Elixir Supplier 786 ยุ่งมาก

Now you are reading Elixir Supplier Chapter 786 ยุ่งมาก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เมื่อกี้ได้เจอกั่วเจิ้งเหอเปล่า?” ซูจือจึงถาม

“เจอค่ะ ฉันเจอเขาตอนกําลังออกจากลิฟท์พอดี เลยหยุดคุยกับเขานิดหน่อย”ซูเสี่ยวซวีพูด

“เขาน่ารําคาญมากไหม?” ซูจือจึงถามพร้อมขยับแขนไปด้วย

ซูเสี่ยวซวีอึ้ง เธอไม่คิดว่าพี่ชายของเธอจะพูดแบบนี้ เธอจึงหัวเราะและพูดว่า“เขาน่ารําคาญจริงๆนั่นแหละค่ะ”

“ทําไมพี่ถึงได้รู้สึกว่า ไอ้หมอนั่นทั้งน่ารําคาญและเจ้าเล่ห์กันนะ?” ซูจือจึงถามด้วยท่าที่จริงจัง“ถ้าเธอเลือกเขาละก็ในอนาคตอาจจะถูกเขาหลอกใช้ขึ้นมาก็ได้เธอไม่มีทางรู้เลยว่าเขาทําอะไรอยู่ข้างนอกนั้นบ้าง”

“พี่ ทําไมถึงได้โง่แบบนี้คะ?” ซูเสี่ยวซวีพูด “แล้วคนที่ฉันชอบก็คือหมอหวัง!”

“โชคยังดีที่เธอเลือกหวังเย้า” ซูจือฉิงพูด “ถึงเขาจะเป็นคนคิดอะไรลึกซึ้ง แต่อย่างน้อยเขาก็จริงใจกับคนที่ใกล้ชิดกับเขา พี่บอกได้เลยว่าเขาจริงใจกับเธอจริงๆ”

ซูเสี่ยวซวียิ้มหวาน

“อึม แต่ยังไงเธอก็ต้องระวังถั่วเจิ้งเหอเอาไว้ด้วย” ซูจือจึงพูด “อย่าไปไหนกับเขาตามลําพังเขาอาจใช้แผนการบางอย่างกับเธอก็ได้”

“อ้อ เมื่อเขาเพิ่งจะชวนฉันไปกินข้าวด้วยกันพอดี แต่ฉันปฏิเสธเขาไปแล้วล่ะค่ะ” เธอพูด

“ไม่มีทางที่เขาจะชวนไปกินข้าวเย็นเฉยๆแน่” ซูจือฉิงพูด “เธอห้ามไปเด็ดขาด ห้ามไปกินข้าวกลางวันกับเขา กลางคืนยิ่งไม่ได้ใหญ่!”

หลังจากที่เขาพูดเรื่องคั่วเจิ้งเหอชัดเจนแล้ว เขาก็ถามขึ้นมาว่า “น้องเขยในอนาคตของพี่กลับบ้านไปแล้วเหรอ?”

“ใช่ค่ะ หลายวันนี้เขาอาจจะยุ่งมาก”ซูเสี่ยวซวีพูด“ฉันเข้าไปอ่านในเวยป๋อของเขามาจํานวนคนเข้าชมสูงมากหลายคนอยากรักษากับเขาแต่เขากลับมาอยู่ที่ปักกิ่งนานเป็นอาทิตย์

ขณะเดียวกัน ภายในหมู่บ้านกลางเขา หวังเย้านั้นกําลังยุ่งอยู่จริงๆ เขารักษาคนไข้ไปแล้ว 20 กว่าคนและส่วนมากก็เป็นเด็ก

“หมอหวัง หรือนี่จะเป็นโรคระบาดคะ?” หญิงวัยสามสิบถาม “ครอบครัวเราไอกันทั้งบ้านเลย”

เธอมาหาหมอพร้อมกับลูกสาวคนโตวัยไม่เกิน 7 ขวบ ตัวเธอเองก็มีอาการไอเช่นกัน

“ใช่ครับ ยิ่งในระยะแรกของโรคยิ่งแพร่เชื้อได้ง่าย” หวังเย้าพูด

“หมอช่วยตรวจฉันด้วยได้ไหมคะ?” เธอถาม

“ได้สิครับ” หวังเย้าพูด

ทุกคนในบ้านล้วนมีอาการไอ มันคือการแพร่เชื้ออย่างหนึ่ง และอาการของเธอก็ยังแย่กว่าลูกสาวด้วยซ้ำหวังเย้าเขียนใบสั่งยาอีกตัวให้กับเธอมันมีรสขมกว่า แต่ประสิทธิภาพก็ดีกว่าด้วย

เขาบอกวิธีการเตรียมตัวยาและพูดว่า “กลับไปทําเองได้เลยนะครับ ภายในสามวันถึงจะเห็นผลเหมือนกับยาที่ให้กับเด็กๆ”

“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอพูด

“ช่วงนี้ อย่าพาลูกๆของคุณไปในที่ที่คนพลุ่งพล่านนะครับ” หวังเย้าแนะนํา

เด็กในวัยนี้ชื่นชอบการได้ออกไปเที่ยวสวนสนุกและสนามเด็กเล่น ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนนั้นง่ายต่อการแพร่เชื่ออย่างมาก

“ฉันจะจําเอาไว้ค่ะ” เธอพูด

หวังเย้าจิบชาจากถ้วยชาของเขาเอง ชาเย็นลงแล้ว เขาส่งเสียงเรียก “คนต่อไปครับ!”

หนึ่งวันของเขาผ่านไปเช่นนี้จนกระทั้ง 5 โมงเย็น ในเวลานี้ก็ยังมีคนไข้อีก 6 คนที่ยังรอตรวจอยู่

หวังเย้าโทรหาที่บ้านอีกครั้งและพูดว่า “ฟ้ว ผมคงต้องทํางานล่วงเวลานะครับ”

เขาตรวจคนไข้คนสุดท้ายเสร็จหลังหนึ่งทุ่ม ท้องฟ้ามืดแล้ว ไฟตามข้างทางภายในหมู่บ้านถูกเปิดสว่างไสว

“ทําไมถึงเพิ่งมาตอนนี้ล่ะ? คงเหนื่อยมากสินะ” จางซิวหยิ่งปวดใจ เขาทํางานตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งฟ้ามืด แม้แต่เวลาจะกินข้าวก็ยังไม่มี

“ครับ ผมเหนื่อยนิดหน่อย” หวังเข้าตอบ

“รีบกินข้าวเถอะจ๊ะ” จางซิวหยิงยกอาหารวางจนเต็มโต๊ะ

“แม่กับพ่อยังไม่ได้กินเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

“พวกเรารอลูกอยู่น่ะสิ” แม่ของเขาพูด “แม่ออกไปดูมาสองรอบ เห็นว่าข้างนอกคลินิกยังเหลือรถอีกไม่กี่คันแล้วแม่เลยคิดว่าอีกเดี๋ยวลูกก็คงกลับมาแล้ว”

“คราวหน้าไม่ต้องรอผมหรอกนะครับ” หวังเย้าพูด “แม่กับพ่อกินข้าวก่อนได้เลย”

“กินได้แล้ว” แม่ของเขาพูด

“ดื่มสักหน่อยไหม?”

“ครับ ผมจะไปเอาเหล้ามา” หวังเย้าพูด

เขาลุกขึ้นไปหยิบเหล้าชั้นดีมาขวดหนึ่ง เขาเทใส่แก้วให้พ่อของเขา ก่อนจะเทให้ตัวเองปกติเขาไม่ดื่มเหล้าและมักดื่มบางคราวกับพ่อของเขาหรือไม่ก็กับเพื่อนๆ

“วันนี้คนเยอะมากเลยสินะ” พ่อของเขาพูด

“ครับ มากกว่า 40 คน” หวังเย้าตอบ

ตั้งแต่ให้คําแนะนําไปจนถึงจ่ายยา ล้วนเป็นเขาทําคนเดียวทั้งหมด เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทําเวลา

“ลูกไม่คิดจะหาคนมาช่วยบ้างเหรอ?” พ่อของเขาถาม

“คิดครับ แต่มันยากอยู่สักหน่อย” หวังเย้าคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า“คนคนนั้นจะต้องมีพื้นฐานในเรื่องยาสมุนไพรและสามารถบอกชนิดของสมุนไพรและวัตถุดิบทํายาส่วนใหญ่ได้แล้วก็ต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์และถ่อมตัวด้วย”

เพราะหวังเย้ามีความลับอยู่กับตัวหลายอย่าง ถึงเขาจะระมัดระวังมากแค่ไหนแต่อาจมีรายละเอียดบางอย่างเผยออกมาได้ในเมื่อคนคนนั้นต้องอยู่ใกล้ชิดกับเขามันจึงเป็นเรื่องสําคัญสําหรับเขามาก

“อืม แต่ยังไงลูกก็ต้องคิดเอาไว้บ้าง” พ่อของเขาพูด “ลูกคงไม่อยากทําทุกอย่างคนเดียวทั้งหมดตลอดไปหรอก”

“ครับ ผมรู้แล้ว” หวังเย้าตอบ

หลังมื้อเย็น เขาพูดคุยอยู่กับพ่อแม่ ก่อนจะช่วยนวดเพื่อผ่อนคลายให้พวกเขาเมื่อเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน

ระหว่างเดินอยู่บนถนน เขาก็เห็นจงหลิวชวนอยู่ไม่ไกล จงหลิวชวนที่เห็นเขาก็วิ่งเข้ามาหา

“โอ้ เย็นขนาดนี้ยังออกมาข้างนอกอีกเหรอ?” หวังเย้าถาม

“ครับ” จงหลิวชวนตอบ “เย็นนี้ เรามาฝึกด้วยกันหน่อยไหมครับ?”

“เอาสิ” หวังเย้าพูด “เดินไปด้วยกันเถอะ”

ตอนที่เดินขึ้นเขานั้นหวังเข้าพบว่าการหายใจระหว่างที่กําลังเดินอยู่ของจงหลิวชวนดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการนั่ง,การนอน,และการเดินล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการฝึก“ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นมากเลยนะครับเนี่ย!”

“ก็ต้องขอบคุณทักษะที่เชียนเชิงสอนให้ยังไงล่ะครับ” จงหลิวชวนพูด

เขารู้สึกว่า วิธีการฝึกฝนที่ดูเรียบง่ายที่หวังเย้าสอนให้เขานั้นวิเศษอย่างมาก มันช่วยให้ร่างกายของเขายกระดับขึ้น ทั้งในเรื่องของกําลังกาย, ปฏิกิริยาตอบโต้,และสัญชาตญาณส่วนทักษะต่างๆนั้นล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของร่างกายเขาหากต้องการเก่งขึ้นก็จําต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งด้วย

“แล้วยังอ่านคัมภีร์เต่อยู่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม

“ครับ ผมอ่านทุกวัน” จงหลิวชวนพูด “ผมใช้เวลาอ่านคัมภีร์วันละหกชั่วโมง ตอนนี้ผมสามารถท่องเองได้แล้ว”

เขาต้องใจอ่านมคัมภีร์อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เปิดให้พอผ่านตาเท่านั้น ไม่มีใครคอยให้คําแนะนําหรือคอยกระตุ้นเตือนเขา เขาจําต้องพึ่งพาแค่ตัวเอง เขาจะเป็นเหมือนเหล่าพระสงฆ์ในบางวัดที่เอาแต่สวดมนต์และหลอกลวงผู้คนไม่ได้

“ทุกครั้งที่ผมท่องคัมภีร์เต๋ผมรู้สึกได้ว่าใจของผมสงบ และพลังที่เคลื่อนไหวภายในกายก็ช้าลงมากด้วย”จงหลิวชวนพูด

“การฝึกฝนถือเป็นการบ่มเพาะจิตวิญญาณไปในตัว ไม่ใช่แค่ฝึกให้จิตใจแข็งแกร่งและก้าวหน้าเพียงอย่างเดียว” หวังเย้าพูด

“เชียนเชิงพูดถูกแล้ว” จงหลิวชวนพูด “ผมเคยอ่านเจอในนิยายกําลังภายในของกิมยังว่าในวัดเส้าหลินก็มีคนที่ทําแบบนั้นได้เหมือนกันเขาเป็นคนแรกที่ฝึกฝนหลายกระบวนท่าจากทั้งหมด 72กระบวนท่าได้แต่มันกลับทําให้เขาไม่กลับและสูญเสียทุกอย่างไปเพราะเขาฝึกฝนจิตใจไม่มากพอจนทําให้จิตมารเข้าแทรกได้

“แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่ แล้วในตอนท้ายเขาก็กลายมาเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง” หวังเย้าพูด

ทั้งสองเดินมาถึงตีนเขา

“คุณไม่ได้ขึ้นไปบนเขาเลยใช่ไหมครับ?” หวังเย้าชี้ไปที่ยอดเขา

“ไม่เคยครับ” จงหลิวชวนตอบ

เขาเคยขึ้นไปบนยอดเขาทางตะวันออกซึ่งอยู่ใกล้กับเนินเขาหนานชานเท่านั้น และไม่เคยข้ามเขตเขาไปเลยสักครั้งถึงมันจะเป็นเรื่องง่ายสําหรับเขามากแค่ไหนก็ตามที

“งั้นเราไปที่นั่นกันเถอะ” หวังเข้าพูด

“ตอนนี้เลยเหรอครับ?” จงหลิวชวนแปลกใจ

“ใช่ ตอนนี้เลย” หวังเย้าพูด

เมื่อได้ยินเสียงคุยจากด้านล่าง ซานเซียนก็ลงมาจากเขา เมื่อมองดูซานเซียนในเวลากลางคืนก็ดูไม่ต่างจากสิงโตตัวหนึ่งเลย

“หมาดน่าเกรงขามอะไรแบบนี้!” จงหลิวชวนอทาน

เขาเคยเห็นซานเซียนจากไกลๆอยู่หลายครั้ง และก็ต้องตกใจกับขนาดของมันตอนนี้เขาได้มาเห็นใกล้ๆแล้ว เขาก็รู้ว่าตัวเองดูถูกมันเกินไปบรรยากาศรอบตัวซานเซียนเหนือกว่าสุนัขทั่วไปมากเห็นได้ชัดว่ามันเป็นสัตว์ป่าตัวหนึ่งแต่กลับยืนส่ายหางเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านายของมันเมื่อใดก็ตามที่มีคนแปลกหน้าล่วงล้ำเขตแดนมันจะทําให้คนแปลกหน้าต้องเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนั้น

“คิดว่ายังไงครับ?” หวังเย้าถาม

“มันสุดยอดมาก” จงหลิวชวนพูดโดยไม่ต้องคิด

เขาพูดออกมาจากใจจริง ตั้งแต่ที่เขาเดินมาถึงที่ตีนเขา เขาก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไปมันแปลกมากเขาหายใจได้โล่งขึ้นและรู้สึกผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัวเขารู้สึกเหมือนก่าลังแช่ตัวในน้ําร้อนมันเป็นความรู้สึกสบายที่ไม่สามารถอธิบายได้

“เขาลูกนี้มีพลังวิญญาณ” จงหลิวชวนพูด

“ใช่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด “เนินเขาหนานชานเป็นสถานที่ต้องห้าม มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยขึ้นมาบนนี้”

“ขอบคุณนะครับเขียนเชิง ที่เชื่อใจผม” จงหลิวชวนพูด

“ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเราไม่จําเป็นต้องมีมารยาทขนาดนั้นก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด “ในอนาคตผมอาจต้องเดินทางบ่อยขึ้น ในเวลานั้น คงต้องให้คุณช่วยดูแลหมู่บ้านแทนแล้ว”

“ไม่ต้องห่วงครับ เชียนเชิง ผมอยู่ที่นี่ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรแน่นอน”จงหลิวชวนพูด

“ดีครับ” หวังเย้าพยักหน้า เขาเชื่อใจจงหลิวชวน แต่เขาคงจะต้องยุ่งวุ่นวายจัดการกับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นมากมายในอนาคตด้วยตัวคนเดียว “คุณคงต้องหาคนมาช่วยด้วย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Elixir Supplier 786 ยุ่งมาก

Now you are reading Elixir Supplier Chapter 786 ยุ่งมาก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เมื่อกี้ได้เจอกั่วเจิ้งเหอเปล่า?” ซูจือจึงถาม

“เจอค่ะ ฉันเจอเขาตอนกําลังออกจากลิฟท์พอดี เลยหยุดคุยกับเขานิดหน่อย”ซูเสี่ยวซวีพูด

“เขาน่ารําคาญมากไหม?” ซูจือจึงถามพร้อมขยับแขนไปด้วย

ซูเสี่ยวซวีอึ้ง เธอไม่คิดว่าพี่ชายของเธอจะพูดแบบนี้ เธอจึงหัวเราะและพูดว่า“เขาน่ารําคาญจริงๆนั่นแหละค่ะ”

“ทําไมพี่ถึงได้รู้สึกว่า ไอ้หมอนั่นทั้งน่ารําคาญและเจ้าเล่ห์กันนะ?” ซูจือจึงถามด้วยท่าที่จริงจัง“ถ้าเธอเลือกเขาละก็ในอนาคตอาจจะถูกเขาหลอกใช้ขึ้นมาก็ได้เธอไม่มีทางรู้เลยว่าเขาทําอะไรอยู่ข้างนอกนั้นบ้าง”

“พี่ ทําไมถึงได้โง่แบบนี้คะ?” ซูเสี่ยวซวีพูด “แล้วคนที่ฉันชอบก็คือหมอหวัง!”

“โชคยังดีที่เธอเลือกหวังเย้า” ซูจือฉิงพูด “ถึงเขาจะเป็นคนคิดอะไรลึกซึ้ง แต่อย่างน้อยเขาก็จริงใจกับคนที่ใกล้ชิดกับเขา พี่บอกได้เลยว่าเขาจริงใจกับเธอจริงๆ”

ซูเสี่ยวซวียิ้มหวาน

“อึม แต่ยังไงเธอก็ต้องระวังถั่วเจิ้งเหอเอาไว้ด้วย” ซูจือจึงพูด “อย่าไปไหนกับเขาตามลําพังเขาอาจใช้แผนการบางอย่างกับเธอก็ได้”

“อ้อ เมื่อเขาเพิ่งจะชวนฉันไปกินข้าวด้วยกันพอดี แต่ฉันปฏิเสธเขาไปแล้วล่ะค่ะ” เธอพูด

“ไม่มีทางที่เขาจะชวนไปกินข้าวเย็นเฉยๆแน่” ซูจือฉิงพูด “เธอห้ามไปเด็ดขาด ห้ามไปกินข้าวกลางวันกับเขา กลางคืนยิ่งไม่ได้ใหญ่!”

หลังจากที่เขาพูดเรื่องคั่วเจิ้งเหอชัดเจนแล้ว เขาก็ถามขึ้นมาว่า “น้องเขยในอนาคตของพี่กลับบ้านไปแล้วเหรอ?”

“ใช่ค่ะ หลายวันนี้เขาอาจจะยุ่งมาก”ซูเสี่ยวซวีพูด“ฉันเข้าไปอ่านในเวยป๋อของเขามาจํานวนคนเข้าชมสูงมากหลายคนอยากรักษากับเขาแต่เขากลับมาอยู่ที่ปักกิ่งนานเป็นอาทิตย์

ขณะเดียวกัน ภายในหมู่บ้านกลางเขา หวังเย้านั้นกําลังยุ่งอยู่จริงๆ เขารักษาคนไข้ไปแล้ว 20 กว่าคนและส่วนมากก็เป็นเด็ก

“หมอหวัง หรือนี่จะเป็นโรคระบาดคะ?” หญิงวัยสามสิบถาม “ครอบครัวเราไอกันทั้งบ้านเลย”

เธอมาหาหมอพร้อมกับลูกสาวคนโตวัยไม่เกิน 7 ขวบ ตัวเธอเองก็มีอาการไอเช่นกัน

“ใช่ครับ ยิ่งในระยะแรกของโรคยิ่งแพร่เชื้อได้ง่าย” หวังเย้าพูด

“หมอช่วยตรวจฉันด้วยได้ไหมคะ?” เธอถาม

“ได้สิครับ” หวังเย้าพูด

ทุกคนในบ้านล้วนมีอาการไอ มันคือการแพร่เชื้ออย่างหนึ่ง และอาการของเธอก็ยังแย่กว่าลูกสาวด้วยซ้ำหวังเย้าเขียนใบสั่งยาอีกตัวให้กับเธอมันมีรสขมกว่า แต่ประสิทธิภาพก็ดีกว่าด้วย

เขาบอกวิธีการเตรียมตัวยาและพูดว่า “กลับไปทําเองได้เลยนะครับ ภายในสามวันถึงจะเห็นผลเหมือนกับยาที่ให้กับเด็กๆ”

“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอพูด

“ช่วงนี้ อย่าพาลูกๆของคุณไปในที่ที่คนพลุ่งพล่านนะครับ” หวังเย้าแนะนํา

เด็กในวัยนี้ชื่นชอบการได้ออกไปเที่ยวสวนสนุกและสนามเด็กเล่น ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนนั้นง่ายต่อการแพร่เชื่ออย่างมาก

“ฉันจะจําเอาไว้ค่ะ” เธอพูด

หวังเย้าจิบชาจากถ้วยชาของเขาเอง ชาเย็นลงแล้ว เขาส่งเสียงเรียก “คนต่อไปครับ!”

หนึ่งวันของเขาผ่านไปเช่นนี้จนกระทั้ง 5 โมงเย็น ในเวลานี้ก็ยังมีคนไข้อีก 6 คนที่ยังรอตรวจอยู่

หวังเย้าโทรหาที่บ้านอีกครั้งและพูดว่า “ฟ้ว ผมคงต้องทํางานล่วงเวลานะครับ”

เขาตรวจคนไข้คนสุดท้ายเสร็จหลังหนึ่งทุ่ม ท้องฟ้ามืดแล้ว ไฟตามข้างทางภายในหมู่บ้านถูกเปิดสว่างไสว

“ทําไมถึงเพิ่งมาตอนนี้ล่ะ? คงเหนื่อยมากสินะ” จางซิวหยิ่งปวดใจ เขาทํางานตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งฟ้ามืด แม้แต่เวลาจะกินข้าวก็ยังไม่มี

“ครับ ผมเหนื่อยนิดหน่อย” หวังเข้าตอบ

“รีบกินข้าวเถอะจ๊ะ” จางซิวหยิงยกอาหารวางจนเต็มโต๊ะ

“แม่กับพ่อยังไม่ได้กินเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

“พวกเรารอลูกอยู่น่ะสิ” แม่ของเขาพูด “แม่ออกไปดูมาสองรอบ เห็นว่าข้างนอกคลินิกยังเหลือรถอีกไม่กี่คันแล้วแม่เลยคิดว่าอีกเดี๋ยวลูกก็คงกลับมาแล้ว”

“คราวหน้าไม่ต้องรอผมหรอกนะครับ” หวังเย้าพูด “แม่กับพ่อกินข้าวก่อนได้เลย”

“กินได้แล้ว” แม่ของเขาพูด

“ดื่มสักหน่อยไหม?”

“ครับ ผมจะไปเอาเหล้ามา” หวังเย้าพูด

เขาลุกขึ้นไปหยิบเหล้าชั้นดีมาขวดหนึ่ง เขาเทใส่แก้วให้พ่อของเขา ก่อนจะเทให้ตัวเองปกติเขาไม่ดื่มเหล้าและมักดื่มบางคราวกับพ่อของเขาหรือไม่ก็กับเพื่อนๆ

“วันนี้คนเยอะมากเลยสินะ” พ่อของเขาพูด

“ครับ มากกว่า 40 คน” หวังเย้าตอบ

ตั้งแต่ให้คําแนะนําไปจนถึงจ่ายยา ล้วนเป็นเขาทําคนเดียวทั้งหมด เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทําเวลา

“ลูกไม่คิดจะหาคนมาช่วยบ้างเหรอ?” พ่อของเขาถาม

“คิดครับ แต่มันยากอยู่สักหน่อย” หวังเย้าคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า“คนคนนั้นจะต้องมีพื้นฐานในเรื่องยาสมุนไพรและสามารถบอกชนิดของสมุนไพรและวัตถุดิบทํายาส่วนใหญ่ได้แล้วก็ต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์และถ่อมตัวด้วย”

เพราะหวังเย้ามีความลับอยู่กับตัวหลายอย่าง ถึงเขาจะระมัดระวังมากแค่ไหนแต่อาจมีรายละเอียดบางอย่างเผยออกมาได้ในเมื่อคนคนนั้นต้องอยู่ใกล้ชิดกับเขามันจึงเป็นเรื่องสําคัญสําหรับเขามาก

“อืม แต่ยังไงลูกก็ต้องคิดเอาไว้บ้าง” พ่อของเขาพูด “ลูกคงไม่อยากทําทุกอย่างคนเดียวทั้งหมดตลอดไปหรอก”

“ครับ ผมรู้แล้ว” หวังเย้าตอบ

หลังมื้อเย็น เขาพูดคุยอยู่กับพ่อแม่ ก่อนจะช่วยนวดเพื่อผ่อนคลายให้พวกเขาเมื่อเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน

ระหว่างเดินอยู่บนถนน เขาก็เห็นจงหลิวชวนอยู่ไม่ไกล จงหลิวชวนที่เห็นเขาก็วิ่งเข้ามาหา

“โอ้ เย็นขนาดนี้ยังออกมาข้างนอกอีกเหรอ?” หวังเย้าถาม

“ครับ” จงหลิวชวนตอบ “เย็นนี้ เรามาฝึกด้วยกันหน่อยไหมครับ?”

“เอาสิ” หวังเย้าพูด “เดินไปด้วยกันเถอะ”

ตอนที่เดินขึ้นเขานั้นหวังเข้าพบว่าการหายใจระหว่างที่กําลังเดินอยู่ของจงหลิวชวนดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการนั่ง,การนอน,และการเดินล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการฝึก“ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นมากเลยนะครับเนี่ย!”

“ก็ต้องขอบคุณทักษะที่เชียนเชิงสอนให้ยังไงล่ะครับ” จงหลิวชวนพูด

เขารู้สึกว่า วิธีการฝึกฝนที่ดูเรียบง่ายที่หวังเย้าสอนให้เขานั้นวิเศษอย่างมาก มันช่วยให้ร่างกายของเขายกระดับขึ้น ทั้งในเรื่องของกําลังกาย, ปฏิกิริยาตอบโต้,และสัญชาตญาณส่วนทักษะต่างๆนั้นล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของร่างกายเขาหากต้องการเก่งขึ้นก็จําต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งด้วย

“แล้วยังอ่านคัมภีร์เต่อยู่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม

“ครับ ผมอ่านทุกวัน” จงหลิวชวนพูด “ผมใช้เวลาอ่านคัมภีร์วันละหกชั่วโมง ตอนนี้ผมสามารถท่องเองได้แล้ว”

เขาต้องใจอ่านมคัมภีร์อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เปิดให้พอผ่านตาเท่านั้น ไม่มีใครคอยให้คําแนะนําหรือคอยกระตุ้นเตือนเขา เขาจําต้องพึ่งพาแค่ตัวเอง เขาจะเป็นเหมือนเหล่าพระสงฆ์ในบางวัดที่เอาแต่สวดมนต์และหลอกลวงผู้คนไม่ได้

“ทุกครั้งที่ผมท่องคัมภีร์เต๋ผมรู้สึกได้ว่าใจของผมสงบ และพลังที่เคลื่อนไหวภายในกายก็ช้าลงมากด้วย”จงหลิวชวนพูด

“การฝึกฝนถือเป็นการบ่มเพาะจิตวิญญาณไปในตัว ไม่ใช่แค่ฝึกให้จิตใจแข็งแกร่งและก้าวหน้าเพียงอย่างเดียว” หวังเย้าพูด

“เชียนเชิงพูดถูกแล้ว” จงหลิวชวนพูด “ผมเคยอ่านเจอในนิยายกําลังภายในของกิมยังว่าในวัดเส้าหลินก็มีคนที่ทําแบบนั้นได้เหมือนกันเขาเป็นคนแรกที่ฝึกฝนหลายกระบวนท่าจากทั้งหมด 72กระบวนท่าได้แต่มันกลับทําให้เขาไม่กลับและสูญเสียทุกอย่างไปเพราะเขาฝึกฝนจิตใจไม่มากพอจนทําให้จิตมารเข้าแทรกได้

“แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่ แล้วในตอนท้ายเขาก็กลายมาเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง” หวังเย้าพูด

ทั้งสองเดินมาถึงตีนเขา

“คุณไม่ได้ขึ้นไปบนเขาเลยใช่ไหมครับ?” หวังเย้าชี้ไปที่ยอดเขา

“ไม่เคยครับ” จงหลิวชวนตอบ

เขาเคยขึ้นไปบนยอดเขาทางตะวันออกซึ่งอยู่ใกล้กับเนินเขาหนานชานเท่านั้น และไม่เคยข้ามเขตเขาไปเลยสักครั้งถึงมันจะเป็นเรื่องง่ายสําหรับเขามากแค่ไหนก็ตามที

“งั้นเราไปที่นั่นกันเถอะ” หวังเข้าพูด

“ตอนนี้เลยเหรอครับ?” จงหลิวชวนแปลกใจ

“ใช่ ตอนนี้เลย” หวังเย้าพูด

เมื่อได้ยินเสียงคุยจากด้านล่าง ซานเซียนก็ลงมาจากเขา เมื่อมองดูซานเซียนในเวลากลางคืนก็ดูไม่ต่างจากสิงโตตัวหนึ่งเลย

“หมาดน่าเกรงขามอะไรแบบนี้!” จงหลิวชวนอทาน

เขาเคยเห็นซานเซียนจากไกลๆอยู่หลายครั้ง และก็ต้องตกใจกับขนาดของมันตอนนี้เขาได้มาเห็นใกล้ๆแล้ว เขาก็รู้ว่าตัวเองดูถูกมันเกินไปบรรยากาศรอบตัวซานเซียนเหนือกว่าสุนัขทั่วไปมากเห็นได้ชัดว่ามันเป็นสัตว์ป่าตัวหนึ่งแต่กลับยืนส่ายหางเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านายของมันเมื่อใดก็ตามที่มีคนแปลกหน้าล่วงล้ำเขตแดนมันจะทําให้คนแปลกหน้าต้องเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนั้น

“คิดว่ายังไงครับ?” หวังเย้าถาม

“มันสุดยอดมาก” จงหลิวชวนพูดโดยไม่ต้องคิด

เขาพูดออกมาจากใจจริง ตั้งแต่ที่เขาเดินมาถึงที่ตีนเขา เขาก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไปมันแปลกมากเขาหายใจได้โล่งขึ้นและรู้สึกผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัวเขารู้สึกเหมือนก่าลังแช่ตัวในน้ําร้อนมันเป็นความรู้สึกสบายที่ไม่สามารถอธิบายได้

“เขาลูกนี้มีพลังวิญญาณ” จงหลิวชวนพูด

“ใช่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด “เนินเขาหนานชานเป็นสถานที่ต้องห้าม มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยขึ้นมาบนนี้”

“ขอบคุณนะครับเขียนเชิง ที่เชื่อใจผม” จงหลิวชวนพูด

“ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเราไม่จําเป็นต้องมีมารยาทขนาดนั้นก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด “ในอนาคตผมอาจต้องเดินทางบ่อยขึ้น ในเวลานั้น คงต้องให้คุณช่วยดูแลหมู่บ้านแทนแล้ว”

“ไม่ต้องห่วงครับ เชียนเชิง ผมอยู่ที่นี่ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรแน่นอน”จงหลิวชวนพูด

“ดีครับ” หวังเย้าพยักหน้า เขาเชื่อใจจงหลิวชวน แต่เขาคงจะต้องยุ่งวุ่นวายจัดการกับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นมากมายในอนาคตด้วยตัวคนเดียว “คุณคงต้องหาคนมาช่วยด้วย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+