ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 79 ข้าไม่ได้มากเล่ห์เช่นท่าน

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 79 ข้าไม่ได้มากเล่ห์เช่นท่าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนนี้ 79 ข้าไม่ได้มากเล่ห์เช่นท่าน

“กองทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นนาย กลับพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าเช่นนี้ เซี่ยงอู่เหรินสมควรตายนับหมื่นครั้ง!”

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว ภายในห้องโถงหลัก เสียงตะโกนของโจวโส่วเสียนเกือบจะทำให้กระเบื้องหลังคากระเด็นกระดอนขึ้นมา ถ้วยชาเกือบหล่นแตกลงบนพื้น เขาให้เซี่ยงอู่เหรินนำทัพทหารชั้นยอดไปช่วย นอกจากจะโจมตีไม่สำเร็จแล้ว กลับยังเป็นตัวถ่วงทำให้เสียเรื่องอีก ทำให้การลอบสังหารล้มเหลว! มิใช่เพียงล้มเหลวในการลอบสังหารซางเฉาจงเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเขาด้วย ทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นนายภายใต้สังกัดของเขาพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าเช่นนี้ ผู้อื่นจะคิดอย่างไรเล่า?

การตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวเป็นเพียงการระบายอารมณ์เท่านั้น จากนั้นเขานั่งลงบนเก้าอี้ ค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง ตกอยู่ในห้วงความคิด

……

ณ จังหวัดกว่างอี้ ทันทีที่เฟิ่งหลิงปอได้รับแจ้งข่าวก็โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เห็นอยู่ชัดๆ ว่าความจริงเป็นอย่างไร ทุกคนต่างมิใช่คนโง่ กองโจรเขี้ยวหมาป่าอย่างนั้นหรือ? เพียงแค่เดาดูก็ยังรู้เลยว่าเป็นฝีมือของกองกำลังจากมณฑลหนานโจว ไม่ว่าจะใช่ฝีมือของกองโจรเขี้ยวหมาป่าหรือไม่ เฟิ่งหลิงปอก็โยนความแค้นนี้ไปที่ราชสำนักแล้ว

กองกำลังจังหวัดกว่างอี้เตรียมพร้อมบุกโจมตี ทันทีที่เริ่มเคลื่อนไหว ก็มีแขกจากจวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจวมาเยือนจวนผู้ว่าการจังหวัดกว่างอี้ทันที มาหาเฟิ่งหลิงปอเพื่อทำการเจรจา ไม่รู้ว่าตกลงผลประโยชน์อันใดกันได้ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต่างไม่คิดจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่อีก เรื่องราวที่ดูคล้ายจะใหญ่โตสงบลงอย่างรวดเร็ว

……

เมืองหลวง ณ จวนตระกูลซ่ง ภายในสวนที่งามวิจิตร ซ่งจิ่วหมิงยืนเงียบๆ อยู่ริมสระ

พ่อบ้านหลิวลู่รีบเดินเข้ามา เอ่ยรายงานว่า “หลังทราบข่าวคุณชายสามโกรธมากขอรับ กำลังอาละวาดระบายโทสะอยู่”

ซ่งจิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พอจะเข้าใจความรู้สึกของบุตรชาย สำนักสวรรค์พิสุทธิ์แพร่ข่าวไปทั่วโลกบำเพ็ญเพียร ไล่เรียงความผิดต่างๆ ของซ่งซูบุตรชายของเขา ประกาศขับไล่ออกจากสำนัก อีกทั้งยังกล่าวหาซ่งซูว่าคิดจะล้างครูล้มสำนัก เมื่อถูกกล่าวหาเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนสามัญในโลกปุถุชนก็แบกรับคำครหาว่า ‘ล้มครูล้างสำนัก’ ไม่ไหวเช่นกัน เรียกได้ว่าชื่อเสียงของซ่งซูเสียหายแล้ว แล้ววันหน้าซ่งซูจะออกไปพบเจอผู้คนได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ก็ดันยากที่จะอธิบายให้ชัดเจนได้ บางครั้งหลักเหตุผลบนโลกนี้ก็ยืนอยู่ข้างคนอ่อนแอเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจได้ง่ายๆ ผู้ใดจะเชื่อล่ะว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นฝ่ายหาเรื่องตระกูลซ่งก่อน?

ทางฝั่งนี้ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะกล้าเป็นฝ่ายฉีกหน้าแตกหักกับตระกูลซ่งก่อน ในตอนที่สำนักอีกแห่งหนึ่งที่ถูกใช้ให้ไปโจมตีสำนักสวรรค์พิสุทธิ์บุกไปถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ พวกเขาก็พบว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ว่างเปล่าร้างผู้คนแล้ว เหลือแต่เพียงอากาศ ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยเนิบๆ “ยังไม่มีข่าวของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ?”

หลิวลู่กล่าวตอบ “ออกเดินทางกะทันหัน ไม่ทราบจุดหมายปลายทาง อยู่ระหว่างสืบข่าวขอรับ!”

ซ่งจิ่วหมิงยกมือไพล่หลังไม่เอ่ยวาจา ขมวดคิ้วแน่น ไม่ทราบว่าระยะนี้เกิดอะไรขึ้น คล้ายจะมีลางสังหรณ์ พบว่าเรื่องราวหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน อยู่เหนือการควบคุมไปหมด สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หลุดจากการควบคุมของตระกูลซ่ง ซางเฉาจงก็หลุดพ้นจากการควบคุมของราชสำนัก การลอบสังหารของทางมณฑลหนานโจวก็ล้มเหลว…

….

เมื่อมีทหารราบคอยถ่วงรั้ง ความเร็วในการเดินทางของทหารม้าย่อมช้าลง จากที่สามารถเดินทางไปถึงได้ภายในวันสองวันก็ลากยาวไปหลายวัน

หลังจากเดินทางมาได้สองสามวัน เฟิ่งรั่วหนานก็สังเกตเห็นได้ถึงผิดปกติ เป็นทหารม้าเช่นเดียวกัน ม้าศึกที่ยึดมาจากฝ่ายศัตรูที่ลอบโจมตีจำนวนมากถูกมอบให้ผู้บาดเจ็บของฝ่ายตนขี่ แม้จะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ผู้บาดเจ็บฝ่ายตนยังไม่กล้าขยับเขยื้อนมากนัก ด้วยกลัวว่าจะสะเทือนบาดแผลจนปริแตก แต่ผู้บาดเจ็บของฝ่ายซางเฉาจงกลับสามารถขึ้นม้าลงม้าด้วยตัวเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคนช่วยประคอง บางส่วนก็พอจะเดินกะเผลกๆ ด้วยตัวเองได้ด้วยซ้ำ

การฟื้นตัวของผู้บาดเจ็บฝ่ายซางเฉาจงเร็วกว่าของฝั่งตนอย่างเห็นได้ชัด เฟิ่งรั่วหนานย่อมทราบดีว่าการที่ผู้บาดเจ็บในสนามรบฟื้นตัวได้เร็วมีความหมายอย่างไร ไม่เพียงแต่ลดภาระในการดูแลลง แต่ยังฟื้นฟูกำลังพลกลับมาได้อย่างรวดเร็วด้วย สำหรับการทำศึกแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย!

ส่วนเหล่าองครักษ์ของซางเฉาจงเมื่อเห็นว่าตนฟื้นตัวได้เร็วขึ้น จึงพบว่าการเย็บแผลมีประโยชน์อย่างที่ว่ามาจริงๆ ความหวาดผวาที่มีต่อการเย็บแผลจึงเลือนหายไป เมื่ออาการบาดเจ็บฟื้นตัวได้รวดเร็ว ก็คลายความกังวลลงไปในระดับหนึ่ง ไพร่พลเบิกบานสดใสขึ้นไม่น้อย

เหล่าทหารที่ทำศึกบนสนามรบล้วนแต่ให้ความเคารพต่อผู้ที่ช่วยชีวิตตน เมื่อได้พบหยวนกังและเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานอีกครั้งก็ให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่ง

“ไต้ซือ ไข่นกหลายฟองนี้เหล่าพี่น้องเพิ่งเก็บมาจากรังนกในป่า ต้มสุกหมดแล้ว”

ยามที่ตั้งค่ายพักแรมตอนกลางคืน พลทหารนายหนึ่งได้ที่รับการรักษาจากหยวนฟางเดินมาหา ยัดไข่นกขนาดเท่าไข่ไก่ที่มีเปลือกสีเขียวครามหลายฟองใส่มือหยวนฟาง หยวนฟางจะไม่รับไว้ก็ไม่ได้ เมื่ออีกฝ่ายบังคับยัดของให้เสร็จก็เดินจากไป

ความรู้สึกขอบคุณในการช่วยเหลือของเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานก็เป็นเรื่องหนึ่ง ความเคารพเลื่อมใสจากใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือได้ยินว่าต่อไปสมณะเหล่านี้ยังต้องช่วยตัดไหมให้พวกเขาอีก ทุกคนล้วนค่อนข้างหวาดกลัวต่อเรื่องที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน นี่จะเรียกว่าเป็นการเอาใจล่วงหน้าเพื่อให้พวกเขาเบาไม้เบามือบ้างก็ว่าได้

ไข่นกหลายฟองที่ถูกยัดใส่มือเห็นได้ชัดว่าเพิ่งต้มเสร็จ เมื่อกุมไว้ในมือแล้วค่อนข้างร้อนลวกมืออยู่บ้าง หยวนฟางพึมพำ “อามิตตาภพุทธ บาปกรรรม บาปกรรม!”

กินไข่นกก็ถือเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หยวนฟางกินไม่ได้ จึงมอบไข่นกให้เหล่าสมณะ บอกให้พวกเขานำไปให้ผู้บาดเจ็บกิน

เหล่าสมณะรับไข่นกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไปจัดการตามที่สั่ง

ใบหน้าหยวนฟางก็มีรอยยิ้มประดับอยู่เช่นกัน ระยะนี้เหล่าสมณะรวมถึงตัวเขาล้วนสัมผัสถึงความเคารพเลื่อมใสที่ทุกคนมีต่อพวกเขาได้อย่างชัดเจน เมื่อมีของอร่อยทุกคนก็จะนึกถึงพวกเขาก่อน จะเลือกของกินของใช้ที่ดีที่สุดมาส่งให้พวกเขาก่อนเสมอ

ความรู้สึกที่ได้รับความเคารพเลื่อมใสเช่นนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ เหล่าสมณะค้นพบว่าความจริงแล้วคนพวกนี้ก็ไม่เลวร้ายเลย ส่วนหยวนฟางก็รู้สึกว่าหลักธรรมแห่งพุทธองค์คือสิ่งที่ถูกต้อง เริ่มพร่ำเทศนาเหล่าสมณะว่าให้มีเมตตาธรรม ช่วยเหลือผู้อื่น

ซางเฉาจงนั่งอยู่ข้างกองไฟ กวาดตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าสภาพของไพร่พลล้วนแต่ไม่เลว บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มที่หลายวันมานี้ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นออกมา “ยังคงเป็นชิงเอ๋อร์ที่สายตาล้ำเลิศ ดูเหมือนวิธีรักษาของเต้าเหยี่ยผู้นี้จะมีประสิทธิภาพจริงๆ”

ซางซูชิงเม้มปากอมยิ้ม

หลานรั่วถิงพยักหน้า สื่อว่าเห็นด้วย เขาทราบถึงอาการบาดเจ็บจากสนามรบเหล่านั้นดี ยกตัวอย่างเช่นถ้าหากถูกดาบฟันขาเป็นแผลลึก โดยทั่วไปต้องใช้เวลาฟื้นฟูราวๆ ครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าเดินเหิน แต่ตอนนี้เพิ่งผ่านไปได้กี่วันเล่า? เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “สมณะกลุ่มนั้นก็เรียนรู้เดี๋ยวนั้นลงมือเดี๋ยวนั้น ดูเหมือนวิธีการรักษานี้จะร่ำเรียนได้ไม่ยาก หากเต้าเหยี่ยยินยอมถ่ายทอดให้พวกเรา ภายหน้าจะมีประโยชน์มหาศาลต่อการรักษาในสนามรบ”

ซางเฉาจงนิ่งเงียบ กลัวแต่ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมถ่ายทอดวิชาที่ได้รับสืบทอดมาแก่คนนอกง่ายๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลองกล่าวกับซางซูชิงไปว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าลองหาโอกาสหยั่งเชิงท่าทีของเต้าเหยี่ยดูได้หรือไม่?”

“ได้เพคะ!” ซางซูชิงพยักหน้า

ขณะที่ทางนี้คุยกันอยู่ กลุ่มทหารของทางนี้ก็พากันแตกตื่นฮือฮาขึ้นมา เฟิ่งรั่วหนานพาคนมา ไม่ทราบเช่นกันว่านางจะทำอันใด ยืนอยู่ข้างๆ องครักษ์คนหนึ่ง

พวกซางเฉาจงลุกขึ้นพลางเดินเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ทันที

“พระชายา!” องครักษ์ที่อยู่หน้ากองไฟคนนั้นลุกขึ้นทำความเคารพ

เฟิ่งรั่วหนานเดินวนรอบตัวเขาสองรอบ จู่ๆ ก็เอ่ยว่า“ถอดกางเกงออก”

“เอ่อ…” องครักษ์นายนั้นตื่นตะลึง มองซางเฉาจงที่เดินเข้ามา

ซางเฉาจงที่ได้ยินวาจานี้สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน ถึงอย่างไรเฟิ่งรั่วหนานก็เป็นสตรีของเขา พูดจาเช่นนี้จะให้เขาทนไหวได้อย่างไร

ทว่าคำพูดประโยคต่อมาของเฟิ่งรั่วหนานก็ทำให้เขาผ่อนคลายลง “ขอดูแผลบนขาเจ้าหน่อย”

แต่ถึงแม้นจะเป็นเช่นนี้ ซางซูชิงก็ยังพูดไม่ออกอยู่บ้าง พี่สะใภ้คนนี้ช่างดุดันนัก ต่อให้มีเหตุผลอยู่ แต่การที่สตรีนางหนึ่งมาบอกให้บุรุษคนหนึ่งถอดกางเกงต่อหน้าผู้คนมากมาย ขนบจารีตไปไหนเสียแล้ว? เรื่องบางเรื่องหลบออกมาพูดกันลับๆ ไม่ได้หรือ?

สุดท้ายองครักษ์คนนั้นก็ปลดกางเกงลง เผยให้เห็นบาดแผลที่ถูกเย็บสมานเอาไว้อย่างดีบนขา

หลังจากตรวจดูจนแน่ใจแล้ว เฟิ่งรั่วหนานก็ส่งสายตาบอกให้พวกซางเฉาจงตามออกไปด้านข้าง เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ทหารที่ได้รับบาดเจ็บของพระองค์ฟื้นตัวได้ไม่เลว”

ซางเฉาจงเอ่ยอย่างเฉยชา “เพราะฝีมือของเต้าเหยี่ยเลิศล้ำ”

เฟิ่งรั่วหนานกล่าวต่อว่า “ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลต้องแบ่งฝักแบ่งฝ่าย พระองค์ให้เขาช่วยรักษาทหารของหม่อมฉันที่ได้รับบาดเจ็บทีสิเพคะ”

ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้ สีหน้าของหลานรั่วถิงแปลกพิกลอยู่หลายส่วน การที่ทำให้สตรีนางนี้เอ่ยคำว่าครอบครัวเดียวกันกับท่านอ๋องได้นับว่าไม่ธรรมดาเลย! แต่เขาก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเฟิ่งรั่วหนานอยู่เช่นกัน นางมีฐานะเป็นผู้บัญชาการทัพ หากอยู่ในสถานการณ์ที่มีหนทางรักษาอยู่ ไหนเลยจะทนมองลูกน้องบางเจ็บอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรได้ ในแง่หนึ่งแล้วก็นับว่านางยอมก้มหัวให้ท่านอ๋องแล้ว

ซางเฉาจงตอบอย่างเคร่งขรึม “นี่เป็นฝีมือของเต้าเหยี่ย เกรงว่าคงต้องขึ้นอยู่กับเขาแล้วว่าจะยอมช่วยหรือไม่”

เฟิ่งรั่วหนานคาดการณ์เอาไว้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในสนามรบ นางเห็นหนิวโหย่วเต้าหดหัวไม่ยอมออกโรง ก็ทราบแล้วว่าซางเฉาจงไม่มีอิทธิพลอะไรต่อหนิวโหย่วเต้ามากนัก คล้ายจะมิได้มีไมตรีต่อกันสักเท่าไร แต่นางกับหนิวโหย่วเต้าไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไรนัก ไม่สะดวกจะไปพูดกับหนิวโหย่วเต้าตรงๆ จึงมาหาซางเฉาจงเพื่อให้เขาช่วยไปพูดให้

แต่ซางเฉาจงเองก็ไม่ได้คิดมาก เขาไม่ได้ปฏิเสธอันใด พานางไปพบหนิวโหย่วเต้าด้วยกัน

หนิวโหย่วเต้ากำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในกระโจม กลุ่มคนยังไม่ทันเข้าใกล้กระโจมของหนิวโหย่วเต้า หยวนกังที่ไม่ทราบว่าโผล่มาจากไหนก็เข้ามาขวางพวกเขาไว้

หยวนฟางก็โผล่ออกมาขวางไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ เช่นกัน ยืนข้างหยวนกังหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ประหนึ่งขุนพลคู่เฮิงฮา[1]

หยวนกังได้สั่งการเขาเอาไว้แล้ว บอกว่าการคุ้มครองความปลอดภัยของเต้าเหยี่ยก็เป็นความรับผิดชอบของเขาเช่นกัน หากเกิดอะไรขึ้นกับเต้าเหยี่ย เขาก็อย่าหวังจะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข

หยวนฟางก็ทราบเช่นกันว่าตอนนี้ตนยังพึ่งพาหนิวโหย่วเต้าให้คุ้มกะลาหัว ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ ก็ทำได้เพียงปฏิบัติตาม

เหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานก็ทยอยโผล่ออกมาจับตามองทางนี้เช่นกัน คนเหล่านี้ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนที่มีหนิวโหย่วเต้าเป็นศูนย์กลางโดยไม่รู้ตัว ภายใต้การควบคุมบงการอย่างเงียบๆ ของหนิวโหย่วเต้า คนเหล่านี้จึงไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของซางเฉาจงและเฟิ่งรั่วหนาน หากแต่มารวมกลุ่มอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า

เมื่อเฟิ่งรั่วหนานเห็นหยวนฟางก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่นางยังมีธุระต้องจัดการ จึงทำได้เพียงอดทนไว้

เมื่อหน้ากระโจมมีเสียงพูดคุยเช่นนี้ ภายในกระโจมจึงมีเสียงของหนิวโหย่วเต้าดังออกมา “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”

นอกกระโจมถึงได้เลิกขัดขวาง ปล่อยให้พวกเขามุดเข้าไปในกระโจม หนิวโหย่วเต้าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในกระโจมลุกขึ้นมาประสานมือคารวะ

ทางฝ่ายซางเฉาจงก็ชี้แจงจุดประสงค์ในการมาของเฟิ่งรั่วหนาน ทว่าหนิวโหย่วเต้าสังเกตเห็นหลานรั่วถิงส่งสายตาพลางส่ายหน้าให้เขานิดๆ คล้ายจะไม่ต้องการให้เขาตอบตกลง

ซางซูชิงก็เป็นคนช่างสังเกตคนหนึ่ง สังเกตเห็นปฏิกิริยาของหลานรั่วถิงแล้ว

หลังจากฟังจบ หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “จะมาเย็บตอนนี้ก็สายไปหน่อยแล้ว”

ใบหน้าของเฟิ่งรั่วหนานคร่ำเคร่ง เอ่ยขึ้นว่า “หากก่อนหน้านี้มีสิ่งใดล่วงเกินท่านไป นั่นล้วนเป็นความผิดของข้า ขอเต้าเหยี่ยอย่าได้เก็บอดีตมาใส่ใจ ข้ามาเพื่อขอขมาเต้าเหยี่ย หวังว่าเต้าเหยี่ยจะยอมเมตตา ละวางเรื่องในอดีต! ข้ารับรองว่าเรื่องราวที่ผ่านมาจะยุติลงตรงนี้ ภายหน้าจะไม่หยิบยกขึ้นมาหาเรื่องอีก”

หนิวโหย่วเต้ายกมือเกาจมูกเล็กน้อย ทราบว่าสตรีนางนี้เข้าใจผิดแล้ว จึงยิ้มเจื่อนพลางกล่าวชี้แจงว่า “พระชายา เกรงว่าพระองค์จะเข้าใจผิดไปเล็กน้อย หากเย็บแผลตั้งแต่ยามนั้นก็ยังทันการ แต่ล่วงเลยมาหลายวันเช่นนี้ปากแผลเริ่มสร้างเนื้อสมานตัวแล้ว การจะเย็บแผลอีกมันไม่ค่อยเหมาะจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

เฟิ่งรั่วหนานขอร้องอยู่หลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ยังคงเป็นแบบเดิม สุดท้ายก็แค่นเสียงสะบัดหน้าจากไป

หนิวโหย่วเต้าจนปัญญา คาดว่าภาพลักษณ์อันเลวร้ายของเขาคงซึมลึกเข้าในจิตใจของสตรีผู้นี้แล้ว สุดท้ายยังคงเข้าใจผิดอยู่ดี

เมื่อคนอื่นๆ ทยอยเดินออกไป เหลือหลานรั่วถิงที่แย้มยิ้มอยู่เพียงคนเดียว หนิวโหย่วเต้าก็ขยับเข้าไปหาพลางเอ่ยถาม “ท่านหลานต้องการให้ข้าปฏิเสธด้วยเหตุผลใด?”

หลานรั่วถิงทำตัวมีลับลมคมใน กระซิบข้างหูเขา “จนถึงบัดนี้พระชายาก็ยังไม่ยอมร่วมห้องกับท่านอ๋อง ความคิดที่ว่าจะเปลี่ยนไพร่พลของเฟิ่งหลิงปอเป็นไพร่พลของท่านอ๋องที่เต้าเหยี่ยเสนอมาก่อนหน้านี้ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พระชายาเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ย่อมทนเห็นไพร่พลได้รับความทุกข์ทรมานไม่ไหว หากเต้าเหยี่ยสามารถอาศัยการรักษามาเชื่อมสัมพันธ์ให้ท่านอ๋องและพระชายาร่วมหอกันได้ ก็นับว่าเป็นการช่วยให้พวกเขาได้ครองคู่! ถึงอย่างไรทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้ว อีกทั้งทุกคนต่างรับรู้แล้วว่าทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน สำหรับพระชายาแล้ว มันก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่เหลือรับอันใด”

หนิวโหย่วเต้าพลันกระจ่างแจ้ง พูดจาขึงขังจริงจังเช่นนี้ไปทำไม ที่แท้ก็แค่อยากอาศัยการรักษาบีบให้เฟิ่งรั่วหนานหลับนอนกับซางเฉาจงมิใช่หรือ? เขาพบว่าคนผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก จึงถลึงตาใส่พลางกล่าวว่า “ท่านหลาน ข้ามิได้มากเล่ห์เช่นท่าน มิใช่ข้าไม่ตอบตกลง แต่สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง ตอนนี้ไม่เหมาะจะเย็บแผลให้ผู้บาดเจ็บแล้วจริงๆ!”

………………………………………………………….

[1] ขุนพลคู่เฮิงฮา เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนเรื่องห้องสิน โดยสองขุนพลเป็นเทพทวารบาลคอยเฝ้าพิทักษ์ประตู

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 79 ข้าไม่ได้มากเล่ห์เช่นท่าน

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 79 ข้าไม่ได้มากเล่ห์เช่นท่าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนนี้ 79 ข้าไม่ได้มากเล่ห์เช่นท่าน

“กองทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นนาย กลับพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าเช่นนี้ เซี่ยงอู่เหรินสมควรตายนับหมื่นครั้ง!”

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว ภายในห้องโถงหลัก เสียงตะโกนของโจวโส่วเสียนเกือบจะทำให้กระเบื้องหลังคากระเด็นกระดอนขึ้นมา ถ้วยชาเกือบหล่นแตกลงบนพื้น เขาให้เซี่ยงอู่เหรินนำทัพทหารชั้นยอดไปช่วย นอกจากจะโจมตีไม่สำเร็จแล้ว กลับยังเป็นตัวถ่วงทำให้เสียเรื่องอีก ทำให้การลอบสังหารล้มเหลว! มิใช่เพียงล้มเหลวในการลอบสังหารซางเฉาจงเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเขาด้วย ทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นนายภายใต้สังกัดของเขาพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าเช่นนี้ ผู้อื่นจะคิดอย่างไรเล่า?

การตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวเป็นเพียงการระบายอารมณ์เท่านั้น จากนั้นเขานั่งลงบนเก้าอี้ ค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง ตกอยู่ในห้วงความคิด

……

ณ จังหวัดกว่างอี้ ทันทีที่เฟิ่งหลิงปอได้รับแจ้งข่าวก็โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เห็นอยู่ชัดๆ ว่าความจริงเป็นอย่างไร ทุกคนต่างมิใช่คนโง่ กองโจรเขี้ยวหมาป่าอย่างนั้นหรือ? เพียงแค่เดาดูก็ยังรู้เลยว่าเป็นฝีมือของกองกำลังจากมณฑลหนานโจว ไม่ว่าจะใช่ฝีมือของกองโจรเขี้ยวหมาป่าหรือไม่ เฟิ่งหลิงปอก็โยนความแค้นนี้ไปที่ราชสำนักแล้ว

กองกำลังจังหวัดกว่างอี้เตรียมพร้อมบุกโจมตี ทันทีที่เริ่มเคลื่อนไหว ก็มีแขกจากจวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจวมาเยือนจวนผู้ว่าการจังหวัดกว่างอี้ทันที มาหาเฟิ่งหลิงปอเพื่อทำการเจรจา ไม่รู้ว่าตกลงผลประโยชน์อันใดกันได้ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต่างไม่คิดจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่อีก เรื่องราวที่ดูคล้ายจะใหญ่โตสงบลงอย่างรวดเร็ว

……

เมืองหลวง ณ จวนตระกูลซ่ง ภายในสวนที่งามวิจิตร ซ่งจิ่วหมิงยืนเงียบๆ อยู่ริมสระ

พ่อบ้านหลิวลู่รีบเดินเข้ามา เอ่ยรายงานว่า “หลังทราบข่าวคุณชายสามโกรธมากขอรับ กำลังอาละวาดระบายโทสะอยู่”

ซ่งจิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พอจะเข้าใจความรู้สึกของบุตรชาย สำนักสวรรค์พิสุทธิ์แพร่ข่าวไปทั่วโลกบำเพ็ญเพียร ไล่เรียงความผิดต่างๆ ของซ่งซูบุตรชายของเขา ประกาศขับไล่ออกจากสำนัก อีกทั้งยังกล่าวหาซ่งซูว่าคิดจะล้างครูล้มสำนัก เมื่อถูกกล่าวหาเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนสามัญในโลกปุถุชนก็แบกรับคำครหาว่า ‘ล้มครูล้างสำนัก’ ไม่ไหวเช่นกัน เรียกได้ว่าชื่อเสียงของซ่งซูเสียหายแล้ว แล้ววันหน้าซ่งซูจะออกไปพบเจอผู้คนได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ก็ดันยากที่จะอธิบายให้ชัดเจนได้ บางครั้งหลักเหตุผลบนโลกนี้ก็ยืนอยู่ข้างคนอ่อนแอเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจได้ง่ายๆ ผู้ใดจะเชื่อล่ะว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นฝ่ายหาเรื่องตระกูลซ่งก่อน?

ทางฝั่งนี้ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะกล้าเป็นฝ่ายฉีกหน้าแตกหักกับตระกูลซ่งก่อน ในตอนที่สำนักอีกแห่งหนึ่งที่ถูกใช้ให้ไปโจมตีสำนักสวรรค์พิสุทธิ์บุกไปถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ พวกเขาก็พบว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ว่างเปล่าร้างผู้คนแล้ว เหลือแต่เพียงอากาศ ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยเนิบๆ “ยังไม่มีข่าวของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ?”

หลิวลู่กล่าวตอบ “ออกเดินทางกะทันหัน ไม่ทราบจุดหมายปลายทาง อยู่ระหว่างสืบข่าวขอรับ!”

ซ่งจิ่วหมิงยกมือไพล่หลังไม่เอ่ยวาจา ขมวดคิ้วแน่น ไม่ทราบว่าระยะนี้เกิดอะไรขึ้น คล้ายจะมีลางสังหรณ์ พบว่าเรื่องราวหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน อยู่เหนือการควบคุมไปหมด สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หลุดจากการควบคุมของตระกูลซ่ง ซางเฉาจงก็หลุดพ้นจากการควบคุมของราชสำนัก การลอบสังหารของทางมณฑลหนานโจวก็ล้มเหลว…

….

เมื่อมีทหารราบคอยถ่วงรั้ง ความเร็วในการเดินทางของทหารม้าย่อมช้าลง จากที่สามารถเดินทางไปถึงได้ภายในวันสองวันก็ลากยาวไปหลายวัน

หลังจากเดินทางมาได้สองสามวัน เฟิ่งรั่วหนานก็สังเกตเห็นได้ถึงผิดปกติ เป็นทหารม้าเช่นเดียวกัน ม้าศึกที่ยึดมาจากฝ่ายศัตรูที่ลอบโจมตีจำนวนมากถูกมอบให้ผู้บาดเจ็บของฝ่ายตนขี่ แม้จะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ผู้บาดเจ็บฝ่ายตนยังไม่กล้าขยับเขยื้อนมากนัก ด้วยกลัวว่าจะสะเทือนบาดแผลจนปริแตก แต่ผู้บาดเจ็บของฝ่ายซางเฉาจงกลับสามารถขึ้นม้าลงม้าด้วยตัวเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคนช่วยประคอง บางส่วนก็พอจะเดินกะเผลกๆ ด้วยตัวเองได้ด้วยซ้ำ

การฟื้นตัวของผู้บาดเจ็บฝ่ายซางเฉาจงเร็วกว่าของฝั่งตนอย่างเห็นได้ชัด เฟิ่งรั่วหนานย่อมทราบดีว่าการที่ผู้บาดเจ็บในสนามรบฟื้นตัวได้เร็วมีความหมายอย่างไร ไม่เพียงแต่ลดภาระในการดูแลลง แต่ยังฟื้นฟูกำลังพลกลับมาได้อย่างรวดเร็วด้วย สำหรับการทำศึกแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย!

ส่วนเหล่าองครักษ์ของซางเฉาจงเมื่อเห็นว่าตนฟื้นตัวได้เร็วขึ้น จึงพบว่าการเย็บแผลมีประโยชน์อย่างที่ว่ามาจริงๆ ความหวาดผวาที่มีต่อการเย็บแผลจึงเลือนหายไป เมื่ออาการบาดเจ็บฟื้นตัวได้รวดเร็ว ก็คลายความกังวลลงไปในระดับหนึ่ง ไพร่พลเบิกบานสดใสขึ้นไม่น้อย

เหล่าทหารที่ทำศึกบนสนามรบล้วนแต่ให้ความเคารพต่อผู้ที่ช่วยชีวิตตน เมื่อได้พบหยวนกังและเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานอีกครั้งก็ให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่ง

“ไต้ซือ ไข่นกหลายฟองนี้เหล่าพี่น้องเพิ่งเก็บมาจากรังนกในป่า ต้มสุกหมดแล้ว”

ยามที่ตั้งค่ายพักแรมตอนกลางคืน พลทหารนายหนึ่งได้ที่รับการรักษาจากหยวนฟางเดินมาหา ยัดไข่นกขนาดเท่าไข่ไก่ที่มีเปลือกสีเขียวครามหลายฟองใส่มือหยวนฟาง หยวนฟางจะไม่รับไว้ก็ไม่ได้ เมื่ออีกฝ่ายบังคับยัดของให้เสร็จก็เดินจากไป

ความรู้สึกขอบคุณในการช่วยเหลือของเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานก็เป็นเรื่องหนึ่ง ความเคารพเลื่อมใสจากใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือได้ยินว่าต่อไปสมณะเหล่านี้ยังต้องช่วยตัดไหมให้พวกเขาอีก ทุกคนล้วนค่อนข้างหวาดกลัวต่อเรื่องที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน นี่จะเรียกว่าเป็นการเอาใจล่วงหน้าเพื่อให้พวกเขาเบาไม้เบามือบ้างก็ว่าได้

ไข่นกหลายฟองที่ถูกยัดใส่มือเห็นได้ชัดว่าเพิ่งต้มเสร็จ เมื่อกุมไว้ในมือแล้วค่อนข้างร้อนลวกมืออยู่บ้าง หยวนฟางพึมพำ “อามิตตาภพุทธ บาปกรรรม บาปกรรม!”

กินไข่นกก็ถือเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หยวนฟางกินไม่ได้ จึงมอบไข่นกให้เหล่าสมณะ บอกให้พวกเขานำไปให้ผู้บาดเจ็บกิน

เหล่าสมณะรับไข่นกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไปจัดการตามที่สั่ง

ใบหน้าหยวนฟางก็มีรอยยิ้มประดับอยู่เช่นกัน ระยะนี้เหล่าสมณะรวมถึงตัวเขาล้วนสัมผัสถึงความเคารพเลื่อมใสที่ทุกคนมีต่อพวกเขาได้อย่างชัดเจน เมื่อมีของอร่อยทุกคนก็จะนึกถึงพวกเขาก่อน จะเลือกของกินของใช้ที่ดีที่สุดมาส่งให้พวกเขาก่อนเสมอ

ความรู้สึกที่ได้รับความเคารพเลื่อมใสเช่นนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ เหล่าสมณะค้นพบว่าความจริงแล้วคนพวกนี้ก็ไม่เลวร้ายเลย ส่วนหยวนฟางก็รู้สึกว่าหลักธรรมแห่งพุทธองค์คือสิ่งที่ถูกต้อง เริ่มพร่ำเทศนาเหล่าสมณะว่าให้มีเมตตาธรรม ช่วยเหลือผู้อื่น

ซางเฉาจงนั่งอยู่ข้างกองไฟ กวาดตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าสภาพของไพร่พลล้วนแต่ไม่เลว บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มที่หลายวันมานี้ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นออกมา “ยังคงเป็นชิงเอ๋อร์ที่สายตาล้ำเลิศ ดูเหมือนวิธีรักษาของเต้าเหยี่ยผู้นี้จะมีประสิทธิภาพจริงๆ”

ซางซูชิงเม้มปากอมยิ้ม

หลานรั่วถิงพยักหน้า สื่อว่าเห็นด้วย เขาทราบถึงอาการบาดเจ็บจากสนามรบเหล่านั้นดี ยกตัวอย่างเช่นถ้าหากถูกดาบฟันขาเป็นแผลลึก โดยทั่วไปต้องใช้เวลาฟื้นฟูราวๆ ครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าเดินเหิน แต่ตอนนี้เพิ่งผ่านไปได้กี่วันเล่า? เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “สมณะกลุ่มนั้นก็เรียนรู้เดี๋ยวนั้นลงมือเดี๋ยวนั้น ดูเหมือนวิธีการรักษานี้จะร่ำเรียนได้ไม่ยาก หากเต้าเหยี่ยยินยอมถ่ายทอดให้พวกเรา ภายหน้าจะมีประโยชน์มหาศาลต่อการรักษาในสนามรบ”

ซางเฉาจงนิ่งเงียบ กลัวแต่ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมถ่ายทอดวิชาที่ได้รับสืบทอดมาแก่คนนอกง่ายๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลองกล่าวกับซางซูชิงไปว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าลองหาโอกาสหยั่งเชิงท่าทีของเต้าเหยี่ยดูได้หรือไม่?”

“ได้เพคะ!” ซางซูชิงพยักหน้า

ขณะที่ทางนี้คุยกันอยู่ กลุ่มทหารของทางนี้ก็พากันแตกตื่นฮือฮาขึ้นมา เฟิ่งรั่วหนานพาคนมา ไม่ทราบเช่นกันว่านางจะทำอันใด ยืนอยู่ข้างๆ องครักษ์คนหนึ่ง

พวกซางเฉาจงลุกขึ้นพลางเดินเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ทันที

“พระชายา!” องครักษ์ที่อยู่หน้ากองไฟคนนั้นลุกขึ้นทำความเคารพ

เฟิ่งรั่วหนานเดินวนรอบตัวเขาสองรอบ จู่ๆ ก็เอ่ยว่า“ถอดกางเกงออก”

“เอ่อ…” องครักษ์นายนั้นตื่นตะลึง มองซางเฉาจงที่เดินเข้ามา

ซางเฉาจงที่ได้ยินวาจานี้สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน ถึงอย่างไรเฟิ่งรั่วหนานก็เป็นสตรีของเขา พูดจาเช่นนี้จะให้เขาทนไหวได้อย่างไร

ทว่าคำพูดประโยคต่อมาของเฟิ่งรั่วหนานก็ทำให้เขาผ่อนคลายลง “ขอดูแผลบนขาเจ้าหน่อย”

แต่ถึงแม้นจะเป็นเช่นนี้ ซางซูชิงก็ยังพูดไม่ออกอยู่บ้าง พี่สะใภ้คนนี้ช่างดุดันนัก ต่อให้มีเหตุผลอยู่ แต่การที่สตรีนางหนึ่งมาบอกให้บุรุษคนหนึ่งถอดกางเกงต่อหน้าผู้คนมากมาย ขนบจารีตไปไหนเสียแล้ว? เรื่องบางเรื่องหลบออกมาพูดกันลับๆ ไม่ได้หรือ?

สุดท้ายองครักษ์คนนั้นก็ปลดกางเกงลง เผยให้เห็นบาดแผลที่ถูกเย็บสมานเอาไว้อย่างดีบนขา

หลังจากตรวจดูจนแน่ใจแล้ว เฟิ่งรั่วหนานก็ส่งสายตาบอกให้พวกซางเฉาจงตามออกไปด้านข้าง เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ทหารที่ได้รับบาดเจ็บของพระองค์ฟื้นตัวได้ไม่เลว”

ซางเฉาจงเอ่ยอย่างเฉยชา “เพราะฝีมือของเต้าเหยี่ยเลิศล้ำ”

เฟิ่งรั่วหนานกล่าวต่อว่า “ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลต้องแบ่งฝักแบ่งฝ่าย พระองค์ให้เขาช่วยรักษาทหารของหม่อมฉันที่ได้รับบาดเจ็บทีสิเพคะ”

ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้ สีหน้าของหลานรั่วถิงแปลกพิกลอยู่หลายส่วน การที่ทำให้สตรีนางนี้เอ่ยคำว่าครอบครัวเดียวกันกับท่านอ๋องได้นับว่าไม่ธรรมดาเลย! แต่เขาก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเฟิ่งรั่วหนานอยู่เช่นกัน นางมีฐานะเป็นผู้บัญชาการทัพ หากอยู่ในสถานการณ์ที่มีหนทางรักษาอยู่ ไหนเลยจะทนมองลูกน้องบางเจ็บอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรได้ ในแง่หนึ่งแล้วก็นับว่านางยอมก้มหัวให้ท่านอ๋องแล้ว

ซางเฉาจงตอบอย่างเคร่งขรึม “นี่เป็นฝีมือของเต้าเหยี่ย เกรงว่าคงต้องขึ้นอยู่กับเขาแล้วว่าจะยอมช่วยหรือไม่”

เฟิ่งรั่วหนานคาดการณ์เอาไว้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในสนามรบ นางเห็นหนิวโหย่วเต้าหดหัวไม่ยอมออกโรง ก็ทราบแล้วว่าซางเฉาจงไม่มีอิทธิพลอะไรต่อหนิวโหย่วเต้ามากนัก คล้ายจะมิได้มีไมตรีต่อกันสักเท่าไร แต่นางกับหนิวโหย่วเต้าไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไรนัก ไม่สะดวกจะไปพูดกับหนิวโหย่วเต้าตรงๆ จึงมาหาซางเฉาจงเพื่อให้เขาช่วยไปพูดให้

แต่ซางเฉาจงเองก็ไม่ได้คิดมาก เขาไม่ได้ปฏิเสธอันใด พานางไปพบหนิวโหย่วเต้าด้วยกัน

หนิวโหย่วเต้ากำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในกระโจม กลุ่มคนยังไม่ทันเข้าใกล้กระโจมของหนิวโหย่วเต้า หยวนกังที่ไม่ทราบว่าโผล่มาจากไหนก็เข้ามาขวางพวกเขาไว้

หยวนฟางก็โผล่ออกมาขวางไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ เช่นกัน ยืนข้างหยวนกังหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ประหนึ่งขุนพลคู่เฮิงฮา[1]

หยวนกังได้สั่งการเขาเอาไว้แล้ว บอกว่าการคุ้มครองความปลอดภัยของเต้าเหยี่ยก็เป็นความรับผิดชอบของเขาเช่นกัน หากเกิดอะไรขึ้นกับเต้าเหยี่ย เขาก็อย่าหวังจะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข

หยวนฟางก็ทราบเช่นกันว่าตอนนี้ตนยังพึ่งพาหนิวโหย่วเต้าให้คุ้มกะลาหัว ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ ก็ทำได้เพียงปฏิบัติตาม

เหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานก็ทยอยโผล่ออกมาจับตามองทางนี้เช่นกัน คนเหล่านี้ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนที่มีหนิวโหย่วเต้าเป็นศูนย์กลางโดยไม่รู้ตัว ภายใต้การควบคุมบงการอย่างเงียบๆ ของหนิวโหย่วเต้า คนเหล่านี้จึงไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของซางเฉาจงและเฟิ่งรั่วหนาน หากแต่มารวมกลุ่มอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า

เมื่อเฟิ่งรั่วหนานเห็นหยวนฟางก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่นางยังมีธุระต้องจัดการ จึงทำได้เพียงอดทนไว้

เมื่อหน้ากระโจมมีเสียงพูดคุยเช่นนี้ ภายในกระโจมจึงมีเสียงของหนิวโหย่วเต้าดังออกมา “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”

นอกกระโจมถึงได้เลิกขัดขวาง ปล่อยให้พวกเขามุดเข้าไปในกระโจม หนิวโหย่วเต้าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในกระโจมลุกขึ้นมาประสานมือคารวะ

ทางฝ่ายซางเฉาจงก็ชี้แจงจุดประสงค์ในการมาของเฟิ่งรั่วหนาน ทว่าหนิวโหย่วเต้าสังเกตเห็นหลานรั่วถิงส่งสายตาพลางส่ายหน้าให้เขานิดๆ คล้ายจะไม่ต้องการให้เขาตอบตกลง

ซางซูชิงก็เป็นคนช่างสังเกตคนหนึ่ง สังเกตเห็นปฏิกิริยาของหลานรั่วถิงแล้ว

หลังจากฟังจบ หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “จะมาเย็บตอนนี้ก็สายไปหน่อยแล้ว”

ใบหน้าของเฟิ่งรั่วหนานคร่ำเคร่ง เอ่ยขึ้นว่า “หากก่อนหน้านี้มีสิ่งใดล่วงเกินท่านไป นั่นล้วนเป็นความผิดของข้า ขอเต้าเหยี่ยอย่าได้เก็บอดีตมาใส่ใจ ข้ามาเพื่อขอขมาเต้าเหยี่ย หวังว่าเต้าเหยี่ยจะยอมเมตตา ละวางเรื่องในอดีต! ข้ารับรองว่าเรื่องราวที่ผ่านมาจะยุติลงตรงนี้ ภายหน้าจะไม่หยิบยกขึ้นมาหาเรื่องอีก”

หนิวโหย่วเต้ายกมือเกาจมูกเล็กน้อย ทราบว่าสตรีนางนี้เข้าใจผิดแล้ว จึงยิ้มเจื่อนพลางกล่าวชี้แจงว่า “พระชายา เกรงว่าพระองค์จะเข้าใจผิดไปเล็กน้อย หากเย็บแผลตั้งแต่ยามนั้นก็ยังทันการ แต่ล่วงเลยมาหลายวันเช่นนี้ปากแผลเริ่มสร้างเนื้อสมานตัวแล้ว การจะเย็บแผลอีกมันไม่ค่อยเหมาะจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

เฟิ่งรั่วหนานขอร้องอยู่หลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ยังคงเป็นแบบเดิม สุดท้ายก็แค่นเสียงสะบัดหน้าจากไป

หนิวโหย่วเต้าจนปัญญา คาดว่าภาพลักษณ์อันเลวร้ายของเขาคงซึมลึกเข้าในจิตใจของสตรีผู้นี้แล้ว สุดท้ายยังคงเข้าใจผิดอยู่ดี

เมื่อคนอื่นๆ ทยอยเดินออกไป เหลือหลานรั่วถิงที่แย้มยิ้มอยู่เพียงคนเดียว หนิวโหย่วเต้าก็ขยับเข้าไปหาพลางเอ่ยถาม “ท่านหลานต้องการให้ข้าปฏิเสธด้วยเหตุผลใด?”

หลานรั่วถิงทำตัวมีลับลมคมใน กระซิบข้างหูเขา “จนถึงบัดนี้พระชายาก็ยังไม่ยอมร่วมห้องกับท่านอ๋อง ความคิดที่ว่าจะเปลี่ยนไพร่พลของเฟิ่งหลิงปอเป็นไพร่พลของท่านอ๋องที่เต้าเหยี่ยเสนอมาก่อนหน้านี้ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พระชายาเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ย่อมทนเห็นไพร่พลได้รับความทุกข์ทรมานไม่ไหว หากเต้าเหยี่ยสามารถอาศัยการรักษามาเชื่อมสัมพันธ์ให้ท่านอ๋องและพระชายาร่วมหอกันได้ ก็นับว่าเป็นการช่วยให้พวกเขาได้ครองคู่! ถึงอย่างไรทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้ว อีกทั้งทุกคนต่างรับรู้แล้วว่าทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน สำหรับพระชายาแล้ว มันก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่เหลือรับอันใด”

หนิวโหย่วเต้าพลันกระจ่างแจ้ง พูดจาขึงขังจริงจังเช่นนี้ไปทำไม ที่แท้ก็แค่อยากอาศัยการรักษาบีบให้เฟิ่งรั่วหนานหลับนอนกับซางเฉาจงมิใช่หรือ? เขาพบว่าคนผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก จึงถลึงตาใส่พลางกล่าวว่า “ท่านหลาน ข้ามิได้มากเล่ห์เช่นท่าน มิใช่ข้าไม่ตอบตกลง แต่สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง ตอนนี้ไม่เหมาะจะเย็บแผลให้ผู้บาดเจ็บแล้วจริงๆ!”

………………………………………………………….

[1] ขุนพลคู่เฮิงฮา เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนเรื่องห้องสิน โดยสองขุนพลเป็นเทพทวารบาลคอยเฝ้าพิทักษ์ประตู

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด