ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 368 รอยตราจอมมาร

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 368 รอยตราจอมมาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 368 รอยตราจอมมาร

สำหรับงานวิวาห์นี้ ทางวังหลวงกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันเสียยิ่งกว่า งานวิวาห์จึงถูกกำหนดไว้กระชั้นชิดยิ่งนัก!

กำหนดวิวาห์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ งานมงคลยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ผู้คนในเมืองหลวงแทบจะรู้กันถ้วนหน้า มีทั้งคนที่ยินดีและมีผู้ที่เป็นกังวล

ประชาชนปรีดาตั้งตารอคอย ด้วยทราบว่าตามธรรมเนียมแล้วมีความเป็นไปได้สูงที่องค์ฮ่องเต้จะประทานเมตตาให้แก่ประชาชน อย่างเช่นงดเว้นภาษี จุดบริจาคทานบางแห่งอาจจะเปลี่ยนจากข้าวต้มเป็นพวกอาหารแห้ง หรือบางทีอาจจะได้กินเนื้อก็เป็นได้

แต่สำหรับเหล่าขุนนางในเมืองหลวงแล้ว สิ่งที่พวกเขามองเห็นกลับเป็นคลื่นมรสุมใต้น้ำ ตระกูลฮูเหยียนที่กุมอำนาจกองทหารม้าไว้เกี่ยวดองกับองค์ฮ่องเต้แล้ว รูปการณ์ของราชสำนักเปลี่ยนไปแล้ว!

น้องสาวร่วมมารดาได้ออกเรือนแล้ว จวนอวี้อ๋องปิติดีใจ ลงเงินและกำลังให้เพื่อแสดงน้ำใจ รวบรวมของล้ำค่าหายากมาเสริมเป็นสินสอดเจ้าสาวให้น้องสาว จวนอวี้อ๋องไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือบ่าวไพร่ล้วนดีใจกันทั้งสิ้น น้ำขึ้นเรือย่อมลอยสูง หลักการนี้ทุกคนล้วนแต่ทราบดี ต่างรู้ว่าอวี้อ๋องมีที่พึ่งคนสำคัญแล้ว ล้วนทราบว่าต่อให้ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นจะไม่แสดงท่าทีออกมา แต่อวี้อ๋องก็ครองความได้เปรียบไปสามส่วนแล้ว ดังนั้นทั้งจวนตั้งแต่นายจรดบ่าวไพร่ล้วนวิ่งเต้นช่วยเหลืองานวิวาห์ขององค์หญิงใหญ่อย่างกระตือรือร้นเป็นพิเศษ จัดการทุกเรื่องอย่างดีที่สุด!

….

ณ จวนจินอ๋อง จินอ๋องอาละวาดทำลายข้าวของ สบถด่าตระกูลฮูเหยียน ท่าทางคล้ายปรารถนาจะสังหารตระกูลฮูเหยียนเก้าชั่วโคตรใจแทบขาดแล้ว!

มีขุนนางจำนวนมากที่เดินสวนเข้าๆ ออกๆ จวนของท่านอ๋องแต่ละคน ยุ่งง่วนกับการช่วยกันหารือวางแผนการ เรื่องราวบางอย่างแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว มีขุนนางจำนวนมากที่ในสมัยก่อนมานะทำงานเพื่อความก้าวหน้า แต่พอมีตำแหน่งสูงขึ้นมาจริงๆ ก็ได้รู้เห็นและเข้าใจในบางเรื่องราวขึ้นมา จะมานึกเสียใจมันก็สายไปเสียแล้ว เรื่องที่เคยกระทำไว้ในอดีตย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงก้าวเดินไปจนสุดทาง

เชื้อพระวงศ์บางส่วนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน บ้างก็เลือกข้างไว้แล้ว ลงมือกระทำเรื่องบางอย่างไปแล้ว คิดจะเปลี่ยนฝ่ายกลับลำหาได้ง่ายดายปานนั้นไม่

แม้แต่ภายในของสามสำนักใหญ่ก็ถูกงานวิวาห์ครั้งนี้สั่นคลอนจิตใจเช่นกัน ขุนนางที่กุมอำนาจในโลกมนุษย์ธรรมดาจำนวนมากเริ่มติดต่อสมาคมกับสามสำนักใหญ่ ล้วนดำเนินการเพื่อเจ้านายที่อยู่เบื้องหลัง ยิ่งไปกว่านั้นคือมีศิษย์จำนวนมากของสามสำนักใหญ่ที่ทำหน้าที่ฝ่าซือติดตามอยู่ในบ้านเหล่าขุนนางด้วย

จวนอิงอ๋องยังคงเงียบสงบเช่นเคย ทุกอย่างเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพียงแต่มีการจัดเตรียมของขวัญบางส่วนเพื่อนำไปแสดงความยินดีด้วยเท่านั้น

ราชทูตจากแคว้นต่างๆ ก็พากันเตรียมของขวัญเช่นกัน

….

ณ ร้านเต้าหู้ เสมียนเกามาที่ลานส่วนใน มองเห็นหยวนกังที่เปลือยกายท่อนบนโหนคานไม้อยู่ อดไม่ได้ที่อุทานชื่นชมอยู่ในใจ ด้วยร่างกายอันกำยำนี้คาดว่าคงสามารถขึ้นเขาไปล่าเสือได้เลยทีเดียว ร่างกายเช่นนี้ต่อให้ตนหลับฝันก็ยังไม่ได้มาอยู่ดี

“เถ้าแก่ขอรับ” เสมียนเกาเงยหน้าประสานมือคำนับด้วยรอยยิ้ม

หยวนกังที่โหนอยู่บนคานไม้มองลงมา “มีอะไร?”

เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะลงมาคุยกัน เสมียนเกาก็ทำได้เพียงเงยหน้าคุย “เถ้าแก่ คืออย่างนี้ขอรับ ช่วงวานวิวห์ของคุณชายสาม เกรงว่าร้านเต้าหู้ของพวกเราอาจจะต้องปิดร้านสักสองสามวันขอรับ”

หยวนกังกล่าวว่า “หรือว่าจะมีการเชิญคนงานในร้านไปร่วมดื่มสุรามงคลในงานวิวาห์ของคุณชายสามด้วย?”

เสมียนเกาหัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยไปว่า “เถ้าแก่ล้อกันเล่นแล้ว งานวิวาห์ของคุณชายสามกับองค์หญิงใหญ่ เถ้าแก่ย่อมไปร่วมดื่มสุรามงคลได้ แต่ข้ารับใช้หยาบช้าอย่างพวกเราและเหล่าคนงาน ไหนเลยมีสิทธิ์ไปร่วมดื่มสุรามงคลขององค์หญิงได้ แค่เหมาเหลาสุราสักแห่งให้ทุกคนไปครื้นเครงกันได้ก็นับว่าดีมากแล้วขอรับ คืออย่างนี้ขอรับ ความหมายของทางจวนแม่ทัพคือช่วงงานวิวาห์ของคุณชายสาม จะให้พวกเราปิดร้านเต้าหู้สามวัน ไม่เปิดขายต่อคนนอก แต่ให้ไปตั้งจุดแจกเต้าฮวยตามบริเวณต่างๆ ภายในเมืองหลวงแก่ประชาชนตลอดสามวันโดยไม่คิดเงินขอรับ นับเป็นการร่วมเฉลิมฉลองให้แก่งานวิวาห์มากขึ้นด้วย แต่แน่นอนว่ายังคงต้องคิดค่าใช้จ่ายอยู่ขอรับ ให้ลงบัญชีในนามของคุณชายสาม ใช้จ่ายไปมากน้อยแค่ไหนก็ให้หักจากเงินปันผลของคุณชายสามในภายหลังขอรับ เถ้าแก่ ท่านคิดเห็นประการใดขอรับ? หากว่าเห็นชอบ ข้าจะได้แจ้งกลับไปขอรับ”

ตุบ! หยวนกังพลันปล่อยมือทิ้งตัวลงมาจากคาน ร่วงลงบนพื้น ซวนเซเล็กน้อย

เสมียนเการ้องไอ๊หยา รีบเดินเข้าไปประคอง “ระวังหน่อยขอรับ ระวังหน่อย เถ้าแก่โปรดระวังตัวด้วย”

หยวนกังหลับตาลง สะบัดหน้าไปมาแรงๆ จากนั้นลืมตาขึ้นพลางเอ่ยเนิบๆ ว่า “ได้ จัดการไปตามความต้องการของจวนแม่ทัพเถอะ”

“ขอรับ เข้าใจแล้ว ข้าจะกลับไปรายงานเดี๋ยวนี้ขอรับ”

“ช้าก่อน เมื่อครู่เจ้าพูดถึงเรื่องเหมาเหลาสุรา…งานวิวาห์ของคุณชายสาม ช่วงที่ปิดร้านทั้งสามวันให้เหมาเหลาสุราหลายๆ แห่งเฉลิมฉลองกันสักหน่อย ให้คนงานในร้านได้กินดื่มสังสรรค์โดยไม่คิดเงินสามวัน แล้วก็ หากมีสมาชิกในครอบครัวก็ให้พาทั้งหมดมาด้วยกันได้ สุราอาหารต้องเป็นของมีคุณภาพ อย่าได้ทำอย่างขอไปที”

“หวา เถ้าแก่ นั่นคืออาหารการกินสำหรับคนหลายร้อยคนเลยนะขอรับ กินดื่มสามวันคงสิ้นเปลืองเงินไม่น้อย”

“หักไปจากบัญชีของข้า ไม่ต้องพูดมาก ไปจัดการตามนี้”

“ขอรับ เข้าใจแล้ว ข้าจะไปจัดการให้ขอรับ”

หลังจากเสมียนเกาจากไป หยวนกังที่ฝืนต่อไปไม่ไหวก็ส่ายโงนเงนอีกครั้ง ยื่นมือออกไปคว้าเสาไม้ด้านข้างเพื่อค้ำยันตัว จากนั้นก็สะบัดหน้าแรงๆ อีกครั้ง ลมหายใจค่อยๆ ถี่กระชั้นขึ้นมา ความรูสึกทรมานรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกอันคุ้นเคยนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนยาพิษออกฤทธิ์ในห้องมืดของเรือนเมฆาขาวขึ้นมาทันที

แล้วก็นึกถึงยาที่ฉินเหมียนมอบให้เขาในวันนั้น บอกว่าให้เขาใช้ตอนเกิดอาการทรมาน

เขาฝืนหยัดยืนให้มั่นคงแล้วรีบเดินไปทางห้องพักของตัวเอง

กระทั่งเข้าไปในห้อง ร่างกายก็รักษาสมดุลไม่อยู่แล้ว เดินชนสะเปะสะปะอยู่ในห้อง ไม่ง่ายเลยว่าจะคลำเจอลิ้นชักแล้วดึงออกมา ค้นหาจนพบยาเม็ดนั้น

ขณะที่กำลังจะบีบขี้ผึ้งหุ้มให้ปริแตก จู่ๆ เขาก็ชกหัวตัวเองเข้าเต็มแรงจนเกิดเสียงดัง ผัวะ! จากนั้นโยนยาใส่ลิ้นชักอีกครั้ง กระแทกลิ้นชักปิดเสียงดังปัง ซวนเซถอยหลังไปพิงผนังห้อง สูดหายใจหอบถี่รุนแรง

ของจากหอจันทร์กระจ่างจะกินเข้าไปได้หรือ? เขาไม่เชื่อว่าหอจันทร์กระจ่างจะใจดีถึงขนาดที่ยอมช่วยล้างพิษให้เขาโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ยานี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่!

แต่ความรู้สึกทุกข์ทรมานที่ตามมากลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกเหมือนจะดับดิ้นไปในในชั่วพริบตา

สองมือเขากำแน่น ตัวคนไถลจากผนังลงไปนั่งกองอยู่บนพื้น เอนล้มลงไปขดกายคุดคู้ จากนั้นเหยียดออก พยายามควบคุมไม่ให้ตนกลิ้งเกลือกไปมาอย่างสุดกำลัง พยายามอดกลั้นไม่ให้ตนเปล่งเสียงครวญครางด้วยความทรมาน แต่ร่างกายกลับสั่นสะท้าน เหงื่อค่อยๆ ผุดซึมออกมาดั่งสายฝนชโลม สองแก้มและขอบตาค่อนข้างเขียวคล้ำแล้ว

ฝืนทนอยู่สักพักก็ดูเหมือนจะทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาคืบคลานไปกับพื้น คลานไปถึงหน้าตู้ใบนั้นอีกครั้ง ยื่นมือออกไปเพื่อคว้าหูลิ้นชัก

แต่ก็เอื้อมไม่ถึง คว้าไม่ได้ จึงเอื้อมมือไปจับตู้แล้วออกแรงพยุงตัวขึ้นจากพื้น ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงลิ้นชักนั้น ยื่นมือเข้าไปควานหาในลิ้นชักอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดมือที่สั่นเทาก็ควานพบยาหุ้มขี้ผึ้งเม็ดนั้น

ขณะที่กำลังจะหยิบยาออกมาจากลิ้นชัก จู่ๆ ก็ปล่อยมือจนยาร่วงกลับไปอีกครั้ง จากนั้นกระแทกปิดลิ้นชักอีกครั้งดังปัง!

เสี้ยวสติอันริบหรี่บอกเขาว่าจะกินของที่หอจันทร์กระจ่างมอบให้เขาไม่ได้!

อันที่จริงอาการพิษกำเริบของเขามันก็ไม่ค่อยชอบมาพากลจริงๆ ตามปกติแล้วเมื่อได้รับพิษจากโอสถเทพระทมเข้าไป พิษจะกำเริบทุกสามเดือน แต่อาการพิษกำเริบครั้งนี้ของเขากลับห่างจากครั้งก่อนเพียงสองเดือนเท่านั้น

“อึก…อ๊าก…” เมื่อกระแทกลิ้นชักกลับเข้าไป เขาก็ใช้สองมือยันตู้ไว้พลางเชิดหน้าส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดทรมานออกมา เส้นเลือดบนลำคอปูดโปนเต้นตุบๆ เจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยวแหยเกไปหมด นั่นเป็นความทุกข์ทรมานที่ราวกับจะฉีกทึ้งวิญญาณให้ขาดออกจากกัน เป็นความทรมานที่คนอื่นไม่มีทางจินตนาการได้

สองมือของเขายันตู้เอาไว้ ค่อยๆ ย่อตัวลงไปด้วยร่างกายที่สั่นระริก ย่อจนอยู่ในท่านั่งม้า สั่นสะท้านคล้ายจะล้มทรุดลงไปได้ทุกเมื่อ

เขาจำได้ว่าทุกครั้งที่ฝึกปราณเสริมแกร่ง จะเป็นช่วงเวลาที่ต่อให้ถูกทุบตีก็ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงใดๆ

ความเจ็บปวดที่เขาเผชิญอยู่ในขณะนี้ไม่มีทางออกอื่นแล้ว หาวิธีอื่นมาแก้ไขคลี่คลายไม่ได้ ทำได้เพียงลองใช้วิธีนี้ดู!

เริ่มจากปรับลมหายใจ แม้แต่เสียงลมหายใจก็สั่นพร่าขาดห้วงเป็นพักๆ ความเจ็บปวดทำให้เขายากจะกำหนดลมหายใจให้เป็นไปตามจังหวะที่ตนต้องการได้

โชคดีที่ปราณเสริมแกร่งที่เขาฝึกปรือมาเป็นเวลานานมิได้ฝึกไปเสียเปล่า มีเสี้ยวสติที่สามารถลมหายใจได้เล็กน้อย ชักนำสัญชาตญาณในการโคจรพลังภายในร่างออกมา ช่วยปรับจังหวะลมหายใจของเขาไปอย่างช้าๆ

เมื่อความสามารถในการปรับการทำงานของร่างกายเริ่มทำงาน หยวนกังนึกสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าตนคิดไปเองหรือเปล่า รู้สึกราวกับได้รับยาแก้ปวดทรงประสิทธิภาพ ในวินาทีนี้เอง ความเจ็บปวดพลันถดถอยไปราวกับกระแสน้ำในชั่วพริบตา คล้ายว่าจู่ๆ ก็มีน้ำกะละมังหนึ่งสาดลงบนเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ ทำให้ไฟมอดดับไปในทันที เหลือเพียงไออุ่นและควันที่ลอยโชยเล็กน้อยทำ ทำให้ไม่สามารถดึงสติกลับมาจากความเจ็บปวดได้ในทันที

การปรับสมดุลของร่างกายค่อยๆ ปรับเปลี่ยนท่าม้านั่งของเขาให้อยู่ในท่าที่ถูกต้องตรงตามมาตรฐานที่ฝึกฝนอยู่เป็นประจำ สองมือที่ยันตู้เอาไว้กำเข้าหากันเป็นกำปั้น ค่อยๆ ชักกลับมาแนบอยู่ข้างลำตัว

“ฟู่…ฟู่…”

เสียงลมหายใจค่อยๆ ดังคล้ายเสียงเครื่องสูบลม เริ่มมีไอหมอกขาวผุดออกมาจากโพรงจมูก ก่อนจะถูกสูดกลับเข้าไปทางปากของเขาอีกครั้ง

วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้จนหน้าท้องเริ่มปูดนูนขึ้นเป็นทรงครึ่งวงกลม ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นๆ ลงๆ ในช่วงท้องตามจังหวะการหายใจของเขา เคลื่อนที่ขึ้นลงซ้ำไปซ้ำมา

หมอกสีขาวถูกพ่นออกมาทางจมูกแล้วสูดกลับเข้าไปทางปาก เสียงคล้ายเครื่องสูบลม หน้าท้องก็มีลูกกลมๆ เคลื่อนที่ขึ้นลง ภาพเหตุการณ์นี้ช่างแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก

สิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ บนตำแหน่งจุดลมปราณทั่วทั้งร่างกายของเขามีลมหมุนขนาดเล็กปรากฏขึ้นมา ตัวคนเสมือนนั่งย่อตัวอยู่ในกระแสลม ราวกับมีบางสิ่งทะลักออกมาจากภายในร่างกายของเขา แล้วก็คล้ายมีอะไรบางอย่างพยายามมุดเข้าสู้ร่างกายเขาอย่างรวดเร็วเช่นกัน

หากว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรใช้เนตรทิพย์มองดูก็จะรู้ได้ในทันทีว่าสิ่งที่กำลังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายเขาอย่างรวดเร็วก็คือไอวิญญาณฟ้าดิน!

เริ่มมีโลหิตผุดซึมออกมาตามรูขุมขนทั่วร่างเขา หลังจากผุดซึมออกมาได้ไม่นาน สีสันของโลหิตก็เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นสีน้ำเงิน

โลหิตสีน้ำเงินผุดซึมออกมาตามรูขุมขมเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน ด้วยเหตุนี้ผิวกายของหยวนกังจึงดูราวกับค่อยๆ ถูกปกคลุมด้วยน้ำยาเคลือบสีน้ำเงิน ด้วยกระแสหมุนวนของลมปราณทำให้น้ำยาเคลือบสีน้ำเงินกลายเป็นลายวนก้นหอยวงแล้ววงเล่า หมุนวนชนกัน

อีกทั้งเมื่อคราบโลหิตสีน้ำเงินนี้ผุดขึ้นมา ภายในห้องก็มีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งขึ้นมา!

ครึ่งชั่วยามผ่านไป ไอหมอกขาวจากการสูดหายใจของหยวนกังค่อยๆ เลือนรางจางหายไป เสียงหายใจดังฟู่ๆ ก็ค่อยๆ เบาลงเช่นกัน ลูกกลมๆ ที่เคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าท้องก็ค่อยๆ จมหายลงไป

หยวนกังพรูลมหายใจออกพลางลืมตาขึ้น เก็บท่าม้านั่งแล้วค่อยๆ ยืดตัวยืนตรง

ความเจ็บปวดทรมานหายไปแล้ว กลับรู้สึกปลอดโปร่งไปทั้งตัวเสียด้วยซ้ำ

เขายกสองมือขึ้นมา จากนั้นมองสำรวจร่างกายตนที่มีคราบเหนียวสีน้ำเงินเปกคลุมอยู่

เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นในการฝึกลมปราณครั้งก่อนๆ ของเขาเลย

เขาดึงลิ้นชักออกมา มองเม็ดยาที่อยู่ด้านใน ปิดลิ้นชักกลับเข้าที่แล้วมองสำรวจร่างกายตนอีกครั้ง

เขาหันหลังเดินไปหยุดอยู่หน้าคันฉ่องสัมฤทธิ์บานหนึ่ง มองใบหน้าที่ปราฏในคันฉ่องเล็กน้อย จากนั้นหันหลังแล้วเหลียวกลับมามองเงาด้านหลังของตนที่สะท้อนอยู่

คราบเหนียวสีน้ำเงินบนร่างเขากลายเป็นลวดลายแปลกพิสดารมากมาย ดูคล้ายหมุนวนอย่างมีกฎเกณฑ์ แต่ก็คล้ายไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเช่นกัน เสมือนมีลาดลายใบหน้าภูตผีนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ทั่วร่าง ทำให้สภาพของตัวเขาดูน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง เมื่อประกอบเข้ากับร่างกายอันกำยำของเขาแล้ว ทำให้ดูเหมือนกับจอมมารที่ก้าวออกมาจากขุมนรก!

เมื่อครู่เขาไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ จึงไม่ทราบเช่นกันว่าลวดลายที่ดูน่าพรั่นพรึงเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร

หลังผ่านไปได้ครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นผิดปกติภายในห้อง บางทีอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้รู้สึกชินแล้ว แต่พอตอนนี้พอลองสูดจมูกดมดูอีกครั้ง เขาก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ กลิ่นซากศพ!

เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในสุสานใต้ดินมาเป็นเวลานาน คุ้นเคยกับกลิ่นซากศพเป็นอย่างดี ไม่ผิดแน่ กลิ่นที่อบอวลอยู่ภายในห้อง รวมถึงกลิ่นที่โชยออกมาจากร่างตนคือกลิ่นซากศพ

เขาเปิดประตูเดินออกไปทันที เตรียมจะไปอาบน้ำชำระร่างกาย

ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะพิษออกฤทธิ์ จึงทำให้สูญเสียพละกำลังไปมหาศาลหรือไม่ ยามที่เดินเหินถึงรู้สึกว่าเบาหวิวล่องลอย

แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าแต่อย่างใด ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึกสบายปลอดโปร่งทั้งกายใจ ยามเดินเหินก็รู้สึกว่าน้ำหนักตัวเบาขึ้น

ความรู้สึกปลอดโปร่งในร่างกายเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ แต่เสมือนถูกขุดลอกทำความสะอาดภายในร่างกายไปไม่มีผิด

ความรู้สึกที่เหมือนร่างกายจะเบาหวิวเช่นนี้ทำให้เขาไม่ค่อยคุ้นชิน เมื่อร่างกายเบาหวิวทำให้รู้สึกเหมือนสูญเสียพละกำลังไป ยามที่เดินออกมาถึงใต้ชายคา เขาจึงลองเกร็งหน้าท้อง พอกล้ามเนื้อเกร็งขึ้นมา เขาก็กำสองมือแน่นพลางเบ่งกล้ามแขนในทันใด รวบรวมพละกำลังในร่างเพื่อทดสอบดู

ในชั่วพริบตานั้น เขารู้สึกเหมือนว่ามีกระแสไฟฟ้าแผ่ออกมาจากแกนกลางลำตัว ก่อนจะกระจายไปตามแขนขาและทั่วร่างกาย

เกิดเสียงแตกตัวดังปัง! คราบเหนียวสีน้ำเงินที่ห่อหุ้มอยู่ทั่วร่างระเบิดกระเด็นออกไปในชั่วพริบตา แม้แต่กางเกงท่อนล่างก็ขาดกระจุยปลิดปลิวออกไปทันที

ร่างกายเปลือยเปล่าล่อนจ้อนยืนอยู่บนขั้นบันได สองแขนชูเบ่งกล้าม มัดกล้ามที่ปูดนูนออกมาจากร่างทำให้คนที่พบเห็นตื่นตะลึงขวัญผวาได้ ข้อต่อทั่วร่างลั่นดังแกรกกรากราวกับเสียงคั่วถั่ว

………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด