟางอี๋ร้องจุ๊ๆ เอ่ยไปว่า “เจ้าเป็นยาจกผู้ใจกว้างนี่เอง!”

แม้จะเอ่ยไปเช่นนี้ แต่สายตาที่ทอดมองมากลับเจือแววชื่นชมที่ไม่อาจปกปิดไว้ได้ ปากก็กล่าวไปว่า “แล้วกลับไปจะอธิบายอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าฉวน “อธิบายอย่างไรอะไร?”

ก่วนฟางอี๋ฟาดพัดกลมในมือใส่อกเขา “เผิงโย่วไจ้อย่างไรเล่า! เจ้าปิดล้อมอีกฝ่ายไว้ อีกฝ่ายต้องการให้เจ้ามอบคำอธิบาย หากเจ้าไม่มอบคำอธิบายให้ ข้าไม่พลอยซวยไปกับเจ้าด้วยหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว สูตรลับกลั่นสุรายังอยู่ในมือข้า อีกอย่างข้าบอกเขาไว้แต่แรกแล้วว่าข้ายังมีไพ่ตายอยู่ เขาพะวงถึงผลประโยชน์จากการค้าสุรา ไม่กล้าแตะต้องข้าแน่นอน เพราะกลัวข้าจะเผยแพร่สูตรลับออกไป ที่บอกว่าต้องการคำอธิบายก็แค่อยากหาทางลงไม่ให้เสียหน้าเท่านั้น มอบคำอธิบายสักอย่างให้เขาไปส่งๆ ก็ใช้ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือทางนี้เพิ่งร่วมสาบานกับพี่หญิงไป ในขณะที่ยังไม่ทราบสถานการณ์แน่ชัด เขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเช่นกัน เผิงโย่วไจ้ไม่มีอะไรให้น่ากังวลเลย”

อย่างนี้นี่เอง! ก่วนฟางอี๋ลอบพยักหน้ารับ หันไปมองกุ่ยหมู่ที่กำลังสั่งการลูกน้องอยู่ไม่ไกล แอบรู้สึกขบขัน หันกลับมาถามอีกครั้ง “แล้วจะทำอย่างไรกับหอจันทร์กระจ่าง? อีกฝ่ายไม่มีทางยอมโดนเล่นงานโดยไม่ตอบโต้กลับ อย่านึกเชียวนะว่าหนีออกจากแคว้นฉีมาได้อีกฝ่ายจะไม่กล้าแตะต้องเจ้าแล้ว ตอนนี้ทราบเป้าหมายชัดเจน รู้แล้วว่าเจ้าอยู่ที่จังหวัดชิงซาน หอจันทร์กระจ่างสามารถลงมือกับเจ้าได้ทุกเมื่อ!”

“ไม่จำเป็นต้องกังวล ในเมื่อข้ากล้ากลับมา ข้าย่อมต้องมีวิธีรับมือ!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยทิ้งท้ายไว้แล้วเดินออกไปต้อนรับซางเฉาจงที่เดินเข้ามาหา

ไม่นานนัก ขบวนม้าก็วิ่งทะยานออกไป ในขบวนมีรถม้าอยู่คันหนึ่ง เหมิงซานหมิงโดยสารอยู่ข้างใน

คนที่เหลือรวมถึงซางเฉาจงและหนิวโหย่วเต้าล้วนอยู่บนหลังม้า กุ่ยหมู่เองก็พาผู้บำเพ็ญเพียรหลายรายติดตามมาด้วย

…..

ทั้งคณะมาถึงปากทางเข้าสู่หุบเขานอกตัวเมืองจังหวัดชิงซานในช่วงกลางดึก ซางเฉาจงยืนกรานจะเข้าไปส่งด้วยตัวเองให้ได้ หนิวโหย่วเต้ายากจะปฏิเสธน้ำใจได้ จึงได้แต่ต้องตามใจเขา

เมื่อเข้ามาถึงในหุบเขา พบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งรออยู่ในศาลายาวด้านในหุบเขา เป็นพวกเผิงโย่วไจ้นั่นเอง พวกหยวนฟางก็รออยู่เช่นกัน

เมื่อมาถึงที่นี่ กลุ่มคนก็กระโดดลงจากหลังม้า หยวนฟางถลาเข้ามาหาตามเพียงคนเดียว ประสานมือเอ่ยเรียกอย่างค่อนข้างตื่นเต้น “เต้าเหยี่ย!”

หนิวโหย่วเต้ามองสำรวจเขาหัวจรดเท้า เอ่ยถามว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”

หยวนฟางส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ข้าสบายดีขอรับ เฮยหมู่ตาน นาง…นาง…” สีหน้าเขาโศกหมอง เห็นได้ชัดว่าทราบเรื่องการตายของเฮยหมู่ตานแล้ว

หนิวโหย่วเต้ายกมือปราม ห้ามไม่ให้เขาเอ่ยต่อไป เขาเองก็ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้เช่นกัน เรื่องเกิดขึ้นมาแล้ว ยกมาพูดวนไปวนมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร รังแต่จะเสียใจยิ่งขึ้นเท่านั้น เขาถามต่อว่า “พวกเจ้าคงไม่ได้เผยสูตรลับกลั่นสุราให้พวกเขารู้กระมัง?”

หยวนฟางยืดอกเชิดหน้าเอ่ยรับประกัน “ไม่เลยขอรับ ไม่มีทางแน่นอน! พวกเขาเพียงคุมขังพวกเราไว้ ยังไม่ได้ถามเรื่องความลับใดๆ จากพวกเรา”

“อืม!” หนิวโหย่วเต้าตบไหล่เขาเบาๆ แล้วเดินเข้าไปหาเผิงโย่วไจ้ที่อยู่ทางนั้น

ไป๋เหยาพุ่งตัวเข้าไปอยู่ข้างกายเผิงโย่วไจ้ก่อนแล้ว ไม่ทราบว่ากระซิบกระซาบอะไรกับเผิงโย่วไจ้อยู่ แต่มองเห็นเผิงโย่วไจ้กำลังเหลือบมองไปทางกุ่ยหมู่ด้วยแววตาสับสนตกใจ เขาก็พอจะคาดเดาออกแล้ว

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปหา ประสานมือเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเผิง ไยจึงมารอต้อนรับอยู่ที่นี่เล่า?”

“ต้อนรับ?” เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “ไยต้องแสร้งถามทั้งที่รู้เล่า?”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า หมุนตัวพลางผายมือ แสดงท่าทางเชื้อเชิญ

เผิงโย่วไจ้เดินตามเขาไปเพียงลำพัง

พอออกห่างจากกลุ่มคนมาเล็กน้อยแล้ว ทั้งสองคนหยุดยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ม้าศึกสามหมื่นตัวที่จัดหามาได้นี้ ข้าเป็นเพียงผู้ดำเนินการเท่านั้น ผู้วางแผนคิดกลยุทธ์ที่แท้จริงคือสำนักหยกสวรรค์ ดังนั้นคนออกเงินซื้อม้าศึกก็คือสำนักหยกสวรรค์ คนที่จัดหาม้าศึกมาก็คือสำนักหยกสวรรค์ ข้าเพียงช่วยวิ่งเต้นเท่านั้นอไม่กล้ารับความดีความชอบ!”

เปลือกตาเผิงโย่วไจ้กระตุกเล็กน้อย เข้าใจเจตนาของเขา นี่คือคิดจะยกความดีความชอบให้เพื่อใช้เป็นคำอธิบายแก่สำนักหยกสวรรค์

ถูกต้อง ความดีความชอบคือสิ่งที่สำนักหยกสวรรค์ต้องการ หาไม่แล้วคงได้เสียหน้าเป็นอย่างมาก เสียเวลาไปหนึ่งปีกว่า สูญเสียคนไปมากมายปานนั้น เสียค่าใช้จ่ายไปมหาศาลขนาดนั้นก็ยังทำงานไม่สำเร็จ สำนักหยกสวรรค์ไม่อาจเทียบหนิวโหย่วเต้าเพียงคนเดียวได้ ไหนเลยจะทนรับความอับอายนี้ได้?

เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าทุกคนตาบอดกันหมดหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยไปว่า “จะตาบอดหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่มีจุดหนึ่งที่ข้ามั่นใจได้ นอกจากคนไม่กี่คนของทางฝั่งข้าแล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าม้าศึกชุดนี้ได้มาอย่างไร ข้ากลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จึงปกปิดกระบวนการขนส่งม้าศึกไว้อย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้นคนอื่นจึงไม่ทราบถึงสถานการณ์เลย!”

เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “ท่านอ๋องเป็นคนโง่หรือไร?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ท่านอ๋องจะเป็นคนโง่หรือไม่ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือท่านอ๋องไม่มีทางพูดถึงสำนักหยกสวรรค์ต่อภายนอกในทางเสื่อมเสียแน่ ยิ่งไปกว่านั้นคือท่านอ๋องไม่ทราบเรื่องราวที่ผ่านมาเลยจริงๆ ข้าจะบอกต่อท่านอ๋องว่าเรื่องนี้ล้วนเป็นแผนการที่สำนักหยกสวรรค์วางไว้ นับจากนี้ไปข้าจะให้ลูกน้องใกล้ตัวป่าวประกาศต่อภายนอกว่าเรื่องนี้เป็นผลงานของสำนักหยกสวรรค์ ในเมื่อคนที่จัดการเรื่องราวล้วนกล่าวกันเช่นนี้ แล้วคนนอกจะพูดอะไรได้เล่า?”

เผิงโย่วไจ้เอ่ยถาม “ปากคนเราจะพูดอย่างไรก็ได้ ถึงอย่างไรมันก็ขึ้นอยู่กับคำพูดทางฝั่งเจ้ามิใช่หรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากข้าเป็นปฏิปักษ์กับสำนักหยกสวรรค์เพราะเรื่องนี้จะมีผลดีอะไรหรือ จำเป็นต้องทำเช่นนั้นด้วยหรือ? สำนักหยกสวรรค์ไม่จำเป็นต้องยอมรับและไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ แค่เงียบไว้ก็พอ ส่วนที่เหลือให้คนดำเนินการอย่างพวกเราจัดการเอง เจ้าสำนักเผิงเห็นว่าอย่างไร?”

เผิงโย่วไจ้ไม่ได้ตอบรับ แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ หากแต่หันหลังเดินออกไป ไม่ได้กลับไปทางสำนักหยกสวรรค์ แต่เดินเข้าไปหยุดตรงหน้ากุ่ยหมู่ ประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าพเจ้าคือเผิงโย่วไจ้เจ้าสำนักหยกสวรรค์ ขอบังอาจถามว่าท่านใช่ปรมาจารย์กุ่ยหมู่ตัวจริงหรือไม่?

กุ่ยหมู่ตอบอย่างเย็นชา “เจ้าสำนักเผิงเกรงใจเกินไปแล้ว”

เผิงโย่วไจ้กล่าว “แขกผู้มีเกียรติมาเยือนจากแดนไกล สำนักหยกสวรรค์ของเราเป็นเจ้าบ้านย่อมต้องรับรองอย่างเต็มที่ จึงอยากเชิญไปพักในเมือง…”

“ไม่จำเป็นต้องลำบาก!” กุ่ยหมู่ตัดบท พยักเพยิดหน้าไปทางหนิวโหย่วเต้าที่เดินเข้ามา “ข้ายังมีธุระต้องหารือกับน้องหนิวอีก”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนแล้ว” เผิงโย่วไจ้พยายามเอาใจ แต่อีกฝ่ายกลับไม่แยแสเลย เขาจึงได้แต่หัวเราะหึๆ แล้วเดินผ่านไป จากนั้นหันไปมองหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย จู่ๆ ก็หันกลับมาเอ่ยถามอีกครั้งว่า “หนิวโหย่วเต้าได้มอบเงินให้ท่านหรือไม่?”

กุ่ยหมู่เอ่ยด้วยแววตาเยียบเย็น “ทำไม? เจ้าต้องการเอาคืนหรือ?”

“ฮ่าๆ หาได้มีเจตนาเช่นนั้นไม่ ขอลา!” เผิงโย่วไจ้ประสานมือคำนับ สะบัดแขนเสื้อเดินเฉียดข้างกายกุ่ยหมู่ไป

เหล่าศิษย์จากสำนักหยกสวรรค์เห็นเช่นนี้ก็พากันตามออกไป

หลังจากมองส่งคนเหล่านี้จากไปแล้ว ซางเฉาจงก็เดินออกมาเชิญหนิวโหย่วเต้าไปคุยกันด้านข้าง

หลังจากออกมาด้านข้าง หนิวโหย่วเต้าถามว่า “ท่านอ๋องมีเรื่องใดจะสั่งการหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางเฉาจงเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เรื่องที่พวกเขามาจับตัวคนทางนี้ ข้าละอายใจมากจริงๆ ข้า…”

หนิวโหย่วเต้ายกมือปราม “ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความเลยพ่ะย่ะค่ะ ในใจกระหม่อมทราบกระจ่างดี กระหม่อมไม่ได้อยู่ที่นี่ คนของสามสำนักก็ไม่กล้าขวางพวกเขาเช่นกัน ท่านอ๋องตัวคนเดียวยากจะขวางพวกเขาได้เช่นกัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องเก็บมาเป็นกังวลเลยพ่ะย่ะค่ะ แซ่หนิวไม่ถึงกับจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเช่นนี้ ท่านอ๋องจำเป็นต้องจำไว้ว่าตอนนี้กำลังของทางเรายังสู้พวกเขาไม่ได้ กับบางเรื่องจำเป็นต้องทนให้ถึงที่สุด รอจนถึงยามที่ท่านอ๋องมีอำนาจ ก็จะถึงตาที่พวกเขาจะต้องกล้ำกลืนโทสะบ้างแล้ว ตอนนี้ยังต้องพึ่งพาอิทธิพลของสำนักหยกสวรรค์อยู่ พยายามอย่าปะทะกับพวกเขาจะดีกว่า ทนรับความอัปยศไว้ก่อนเพื่อรอคอยอนาคตข้างหน้า โลกนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคเส้นทางของพวกเรายังเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ไม่อาจตัดสินผู้กล้าจากความสำเร็จหรือล้มเหลวในช่วงเวลาหนึ่งได้ คนที่ได้หัวเราะในตอนสุดท้ายต่างหากถึงจะเป็นผู้มีชัยอย่างแท้จริง!”

……………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด