ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 164 ชิงลงมือก่อน

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 164 ชิงลงมือก่อน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 164 ชิงลงมือก่อน

ทั้งห้ารีบมุดเข้าสู่ป่า อาศัยสภาพแวดล้อมภายในภูเขากำบังอำพราง หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

และนี่ก็คือเหตุผลที่หนิวโหย่วเต้าเลือกมาทางด้านนี้ หากไม่มีป่าเขาช่วยอำพราง การอยู่ในที่โล่งนั้นยากจะหนีรอดได้

เวลานี้มีเงาร่างมนุษย์หลายร่างร่อนโฉบไปบนผิวน้ำ พวกถังอี๋ร่อนลงในป่าเขาด้านนี้ สอดส่ายสายตาค้นหาไปทั่ว ไม่ทราบเลยว่าพวกหนิวโหย่วเต้าไปไหนแล้ว

มีผู้บำเพ็ญเพียรอีกสองคนเหินทะยานเข้ามา ร่อนลงข้างกายคนทั้งสาม เมื่อเห็นทั้งสามหยุดนิ่งไม่ค้นหาต่อ ทั้งสองจึงสบตากัน หมดหนทางจะติดตามแล้ว ป่าเขากว้างใหญ่เช่นนี้ ทั้งสองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าหนีไปทางไหนหรือไปหลบซ่อนตัวอยู่ในที่ใด มีกำลังคนอยู่เพียงเท่านี้ การเที่ยวค้นหาไปทั่วภูเขาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก

…..

ม่านรัตติกาลปกคลุม ในเมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำ แสงไฟสว่างไสวขึ้นมา เซ่าผิงปออพยพไปพักที่คฤหาสน์หลังหนึ่งในเมืองเป็นการชั่วคราว

ภายในห้องโถง หลังจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นออกไปแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่กลับจากการค้นหาถึงได้เข้ามารายงาน “คุณชายใหญ่ขอรับ ไม่ทราบว่าคนหนีไปที่ใด เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว เกรงว่ายากจะค้นหาต่อไปได้ขอรับ”

เซ่าผิงปอเห็นเขารีๆ รอๆ อยู่ด้านข้างไม่เข้ามารายงานเสียที ก็พอจะทราบแล้วว่าหาไม่พบ จึงเอ่ยว่า “นภาสูงพสุธากว้างใหญ่ เทียวไปเทียวมา ค้นหาอย่างไร้จุดมุ่งหมายก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน เรียกคนกลับมา ตอนนี้มีงานสองเรื่องที่ต้องทำ เรื่องแรกคือต้องรู้เขารู้เรา จะประมือโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครไม่ได้ แบบนั้นจะทำให้เราเสียเปรียบเป็นอย่างมาก หาทางติดต่อไปทางจูเก่อสวิน สืบดูว่าจางซานผู้นี้เป็นใครกันแน่ เรื่องที่สอง ส่งคนกลุ่มหนึ่งไปที่เมืองหลวง คอยเฝ้าประตูเมืองหลวงไว้ รอให้อีกฝ่ายปรากฏตัวออกมา หากพบตัวเขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจ คิดหาทางกำจัดทิ้งทันที”

“ขอรับ!” ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ด้านข้างตอบรับ

ภายในเมืองเล็กๆ มีแสงโคมกระจัดกระจาย พวกถังอี๋ที่ออกไปค้นหาในภูเขาเพิ่งกลับมาถึงในเวลานี้

หลังจากเข้าพักในโรงเตี๊ยมที่จัดสรรไว้ ผีเสื้อจันทราตัวหนึ่งกระพือปีกโบยบิน ร่อนลงบนโต๊ะ ถังอี๋ค่อยๆ นั่งลงข้างโต๊ะ สีหน้าแฝงไว้ด้วยความกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วน

คิดไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้าจะจากไปอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เช่นนี้ แล้วก็ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าก่อนจากไปหนิวโหย่วเต้าจะวางเพลิงเหลาสุราด้วย จากจุดนี้ทำให้นางรับรู้ได้ถึงความเด็ดขาดของหนิวโหย่วเต้าแล้วเช่นกัน ดูไม่คล้ายเด็กหนุ่มเฉื่อยชาในความทรงจำของนางผู้นั้นสักเท่าไร

เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เมื่อในอดีตทำให้นางรู้สึกผิดต่อหนิวโหย่วเต้ามาโดยตลอด ครานี้เมื่อได้พบกันแล้ว นางก็เพียงแค่อยากจะทำดีชดใช้ให้หนิวโหย่วเต้า ผู้ใดจะทราบว่าหนิวโหย่วเต้ากลับหนีไปเช่นนี้ เพิ่งพบหน้ากันไม่ทันไรก็จากไปเช่นนี้เสียแล้ว

นอกจากความรู้สึกละอายใจแล้ว ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของทั้งสองคนอันนั้นก็มิใช่สิ่งที่นึกจะบอกว่าไม่สนใจก็ไม่สนใจได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี สุดท้ายยังคงยากจะหนีรอดไปจากค่านิยมศีลธรรมที่สืบเนื่องต่อๆ กันมาในโลกได้ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังทิ้งปมเลือนรางบางอย่างไว้ในใจของนาง

ตัวนางเองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยานี้ได้ทำให้ความรู้สึกของนางเปลี่ยนไป เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างอิงแอบแนบชิดภายในห้องครัว ปกติแล้วนางไม่มีทางใกล้ชิดกับชายอื่นในระยะใกล้ขนาดนี้ได้ มักจะหลบเลี่ยงเสมอมา ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหนิวโหย่วเต้ากลับคล้ายมิได้คิดที่จะหลบหลีกเลย หลงลืมความคิดที่จะหลบหลีกไป กระซิบกระซาบกันอย่างใกล้ชิดเช่นนั้น ตอนนี้พอคิดขึ้นมาแล้วถึงจะรู้ตัวขึ้นมา

ครั้งล่าสุดที่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนั้นคล้ายจะเป็นตอนเกี่ยวแขนดื่มสุราในเรือนหอ หนิวโหย่วเต้าในยามนั้นยังสูงไม่เท่าตนเลย ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ยามคล้องแขนก้มหน้า แม้แต่ตัวนางก็ยังรู้สึกว่าน่าขบขัน ยามนี้ได้ยืนเคียงข้างกัน นางถึงได้ตระหนักแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเติบโตแล้ว ร่างกายสูงใหญ่กว่าตน กลายเป็นบุรุษคนหนึ่งแล้ว

คล้ายว่าคำพูดที่เคยพูดคุยกันในช่วงเวลาห้าปีในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังไม่มากเท่าคำพูดที่นางกับเขาพูดคุยกันในครั้งนี้เลย

นึกจะหนีก็หนีไป ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวกันสักคำ ต่อให้ไม่เกลียดชังนาง แต่คาดว่าคงไม่มีความรู้สึกดีๆ อันใดให้ ซึ่งนางเองก็เข้าใจว่าในอดีตสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้สร้างความเจ็บปวดเอาไว้ให้อีกฝ่ายมากมายเพียงใด

เพียงแต่เวลานี้เขาเติบโตแล้ว กลายเป็นบุรุษคนหนึ่งแล้ว อยู่ด้านนอกจะพบพานสตรีอื่นบ้างหรือไม่ ทั้งสตรีที่เขาชอบ หรือสตรีที่ชอบเขา หากว่าเขามีสตรีอื่น ตนจะนับเป็นอันใด? คล้ายว่าตนจะไม่มีสิทธิ์ไปว่าอะไรได้เช่นกัน

ผีเสื้อจันทราส่องแสงอ่อนละมุน สตรีข้างโต๊ะงามงดปานบุปผา นั่งเหม่อเลื่อนลอย

…..

ไม่ได้ขี่ม้า แล้วก็ไม่กล้าใช้ถนนหลวง ทางไหนเปลี่ยวร้างไร้ผู้คนก็ไปทางนั้น

พวกเฮยหมู่ตานไม่ค่อยเข้าใจ ดูเหมือนเต้าเหยี่ยจะหวั่นเกรงเซ่าผิงปอคนนั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่ประเด็นสำคัญคือพวกนางไม่เห็นเซ่าผิงปอคนนั้นจะทำอะไรเลย ไยต้องหวั่นเกรงถึงเพียงนี้ด้วย?

เรียกได้ว่าหลบหนีกันโดยมิได้หยุดทั้งคืน เดินทางกันจนกระทั่งแสงอรุณเผยขึ้นที่ปลายขอบฟ้า ทั้งกลุ่มถึงได้หยุดลงในป่าแห่งหนึ่ง แต่ละคนเหน็ดเหนื่อยปานสุนัขใกล้ตาย ยามนี้หากมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมปราณโผล่มาสักคนก็สามารถสังหารพวกเขาทั้งกลุ่มได้แล้ว

ความจริงการทำแบบนี้อันตรายเป็นอย่างมาก เอาแต่เดินทางอยู่ป่าเขา หากมีมารปีศาจหรือภูตผีอันใดแฝงเร้นอยู่ เกิดถูกหมายตาเข้าคงเจอปัญหาแน่

“น่าจะไม่มีทางตามมาเจอแล้ว ทุกคนรีบฟื้นฟูกำลังเถอะ” หนิวโหย่วเต้าโบกมือสั่งการ ตัวเขานั่งขัดสมาธิลงไป

พวกเฮยหมู่ตานเองก็นั่งลงทีละคน หยิบโอสถวิญญาณออกมาโยนใส่ปาก รีบนั่งสมาธิฟื้นกำลัง

กระทั่งดวงตะวันลอยขึ้นสู่ฟ้า พละกำลังของทุกคนถึงทยอยฟื้นฟูกลับมา กลับมากระฉับกระเฉงกันอีกครั้ง เพียงแต่เมื่อมองสำรวจรอบข้าง หลบหนีกันมาทั้งคืน ไม่รู้เลยว่าหนีมาไกลแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใดแล้ว

หลังแยกกันไปสำรวจดูก็พบเส้นทางหลวงสายหนึ่ง เมื่อดักถามคนที่ผ่านทางมา ถึงได้ทราบว่าใกล้จะถึงสถานที่ที่เรียกว่าอำเภอฉินอันแล้ว

เมื่อกางแผนที่ดู ลองคำนวณดูเล็กน้อย หากคำนวณระยะทางในแนวเส้นตรงบนแผนที่ล่ะก็ เมื่อคืนพวกเขาวิ่งมาได้ประมาณแปดร้อยกว่าลี้แล้ว

ภายในป่าที่อยู่ข้างทาง หนิวโหย่วเต้ามองดูแผนที่ที่กางเปิดเอาไว้ ไม่ทราบว่าคิดอันใดอยู่ เฮยหมู่ตานเอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย จะไปไหนกันต่อเจ้าคะ?”

แม้นตลอดทางจะวกไปวนมาอยู่หลายครั้ง แต่ทั้งสี่สังเกตเห็นแล้วว่าหนิวโหย่วเต้ามุ่งหน้าขึ้นเหนือตลอด ไม่ทราบเช่นกันว่าคิดจะทำอะไร ไม่ยอมเปิดเผยเลยว่าจะมุ่งหน้าไปที่ไหน

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “จากนี้แยกกันเดินทาง!”

“แยกกันหรือขอรับ?” ต้วนหู่เอ่ยเตือน “เต้าเหยี่ย ตระกูลเซ่ามีกองกำลังของตัวเอง มาตรว่าจะสวามิภักดิ์กับแคว้นหานแล้ว แต่ความสัมพันธ์ที่มีต่อแคว้นหานก็ไม่นับว่าดีนัก อีกทั้งตระกูลเซ่าก็เพิ่งแยกตัวออกมาจากแคว้นเยี่ยนได้ไม่นาน รากฐานยังไม่หยั่งลึก ขอบเขตอิทธิพลน่าจะยังไม่ขยายออกมานอกมณฑลเป่ยโจว อีกทั้งเขาเองก็ไม่ทราบว่าพวกเราใช้เส้นทางไหน น่าจะไม่เกิดปัญหาอันใดขึ้นกระมังขอรับ?”

ความหมายในวาจาคือหวาดกลัวเกินไปหน่อยหรือไม่

คนอื่นๆ พยักหน้ารับ ล้วนคิดว่าไม่จำเป็นต้องแยกกันเดินทางเลย

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “คิดมากไปแล้ว ข้ามีเรื่องจะให้พวกเจ้าจัดการต่างหากล่ะ”

ที่แท้ก็มีงานนี่เอง ทั้งสี่มองเขา รอให้เขาออกคำสั่ง แต่หนิวโหย่วเต้ากลับหลับตาลง คล้ายกำลังครุ่นคิดอันใดอยู่

หลังจากนั้นคล้ายว่าตัดสินใจได้แล้ว หนิวโหย่วเต้าลืมตาขึ้น หมุนตัวเดินหาพื้นที่โล่ง โคจรพลังสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ถางพื้นให้เรียบเตียน ขยับกระบี่ที่ยังอยู่ในฝักจรดลงบนพื้นดิน เริ่มขีดเขียนตัวอักษร

ทั้งสี่คนจ้องมองอักษรที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นดินทีละตัว ค่อยๆ ท่องตามว่า “ราชันเป่ยโจว ราชันเป่ยโจว ลูกกวาดหนึ่งลูกเอ้าลูกกวาดหนึ่งลูก…”

ทั้งสี่ท่องๆ ไปก็ผงะจนพูดไม่ออก นี่มันอะไรกันเนี่ย?

เมื่ออ่านข้อความส่วนหลังที่ถูกเขียนขึ้นต่อไปอีก ทั้งสี่ต่างก็ท่องโดยไร้ความพร้อมเพรียงออกมาต่อว่า “เบื้องบนจนปัญญา เบื้องล่างไร้หนทาง ลูกกวาดสองลูกเอ้าลูกกวาดสองลูก เมฆราชันปลอม คลื่นราชันจริง ลูกกวาดสามลูกเอ้าลูกกวาดสามลูก คลื่นสงบงดงาม คลื่นสงบงดงาม เงินไหลกองเอ้าทองไหลมา!”

เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้ก็คล้ายว่าเขียนจบแล้ว หนิวโหย่วเต้ามองอักษรบนพื้น ในปากส่งเสียงฮึมฮัมอะไรบางอย่าง มือปรบเป็นจังหวะคล้ายกำลังปรับทำนองการท่อง

สิ่งที่เขียนอยู่บนพื้น แรกเริ่มทั้งสี่ยังอ่านไม่เข้าใจ แต่หลังจากเขียนจบและอ่านดูอย่างละเอียด ความจริงแล้วมันก็ตรงไปตรงมาเข้าใจได้ง่าย

ราชันเป่ยโจวคือผู้ใด ก็หมายถึงเซ่าเติงอวิ๋นมิใช่หรือ? เบื้องบนของเป่ยโจวคือแคว้นหาน เบื้องล่างคือแคว้นเยี่ยน เมฆ[1]ราชันปลอมจะสื่อว่าเซ่าเติงอวิ๋นเป็นราชันตัวปลอมใช่หรือไม่? คลื่น[2]ราชันจริงจะสื่อว่าเซ่าผิงปอต่างหากที่เป็นราชันตัวจริงใช่หรือไม่? คลื่นสงบงดงาม[3]มิใช่การนำเอาชื่อเซ่าผิงปอมาอ่านกลับหลังหรอกหรือ?

พอเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว เมื่อลองทำการร้อยเรียงความหมายทั้งหมดเข้าด้วยกันอีกครั้ง ความหมายน่าจะประมาณว่า เซ่าเติงอวิ๋นต้องการขึ้นเป็นราชันแห่งเป่ยโจว แคว้นหานที่อยู่ด้านบนทำอะไรเขาไม่ได้ แคว้นเยี่ยนที่อยู่ด้านล่างก็ทำอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน แต่ความจริงแล้วเซ่าเติงอวิ๋นเป็นเพียงฉากบังหน้า เซ่าผิงปอต่างหากที่เป็นราชันตัวจริงแห่งเป่ยโจว คนที่สามารถทำลายเซ่าเติงอวิ๋นได้ก็คือเซ่าผิงปอ

หลังจากเข้าใจในความหมายแล้ว ทั้งสี่ลอบเหงื่อตกเล็กน้อย มองหน้ากันเหลอหลา เต้าเหยี่ยแต่งถ้อยคำที่ไร้ศีลธรรมเช่นนี้ออกมาหมายความว่าอย่างไรกัน?

ส่วนหนิวโหย่วเต้าก็คล้ายจะได้ทำนองที่เข้ากันแล้ว จึงหันมาร้องให้พวกเขาฟังอย่างสนุกสนาน “เบื้องบนจนปัญญา เบื้องล่างไร้หนทาง ลูกกวาดสองลูกเอ้าลูกกวาดสองลูก เมฆราชันปลอม คลื่นราชันจริง ลูกกวาดสามลูกเอ้าลูกกวาดสามลูก คลื่นสงบงดงาม คลื่นสงบงดงาม เงินไหลกองเอ้าทองไหลมา…”

เขาขับขานให้ทั้งสี่คนฟังซ้ำไปซ้ำมา ทำนองนั้นร้องได้คล่องปากทีเดียว หลังจากฟังอยู่สองสามรอบ ทั้งสี่คนต่างก็รู้สึกว่าตนร้องเป็นแล้ว

หลังจากร้องอยู่หลายรอบ หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “จำได้หมดหรือยัง?”

เฮยหมู่ตานตอบแบบกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เรื่องจำน่ะจำได้แล้วเจ้าค่ะ ร้องได้คล่องปาก จำได้ง่ายยิ่งนัก แต่เหตุใดถึงให้ความรู้สึกเหมือนเพลงกล่อมเด็กที่ให้เด็กร้องเล่นเลยล่ะเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “ฉลาดมาก ก็เป็นเพลงกล่อมเด็กนั่นแหละ และนี่ก็คืองานที่พวกเจ้าต้องไปจัดการ หลังจากแยกย้ายกันไปแล้ว ให้แต่ละคนไปหาอำเภอสิบแห่ง หาทางสอนเด็กๆ ในพื้นที่ให้ร้องเพลงนี้ ทำให้พวกเขาร้องไปทั่วทุกตรอกซอกซอย”

“…..” ทั้งสี่คนเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร เมื่อเพลงกล่อมเด็กเพลงนี้แพร่กระจายกลับไปยังมณฑลเป่ยโจว สองพ่อลูกตระกูลเซ่าคงต้องกระอักกระอ่วนอย่างมากเวลามองหน้ากันแน่!

ทั้งสี่คนมองเขาราวกับมองดูสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น วิธีการชั่วร้ายเช่นนี้ก็ยังคิดออกมาได้ นี่เท่ากับผลักเซ่าผิงปอไปสู่ความตายชัดๆ!

ทั้งสี่คนทอดถอนใจ เซ่าผิงปอชอบใครไม่ชอบ ดันไปชอบสตรีของหนิวโหย่วเต้าเอาเสียได้ การล้างแค้นเช่นนี้เรียกได้ว่าชั่วร้ายโหดเหี้ยมยิ่งนัก!

ที่โบราณกล่าวไว้ว่าหญิงงามคือต้นตอแห่งหายนะนั้นมิผิดเลยจริงๆ ครั้งนี้เซ่าผิงปอเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว!

เฮยหมู่ตานเอ่ยเตือน “เต้าเหยี่ย หากทำเช่นนี้จริงๆ นี่นับว่าพวกเราล่วงเกินเซ่าผิงปอถึงชีวิตเลยนะเจ้าคะ เกรงว่าเซ่าผิงปอคงตามล่าพวกเราไม่ปล่อยแน่ จำเป็นต้องสร้างสัตรูเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าคิดหรือว่าถ้าพวกเราไม่ล่วงเกินเขาแล้วจะปลอดภัย? ถึงข้าไม่หาเรื่องเขา เขาก็ต้องมาหาเรื่องข้าอยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ชิงลงมือก่อน ถึงเล่นงานเขาให้ตายไม่ได้ก็ต้องตัดกำลังของเขาไปบางส่วน ถ่วงมือถ่วงเท้าเขาไว้ สร้างอุปสรรคให้เขา ทำให้เขาลงมือได้ลำบาก พวกเราก็จะถูกคุกคามน้อยลงไปด้วย”

“เอาเป็นว่าเซ่าผิงปอผู้นี้มีความทะเยอทะยานและแน่วแน่เป็นอย่างมาก จะว่าอย่างไรดีล่ะ เรื่องบางอย่างเพียงรับรู้ได้แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ พูดกับพวกเจ้าไปพวกเจ้าก็ไม่มีทางเข้าใจในตอนนี้ บางทีในอนาคตพวกเจ้าอาจจะเข้าใจได้เอง ตอนนี้พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเจ้าจัดการตามที่สั่งก็พอ กางแผนที่ซะ!”

หนิวโหย่วเต้าสั่งกางแผนที่อีกครั้ง ทำการแบ่งเขตเพื่อเผยแพร่เพลงกล่อมเด็ก ให้ทั้งสี่คนเลือกสถานที่เอาเอง

ระหว่างทั้งสี่คนเองก็ไม่ได้มีอะไรให้จุกจิกจู้จี้ สุ่มชี้กันมาคนละเขต

“เอาล่ะ อย่างนั้นตกลงกันตามนี้ แยกกันเป็นสี่เขต พวกเราจะไปเจอกันที่อำเภอจิ่วหลิ่งทางตอนเหนือ วิธีเจอกันให้ทำเหมือนเดิม” หนิวโหย่วเต้าชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งบนแผนที่ จากนั้นเอ่ยกับทุกคนอีกครั้งว่า “พวกเจ้าทิ้งคนไว้คอยติดตามข้าสักคน”

ต้วนหู่ อู๋ซานเหลี่ยงและเหลยจงคังแทบจะชี้ไปทางเฮยหมู่ตานอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

เฮยหมู่ตานผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็หลุดหัวเราะคิกคักออกมา

หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออกเลย เหมือนทุกคนจะคิดกันไปจริงๆ แล้วว่าเขามีความสัมพันธ์อะไรกับเฮยหมู่ตาน

…………………………………………….

[1]เมฆ คือ ชื่อของเซ่าเติงอวิ๋น

[2]คลื่น คือ ชื่อของเซ่าผิงปอ

[3]คลื่นสงบงดงาม เป็นการนำเอาชื่อเซ่าผิงปอมาอ่านกลับหลังแล้วตีความใหม่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 164 ชิงลงมือก่อน

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 164 ชิงลงมือก่อน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 164 ชิงลงมือก่อน

ทั้งห้ารีบมุดเข้าสู่ป่า อาศัยสภาพแวดล้อมภายในภูเขากำบังอำพราง หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

และนี่ก็คือเหตุผลที่หนิวโหย่วเต้าเลือกมาทางด้านนี้ หากไม่มีป่าเขาช่วยอำพราง การอยู่ในที่โล่งนั้นยากจะหนีรอดได้

เวลานี้มีเงาร่างมนุษย์หลายร่างร่อนโฉบไปบนผิวน้ำ พวกถังอี๋ร่อนลงในป่าเขาด้านนี้ สอดส่ายสายตาค้นหาไปทั่ว ไม่ทราบเลยว่าพวกหนิวโหย่วเต้าไปไหนแล้ว

มีผู้บำเพ็ญเพียรอีกสองคนเหินทะยานเข้ามา ร่อนลงข้างกายคนทั้งสาม เมื่อเห็นทั้งสามหยุดนิ่งไม่ค้นหาต่อ ทั้งสองจึงสบตากัน หมดหนทางจะติดตามแล้ว ป่าเขากว้างใหญ่เช่นนี้ ทั้งสองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าหนีไปทางไหนหรือไปหลบซ่อนตัวอยู่ในที่ใด มีกำลังคนอยู่เพียงเท่านี้ การเที่ยวค้นหาไปทั่วภูเขาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก

…..

ม่านรัตติกาลปกคลุม ในเมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำ แสงไฟสว่างไสวขึ้นมา เซ่าผิงปออพยพไปพักที่คฤหาสน์หลังหนึ่งในเมืองเป็นการชั่วคราว

ภายในห้องโถง หลังจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นออกไปแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่กลับจากการค้นหาถึงได้เข้ามารายงาน “คุณชายใหญ่ขอรับ ไม่ทราบว่าคนหนีไปที่ใด เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว เกรงว่ายากจะค้นหาต่อไปได้ขอรับ”

เซ่าผิงปอเห็นเขารีๆ รอๆ อยู่ด้านข้างไม่เข้ามารายงานเสียที ก็พอจะทราบแล้วว่าหาไม่พบ จึงเอ่ยว่า “นภาสูงพสุธากว้างใหญ่ เทียวไปเทียวมา ค้นหาอย่างไร้จุดมุ่งหมายก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน เรียกคนกลับมา ตอนนี้มีงานสองเรื่องที่ต้องทำ เรื่องแรกคือต้องรู้เขารู้เรา จะประมือโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครไม่ได้ แบบนั้นจะทำให้เราเสียเปรียบเป็นอย่างมาก หาทางติดต่อไปทางจูเก่อสวิน สืบดูว่าจางซานผู้นี้เป็นใครกันแน่ เรื่องที่สอง ส่งคนกลุ่มหนึ่งไปที่เมืองหลวง คอยเฝ้าประตูเมืองหลวงไว้ รอให้อีกฝ่ายปรากฏตัวออกมา หากพบตัวเขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจ คิดหาทางกำจัดทิ้งทันที”

“ขอรับ!” ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ด้านข้างตอบรับ

ภายในเมืองเล็กๆ มีแสงโคมกระจัดกระจาย พวกถังอี๋ที่ออกไปค้นหาในภูเขาเพิ่งกลับมาถึงในเวลานี้

หลังจากเข้าพักในโรงเตี๊ยมที่จัดสรรไว้ ผีเสื้อจันทราตัวหนึ่งกระพือปีกโบยบิน ร่อนลงบนโต๊ะ ถังอี๋ค่อยๆ นั่งลงข้างโต๊ะ สีหน้าแฝงไว้ด้วยความกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วน

คิดไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้าจะจากไปอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เช่นนี้ แล้วก็ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าก่อนจากไปหนิวโหย่วเต้าจะวางเพลิงเหลาสุราด้วย จากจุดนี้ทำให้นางรับรู้ได้ถึงความเด็ดขาดของหนิวโหย่วเต้าแล้วเช่นกัน ดูไม่คล้ายเด็กหนุ่มเฉื่อยชาในความทรงจำของนางผู้นั้นสักเท่าไร

เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เมื่อในอดีตทำให้นางรู้สึกผิดต่อหนิวโหย่วเต้ามาโดยตลอด ครานี้เมื่อได้พบกันแล้ว นางก็เพียงแค่อยากจะทำดีชดใช้ให้หนิวโหย่วเต้า ผู้ใดจะทราบว่าหนิวโหย่วเต้ากลับหนีไปเช่นนี้ เพิ่งพบหน้ากันไม่ทันไรก็จากไปเช่นนี้เสียแล้ว

นอกจากความรู้สึกละอายใจแล้ว ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของทั้งสองคนอันนั้นก็มิใช่สิ่งที่นึกจะบอกว่าไม่สนใจก็ไม่สนใจได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี สุดท้ายยังคงยากจะหนีรอดไปจากค่านิยมศีลธรรมที่สืบเนื่องต่อๆ กันมาในโลกได้ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังทิ้งปมเลือนรางบางอย่างไว้ในใจของนาง

ตัวนางเองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยานี้ได้ทำให้ความรู้สึกของนางเปลี่ยนไป เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างอิงแอบแนบชิดภายในห้องครัว ปกติแล้วนางไม่มีทางใกล้ชิดกับชายอื่นในระยะใกล้ขนาดนี้ได้ มักจะหลบเลี่ยงเสมอมา ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหนิวโหย่วเต้ากลับคล้ายมิได้คิดที่จะหลบหลีกเลย หลงลืมความคิดที่จะหลบหลีกไป กระซิบกระซาบกันอย่างใกล้ชิดเช่นนั้น ตอนนี้พอคิดขึ้นมาแล้วถึงจะรู้ตัวขึ้นมา

ครั้งล่าสุดที่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนั้นคล้ายจะเป็นตอนเกี่ยวแขนดื่มสุราในเรือนหอ หนิวโหย่วเต้าในยามนั้นยังสูงไม่เท่าตนเลย ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ยามคล้องแขนก้มหน้า แม้แต่ตัวนางก็ยังรู้สึกว่าน่าขบขัน ยามนี้ได้ยืนเคียงข้างกัน นางถึงได้ตระหนักแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเติบโตแล้ว ร่างกายสูงใหญ่กว่าตน กลายเป็นบุรุษคนหนึ่งแล้ว

คล้ายว่าคำพูดที่เคยพูดคุยกันในช่วงเวลาห้าปีในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังไม่มากเท่าคำพูดที่นางกับเขาพูดคุยกันในครั้งนี้เลย

นึกจะหนีก็หนีไป ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวกันสักคำ ต่อให้ไม่เกลียดชังนาง แต่คาดว่าคงไม่มีความรู้สึกดีๆ อันใดให้ ซึ่งนางเองก็เข้าใจว่าในอดีตสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้สร้างความเจ็บปวดเอาไว้ให้อีกฝ่ายมากมายเพียงใด

เพียงแต่เวลานี้เขาเติบโตแล้ว กลายเป็นบุรุษคนหนึ่งแล้ว อยู่ด้านนอกจะพบพานสตรีอื่นบ้างหรือไม่ ทั้งสตรีที่เขาชอบ หรือสตรีที่ชอบเขา หากว่าเขามีสตรีอื่น ตนจะนับเป็นอันใด? คล้ายว่าตนจะไม่มีสิทธิ์ไปว่าอะไรได้เช่นกัน

ผีเสื้อจันทราส่องแสงอ่อนละมุน สตรีข้างโต๊ะงามงดปานบุปผา นั่งเหม่อเลื่อนลอย

…..

ไม่ได้ขี่ม้า แล้วก็ไม่กล้าใช้ถนนหลวง ทางไหนเปลี่ยวร้างไร้ผู้คนก็ไปทางนั้น

พวกเฮยหมู่ตานไม่ค่อยเข้าใจ ดูเหมือนเต้าเหยี่ยจะหวั่นเกรงเซ่าผิงปอคนนั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่ประเด็นสำคัญคือพวกนางไม่เห็นเซ่าผิงปอคนนั้นจะทำอะไรเลย ไยต้องหวั่นเกรงถึงเพียงนี้ด้วย?

เรียกได้ว่าหลบหนีกันโดยมิได้หยุดทั้งคืน เดินทางกันจนกระทั่งแสงอรุณเผยขึ้นที่ปลายขอบฟ้า ทั้งกลุ่มถึงได้หยุดลงในป่าแห่งหนึ่ง แต่ละคนเหน็ดเหนื่อยปานสุนัขใกล้ตาย ยามนี้หากมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมปราณโผล่มาสักคนก็สามารถสังหารพวกเขาทั้งกลุ่มได้แล้ว

ความจริงการทำแบบนี้อันตรายเป็นอย่างมาก เอาแต่เดินทางอยู่ป่าเขา หากมีมารปีศาจหรือภูตผีอันใดแฝงเร้นอยู่ เกิดถูกหมายตาเข้าคงเจอปัญหาแน่

“น่าจะไม่มีทางตามมาเจอแล้ว ทุกคนรีบฟื้นฟูกำลังเถอะ” หนิวโหย่วเต้าโบกมือสั่งการ ตัวเขานั่งขัดสมาธิลงไป

พวกเฮยหมู่ตานเองก็นั่งลงทีละคน หยิบโอสถวิญญาณออกมาโยนใส่ปาก รีบนั่งสมาธิฟื้นกำลัง

กระทั่งดวงตะวันลอยขึ้นสู่ฟ้า พละกำลังของทุกคนถึงทยอยฟื้นฟูกลับมา กลับมากระฉับกระเฉงกันอีกครั้ง เพียงแต่เมื่อมองสำรวจรอบข้าง หลบหนีกันมาทั้งคืน ไม่รู้เลยว่าหนีมาไกลแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใดแล้ว

หลังแยกกันไปสำรวจดูก็พบเส้นทางหลวงสายหนึ่ง เมื่อดักถามคนที่ผ่านทางมา ถึงได้ทราบว่าใกล้จะถึงสถานที่ที่เรียกว่าอำเภอฉินอันแล้ว

เมื่อกางแผนที่ดู ลองคำนวณดูเล็กน้อย หากคำนวณระยะทางในแนวเส้นตรงบนแผนที่ล่ะก็ เมื่อคืนพวกเขาวิ่งมาได้ประมาณแปดร้อยกว่าลี้แล้ว

ภายในป่าที่อยู่ข้างทาง หนิวโหย่วเต้ามองดูแผนที่ที่กางเปิดเอาไว้ ไม่ทราบว่าคิดอันใดอยู่ เฮยหมู่ตานเอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย จะไปไหนกันต่อเจ้าคะ?”

แม้นตลอดทางจะวกไปวนมาอยู่หลายครั้ง แต่ทั้งสี่สังเกตเห็นแล้วว่าหนิวโหย่วเต้ามุ่งหน้าขึ้นเหนือตลอด ไม่ทราบเช่นกันว่าคิดจะทำอะไร ไม่ยอมเปิดเผยเลยว่าจะมุ่งหน้าไปที่ไหน

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “จากนี้แยกกันเดินทาง!”

“แยกกันหรือขอรับ?” ต้วนหู่เอ่ยเตือน “เต้าเหยี่ย ตระกูลเซ่ามีกองกำลังของตัวเอง มาตรว่าจะสวามิภักดิ์กับแคว้นหานแล้ว แต่ความสัมพันธ์ที่มีต่อแคว้นหานก็ไม่นับว่าดีนัก อีกทั้งตระกูลเซ่าก็เพิ่งแยกตัวออกมาจากแคว้นเยี่ยนได้ไม่นาน รากฐานยังไม่หยั่งลึก ขอบเขตอิทธิพลน่าจะยังไม่ขยายออกมานอกมณฑลเป่ยโจว อีกทั้งเขาเองก็ไม่ทราบว่าพวกเราใช้เส้นทางไหน น่าจะไม่เกิดปัญหาอันใดขึ้นกระมังขอรับ?”

ความหมายในวาจาคือหวาดกลัวเกินไปหน่อยหรือไม่

คนอื่นๆ พยักหน้ารับ ล้วนคิดว่าไม่จำเป็นต้องแยกกันเดินทางเลย

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “คิดมากไปแล้ว ข้ามีเรื่องจะให้พวกเจ้าจัดการต่างหากล่ะ”

ที่แท้ก็มีงานนี่เอง ทั้งสี่มองเขา รอให้เขาออกคำสั่ง แต่หนิวโหย่วเต้ากลับหลับตาลง คล้ายกำลังครุ่นคิดอันใดอยู่

หลังจากนั้นคล้ายว่าตัดสินใจได้แล้ว หนิวโหย่วเต้าลืมตาขึ้น หมุนตัวเดินหาพื้นที่โล่ง โคจรพลังสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ถางพื้นให้เรียบเตียน ขยับกระบี่ที่ยังอยู่ในฝักจรดลงบนพื้นดิน เริ่มขีดเขียนตัวอักษร

ทั้งสี่คนจ้องมองอักษรที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นดินทีละตัว ค่อยๆ ท่องตามว่า “ราชันเป่ยโจว ราชันเป่ยโจว ลูกกวาดหนึ่งลูกเอ้าลูกกวาดหนึ่งลูก…”

ทั้งสี่ท่องๆ ไปก็ผงะจนพูดไม่ออก นี่มันอะไรกันเนี่ย?

เมื่ออ่านข้อความส่วนหลังที่ถูกเขียนขึ้นต่อไปอีก ทั้งสี่ต่างก็ท่องโดยไร้ความพร้อมเพรียงออกมาต่อว่า “เบื้องบนจนปัญญา เบื้องล่างไร้หนทาง ลูกกวาดสองลูกเอ้าลูกกวาดสองลูก เมฆราชันปลอม คลื่นราชันจริง ลูกกวาดสามลูกเอ้าลูกกวาดสามลูก คลื่นสงบงดงาม คลื่นสงบงดงาม เงินไหลกองเอ้าทองไหลมา!”

เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้ก็คล้ายว่าเขียนจบแล้ว หนิวโหย่วเต้ามองอักษรบนพื้น ในปากส่งเสียงฮึมฮัมอะไรบางอย่าง มือปรบเป็นจังหวะคล้ายกำลังปรับทำนองการท่อง

สิ่งที่เขียนอยู่บนพื้น แรกเริ่มทั้งสี่ยังอ่านไม่เข้าใจ แต่หลังจากเขียนจบและอ่านดูอย่างละเอียด ความจริงแล้วมันก็ตรงไปตรงมาเข้าใจได้ง่าย

ราชันเป่ยโจวคือผู้ใด ก็หมายถึงเซ่าเติงอวิ๋นมิใช่หรือ? เบื้องบนของเป่ยโจวคือแคว้นหาน เบื้องล่างคือแคว้นเยี่ยน เมฆ[1]ราชันปลอมจะสื่อว่าเซ่าเติงอวิ๋นเป็นราชันตัวปลอมใช่หรือไม่? คลื่น[2]ราชันจริงจะสื่อว่าเซ่าผิงปอต่างหากที่เป็นราชันตัวจริงใช่หรือไม่? คลื่นสงบงดงาม[3]มิใช่การนำเอาชื่อเซ่าผิงปอมาอ่านกลับหลังหรอกหรือ?

พอเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว เมื่อลองทำการร้อยเรียงความหมายทั้งหมดเข้าด้วยกันอีกครั้ง ความหมายน่าจะประมาณว่า เซ่าเติงอวิ๋นต้องการขึ้นเป็นราชันแห่งเป่ยโจว แคว้นหานที่อยู่ด้านบนทำอะไรเขาไม่ได้ แคว้นเยี่ยนที่อยู่ด้านล่างก็ทำอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน แต่ความจริงแล้วเซ่าเติงอวิ๋นเป็นเพียงฉากบังหน้า เซ่าผิงปอต่างหากที่เป็นราชันตัวจริงแห่งเป่ยโจว คนที่สามารถทำลายเซ่าเติงอวิ๋นได้ก็คือเซ่าผิงปอ

หลังจากเข้าใจในความหมายแล้ว ทั้งสี่ลอบเหงื่อตกเล็กน้อย มองหน้ากันเหลอหลา เต้าเหยี่ยแต่งถ้อยคำที่ไร้ศีลธรรมเช่นนี้ออกมาหมายความว่าอย่างไรกัน?

ส่วนหนิวโหย่วเต้าก็คล้ายจะได้ทำนองที่เข้ากันแล้ว จึงหันมาร้องให้พวกเขาฟังอย่างสนุกสนาน “เบื้องบนจนปัญญา เบื้องล่างไร้หนทาง ลูกกวาดสองลูกเอ้าลูกกวาดสองลูก เมฆราชันปลอม คลื่นราชันจริง ลูกกวาดสามลูกเอ้าลูกกวาดสามลูก คลื่นสงบงดงาม คลื่นสงบงดงาม เงินไหลกองเอ้าทองไหลมา…”

เขาขับขานให้ทั้งสี่คนฟังซ้ำไปซ้ำมา ทำนองนั้นร้องได้คล่องปากทีเดียว หลังจากฟังอยู่สองสามรอบ ทั้งสี่คนต่างก็รู้สึกว่าตนร้องเป็นแล้ว

หลังจากร้องอยู่หลายรอบ หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “จำได้หมดหรือยัง?”

เฮยหมู่ตานตอบแบบกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เรื่องจำน่ะจำได้แล้วเจ้าค่ะ ร้องได้คล่องปาก จำได้ง่ายยิ่งนัก แต่เหตุใดถึงให้ความรู้สึกเหมือนเพลงกล่อมเด็กที่ให้เด็กร้องเล่นเลยล่ะเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “ฉลาดมาก ก็เป็นเพลงกล่อมเด็กนั่นแหละ และนี่ก็คืองานที่พวกเจ้าต้องไปจัดการ หลังจากแยกย้ายกันไปแล้ว ให้แต่ละคนไปหาอำเภอสิบแห่ง หาทางสอนเด็กๆ ในพื้นที่ให้ร้องเพลงนี้ ทำให้พวกเขาร้องไปทั่วทุกตรอกซอกซอย”

“…..” ทั้งสี่คนเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร เมื่อเพลงกล่อมเด็กเพลงนี้แพร่กระจายกลับไปยังมณฑลเป่ยโจว สองพ่อลูกตระกูลเซ่าคงต้องกระอักกระอ่วนอย่างมากเวลามองหน้ากันแน่!

ทั้งสี่คนมองเขาราวกับมองดูสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น วิธีการชั่วร้ายเช่นนี้ก็ยังคิดออกมาได้ นี่เท่ากับผลักเซ่าผิงปอไปสู่ความตายชัดๆ!

ทั้งสี่คนทอดถอนใจ เซ่าผิงปอชอบใครไม่ชอบ ดันไปชอบสตรีของหนิวโหย่วเต้าเอาเสียได้ การล้างแค้นเช่นนี้เรียกได้ว่าชั่วร้ายโหดเหี้ยมยิ่งนัก!

ที่โบราณกล่าวไว้ว่าหญิงงามคือต้นตอแห่งหายนะนั้นมิผิดเลยจริงๆ ครั้งนี้เซ่าผิงปอเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว!

เฮยหมู่ตานเอ่ยเตือน “เต้าเหยี่ย หากทำเช่นนี้จริงๆ นี่นับว่าพวกเราล่วงเกินเซ่าผิงปอถึงชีวิตเลยนะเจ้าคะ เกรงว่าเซ่าผิงปอคงตามล่าพวกเราไม่ปล่อยแน่ จำเป็นต้องสร้างสัตรูเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าคิดหรือว่าถ้าพวกเราไม่ล่วงเกินเขาแล้วจะปลอดภัย? ถึงข้าไม่หาเรื่องเขา เขาก็ต้องมาหาเรื่องข้าอยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ชิงลงมือก่อน ถึงเล่นงานเขาให้ตายไม่ได้ก็ต้องตัดกำลังของเขาไปบางส่วน ถ่วงมือถ่วงเท้าเขาไว้ สร้างอุปสรรคให้เขา ทำให้เขาลงมือได้ลำบาก พวกเราก็จะถูกคุกคามน้อยลงไปด้วย”

“เอาเป็นว่าเซ่าผิงปอผู้นี้มีความทะเยอทะยานและแน่วแน่เป็นอย่างมาก จะว่าอย่างไรดีล่ะ เรื่องบางอย่างเพียงรับรู้ได้แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ พูดกับพวกเจ้าไปพวกเจ้าก็ไม่มีทางเข้าใจในตอนนี้ บางทีในอนาคตพวกเจ้าอาจจะเข้าใจได้เอง ตอนนี้พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเจ้าจัดการตามที่สั่งก็พอ กางแผนที่ซะ!”

หนิวโหย่วเต้าสั่งกางแผนที่อีกครั้ง ทำการแบ่งเขตเพื่อเผยแพร่เพลงกล่อมเด็ก ให้ทั้งสี่คนเลือกสถานที่เอาเอง

ระหว่างทั้งสี่คนเองก็ไม่ได้มีอะไรให้จุกจิกจู้จี้ สุ่มชี้กันมาคนละเขต

“เอาล่ะ อย่างนั้นตกลงกันตามนี้ แยกกันเป็นสี่เขต พวกเราจะไปเจอกันที่อำเภอจิ่วหลิ่งทางตอนเหนือ วิธีเจอกันให้ทำเหมือนเดิม” หนิวโหย่วเต้าชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งบนแผนที่ จากนั้นเอ่ยกับทุกคนอีกครั้งว่า “พวกเจ้าทิ้งคนไว้คอยติดตามข้าสักคน”

ต้วนหู่ อู๋ซานเหลี่ยงและเหลยจงคังแทบจะชี้ไปทางเฮยหมู่ตานอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

เฮยหมู่ตานผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็หลุดหัวเราะคิกคักออกมา

หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออกเลย เหมือนทุกคนจะคิดกันไปจริงๆ แล้วว่าเขามีความสัมพันธ์อะไรกับเฮยหมู่ตาน

…………………………………………….

[1]เมฆ คือ ชื่อของเซ่าเติงอวิ๋น

[2]คลื่น คือ ชื่อของเซ่าผิงปอ

[3]คลื่นสงบงดงาม เป็นการนำเอาชื่อเซ่าผิงปอมาอ่านกลับหลังแล้วตีความใหม่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 164 ชิงลงมือก่อน

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 164 ชิงลงมือก่อน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 164 ชิงลงมือก่อน

ทั้งห้ารีบมุดเข้าสู่ป่า อาศัยสภาพแวดล้อมภายในภูเขากำบังอำพราง หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

และนี่ก็คือเหตุผลที่หนิวโหย่วเต้าเลือกมาทางด้านนี้ หากไม่มีป่าเขาช่วยอำพราง การอยู่ในที่โล่งนั้นยากจะหนีรอดได้

เวลานี้มีเงาร่างมนุษย์หลายร่างร่อนโฉบไปบนผิวน้ำ พวกถังอี๋ร่อนลงในป่าเขาด้านนี้ สอดส่ายสายตาค้นหาไปทั่ว ไม่ทราบเลยว่าพวกหนิวโหย่วเต้าไปไหนแล้ว

มีผู้บำเพ็ญเพียรอีกสองคนเหินทะยานเข้ามา ร่อนลงข้างกายคนทั้งสาม เมื่อเห็นทั้งสามหยุดนิ่งไม่ค้นหาต่อ ทั้งสองจึงสบตากัน หมดหนทางจะติดตามแล้ว ป่าเขากว้างใหญ่เช่นนี้ ทั้งสองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าหนีไปทางไหนหรือไปหลบซ่อนตัวอยู่ในที่ใด มีกำลังคนอยู่เพียงเท่านี้ การเที่ยวค้นหาไปทั่วภูเขาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก

…..

ม่านรัตติกาลปกคลุม ในเมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำ แสงไฟสว่างไสวขึ้นมา เซ่าผิงปออพยพไปพักที่คฤหาสน์หลังหนึ่งในเมืองเป็นการชั่วคราว

ภายในห้องโถง หลังจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นออกไปแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่กลับจากการค้นหาถึงได้เข้ามารายงาน “คุณชายใหญ่ขอรับ ไม่ทราบว่าคนหนีไปที่ใด เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว เกรงว่ายากจะค้นหาต่อไปได้ขอรับ”

เซ่าผิงปอเห็นเขารีๆ รอๆ อยู่ด้านข้างไม่เข้ามารายงานเสียที ก็พอจะทราบแล้วว่าหาไม่พบ จึงเอ่ยว่า “นภาสูงพสุธากว้างใหญ่ เทียวไปเทียวมา ค้นหาอย่างไร้จุดมุ่งหมายก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน เรียกคนกลับมา ตอนนี้มีงานสองเรื่องที่ต้องทำ เรื่องแรกคือต้องรู้เขารู้เรา จะประมือโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครไม่ได้ แบบนั้นจะทำให้เราเสียเปรียบเป็นอย่างมาก หาทางติดต่อไปทางจูเก่อสวิน สืบดูว่าจางซานผู้นี้เป็นใครกันแน่ เรื่องที่สอง ส่งคนกลุ่มหนึ่งไปที่เมืองหลวง คอยเฝ้าประตูเมืองหลวงไว้ รอให้อีกฝ่ายปรากฏตัวออกมา หากพบตัวเขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจ คิดหาทางกำจัดทิ้งทันที”

“ขอรับ!” ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ด้านข้างตอบรับ

ภายในเมืองเล็กๆ มีแสงโคมกระจัดกระจาย พวกถังอี๋ที่ออกไปค้นหาในภูเขาเพิ่งกลับมาถึงในเวลานี้

หลังจากเข้าพักในโรงเตี๊ยมที่จัดสรรไว้ ผีเสื้อจันทราตัวหนึ่งกระพือปีกโบยบิน ร่อนลงบนโต๊ะ ถังอี๋ค่อยๆ นั่งลงข้างโต๊ะ สีหน้าแฝงไว้ด้วยความกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วน

คิดไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้าจะจากไปอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เช่นนี้ แล้วก็ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าก่อนจากไปหนิวโหย่วเต้าจะวางเพลิงเหลาสุราด้วย จากจุดนี้ทำให้นางรับรู้ได้ถึงความเด็ดขาดของหนิวโหย่วเต้าแล้วเช่นกัน ดูไม่คล้ายเด็กหนุ่มเฉื่อยชาในความทรงจำของนางผู้นั้นสักเท่าไร

เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เมื่อในอดีตทำให้นางรู้สึกผิดต่อหนิวโหย่วเต้ามาโดยตลอด ครานี้เมื่อได้พบกันแล้ว นางก็เพียงแค่อยากจะทำดีชดใช้ให้หนิวโหย่วเต้า ผู้ใดจะทราบว่าหนิวโหย่วเต้ากลับหนีไปเช่นนี้ เพิ่งพบหน้ากันไม่ทันไรก็จากไปเช่นนี้เสียแล้ว

นอกจากความรู้สึกละอายใจแล้ว ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของทั้งสองคนอันนั้นก็มิใช่สิ่งที่นึกจะบอกว่าไม่สนใจก็ไม่สนใจได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี สุดท้ายยังคงยากจะหนีรอดไปจากค่านิยมศีลธรรมที่สืบเนื่องต่อๆ กันมาในโลกได้ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังทิ้งปมเลือนรางบางอย่างไว้ในใจของนาง

ตัวนางเองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยานี้ได้ทำให้ความรู้สึกของนางเปลี่ยนไป เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างอิงแอบแนบชิดภายในห้องครัว ปกติแล้วนางไม่มีทางใกล้ชิดกับชายอื่นในระยะใกล้ขนาดนี้ได้ มักจะหลบเลี่ยงเสมอมา ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหนิวโหย่วเต้ากลับคล้ายมิได้คิดที่จะหลบหลีกเลย หลงลืมความคิดที่จะหลบหลีกไป กระซิบกระซาบกันอย่างใกล้ชิดเช่นนั้น ตอนนี้พอคิดขึ้นมาแล้วถึงจะรู้ตัวขึ้นมา

ครั้งล่าสุดที่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนั้นคล้ายจะเป็นตอนเกี่ยวแขนดื่มสุราในเรือนหอ หนิวโหย่วเต้าในยามนั้นยังสูงไม่เท่าตนเลย ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ยามคล้องแขนก้มหน้า แม้แต่ตัวนางก็ยังรู้สึกว่าน่าขบขัน ยามนี้ได้ยืนเคียงข้างกัน นางถึงได้ตระหนักแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเติบโตแล้ว ร่างกายสูงใหญ่กว่าตน กลายเป็นบุรุษคนหนึ่งแล้ว

คล้ายว่าคำพูดที่เคยพูดคุยกันในช่วงเวลาห้าปีในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังไม่มากเท่าคำพูดที่นางกับเขาพูดคุยกันในครั้งนี้เลย

นึกจะหนีก็หนีไป ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวกันสักคำ ต่อให้ไม่เกลียดชังนาง แต่คาดว่าคงไม่มีความรู้สึกดีๆ อันใดให้ ซึ่งนางเองก็เข้าใจว่าในอดีตสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้สร้างความเจ็บปวดเอาไว้ให้อีกฝ่ายมากมายเพียงใด

เพียงแต่เวลานี้เขาเติบโตแล้ว กลายเป็นบุรุษคนหนึ่งแล้ว อยู่ด้านนอกจะพบพานสตรีอื่นบ้างหรือไม่ ทั้งสตรีที่เขาชอบ หรือสตรีที่ชอบเขา หากว่าเขามีสตรีอื่น ตนจะนับเป็นอันใด? คล้ายว่าตนจะไม่มีสิทธิ์ไปว่าอะไรได้เช่นกัน

ผีเสื้อจันทราส่องแสงอ่อนละมุน สตรีข้างโต๊ะงามงดปานบุปผา นั่งเหม่อเลื่อนลอย

…..

ไม่ได้ขี่ม้า แล้วก็ไม่กล้าใช้ถนนหลวง ทางไหนเปลี่ยวร้างไร้ผู้คนก็ไปทางนั้น

พวกเฮยหมู่ตานไม่ค่อยเข้าใจ ดูเหมือนเต้าเหยี่ยจะหวั่นเกรงเซ่าผิงปอคนนั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่ประเด็นสำคัญคือพวกนางไม่เห็นเซ่าผิงปอคนนั้นจะทำอะไรเลย ไยต้องหวั่นเกรงถึงเพียงนี้ด้วย?

เรียกได้ว่าหลบหนีกันโดยมิได้หยุดทั้งคืน เดินทางกันจนกระทั่งแสงอรุณเผยขึ้นที่ปลายขอบฟ้า ทั้งกลุ่มถึงได้หยุดลงในป่าแห่งหนึ่ง แต่ละคนเหน็ดเหนื่อยปานสุนัขใกล้ตาย ยามนี้หากมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมปราณโผล่มาสักคนก็สามารถสังหารพวกเขาทั้งกลุ่มได้แล้ว

ความจริงการทำแบบนี้อันตรายเป็นอย่างมาก เอาแต่เดินทางอยู่ป่าเขา หากมีมารปีศาจหรือภูตผีอันใดแฝงเร้นอยู่ เกิดถูกหมายตาเข้าคงเจอปัญหาแน่

“น่าจะไม่มีทางตามมาเจอแล้ว ทุกคนรีบฟื้นฟูกำลังเถอะ” หนิวโหย่วเต้าโบกมือสั่งการ ตัวเขานั่งขัดสมาธิลงไป

พวกเฮยหมู่ตานเองก็นั่งลงทีละคน หยิบโอสถวิญญาณออกมาโยนใส่ปาก รีบนั่งสมาธิฟื้นกำลัง

กระทั่งดวงตะวันลอยขึ้นสู่ฟ้า พละกำลังของทุกคนถึงทยอยฟื้นฟูกลับมา กลับมากระฉับกระเฉงกันอีกครั้ง เพียงแต่เมื่อมองสำรวจรอบข้าง หลบหนีกันมาทั้งคืน ไม่รู้เลยว่าหนีมาไกลแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใดแล้ว

หลังแยกกันไปสำรวจดูก็พบเส้นทางหลวงสายหนึ่ง เมื่อดักถามคนที่ผ่านทางมา ถึงได้ทราบว่าใกล้จะถึงสถานที่ที่เรียกว่าอำเภอฉินอันแล้ว

เมื่อกางแผนที่ดู ลองคำนวณดูเล็กน้อย หากคำนวณระยะทางในแนวเส้นตรงบนแผนที่ล่ะก็ เมื่อคืนพวกเขาวิ่งมาได้ประมาณแปดร้อยกว่าลี้แล้ว

ภายในป่าที่อยู่ข้างทาง หนิวโหย่วเต้ามองดูแผนที่ที่กางเปิดเอาไว้ ไม่ทราบว่าคิดอันใดอยู่ เฮยหมู่ตานเอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย จะไปไหนกันต่อเจ้าคะ?”

แม้นตลอดทางจะวกไปวนมาอยู่หลายครั้ง แต่ทั้งสี่สังเกตเห็นแล้วว่าหนิวโหย่วเต้ามุ่งหน้าขึ้นเหนือตลอด ไม่ทราบเช่นกันว่าคิดจะทำอะไร ไม่ยอมเปิดเผยเลยว่าจะมุ่งหน้าไปที่ไหน

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “จากนี้แยกกันเดินทาง!”

“แยกกันหรือขอรับ?” ต้วนหู่เอ่ยเตือน “เต้าเหยี่ย ตระกูลเซ่ามีกองกำลังของตัวเอง มาตรว่าจะสวามิภักดิ์กับแคว้นหานแล้ว แต่ความสัมพันธ์ที่มีต่อแคว้นหานก็ไม่นับว่าดีนัก อีกทั้งตระกูลเซ่าก็เพิ่งแยกตัวออกมาจากแคว้นเยี่ยนได้ไม่นาน รากฐานยังไม่หยั่งลึก ขอบเขตอิทธิพลน่าจะยังไม่ขยายออกมานอกมณฑลเป่ยโจว อีกทั้งเขาเองก็ไม่ทราบว่าพวกเราใช้เส้นทางไหน น่าจะไม่เกิดปัญหาอันใดขึ้นกระมังขอรับ?”

ความหมายในวาจาคือหวาดกลัวเกินไปหน่อยหรือไม่

คนอื่นๆ พยักหน้ารับ ล้วนคิดว่าไม่จำเป็นต้องแยกกันเดินทางเลย

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “คิดมากไปแล้ว ข้ามีเรื่องจะให้พวกเจ้าจัดการต่างหากล่ะ”

ที่แท้ก็มีงานนี่เอง ทั้งสี่มองเขา รอให้เขาออกคำสั่ง แต่หนิวโหย่วเต้ากลับหลับตาลง คล้ายกำลังครุ่นคิดอันใดอยู่

หลังจากนั้นคล้ายว่าตัดสินใจได้แล้ว หนิวโหย่วเต้าลืมตาขึ้น หมุนตัวเดินหาพื้นที่โล่ง โคจรพลังสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ถางพื้นให้เรียบเตียน ขยับกระบี่ที่ยังอยู่ในฝักจรดลงบนพื้นดิน เริ่มขีดเขียนตัวอักษร

ทั้งสี่คนจ้องมองอักษรที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นดินทีละตัว ค่อยๆ ท่องตามว่า “ราชันเป่ยโจว ราชันเป่ยโจว ลูกกวาดหนึ่งลูกเอ้าลูกกวาดหนึ่งลูก…”

ทั้งสี่ท่องๆ ไปก็ผงะจนพูดไม่ออก นี่มันอะไรกันเนี่ย?

เมื่ออ่านข้อความส่วนหลังที่ถูกเขียนขึ้นต่อไปอีก ทั้งสี่ต่างก็ท่องโดยไร้ความพร้อมเพรียงออกมาต่อว่า “เบื้องบนจนปัญญา เบื้องล่างไร้หนทาง ลูกกวาดสองลูกเอ้าลูกกวาดสองลูก เมฆราชันปลอม คลื่นราชันจริง ลูกกวาดสามลูกเอ้าลูกกวาดสามลูก คลื่นสงบงดงาม คลื่นสงบงดงาม เงินไหลกองเอ้าทองไหลมา!”

เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้ก็คล้ายว่าเขียนจบแล้ว หนิวโหย่วเต้ามองอักษรบนพื้น ในปากส่งเสียงฮึมฮัมอะไรบางอย่าง มือปรบเป็นจังหวะคล้ายกำลังปรับทำนองการท่อง

สิ่งที่เขียนอยู่บนพื้น แรกเริ่มทั้งสี่ยังอ่านไม่เข้าใจ แต่หลังจากเขียนจบและอ่านดูอย่างละเอียด ความจริงแล้วมันก็ตรงไปตรงมาเข้าใจได้ง่าย

ราชันเป่ยโจวคือผู้ใด ก็หมายถึงเซ่าเติงอวิ๋นมิใช่หรือ? เบื้องบนของเป่ยโจวคือแคว้นหาน เบื้องล่างคือแคว้นเยี่ยน เมฆ[1]ราชันปลอมจะสื่อว่าเซ่าเติงอวิ๋นเป็นราชันตัวปลอมใช่หรือไม่? คลื่น[2]ราชันจริงจะสื่อว่าเซ่าผิงปอต่างหากที่เป็นราชันตัวจริงใช่หรือไม่? คลื่นสงบงดงาม[3]มิใช่การนำเอาชื่อเซ่าผิงปอมาอ่านกลับหลังหรอกหรือ?

พอเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว เมื่อลองทำการร้อยเรียงความหมายทั้งหมดเข้าด้วยกันอีกครั้ง ความหมายน่าจะประมาณว่า เซ่าเติงอวิ๋นต้องการขึ้นเป็นราชันแห่งเป่ยโจว แคว้นหานที่อยู่ด้านบนทำอะไรเขาไม่ได้ แคว้นเยี่ยนที่อยู่ด้านล่างก็ทำอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน แต่ความจริงแล้วเซ่าเติงอวิ๋นเป็นเพียงฉากบังหน้า เซ่าผิงปอต่างหากที่เป็นราชันตัวจริงแห่งเป่ยโจว คนที่สามารถทำลายเซ่าเติงอวิ๋นได้ก็คือเซ่าผิงปอ

หลังจากเข้าใจในความหมายแล้ว ทั้งสี่ลอบเหงื่อตกเล็กน้อย มองหน้ากันเหลอหลา เต้าเหยี่ยแต่งถ้อยคำที่ไร้ศีลธรรมเช่นนี้ออกมาหมายความว่าอย่างไรกัน?

ส่วนหนิวโหย่วเต้าก็คล้ายจะได้ทำนองที่เข้ากันแล้ว จึงหันมาร้องให้พวกเขาฟังอย่างสนุกสนาน “เบื้องบนจนปัญญา เบื้องล่างไร้หนทาง ลูกกวาดสองลูกเอ้าลูกกวาดสองลูก เมฆราชันปลอม คลื่นราชันจริง ลูกกวาดสามลูกเอ้าลูกกวาดสามลูก คลื่นสงบงดงาม คลื่นสงบงดงาม เงินไหลกองเอ้าทองไหลมา…”

เขาขับขานให้ทั้งสี่คนฟังซ้ำไปซ้ำมา ทำนองนั้นร้องได้คล่องปากทีเดียว หลังจากฟังอยู่สองสามรอบ ทั้งสี่คนต่างก็รู้สึกว่าตนร้องเป็นแล้ว

หลังจากร้องอยู่หลายรอบ หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “จำได้หมดหรือยัง?”

เฮยหมู่ตานตอบแบบกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เรื่องจำน่ะจำได้แล้วเจ้าค่ะ ร้องได้คล่องปาก จำได้ง่ายยิ่งนัก แต่เหตุใดถึงให้ความรู้สึกเหมือนเพลงกล่อมเด็กที่ให้เด็กร้องเล่นเลยล่ะเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “ฉลาดมาก ก็เป็นเพลงกล่อมเด็กนั่นแหละ และนี่ก็คืองานที่พวกเจ้าต้องไปจัดการ หลังจากแยกย้ายกันไปแล้ว ให้แต่ละคนไปหาอำเภอสิบแห่ง หาทางสอนเด็กๆ ในพื้นที่ให้ร้องเพลงนี้ ทำให้พวกเขาร้องไปทั่วทุกตรอกซอกซอย”

“…..” ทั้งสี่คนเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร เมื่อเพลงกล่อมเด็กเพลงนี้แพร่กระจายกลับไปยังมณฑลเป่ยโจว สองพ่อลูกตระกูลเซ่าคงต้องกระอักกระอ่วนอย่างมากเวลามองหน้ากันแน่!

ทั้งสี่คนมองเขาราวกับมองดูสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น วิธีการชั่วร้ายเช่นนี้ก็ยังคิดออกมาได้ นี่เท่ากับผลักเซ่าผิงปอไปสู่ความตายชัดๆ!

ทั้งสี่คนทอดถอนใจ เซ่าผิงปอชอบใครไม่ชอบ ดันไปชอบสตรีของหนิวโหย่วเต้าเอาเสียได้ การล้างแค้นเช่นนี้เรียกได้ว่าชั่วร้ายโหดเหี้ยมยิ่งนัก!

ที่โบราณกล่าวไว้ว่าหญิงงามคือต้นตอแห่งหายนะนั้นมิผิดเลยจริงๆ ครั้งนี้เซ่าผิงปอเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว!

เฮยหมู่ตานเอ่ยเตือน “เต้าเหยี่ย หากทำเช่นนี้จริงๆ นี่นับว่าพวกเราล่วงเกินเซ่าผิงปอถึงชีวิตเลยนะเจ้าคะ เกรงว่าเซ่าผิงปอคงตามล่าพวกเราไม่ปล่อยแน่ จำเป็นต้องสร้างสัตรูเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าคิดหรือว่าถ้าพวกเราไม่ล่วงเกินเขาแล้วจะปลอดภัย? ถึงข้าไม่หาเรื่องเขา เขาก็ต้องมาหาเรื่องข้าอยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ชิงลงมือก่อน ถึงเล่นงานเขาให้ตายไม่ได้ก็ต้องตัดกำลังของเขาไปบางส่วน ถ่วงมือถ่วงเท้าเขาไว้ สร้างอุปสรรคให้เขา ทำให้เขาลงมือได้ลำบาก พวกเราก็จะถูกคุกคามน้อยลงไปด้วย”

“เอาเป็นว่าเซ่าผิงปอผู้นี้มีความทะเยอทะยานและแน่วแน่เป็นอย่างมาก จะว่าอย่างไรดีล่ะ เรื่องบางอย่างเพียงรับรู้ได้แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ พูดกับพวกเจ้าไปพวกเจ้าก็ไม่มีทางเข้าใจในตอนนี้ บางทีในอนาคตพวกเจ้าอาจจะเข้าใจได้เอง ตอนนี้พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเจ้าจัดการตามที่สั่งก็พอ กางแผนที่ซะ!”

หนิวโหย่วเต้าสั่งกางแผนที่อีกครั้ง ทำการแบ่งเขตเพื่อเผยแพร่เพลงกล่อมเด็ก ให้ทั้งสี่คนเลือกสถานที่เอาเอง

ระหว่างทั้งสี่คนเองก็ไม่ได้มีอะไรให้จุกจิกจู้จี้ สุ่มชี้กันมาคนละเขต

“เอาล่ะ อย่างนั้นตกลงกันตามนี้ แยกกันเป็นสี่เขต พวกเราจะไปเจอกันที่อำเภอจิ่วหลิ่งทางตอนเหนือ วิธีเจอกันให้ทำเหมือนเดิม” หนิวโหย่วเต้าชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งบนแผนที่ จากนั้นเอ่ยกับทุกคนอีกครั้งว่า “พวกเจ้าทิ้งคนไว้คอยติดตามข้าสักคน”

ต้วนหู่ อู๋ซานเหลี่ยงและเหลยจงคังแทบจะชี้ไปทางเฮยหมู่ตานอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

เฮยหมู่ตานผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็หลุดหัวเราะคิกคักออกมา

หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออกเลย เหมือนทุกคนจะคิดกันไปจริงๆ แล้วว่าเขามีความสัมพันธ์อะไรกับเฮยหมู่ตาน

…………………………………………….

[1]เมฆ คือ ชื่อของเซ่าเติงอวิ๋น

[2]คลื่น คือ ชื่อของเซ่าผิงปอ

[3]คลื่นสงบงดงาม เป็นการนำเอาชื่อเซ่าผิงปอมาอ่านกลับหลังแล้วตีความใหม่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+