ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 399 ไล่ล่า

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 399 ไล่ล่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 399 ไล่ล่า

หยวนกังเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางถึงร่ำไห้อย่างสิ้นหวัง การจะปกปิดร่องรอยจากคนที่สามารถตามรอยโดยการดมกลิ่นที่คนทั่วไปไม่สามารถรับรู้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นี่คือความสามารถในการแยกแยะระบุกลิ่นอายประเภทหนึ่งได้อย่างแม่นยำ แม้จะอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายที่ซับซ้อนปะปนกันไป ขอเพียงบนตัวยังแผ่กลิ่นอายชนิดนั้นออกมา มันก็ยากจะหนีรอดประสาทรับกลิ่นของอีกฝ่ายได้

เมื่อมนุษย์มีความสามารถประเภทนี้ขึ้นมา มันจะน่ากลัวยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก สุนัขไม่มีความสามารถในการวิเคราะห์แยกแยะในแบบที่มนุษย์มี หากเป็นสุนัขเมื่อกลิ่นอายขาดหายไปกลางทางก็จะตกอยู่ในความสับสนได้ง่าย

ทั้งสองคนไม่มีทางซ่อนตัวใต้น้ำเพื่อกลบกลิ่นไปได้ตลอด สุดท้ายก็ต้องหายใจ และทันทีที่หายใจกลิ่นอายก็จะแผ่ออกไป

ใกล้จะหลบหนีพ้นจากเขตแคว้นฉีอยู่แล้วเชียว ไม่คิดเลยว่าจะประสบเรื่องเช่นนี้เข้า

ตอนนี้เห็นได้ชัดเจนว่าต่อให้หนีพ้นจากเขตแคว้นฉีแล้ว สำหรับหอจันทร์กระจ่างแล้วพรมแดนระหว่างแคว้นไม่มีความหมายใดๆ พวกเขายังคงตามไล่ล่าสังหารได้อยู่ดี ในจุดนี้หอจันทร์กระจ่างสามารถทำในเรื่องที่ทางกองทัพไม่สามารถทำได้ ทางกองทัพไม่มีทางกล้ายกทัพใหญ่ข้ามพรมแดนไปยังแคว้นอื่นเพื่อไล่ล่า

เขาเหลียวมองไปรอบๆ โล่งกว้างว่างเปล่า ไม่มีคนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่จะให้ความช่วยเหลือได้เลย หาไม่แล้วเขาก็สามารถถอดเสื้อผ้าออกแล้วฝากให้สิ่งมีชีวิตอื่นพาจากไป อย่างน้อยก็คงถ่วงเวลาไปได้สักพัก

แต่เขายังคงสุขุมเยือกเย็น สายตาเพ่งมองไปยังเขาสูงที่อยู่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงคร่ำเคร่งว่า “ซูจ้าว หากยังไม่ถึงที่สุดก็อย่าเพิ่งยอมแพ้ง่ายๆ ลองไปสำรวจสภาพแวดล้อมรอบข้างดูก่อน เผื่อจะคิดหาทางออกได้ ดูว่าพอจะมีชัยภูมิพิเศษอันใดที่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้พวกเราได้หรือไม่ หากหาวัสดุบางอย่างตามที่ข้าต้องการได้จะดีที่สุด” เขากล่าวพลางชี้ไปยังเขาสูงที่อยู่ไกลออกไป

จากนั้นเขาก็ปีนขึ้นมาจากน้ำ ชักดาบง้าวที่สะพายไว้ด้านหลังออกมาปักลงบนพื้น โยนห่อสัมภาระที่สะพายไว้ลงไปด้วย ก่อนจะยื่นมือไปดึงซูจ้าวขึ้นฝั่ง

จากนั้นเขาก็ชูแขนที่เปียกชุ่มขึ้นมาทดสอบทิศทางลมเล็กน้อย จากนั้นก้มตัวลงถอนต้นหญ้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วถักทอเป็นตะกร้อขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งอย่างรวดเร็ว

“ถอดเสื้อผ้าออก เร็วเข้า!” หยวนกังเอ่ยเร่ง ตัวเขาเองก็ถอดเสื้อตัวนอกออกอย่างรวดเร็วเช่นกัน ถอดจนร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า

“….” ซูจ้าวมึนงง พอจะรู้ว่าเขาไม่ได้หมายความอะไรแบบนั้น แต่พอเหลียวมองรอบข้างแล้วจะให้สตรีอย่างนางถอดเสื้อผ้าออกเช่นนี้ก็ออกจะเกินไปหน่อย

หยวนกังไม่พูดพร่ำทำเพลง ดึงนางเข้ามาแล้วลงมือทันที ช่วยคลายสายรัดเอวของนางอย่างว่องไว จากนั้นช่วยถอดเสื้อผ้าจนนางเปลือยเปล่า

ถึงแม้ทั้งสองจะไม่ได้เพิ่งเคยเปลือยกายต่อหน้ากันเป็นครั้งแรก แต่นางยังคงยกสองมือปิดทรวงอกไว้อย่างกระดากอาย มองไปรอบๆ ด้วยความประหม่า ทำให้ความรู้สึกสิ้นหวังคลายลงชั่วขณะ

หยวนกังหาได้มีอารมณ์มาชื่นชมร่างอันงดงามไม่ เขาเอ่ยไปว่า “เอาเสื้อผ้าในห่อสัมภาระมาใส่”

ซูจ้าวย่อตัวลง เปิดห่อสัมภาระทันที หยิบเสื้อผ้าที่เปียกชื้นเช่นกันมาสวมลงบนร่าง

ส่วนหยวนกังก็นำเสื้อผ้าที่ทั้งสองถอดออกยัดใส่เข้าไปในตระกร้อหญ้าสาน ใช้หญ้ารัดไว้จนแน่นหนาแล้วปล่อยตะกร้อหญ้าสานลงน้ำไป ปล่อยให้ไหลไปตามกระแสน้ำพร้อมกับเสื้อผ้า

ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ แต่การกระจายกลิ่นของทั้งสองออกไปอย่างน้อยก็คงพอจะรบกวนผู้ที่ค้นหาจากการตามกลิ่นได้ไม่มากก็น้อย ซื้อเวลาได้สักเล็กน้อยก็ยังดี

ซูจ้าวเข้าใจแผนการของเขาแล้ว เอ่ยถามไปว่า “เจ้าทิ้งร่องรอยไว้บนพื้นเด่นชัดเช่นนี้จะไม่เป็นการเปิดเผยร่องรอยหรอกหรือ?”

หยวนกังตอบว่า “กลับจริงเป็นเท็จกลับเท็จเป็นจริง ทำศึกมิหน่ายเล่ห์! หากว่าหนีไม่รอด อย่างนั้นก็ไม่สนใจเลยว่าร่องรอยจะเปิดเผยไปหรือไม่ ลองดูก่อนก็ไม่เสียหายอะไร”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจ้าวสวมอาภรณ์เสร็จเรียบร้อย หยวนกังหยิบสัมภาระขึ้นมาสะพายแล้วชักดาบง้าวขึ้นมา “ไป!” กล่าวจบก็ออกวิ่งนำไปก่อน วิ่งรวดเร็วดั่งติดปีก แม้แต่อาภรณ์ก็คร้านจะสวมใส่แล้ว วิ่งโทงๆ ไปทั้งที่เปลือยท่อนบนเช่นนี้

ซูจ้าวค่อนข้างตกใจกับความเร็วในการวิ่งของเขา นางหยิบห่อสัมภาระขึ้นมาสะพายแล้วหยิบกระบี่เร่งไล่ตามไป

หลังจากไล่ตามมาทันก็คว้าแขนของหยวนกังไว้แล้วพาเหินทะยานไปด้วยกัน แต่ความเร็วกลับช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

ลากชายร่างใหญ่อย่างหยวนกังไปด้วยเช่นนี้ ไม่ช้าลงสิถึงจะแปลก ทั้งสองเหินไปด้วยกันเช่นนี้ยังเร็วสู้หยวนกังวิ่งด้วยตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“แบบนี้ไม่ได้ มันส่งผลต่อความเร็ว ปล่อยข้าลง” หยวนกังกล่าวออกไป

ซูจ้าวถาม “แม้จะดูเหมือนใกล้ แต่หนทางอีกยาวไกล ด้วยพละกำลังของเจ้าจะวิ่งไปได้นานแค่ไหน?”

“ลองดูเดี๋ยวก็รู้เอง!” หยวนกังกล่าวเท่านี้ ไม่ได้อธิบายอะไรอีก พอร่อนลงพื้นก็ปัดแขนให้พ้นจากการเกาะกุมของนางแล้วออกวิ่งด้วยสองขาอีกครั้ง ความเร็วกลับเร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ พุ่งตัดผ่านพงหญ้าจนเกิดเสียงดังฟิ้วราวกับสายลมพัดผ่าน

กล้ามเนื้อทั่วร่างกระตุกไปตามท่วงท่าการวิ่งของเขา เคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะจะโคน มีความรู้สึกงดงามของเพศผู้

แรกเริ่มซูจ้าวหลงนึกว่าหยวนกังฝืนกำลังตัวเอง แต่หลังจากติดตามไปด้วยกันระยะหนึ่ง นางก็ค่อยๆ ตกใจขึ้นมา สังเกตเห็นว่าหยวนกังคล้ายว่ามีเรี่ยวแรงให้ใช้งานได้ไม่สิ้นสุด รักษาระดับความเร็วที่เหมือนกับอาชาดโผนทะยานอย่างบ้าคลั่งไว้ได้ ไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนช้าลงเลยแม้แต่น้อย

มีเพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือการหายใจของหยวนกัง มีหมอกแดงเบาบางค่อยๆ ไหลวนเวียนระหว่างปากและจมูก

ซูจ้าวจึงเปิดใช้เนตรทิพย์มองดูเล็กน้อย มองเห็นรางๆ ว่ามีไอวิญญาณฟ้าดินเริ่มแทรกซึมเข้าสู่ร่างของหยวนกัน เรื่องนี้ทำให้นางค่อนข้างตกตะลึง

หากจะบอกว่าหยวนกังเป็นผู้บำเพ็ญเพียร แต่นางก็รู้ดีว่าหยวนกังไม่มีพลังจากการบำเพ็ญเพียรเลย มิเช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการวิ่งด้วยสองขาของตน

….

วิหคยักษ์ตัวหนึ่งโฉบต่ำเลียบไปตามกระแสน้ำที่คดเคี้ยวอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้า มีคนสวมผ้าคลุมหมวกดำสามคนยืนอยู่บนหลังวิหคยักษ์

คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดมีผมหน้าม้าที่ค่อนข้างยาวแพลมออกมาจากใต้หมวก ผมสีดอกเลาบดบังดวงตาไว้ เขายื่นจมูกออกมาสูดดมกลิ่นจากในอากาศเป็นครั้งคราว

บางครั้งสายลมก็พัดผมหน้าม้าให้เปิดออก เผยให้เห็นเบ้าตากลวงเปล่าไร้ลูกตาที่อยู่ภายใต้ผมหน้าม้า ค่อนข้างน่าหวาดกลัว

ส่วนอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็สวมหน้ากากสีดำเอาไว้แม้จะอยู่ในช่วงกลางวันแสกๆ กวาดสายตามองสำรวจไปรอบๆ อย่างละเอียดรอบคอบ

ทั้งสองคนนี้ มีคนหนึ่งไว้หนวดเครา ส่วนอีกคนไม่มีหนวดเครา

ทันใดนั้นคนที่ไว้หนวดเคราพลันเพ่งมองออกไป ก่อนจะพุ่งตัวลงมาจากหลังวิหคยักษ์เพียงลำพัง

คนไร้หนวดก็ยื่นมือไปคว้าแขนของเจ้าบอดโดยเร็ว ร่อนลงสู่ด้านล่างพร้อมกัน

พอถึงด้านล่าง คนไร้หนวดเคราถึงได้เข้าใจในการกระทำของคนไว้หนวดเครา ทุ่งหญ้านี้มีร่องรอยเคยถูกคนดึงถอนออกไปอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้าบอด เจ้าลองดมกลิ่นแถวนี้หน่อย” คนไว้หนวดเคราเอ่ยขึ้นมา

เจ้าบอดก้มหน้าลงเอ่ยไปว่า “ไม่จำเป็นต้องดมแล้ว ที่นี่มีกลิ่นอายของพวกเขาหลงเหลืออยู่จริงๆ แต่ค่อนข้างแปลก”

คนไว้หนวดเคราถาม “แปลกอย่างไร?”

เจ้าบอดยกมือชี้ออกไป “ทางต้นลมเหนือแม่น้ำก็มีกลิ่นอายของพวกเขาลอยมาเช่นกัน”

คนไว้หนวดเครามองร่อยรอยต้นหญ้าถูกเด็ดถอนบนพื้นเล็กน้อย “น่าจะใช้ลูกไม้อะไรบางอย่าง ไม่แน่ว่าอาจจะสานตระกร้อหญ้าอันใดขึ้นมาแล้วใส่ข้าวของบางอย่างให้ล่องไปตามกระแสน้ำเพื่อจงใจหลอกล่อพวกเรา”

คนไร้หนวดเคราเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสไป๋ แต่ร่องรอยนี้ออกจะชัดเจนเกินไปหน่อยแล้วกระมัง! หากสังเกตจากก่อนหน้านี้ ความสามารถในการสลัดการไล่ล่าของอีกฝ่ายยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก แล้วเขาจะทิ้งร่องรอยเด่นชัดเช่นนี้ไว้ให้พวกเราได้อย่างไร หรือจงใจทำให้พวกเราเข้าใจผิด? ศิษย์คนนั้นของท่านก็รู้ความสามารถของเจ้าบอดดีเช่นกัน”

คนไว้หนวดเคราหันมามองร่องรอยบางอย่างที่หลงเหลือจากยามที่หยวนกังวิ่งลัดพงหญ้าไป จากนั้นทอดมองเขาสูงที่อยู่ไกลออกไป แล้วก็หันมองไปทางกระแสน้ำอีกครั้ง เอ่ยเสียงขรึมว่า “ถึงแม้จะระดมกำลังคนในละแวกนี้เพื่อสกัดแล้ว แต่เราก็ยังต้องระวังกลอุบายพวกเขาไว้ เจ้ากับเจ้าบอดจงมุ่งหน้าค้นหาต่อไป รอยหญ้าที่นี่ยังใหม่อยู่ หากว่าวิ่งไปจากทางนี้ก็น่าจะยังไปได้ไม่ไกลนัก ส่วนข้าจะไปดูเส้นทางนี้หน่อย อีกเดี๋ยวค่อยตามไปสมทบกับพวกเจ้า หากว่าทางฝั่งของพวกเจ้าเป็นแผนลวง ก็ให้ย้อนกลับมาตามสัญลักษณ์ที่ข้าทิ้งไว้ทันที”

“ขอรับ!” คนไร้หนวดพยักหน้ารับ พยุงแขนเจ้าบอดทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกัน ร่อนลงบนหลังวิหคยักษ์ที่บินวนอยู่กลางอากาศ

คนไว้หนวดเคราไล่ตามร่องรอยที่เหลืออยู่ในทุ่งหญ้าไป

….

จากทางราบจนกระทั่งขึ้นมาถึงยอดเขา สภาพแวดล้อมด้านหน้าทำให้หยวนกังหนักใจขึ้นมาครึ่งหนึ่ง

บนภูเขานั้นไม่เพียงแต่จะโล่งเตียน แต่ยังคล้ายกับว่าภูเขาได้คั่นกลางอยู่ระหว่างโลกสองใบ ด้านหนึ่งคือทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล อีกด้านหนึ่งคือทะเลทรายที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

หลังจากล่องอยู่ในแม่น้ำมาระยะหนึ่ง เนื่องจากกระแสน้ำคดเคี้ยวไปมา จึงไม่ทราบว่าเดินทางมาไกลขนาดไหนแล้ว ผ่านทางแยกแม่น้ำหลายต่อหลายแห่งจนไม่รู้ว่าอยู่ในตำแหน่งใดแล้ว แต่ดูจากทิศทางคร่าวๆ ก็ทราบว่าใกล้จะพ้นเขตแคว้นฉีแล้ว ยามนี้ถึงได้พบว่ามาถึงแถบพรมแดนทะเลทรายแล้ว

หยวนกังอยากจะมาสำรวจดูที่นี่เสียหน่อยว่ามีลักษณะภูมิประเทศซับซ้อนอันใดให้ใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ หากสามารถค้นหาวัสดุบางอย่างมาประกอบเป็นเครื่องร่อนได้ก็ยิ่งดี บางทีอาจจะเอามาใช้หลบหนีไปจากภูเขาสูงลูกนี้ได้

ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองคิดมากไปแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต พอเห็นความหวังแม้เพียงน้อยนิดก็รีบคว้าเอาไว้

“บนภูเขาลูกนี้ไม่มีแม้แต่สถานที่จะให้หลบซ่อนตัวด้วยซ้ำ” หยวนกังมองสำรวจรอบข้างแล้วเอ่ยออกมา

ซูจ้าวเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เจ้าบอดมาแล้ว อย่าคิดหลบซ่อนเลยจะดีกว่า การหลบซ่อนตัวเท่ากับนั่งรอความตาย…” พูดๆ อยู่ก็ชะงักไป รีบดึงแขนหยวนกังให้ย่อตัวลงทันที ชี้ไปในทิศทางหนึ่งพลางเอ่ยว่า “มีคนมา”

หยวนกังชะโงกหน้าจากด้านหลังโขดหินก้อนหนึ่ง มองลงไปทางตีนเขา มองเห็นเงาดำเลือนรางจุดหนึ่งอยู่ไกลๆ กำลังมุ่งหน้ามาทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว หากมิใช่เพราะอีกฝ่ายสวมชุดสีดำจนเห็นได้ชัดเจน พวกเขาก็คงสังเกตเห็นไม่ได้ง่ายๆ เช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “ดูเหมือนจะตามร่องรอยของพวกเรามา ใช่เจ้าบอดหรือไม่?”

ซูจ้าวตอบว่า “เจ้าบอดไม่สามารถเดินทางเพียงลำพังได้ แต่ขอเพียงเป็นคนของหอจันทร์กระจ่าง การที่สามารถตามมาถึงที่นี่ได้ ก็แปลว่าเจ้าบอดก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เช่นกัน” สุ้มเสียงของนางเปี่ยมด้วยความร้อนรน

หยวนกังหันกลับไปมองทะเลทรายด้านหลังอีกครั้ง “จะมัวรอต่อไปไม่ได้แล้ว หนีไปได้ไกลเท่าไรก็เท่านั้นแล้วกัน มัวแต่นั่งรอคงไม่มีโอกาสให้หนี ระหว่างทางค่อยมองหาโอกาสอีกทีแล้วกัน หากว่าไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ ก็ต้องลองดูว่าหากฝังตัวหลบซ่อนอยู่ในทรายจะได้ผลหรือไม่”

ทั้งสองเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน การปรากฏตัวของเจ้าบอดทำให้โอกาสหนีรอดของพวกเขาลดน้อยลงไปเป็นอย่างมาก ทำได้เพียงไปตายเอาดาบหน้า

ทั้งสองหารือกันเล็กน้อย ไม่ได้รีบพุ่งลงจากภูเขาเข้าสู่ทะเลทรายในทันที ภูมิประเทศของที่นี่หากมองจากมุมสูงลงไปจะมองเห็นความเคลื่อนไหวในทะเลทรายได้อย่างง่ายดาย

ซูจ้าวจับแขนหยวนกัง เหินทะยานไปทางด้านข้างของภูเขา

การลงเขาต่างจากการเดินทางบนพื้นราบ ความเร็วในการวิ่งของหยวนกังสู้การที่ซูจ้าวพาเขาร่อนโฉบลงเนินไปไม่ได้เลย

พอมาถึงตีนเขาก็ยังไม่ได้เข้าสู่ทะเลทราย หากแต่วิ่งเลียบไปตามตีนเขา อ้อมวนจนไปโผล่อีกด้านหนึ่งของภูเขาที่ยื่นออกไปในทะเลทราย ค้นหาสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งสามารถบดบังสายตาที่มองลงมาจากบนยอดเขาได้ จากนั้นค่อยเข้าสู่ทะเลทรายอันเวิ้งว้างอย่างเป็นทางการ

ครั้งนี้หยวนกังก็ไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือจากซูจ้าวเช่นกัน ปล่อยให้ซูจ้าวพาเขาเหินทะยานไป ทุกครั้งยามที่ซูจ้าวร่อนลงพื้นแล้วดีดตัวขึ้นอีกครั้ง นางจะใช้พลังกลบรอยเท้าที่ทิ้งไว้ในพื้นทราย

……

คนไว้หนวดเคราในชุดผ้าคลุมสีดำเหินทะยานขึ้นสู่ยอดเขาไปเช่นกัน กวาดสายตาเย็นชามองสำรวจไปทั่วทะเลทรายผืนนี้ ทว่าไม่พบเห็นเงาร่างคนเลย

เขาไล่ตามร่องรอยไป จากนั้นก็ย่อตัวกระโจนสู่อากาศแล้วร่อนลงสู่ทะเลทรายด้านหน้า ก่อนที่เท้าจะแตะถึงพื้นก็สำรวจดูจากกลางอากาศอย่างละเอียดว่ามีรอยเท้าใดๆ อยู่บนทะเลทรายหรือไม่

หลังเท้าแตะลงพื้น เขาก็ทะยานมุ่งไปทางซ้ายครู่หนึ่ง แล้วทะยานไปทางขวาครู่หนึ่ง วนเวียนเป็นวงกลมขนาดใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่พบร่องรอยใดๆ

เขาย้อนกลับมาบนยอดเขาอย่างรวดเร็ว ทอดมองออกไปจากมุมสูงอีกครั้ง ไม่นานนักสายตาก็เพ่งมองไปยังแนวเขาเส้นหนึ่งที่บดบังสายตาได้ เขาทะยานขึ้นสู่ท้องนภาราวกับนกอินทรีเหิน พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

คนไว้หนวดเคราร่อนลงบนปลายด้านหน้าของแนวเขาที่ยื่นเข้าไปในทะเลทราย ทอดสายตามองออกไกลอยู่สักพัก จากนั้นย่อตัวกระโจนออกไปอีกครั้ง ทะยานเข้าไปในทะเลทราย

เขากวาดมองด้วยสายตาเย็นชาอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นดวงตาพลันทอประกายวาบ เหินสู่อากาศในทันใด ไล่ตามไปในทิศทางที่หยวนกังและซูจ้าวหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ซูจ้าวจะกลบรอยเท้าในพื้นทรายของตนจนเรียบแล้ว แต่การจะทำให้ราบเรียบกลมกลืนเป็นธรรมชาติกลับยากนัก สุดท้ายยังคงมีร่องรอยหลงเหลืออยู่บ้าง ขอเพียงตั้งใจมองให้ดี ก็ย่อมต้องสังเกตเห็นร่องรอยเหล่านั้น

………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด