ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 15 มีคนวางยาพิษ

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 15 มีคนวางยาพิษ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“กลับคำพูดงั้นหรือ?” ถังซู่ซู่กล่าวตำหนิ “เจ้าคุยกับผู้อาวุโสของสำนักเช่นนี้หรือ?”

ซ่งเหยี่ยนชิงคล้ายระงับความโกรธเอาไว้ไม่ได้ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ศิษย์ไม่เข้าใจ!” ว่าจบก็คุกเข่าลงดังตุบ โขกศีรษะอ้อนวอน “ศิษย์ชอบพอศิษย์พี่หญิงถังจริงๆ หากผันใจแม้เพียงนิด ขอให้ฟ้าผ่าตาย ขอผู้อาวุโสโปรดส่งเสริมศิษย์ด้วย!”

ถังซู่ซู่ปล่อยให้เขาโขกศีรษะอยู่หลายครั้ง ก่อนจะก้มมองพลางกล่าวว่า “ส่งเสริมเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่เจ้ายินดีขึ้นเป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือไม่? ขอเพียงเจ้าตอบตกลงรับตำแหน่งเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณถึงหนิวโหย่วเต้าอีก ข้าจะให้ถังอี๋ออกเรือนกับเจ้าทันที ว่าอย่างไรเล่า?”

“นี่…” ซ่งเหยี่ยนชิงเงยหน้าขึ้นมา มุมปากกระตุกนิดๆ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยมีความคิดเช่นนี้ แต่ท่านพ่อที่อยู่ทางเมืองหลวงเคยกำชับเขาไว้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีสายสัมพันธ์อันคลุมเครือกับหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว และนั่นจะทำให้องค์ฝ่าบาททรงหวาดระแวงได้ง่าย ตระกูลซ่งมีฐานะสูงส่ง ไม่อาจรับตำแหน่งนี้ไว้ได้

เรื่องไหนหนักเรื่องไหนเบาเขาไม่ถึงขั้นที่จะแยกแยะไม่ออก อีกอย่าง ด้วยภูมิหลังครอบครัวของเขา เขาไม่มีความจำเป็นต้องรับตำแหน่งนี้เอาไว้ เหตุใดเขาต้องเปลืองแรงหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวด้วย

“ความสามารถศิษย์มีจำกัด แบกรับตำแหน่งสำคัญเช่นนี้ไม่ไหวขอรับ” ซ่งเหยี่ยนชิงก้มหน้าตอบเสียงอ่อย

ถังซู่ซู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ลองไปกล่าวโน้มน้าวบิดาเจ้าดูสิ ขอเพียงบิดาเจ้ายอมรับตำแหน่งเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ข้าก็จะยกถังอี๋ให้เจ้าเช่นกัน”

“เรื่องของท่านพ่อ บุตรอย่างข้าไหนเลยจะตัดสินใจได้ขอรับ” ซ่งเหยี่ยนชิงตอบด้วยความห่อเหี่ยว เขารับตำแหน่งเจ้าสำนักไว้ไม่ได้ ท่านพ่อของเขายิ่งไม่อาจแตะต้องตำแหน่งนี้ได้ เหตุผลข้อนี้เขาไหนเลยจะไม่กระจ่าง

แววตาถังซู่ซู่สาดประกายออกมา “เอาเถอะ เรื่องแบบนี้ไม่ควรบังคับฝืนใจพวกเจ้าพ่อลูก ข้าขอถามเจ้าอีกอย่างแล้วกัน เจ้าอยากให้ถังอี๋ได้เป็นเจ้าสำนักหรือไม่?”

ซ่งเหยี่ยนชิงเงยหน้าขึ้นทันที เอ่ยด้วยสายตาละห้อย “แน่นอนขอรับ ศิษย์ย่อมอยากให้ศิษย์พี่หญิงได้เป็นเจ้าสำนัก หากศิษย์พี่หญิงเป็นเจ้าสำนัก ศิษย์จะมีความสุขอย่างยิ่งขอรับ”

ถังซู่ซู่ลอบด่าในใจว่าไอ้โง่ พวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ยอมแตะตำแหน่งนี้ แล้วตระกูลซ่งจะยอมให้เจ้าแต่งกับเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างนั้นหรือ? ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะให้ถังอี๋รับตำแหน่งเจ้าสำนัก เจ้าก็ถูกกำหนดให้ไร้วาสนากับถังอี๋แล้ว!

แต่นางยังคงถามต่อไปด้วยความอดทน “ก่อนสิ้นใจเจ้าสำนักถังมู่กำหนดให้ตงกัวเฮ่าหรานเป็นผู้สืบทอด ยามนี้ตงกัวเฮ่าหรานก็สิ้นบุญเช่นกัน ตามกฎของสำนัก ผู้ใดสมควรจะได้รับตำแหน่งเจ้าสำนักเล่า?”

“นี่…” ซ่งเหยี่ยนชิงลังเลอยู่สักพัก จากนั้นเอ่ยชื่อหนึ่งออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก “หนิวโหย่วเต้าขอรับ!” จากนั้นก็ชี้แจงเสริมว่า “แต่หนิวโหย่วเต้าเป็นฝ่ายถอนตัวจากตำแหน่งเจ้าสำนักด้วยตัวเองแล้วนะขอรับ!”

ถังซู่ซู่กล่าวยาวเหยียด “เขาถอนตัวอย่างไร คิดว่าข้าคงไม่ต้องพูดมากอีก ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ ที่ทุกคนไม่พูดอะไรเป็นเพราะทราบดีว่าเขาไม่เหมาะจะแบกรับตำแหน่งเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังมีผู้ใดที่มีบารมีมากพอจะมาดูแลสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีกเล่า? ทุกคนเห็นดีเห็นชอบกับภูมิหลังของพวกเจ้าพ่อลูก หวังว่าพวกเจ้าพ่อลูกจะออกหน้านำพาสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หวนคืนสู่ความรุ่งเรืองได้ แต่เนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเจ้าพ่อลูกต่างไม่ยินดีรับหน้าที่นี้ จริงอยู่ที่พวกเราสามผู้อาวุโสมีบารมีมากพอจะรับตำแหน่งนี้ แต่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีกฎถ่วงสมดุลผู้อาวุโสอย่างพวกเราไว้ เมื่อออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสแล้วไม่อาจรับตำแหน่งเจ้าสำนักได้อีก เดิมทีเว่ยตัวคือผู้ที่เหมาะสมที่สุด แต่จนปัญญาที่ติดอ่าง หากขึ้นเป็นเจ้าสำนักคงทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของข้าหาคนไม่ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือเว่ยตัวดื้อรั้น ยึดติดกับคำสั่งเสียก่อนสิ้นใจของเจ้าสำนักถังมู่ โวยวายว่าถ้าแหกกฎจะเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ เอาแต่พูดพล่ามอยู่อย่างนั้น ทำได้เพียงลงโทษให้เขาไปหันหน้าเข้ากำแพงคิดทบทวนที่หลังหุบเขา! ส่วนคนอื่นๆ น่ะหรือ? หลังจากที่หนิวโหย่วเต้าสละสิทธิ์ไปเช่นนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ยินดีออกหน้าแบกรับตำแหน่งที่เป็นเหมือนเผือกร้อนนี้เอาไว้ แต่ละคนล้วนฉลาดพอที่จะเอาตัวรอด!”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ หากว่ากันตามแก่นแท้ของปัญหาแล้ว นี่เป็นเพราะสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในเวลานี้ตกอับแล้ว อีกทั้งยังอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม อนาคตรายล้อมด้วยภยันอันตราย การเป็นผู้นำนั้นไม่ง่าย หากยังอยู่ในยุครุ่งโรจน์ เกรงว่าคงมีคนออกหน้าเสนอตัวแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักมากมายก่ายกอง

ซ่งเหยี่ยนชิงเอ่ยว่า “ดังนั้นศิษย์จึงคิดว่าศิษย์พี่ถังเหมาะสมที่สุดขอรับ!”

ถังซู่ซู่ตอบอืมคราหนึ่ง “ถังอี๋เป็นบุตรสาวเจ้าสำนัก ในยามคับขันเช่นนี้ หากนางไม่ก้าวออกมาแบกรับไว้แล้วผู้ใดจะออกมากันเล่า?แต่ตำแหน่งนี้ได้มาอย่างไร ศิษย์สายในทั้งบนล่างต่างรู้ดีแก่ใจ แล้วนางจะทำให้ทุกคนยอมรับได้อย่างไร? แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าถังอี๋มิได้ทำไปเพราะประโยชน์ส่วนตน? ถ้านางจะแบกรับภาระนี้ย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย เจ้าคิดว่านางยินดีแต่งกับหนิวโหย่วเต้าหรือ? หากนางอยากนั่งในตำแหน่งนี้ก็จำเป็นต้องมอบของชดเชยให้แก่หนิวโหย่วเต้า ซึ่งการที่นางยอมเสียสละตัวเองก็เพื่อมอบคำอธิบายให้แก่ทั้งในและนอกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างไรล่ะ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

ว่าจบก็ล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ โยนลงตรงหน้าซ่งเหยี่ยนชิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “นี่คือจดหมายที่บิดาเจ้าเพิ่งส่งมาจากทางเมืองหลวง เจ้าอ่านเอาเองเถอะ”

แม้ว่าซ่งซูจะเป็นศิษย์ของนาง แต่เรื่องราวบางเรื่องในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังคงต้องติดต่อขอความเห็นจากซ่งซูอยู่ เพราะมันเกี่ยวพันถึงแรงสนับสนุนที่ตระกูลซ่งมีต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ จึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ส่วนคำตอบของซ่งซูคือเห็นด้วยกับการให้ถังอี๋รับตำแหน่งเจ้าสำนัก

ซ่งเหยี่ยนชิงหยิบจดหมายมาเปิดอ่าน สีหน้าพลันขมขื่นระทม ท่านพ่อซ่งซูกำชับเขาอย่างเด็ดขาดว่าอย่าคิดฟุ้งซ่าน ให้เขาเชื่อฟังการอบรมสั่งสอนของถังซู่ซู่ มิเช่นนั้นจะลงโทษอย่างหนัก

เมื่ออ่านจดหมายฉบับนี้ ซ่งเหยี่ยนชิงนั่งแข็งทื่ออยู่บนพื้น หม่นหมองโศกสลด หัวใจหลั่งโลหิต…

……

เมื่อไล่ซ่งเหยี่ยนชิงไปแล้ว ถังซู่ซู่ก็เดินไปที่สวนด้านหลัง มองเห็นหลัวหยวนกงและซูพั่วนั่งเดินหมากกันอยู่ในศาลา

เมื่อเห็นนางมา ทั้งสองหยุดมือพร้อมกัน หลัวหยวนกงมองนางพลางถาม “ปลอบใจเรียบร้อยแล้วหรือ?”

ถังซู่ซู่มองกวาดตามองผลแพ้ชนะบนกระดานหมาก กล่าวว่า “เพิ่งไล่ซ่งเหยี่ยนชิงไป ขอเพียงทางซ่งซูไม่ว่าอะไรก็เท่ากับเป็นการบอกถึงท่าทีของตระกูลซ่งแล้ว ทุกอย่างล้วนจัดการได้ ปัญหาในตอนนี้คือซ่งเหยี่ยนชิงสะเทือนใจอย่างมาก หากต้องเสียถังอี๋ให้แก่หนิวโหย่วเต้าเขาคงทนไม่ไหว เจ้าหนุ่มผู้ดีคนนี้คงไม่กล้าลงมือในที่แจ้ง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะแอบทำอะไรกับหนิวโหย่วเต้าในที่ลับหรือไม่ เอาเป็นว่าเรื่องนี้กำลังจะได้ข้อสรุปแล้ว จะปล่อยให้เกิดเรื่องกับหนิวโหย่วเต้าตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นจริงๆ ไม่ว่าพวกเราคนไหนก็ไม่มีทางมอบคำอธิบายให้แก่ศิษย์ทั้งบนและล่างได้ เมื่อถึงเวลาที่ถังอี๋รับตำแหน่ง ต่อให้มีร้อยปากก็แก้ตัวได้ไม่กระจ่างแล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือของนาง จากนั้นก็จะมีปัญหาตามมาไม่สิ้นสุด ศิษย์พี่ซู เรื่องนี้ยังคงต้องรบกวนท่านจัดหาคนที่ไว้ใจได้ไปดูแล ไม่อาจปล่อยให้ซ่งเหยี่ยนชิงรับผิดชอบทางสวนดอกท้อต่อไปได้!”

“อืม!” หลัวหยวนกงก็พยักหน้าไปทางซูพั่วเพื่อสื่อว่าเห็นด้วย

ซูพั่วไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินจากไป

ถังซู่ซู่เหม่อมองออกไป แววตาหนักแน่นเด็ดเดี่ยว เพื่อช่วยเก็บกวาดอุปสรรคขวากหนามที่ขัดขวางการขึ้นรับตำแหน่งของถังอี๋แล้ว นางเรียกได้ว่าทุ่มเทลำบากลำบนอย่างมาก สามีของนางสละชีพเพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ บุตรชายนางก็พลีชีพเพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ตอนนี้แม้แต่หลานชายของนางก็สิ้นชีพเพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เช่นกัน ครอบครัวนางทุ่มเทเพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปมากต่อมากเหลือเกิน นางต้องปกป้องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่เปรียบเสมือนกิจการของครอบครัวไว้….

………

“ข้าคือถูฮั่น! นับแต่วันนี้ไป อาหารการกินของเจ้าจะอยู่ในความดูแลของข้า”

ณ สวนดอกท้อ เฉินกุยซั่วและสวี่อี่เทียนไม่อยู่แล้ว ชายตาเดียวร่างกำยำถือไม้เท้าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหนิวโหย่วเต้าพลางกล่าวแนะนำตัวเอง น้ำเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำ คล้ายว่าลำคอจะเสียหายเช่นกัน เมื่อมองให้ดีจะพบว่าบนลำคอมีรอยแผลที่เกิดจากคมมีด คล้ายว่าเส้นเสียงถูกทำลาย

หนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะพินิจดูชายขาพิการที่ถือไม้เท้าคนนี้ ผิวพรรณดำคล้ำ ไว้หนวดเครา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบนใบหน้ามีรอยบากพาดผ่านดวงตาข้างหนึ่งหรือเปล่า หน้าตาจึงดูค่อนข้างดุร้าย เป็นหน้าตาประเภทที่ว่าเดินไปไหนก็ทำให้เด็กตกใจจนร้องไห้ได้

“รบกวนแล้ว!” หนิวโหย่วเต้ารับกล่องสำรับจากมืออีกฝ่ายด้วยความสุภาพเกรงใจ

ถูฮั่นกล่าวถามอีกครั้ง “ยังมีเรื่องใดอีกหรือไม่”

หนิวโหย่วเต้าจึงลองถามดู “เหตุใดจึงเปลี่ยนคนล่ะขอรับ” เขากำลังกังวลว่าซ่งเหยี่ยนชิงจะประสงค์ร้ายต่อตน การที่เวลานี้เปลี่ยนคนเฝ้า นี่เป็นความประสงค์ของซ่งเหยี่ยนชิงหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่?

เมื่อถามเรื่องนี้ ถูฮั่นกลับไม่พูดอะไรอีก หันหลังยันไม้เท้าจากไป

หนิวโหย่วเต้าหมดคำพูด ดูเหมือนจะเจอคนที่ไม่เต็มใจจะพูดกับตนอีกคนแล้ว

หลายวันต่อมา สวนดอกท้อเริ่มแขวนโคมห้อยพู่ประดับ ศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลุ่มหนึ่งยุ่งวุ่นวายอยู่ทั้งนอกและในสวนดอกท้อ เตรียมการสำหรับงานวิวาห์ที่จะมีขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า

ซ่งเหยี่ยนชิงที่ยืนมองอยู่บนหน้าผาอีกฝั่งหนึ่งกำลังถูกไฟริษยาแผดเผา เขาคอยเฝ้าอยู่ในถิ่นกันดารแห่งนี้มานานหลายปีก็เพื่อถังอี๋ เห็นๆ อยู่ว่าเนื้อกำลังจะเข้าปากแล้ว ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าจู่ๆ จะมีคนสอดมือมาคว้าไปเสียได้ หากเป็นทายาทตระกูลที่มีชื่อเสียงก็ยังพอยอมรับได้ แต่นี่อีกฝ่ายกลับเป็นแค่เด็กบ้านนอกคอกนาคนหนึ่ง แล้วจะให้เขาทนไหวได้อย่างไร

แล้วเดี๋ยวยังต้องทนมองดูพวกเขาเข้าพิธีวิวาห์ด้วยกันเนี่ยนะ? ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งกล้ำกลืนความโกรธนี้ไว้ไม่อยู่ สุดท้ายก็หันหลังเดินลงเขาไป

ทางสำนักมีการกำหนดช่วงเวลาในการจัดส่งสำรับอาหารไปยังสวนดอกท้อเอาไว้ ศิษย์คนหนึ่งเพิ่งหิ้วกล่องสำรับเดินข้ามสะพานไม้มาก็ถูกสวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่วเดินออกมาขวางไว้

“ศิษย์พี่ทั้งสอง เบื้องบนสั่งการมา เรื่องจัดส่งข้าวปลาไม่ต้องรบกวนทั้งสองท่านแล้ว” ศิษย์คนนั้นเอ่ยด้วยความสุภาพ แต่ก่อนสองคนนี้สลับเวรกันไปส่งอาหารที่สวนดอกท้อมานาน เขาจึงเข้าใจผิดอยู่บ้าง

ซ่งเหยี่ยนชิงเดินอ้อมออกมาจากด้านหลังโขดหิน เดินมาหาเขาพลางยื่นมือออกมา กล่าวว่า “ส่งมา ข้าจะตรวจสอบดูสักหน่อย”

“นี่…” ศิษย์คนนั้นลำบากใจอยู่บ้าง

ซ่งเหยี่ยนชิงยื่นมือฉวยกล่องสำรับไปทันที ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่ด้านหลังโขดหิน

“ศิษย์พี่ซ่ง…” ศิษย์คนนั้นรีบตามไปอย่างค่อนข้างร้อนรน ทว่าถูกสวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่วเอาตัวเข้าขวางไว้พร้อมกัน เขาลังเลอยากพูดอะไร แต่ก็ไม่กล้าล่วงเกินซ่งเหยี่ยนชิง ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีผู้ใดบ้างที่ไม่ทราบถึงภูมิหลังของซ่งเหยี่ยนชิง แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ยังต้องเกรงใจ เขาไหนเลยจะกล้าทำให้อีกฝ่ายโมโหได้

แต่โชคดีที่ซ่งเหยี่ยนชิงคล้ายจะตรวจดูส่งๆ เพียงเล็กน้อย ไม่นานก็ก้าวออกมาจากหลังโขดหินอีกครั้ง ก่อนจะยื่นกล่องสำรับคืนให้ จากนั้นโบกมือไล่แล้วเอ่ยว่า “ตรวจแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร เอาไปส่งเถอะ!”

ศิษย์คนนั้นได้แต่หิ้วกล่องสำรับจากไปตามที่อีกฝ่ายว่า

แต่ว่าเขาก็ยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจอยู่ดี หลังเดินออกมาไกลก็หาจุดปลอดคน เปิดกล่องสำรับตรวจดู เมื่อเห็นว่าอาหารด้านในอยู่ครบถ้วนดี คล้ายไม่เคยถูกขยับโยกย้าย จึงได้รู้สึกโล่งใจ

ศิษย์คนนั้นเดินมาจนถึงช่วงไหล่เขาที่อยู่ด้านล่างสวนดอกท้อ จุดนั้นมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ถูฮั่นพำนักอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว หลังจากส่งกล่องสำรับให้ถูฮั่น ศิษย์คนนั้นก็กลับไป

ถูฮั่นเปิดกล่องสำรับ ล้วงปิ่นเงินเล่มหนึ่งออกมา จุ่มลงไปแตะผงสีขาวในขวดกระเบื้องเคลือบใบหนึ่ง ก่อนจะจิ้มลงไปในอาหารเพื่อทำการตรวจสอบทีละอย่างๆ ผลคือเมื่อชักปิ่นเงินออก บริเวณที่เคยสัมผัสอาหารก็กลายเป็นสีดำในทันที

มีคนวางยาพิษ! สีหน้าถูฮั่นแปรเปลี่ยน ใบหน้าที่เดิมทีค่อนข้างโหดเหี้ยมอยู่แล้วยิ่งดูโหดเหี้ยมมากกว่าเดิม เขาพุ่งทะยานออกไปนอกถ้ำ กระโดดพลิกกายลงมาจากหน้าผาที่สูงเกือบยี่สิบจั้ง ขวางกั้นเส้นทางลงเขาเอาไว้ หยุดอยู่ตรงหน้าศิษย์ที่ส่งสำรับคนนั้นพอดี มือข้างหนึ่งพลันคว้าคอเสื้อเขา เอ่ยเสี่ยงคร่ำเคร่งว่า “ระหว่างทางที่มาส่งสำรับมีอะไรผิดปกติหรือไม่?”

ศิษย์คนนั้นตกใจ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อถูกเขาจี้ถามซ้ำไปซ้ำมา เลยจำเป็นต้องเล่าเรื่องที่พบซ่งเหยี่ยนชิงระหว่างทางออกมา

“ไปกับข้า!” ถูฮั่นลากตัวเขาไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 15 มีคนวางยาพิษ

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 15 มีคนวางยาพิษ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“กลับคำพูดงั้นหรือ?” ถังซู่ซู่กล่าวตำหนิ “เจ้าคุยกับผู้อาวุโสของสำนักเช่นนี้หรือ?”

ซ่งเหยี่ยนชิงคล้ายระงับความโกรธเอาไว้ไม่ได้ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ศิษย์ไม่เข้าใจ!” ว่าจบก็คุกเข่าลงดังตุบ โขกศีรษะอ้อนวอน “ศิษย์ชอบพอศิษย์พี่หญิงถังจริงๆ หากผันใจแม้เพียงนิด ขอให้ฟ้าผ่าตาย ขอผู้อาวุโสโปรดส่งเสริมศิษย์ด้วย!”

ถังซู่ซู่ปล่อยให้เขาโขกศีรษะอยู่หลายครั้ง ก่อนจะก้มมองพลางกล่าวว่า “ส่งเสริมเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่เจ้ายินดีขึ้นเป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือไม่? ขอเพียงเจ้าตอบตกลงรับตำแหน่งเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณถึงหนิวโหย่วเต้าอีก ข้าจะให้ถังอี๋ออกเรือนกับเจ้าทันที ว่าอย่างไรเล่า?”

“นี่…” ซ่งเหยี่ยนชิงเงยหน้าขึ้นมา มุมปากกระตุกนิดๆ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยมีความคิดเช่นนี้ แต่ท่านพ่อที่อยู่ทางเมืองหลวงเคยกำชับเขาไว้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีสายสัมพันธ์อันคลุมเครือกับหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว และนั่นจะทำให้องค์ฝ่าบาททรงหวาดระแวงได้ง่าย ตระกูลซ่งมีฐานะสูงส่ง ไม่อาจรับตำแหน่งนี้ไว้ได้

เรื่องไหนหนักเรื่องไหนเบาเขาไม่ถึงขั้นที่จะแยกแยะไม่ออก อีกอย่าง ด้วยภูมิหลังครอบครัวของเขา เขาไม่มีความจำเป็นต้องรับตำแหน่งนี้เอาไว้ เหตุใดเขาต้องเปลืองแรงหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวด้วย

“ความสามารถศิษย์มีจำกัด แบกรับตำแหน่งสำคัญเช่นนี้ไม่ไหวขอรับ” ซ่งเหยี่ยนชิงก้มหน้าตอบเสียงอ่อย

ถังซู่ซู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ลองไปกล่าวโน้มน้าวบิดาเจ้าดูสิ ขอเพียงบิดาเจ้ายอมรับตำแหน่งเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ข้าก็จะยกถังอี๋ให้เจ้าเช่นกัน”

“เรื่องของท่านพ่อ บุตรอย่างข้าไหนเลยจะตัดสินใจได้ขอรับ” ซ่งเหยี่ยนชิงตอบด้วยความห่อเหี่ยว เขารับตำแหน่งเจ้าสำนักไว้ไม่ได้ ท่านพ่อของเขายิ่งไม่อาจแตะต้องตำแหน่งนี้ได้ เหตุผลข้อนี้เขาไหนเลยจะไม่กระจ่าง

แววตาถังซู่ซู่สาดประกายออกมา “เอาเถอะ เรื่องแบบนี้ไม่ควรบังคับฝืนใจพวกเจ้าพ่อลูก ข้าขอถามเจ้าอีกอย่างแล้วกัน เจ้าอยากให้ถังอี๋ได้เป็นเจ้าสำนักหรือไม่?”

ซ่งเหยี่ยนชิงเงยหน้าขึ้นทันที เอ่ยด้วยสายตาละห้อย “แน่นอนขอรับ ศิษย์ย่อมอยากให้ศิษย์พี่หญิงได้เป็นเจ้าสำนัก หากศิษย์พี่หญิงเป็นเจ้าสำนัก ศิษย์จะมีความสุขอย่างยิ่งขอรับ”

ถังซู่ซู่ลอบด่าในใจว่าไอ้โง่ พวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ยอมแตะตำแหน่งนี้ แล้วตระกูลซ่งจะยอมให้เจ้าแต่งกับเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างนั้นหรือ? ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะให้ถังอี๋รับตำแหน่งเจ้าสำนัก เจ้าก็ถูกกำหนดให้ไร้วาสนากับถังอี๋แล้ว!

แต่นางยังคงถามต่อไปด้วยความอดทน “ก่อนสิ้นใจเจ้าสำนักถังมู่กำหนดให้ตงกัวเฮ่าหรานเป็นผู้สืบทอด ยามนี้ตงกัวเฮ่าหรานก็สิ้นบุญเช่นกัน ตามกฎของสำนัก ผู้ใดสมควรจะได้รับตำแหน่งเจ้าสำนักเล่า?”

“นี่…” ซ่งเหยี่ยนชิงลังเลอยู่สักพัก จากนั้นเอ่ยชื่อหนึ่งออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก “หนิวโหย่วเต้าขอรับ!” จากนั้นก็ชี้แจงเสริมว่า “แต่หนิวโหย่วเต้าเป็นฝ่ายถอนตัวจากตำแหน่งเจ้าสำนักด้วยตัวเองแล้วนะขอรับ!”

ถังซู่ซู่กล่าวยาวเหยียด “เขาถอนตัวอย่างไร คิดว่าข้าคงไม่ต้องพูดมากอีก ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ ที่ทุกคนไม่พูดอะไรเป็นเพราะทราบดีว่าเขาไม่เหมาะจะแบกรับตำแหน่งเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังมีผู้ใดที่มีบารมีมากพอจะมาดูแลสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีกเล่า? ทุกคนเห็นดีเห็นชอบกับภูมิหลังของพวกเจ้าพ่อลูก หวังว่าพวกเจ้าพ่อลูกจะออกหน้านำพาสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หวนคืนสู่ความรุ่งเรืองได้ แต่เนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเจ้าพ่อลูกต่างไม่ยินดีรับหน้าที่นี้ จริงอยู่ที่พวกเราสามผู้อาวุโสมีบารมีมากพอจะรับตำแหน่งนี้ แต่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีกฎถ่วงสมดุลผู้อาวุโสอย่างพวกเราไว้ เมื่อออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสแล้วไม่อาจรับตำแหน่งเจ้าสำนักได้อีก เดิมทีเว่ยตัวคือผู้ที่เหมาะสมที่สุด แต่จนปัญญาที่ติดอ่าง หากขึ้นเป็นเจ้าสำนักคงทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของข้าหาคนไม่ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือเว่ยตัวดื้อรั้น ยึดติดกับคำสั่งเสียก่อนสิ้นใจของเจ้าสำนักถังมู่ โวยวายว่าถ้าแหกกฎจะเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ เอาแต่พูดพล่ามอยู่อย่างนั้น ทำได้เพียงลงโทษให้เขาไปหันหน้าเข้ากำแพงคิดทบทวนที่หลังหุบเขา! ส่วนคนอื่นๆ น่ะหรือ? หลังจากที่หนิวโหย่วเต้าสละสิทธิ์ไปเช่นนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ยินดีออกหน้าแบกรับตำแหน่งที่เป็นเหมือนเผือกร้อนนี้เอาไว้ แต่ละคนล้วนฉลาดพอที่จะเอาตัวรอด!”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ หากว่ากันตามแก่นแท้ของปัญหาแล้ว นี่เป็นเพราะสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในเวลานี้ตกอับแล้ว อีกทั้งยังอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม อนาคตรายล้อมด้วยภยันอันตราย การเป็นผู้นำนั้นไม่ง่าย หากยังอยู่ในยุครุ่งโรจน์ เกรงว่าคงมีคนออกหน้าเสนอตัวแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักมากมายก่ายกอง

ซ่งเหยี่ยนชิงเอ่ยว่า “ดังนั้นศิษย์จึงคิดว่าศิษย์พี่ถังเหมาะสมที่สุดขอรับ!”

ถังซู่ซู่ตอบอืมคราหนึ่ง “ถังอี๋เป็นบุตรสาวเจ้าสำนัก ในยามคับขันเช่นนี้ หากนางไม่ก้าวออกมาแบกรับไว้แล้วผู้ใดจะออกมากันเล่า?แต่ตำแหน่งนี้ได้มาอย่างไร ศิษย์สายในทั้งบนล่างต่างรู้ดีแก่ใจ แล้วนางจะทำให้ทุกคนยอมรับได้อย่างไร? แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าถังอี๋มิได้ทำไปเพราะประโยชน์ส่วนตน? ถ้านางจะแบกรับภาระนี้ย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย เจ้าคิดว่านางยินดีแต่งกับหนิวโหย่วเต้าหรือ? หากนางอยากนั่งในตำแหน่งนี้ก็จำเป็นต้องมอบของชดเชยให้แก่หนิวโหย่วเต้า ซึ่งการที่นางยอมเสียสละตัวเองก็เพื่อมอบคำอธิบายให้แก่ทั้งในและนอกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างไรล่ะ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

ว่าจบก็ล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ โยนลงตรงหน้าซ่งเหยี่ยนชิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “นี่คือจดหมายที่บิดาเจ้าเพิ่งส่งมาจากทางเมืองหลวง เจ้าอ่านเอาเองเถอะ”

แม้ว่าซ่งซูจะเป็นศิษย์ของนาง แต่เรื่องราวบางเรื่องในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังคงต้องติดต่อขอความเห็นจากซ่งซูอยู่ เพราะมันเกี่ยวพันถึงแรงสนับสนุนที่ตระกูลซ่งมีต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ จึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ส่วนคำตอบของซ่งซูคือเห็นด้วยกับการให้ถังอี๋รับตำแหน่งเจ้าสำนัก

ซ่งเหยี่ยนชิงหยิบจดหมายมาเปิดอ่าน สีหน้าพลันขมขื่นระทม ท่านพ่อซ่งซูกำชับเขาอย่างเด็ดขาดว่าอย่าคิดฟุ้งซ่าน ให้เขาเชื่อฟังการอบรมสั่งสอนของถังซู่ซู่ มิเช่นนั้นจะลงโทษอย่างหนัก

เมื่ออ่านจดหมายฉบับนี้ ซ่งเหยี่ยนชิงนั่งแข็งทื่ออยู่บนพื้น หม่นหมองโศกสลด หัวใจหลั่งโลหิต…

……

เมื่อไล่ซ่งเหยี่ยนชิงไปแล้ว ถังซู่ซู่ก็เดินไปที่สวนด้านหลัง มองเห็นหลัวหยวนกงและซูพั่วนั่งเดินหมากกันอยู่ในศาลา

เมื่อเห็นนางมา ทั้งสองหยุดมือพร้อมกัน หลัวหยวนกงมองนางพลางถาม “ปลอบใจเรียบร้อยแล้วหรือ?”

ถังซู่ซู่มองกวาดตามองผลแพ้ชนะบนกระดานหมาก กล่าวว่า “เพิ่งไล่ซ่งเหยี่ยนชิงไป ขอเพียงทางซ่งซูไม่ว่าอะไรก็เท่ากับเป็นการบอกถึงท่าทีของตระกูลซ่งแล้ว ทุกอย่างล้วนจัดการได้ ปัญหาในตอนนี้คือซ่งเหยี่ยนชิงสะเทือนใจอย่างมาก หากต้องเสียถังอี๋ให้แก่หนิวโหย่วเต้าเขาคงทนไม่ไหว เจ้าหนุ่มผู้ดีคนนี้คงไม่กล้าลงมือในที่แจ้ง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะแอบทำอะไรกับหนิวโหย่วเต้าในที่ลับหรือไม่ เอาเป็นว่าเรื่องนี้กำลังจะได้ข้อสรุปแล้ว จะปล่อยให้เกิดเรื่องกับหนิวโหย่วเต้าตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นจริงๆ ไม่ว่าพวกเราคนไหนก็ไม่มีทางมอบคำอธิบายให้แก่ศิษย์ทั้งบนและล่างได้ เมื่อถึงเวลาที่ถังอี๋รับตำแหน่ง ต่อให้มีร้อยปากก็แก้ตัวได้ไม่กระจ่างแล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือของนาง จากนั้นก็จะมีปัญหาตามมาไม่สิ้นสุด ศิษย์พี่ซู เรื่องนี้ยังคงต้องรบกวนท่านจัดหาคนที่ไว้ใจได้ไปดูแล ไม่อาจปล่อยให้ซ่งเหยี่ยนชิงรับผิดชอบทางสวนดอกท้อต่อไปได้!”

“อืม!” หลัวหยวนกงก็พยักหน้าไปทางซูพั่วเพื่อสื่อว่าเห็นด้วย

ซูพั่วไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินจากไป

ถังซู่ซู่เหม่อมองออกไป แววตาหนักแน่นเด็ดเดี่ยว เพื่อช่วยเก็บกวาดอุปสรรคขวากหนามที่ขัดขวางการขึ้นรับตำแหน่งของถังอี๋แล้ว นางเรียกได้ว่าทุ่มเทลำบากลำบนอย่างมาก สามีของนางสละชีพเพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ บุตรชายนางก็พลีชีพเพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ตอนนี้แม้แต่หลานชายของนางก็สิ้นชีพเพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เช่นกัน ครอบครัวนางทุ่มเทเพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปมากต่อมากเหลือเกิน นางต้องปกป้องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่เปรียบเสมือนกิจการของครอบครัวไว้….

………

“ข้าคือถูฮั่น! นับแต่วันนี้ไป อาหารการกินของเจ้าจะอยู่ในความดูแลของข้า”

ณ สวนดอกท้อ เฉินกุยซั่วและสวี่อี่เทียนไม่อยู่แล้ว ชายตาเดียวร่างกำยำถือไม้เท้าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหนิวโหย่วเต้าพลางกล่าวแนะนำตัวเอง น้ำเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำ คล้ายว่าลำคอจะเสียหายเช่นกัน เมื่อมองให้ดีจะพบว่าบนลำคอมีรอยแผลที่เกิดจากคมมีด คล้ายว่าเส้นเสียงถูกทำลาย

หนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะพินิจดูชายขาพิการที่ถือไม้เท้าคนนี้ ผิวพรรณดำคล้ำ ไว้หนวดเครา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบนใบหน้ามีรอยบากพาดผ่านดวงตาข้างหนึ่งหรือเปล่า หน้าตาจึงดูค่อนข้างดุร้าย เป็นหน้าตาประเภทที่ว่าเดินไปไหนก็ทำให้เด็กตกใจจนร้องไห้ได้

“รบกวนแล้ว!” หนิวโหย่วเต้ารับกล่องสำรับจากมืออีกฝ่ายด้วยความสุภาพเกรงใจ

ถูฮั่นกล่าวถามอีกครั้ง “ยังมีเรื่องใดอีกหรือไม่”

หนิวโหย่วเต้าจึงลองถามดู “เหตุใดจึงเปลี่ยนคนล่ะขอรับ” เขากำลังกังวลว่าซ่งเหยี่ยนชิงจะประสงค์ร้ายต่อตน การที่เวลานี้เปลี่ยนคนเฝ้า นี่เป็นความประสงค์ของซ่งเหยี่ยนชิงหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่?

เมื่อถามเรื่องนี้ ถูฮั่นกลับไม่พูดอะไรอีก หันหลังยันไม้เท้าจากไป

หนิวโหย่วเต้าหมดคำพูด ดูเหมือนจะเจอคนที่ไม่เต็มใจจะพูดกับตนอีกคนแล้ว

หลายวันต่อมา สวนดอกท้อเริ่มแขวนโคมห้อยพู่ประดับ ศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลุ่มหนึ่งยุ่งวุ่นวายอยู่ทั้งนอกและในสวนดอกท้อ เตรียมการสำหรับงานวิวาห์ที่จะมีขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า

ซ่งเหยี่ยนชิงที่ยืนมองอยู่บนหน้าผาอีกฝั่งหนึ่งกำลังถูกไฟริษยาแผดเผา เขาคอยเฝ้าอยู่ในถิ่นกันดารแห่งนี้มานานหลายปีก็เพื่อถังอี๋ เห็นๆ อยู่ว่าเนื้อกำลังจะเข้าปากแล้ว ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าจู่ๆ จะมีคนสอดมือมาคว้าไปเสียได้ หากเป็นทายาทตระกูลที่มีชื่อเสียงก็ยังพอยอมรับได้ แต่นี่อีกฝ่ายกลับเป็นแค่เด็กบ้านนอกคอกนาคนหนึ่ง แล้วจะให้เขาทนไหวได้อย่างไร

แล้วเดี๋ยวยังต้องทนมองดูพวกเขาเข้าพิธีวิวาห์ด้วยกันเนี่ยนะ? ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งกล้ำกลืนความโกรธนี้ไว้ไม่อยู่ สุดท้ายก็หันหลังเดินลงเขาไป

ทางสำนักมีการกำหนดช่วงเวลาในการจัดส่งสำรับอาหารไปยังสวนดอกท้อเอาไว้ ศิษย์คนหนึ่งเพิ่งหิ้วกล่องสำรับเดินข้ามสะพานไม้มาก็ถูกสวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่วเดินออกมาขวางไว้

“ศิษย์พี่ทั้งสอง เบื้องบนสั่งการมา เรื่องจัดส่งข้าวปลาไม่ต้องรบกวนทั้งสองท่านแล้ว” ศิษย์คนนั้นเอ่ยด้วยความสุภาพ แต่ก่อนสองคนนี้สลับเวรกันไปส่งอาหารที่สวนดอกท้อมานาน เขาจึงเข้าใจผิดอยู่บ้าง

ซ่งเหยี่ยนชิงเดินอ้อมออกมาจากด้านหลังโขดหิน เดินมาหาเขาพลางยื่นมือออกมา กล่าวว่า “ส่งมา ข้าจะตรวจสอบดูสักหน่อย”

“นี่…” ศิษย์คนนั้นลำบากใจอยู่บ้าง

ซ่งเหยี่ยนชิงยื่นมือฉวยกล่องสำรับไปทันที ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่ด้านหลังโขดหิน

“ศิษย์พี่ซ่ง…” ศิษย์คนนั้นรีบตามไปอย่างค่อนข้างร้อนรน ทว่าถูกสวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่วเอาตัวเข้าขวางไว้พร้อมกัน เขาลังเลอยากพูดอะไร แต่ก็ไม่กล้าล่วงเกินซ่งเหยี่ยนชิง ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีผู้ใดบ้างที่ไม่ทราบถึงภูมิหลังของซ่งเหยี่ยนชิง แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ยังต้องเกรงใจ เขาไหนเลยจะกล้าทำให้อีกฝ่ายโมโหได้

แต่โชคดีที่ซ่งเหยี่ยนชิงคล้ายจะตรวจดูส่งๆ เพียงเล็กน้อย ไม่นานก็ก้าวออกมาจากหลังโขดหินอีกครั้ง ก่อนจะยื่นกล่องสำรับคืนให้ จากนั้นโบกมือไล่แล้วเอ่ยว่า “ตรวจแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร เอาไปส่งเถอะ!”

ศิษย์คนนั้นได้แต่หิ้วกล่องสำรับจากไปตามที่อีกฝ่ายว่า

แต่ว่าเขาก็ยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจอยู่ดี หลังเดินออกมาไกลก็หาจุดปลอดคน เปิดกล่องสำรับตรวจดู เมื่อเห็นว่าอาหารด้านในอยู่ครบถ้วนดี คล้ายไม่เคยถูกขยับโยกย้าย จึงได้รู้สึกโล่งใจ

ศิษย์คนนั้นเดินมาจนถึงช่วงไหล่เขาที่อยู่ด้านล่างสวนดอกท้อ จุดนั้นมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ถูฮั่นพำนักอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว หลังจากส่งกล่องสำรับให้ถูฮั่น ศิษย์คนนั้นก็กลับไป

ถูฮั่นเปิดกล่องสำรับ ล้วงปิ่นเงินเล่มหนึ่งออกมา จุ่มลงไปแตะผงสีขาวในขวดกระเบื้องเคลือบใบหนึ่ง ก่อนจะจิ้มลงไปในอาหารเพื่อทำการตรวจสอบทีละอย่างๆ ผลคือเมื่อชักปิ่นเงินออก บริเวณที่เคยสัมผัสอาหารก็กลายเป็นสีดำในทันที

มีคนวางยาพิษ! สีหน้าถูฮั่นแปรเปลี่ยน ใบหน้าที่เดิมทีค่อนข้างโหดเหี้ยมอยู่แล้วยิ่งดูโหดเหี้ยมมากกว่าเดิม เขาพุ่งทะยานออกไปนอกถ้ำ กระโดดพลิกกายลงมาจากหน้าผาที่สูงเกือบยี่สิบจั้ง ขวางกั้นเส้นทางลงเขาเอาไว้ หยุดอยู่ตรงหน้าศิษย์ที่ส่งสำรับคนนั้นพอดี มือข้างหนึ่งพลันคว้าคอเสื้อเขา เอ่ยเสี่ยงคร่ำเคร่งว่า “ระหว่างทางที่มาส่งสำรับมีอะไรผิดปกติหรือไม่?”

ศิษย์คนนั้นตกใจ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อถูกเขาจี้ถามซ้ำไปซ้ำมา เลยจำเป็นต้องเล่าเรื่องที่พบซ่งเหยี่ยนชิงระหว่างทางออกมา

“ไปกับข้า!” ถูฮั่นลากตัวเขาไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+