Elixir Supplier 793 จิ้งจอกเฒ่า

Now you are reading Elixir Supplier Chapter 793 จิ้งจอกเฒ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ที่ทะเล แถวแนวหินโสโครก” หลี่ฟางพูด

“บอกให้ชัดกว่านี้ไม่ได้เหรอ?” เจี้ยจื้อจายถาม

“มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” หลี่ฟางพูดแล้วยกขาขึ้นจิบ “นายก็รู้ว่าเขาไม่ได้เชื่อใจฉันมากขนาดนั้นเขายังระแวงฉันอยู่”

“ผู้ชายอย่างเขาใช้ชีวิตเหน็ดเหนื่อยเกินไป” เจี้ยจื้อจายพูด เขาพ่นควันบุหรี่ออกมา “เขาคอยป้องกันทางนี้ที่ทางนั้นที่ตลอดเวลา ไม่มีใครที่เขาเชื่อใจได้ นี่ นายว่าเวลาที่เขานอนกับผู้หญิงเขาจะระแวงว่าอีกฝ่ายเป็นนักฆ่ารึเปล่า? เธออาจจะฆ่าเขาตอนที่เขากับเธอกําลัง…แม้แต่จะมีความสุขก็ยังทําไม่ได้เลย!”

“เท่าที่ฉันรู้ บอสไม่แตะผู้หญิงเลย” หลี่ฟางพูด

เจี้ยจื้อจายสูดบุหรี่เข้าปอด “จุ๊ๆ เขาไม่ดื่ม, ไม่สูบ, ไม่ย้อมสีผม, ไม่แตะผู้หญิง… นี่เขาเป็นขันที่ใช่ไหม?”

“เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว” หลี่ฟางพูด “เขาไหว้หนวดอยู่นะ”

“นั่นอาจจะเป็นหนวดปลอมก็ได้” เลี้ยจื้อจายพูด

“ฉันคิดว่า เขาน่าจะมีคนที่ไว้ใจมากอยู่ด้วย” หลี่ฟางพูด

“ใคร?” เจียจื้อจายถาม

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง?” หลี่ฟางตอบ “แล้วฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”

“มีหลักฐานอะไรไหม?” เจี้ยจื้อจายถาม

“ไม่มี เดาจากสัญชาตญาณ” หลี่ฟางพูด

“สัญชาตญาณ? นั่นไม่ใช่ที่พวกผู้หญิงเอาไว้จับผิดพวกที่นอกใจหรอกเหรอ?” เจี้ยจื้อจายถามเขารู้ว่าหูเหมยมีสัญชาตญาณที่แม่นยํามาก เขาจึงไม่ชินเมื่อมาได้ยินจากปากหนุ่มใหญ่แบบนี้“แล้วบอสมีความสามารถอะไรบ้าง?”

“เขาเก่งเรื่องการต่อสู้ เป็นยอดฝีมือของจริง” หลี่ฟางพูด

“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว” เลี้ยจื้อจายพูด

“อาวุธแทบจะทําอะไรเขาไม่ได้เลย แล้วเขายังต้านทานพิษได้ด้วย” หลี่ฟางพูด “ความสามารถในการตัดสินคนของเขาก็ชั้นยอด”

“มีอะไรอีกไหม? ช่วยพูดให้จบในครั้งเดียวไม่ได้รึไง?” เจี้ยจื้อจายถาม เขารู้เรื่องที่หลี่ฟางพูดมาทั้งหมดอยู่แล้ว

“นั่นเป็นทั้งหมดที่ฉันรู้” หลี่ฟางพูด

“นายยังรู้น้อยกว่าฉันด้วยซ้ำ! นี่นายติดตามเขาโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลยงั้นเหรอ?” เจี่ยจื้อจายรู้สึกได้ว่าหลี่ฟางยังมีเรื่องที่ไม่ได้พูดออกมาและเก็บซ่อนบางอย่างเอาไว้

“ฉันรู้สึกว่า เขาน่าจะเก่งเรื่องใช้อาวุธด้วย” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลี่ฟางก็พูดขึ้นมา

“สัญชาตญาณอีกแล้วล่ะสิ?” เจี้ยจื้อจายถาม

“ฉันเห็นมือซ้ายของเขา” หลี่ฟางพูด “มือซ้ายของเขาด้านมาก น่าจะเป็นเพราะการจับอาวุธแต่ไม่ใช่ปืน”

“มือซ้าย?” เจี้ยจื้อจายคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นายบอกว่ามือซ้าย แต่ฉันจําได้ว่าเขาใช้มือขวาเซ็นเอกสารนะ”

“นั่นก็หมายความได้ว่า นายยังสังเกตไม่มากพอ” หลี่ฟางพูด “เขามีนิสัยชอบกําหมัดด้วยมือซ้ายมันเป็นความเคยชินที่แสดงออกมา”

“ถึงอาวุธจะทําอะไรเขาไม่ได้ แต่ระเบิดน่าจะพอทําอะไรเขาได้บ้าง” เจี้ยจื้อจายพูด “ปัญหาคือข้อมูลในมือของเขาที่ถูกซ่อนเอาไว้ ถ้าเขาตายของสิ่งนั้นก็จะถูกเปิดเผยออกมาไม่ใช่ว่าพวกเราก็ตายเหมือนกันหรอกเหรอ?”

เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้อมูลตกไปอยู่ในมือของคนอื่น มันก็ไม่ต่างจากการมีดาบแขวนอยู่เหนือหัวตลอดเวลามันอาจร่วงลงมาได้ทุกเมื่อและมันก็คือสาเหตุที่ทําให้เขาไม่สามารถนอนหลับและกินข้าวได้อย่างสบายใจ

“ฉันมีข้อมูลบางส่วนอยู่ในมือ” หลี่ฟางพูด

“นายมีของฉันไหม?” เจี้ยจื้อจายถาม

“ฉันไม่รู้” หลี่ฟางพูด

“หมายความว่ายังไง ที่ว่านายไม่รู้?” เจียจื้อจายถาม

“มันเป็นฮาร์ดไดร์ฟ” หลี่ฟางพูด “ฉันเคยให้คนที่เชี่ยวชาญเรื่อง
คอมพิวเตอร์ถอดรหัสดูแล้วไม่เพียงแต่มันจะมีรหัสให้กรอกเท่านั้น แต่คนคนนั้นยังบอกฉันด้วยว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันพยายามเปิดไฟล์ที่อยู่ด้านใน ตัวฮาร์ดไดร์ฟจะทําลายข้อมูลด้านในโดยอัตโนมัติและส่งข้อความไปหาใครบางคนทันที”

“บ้าเอ้ย ไอ้จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์” เจี้ยจื้อจายพูด “เขาให้นายรักษาข้อมูลแต่นายกลับไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรอยู่อย่างนั้นสินะ”

“ถูกต้อง” หลี่ฟางพูด

“แล้วถ้าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับเขาขึ้นมาล่ะ เขาได้บอกไหมว่านายต้องทํายังไง?”เจี้ยจื้อ

จายถาม

“เขาบอกให้ฉันเอาข้อมูลมอบให้กับเถิงเหว่ย” หลี่ฟางพูด

“เอ็งเหว่ย? เป็นไปไม่ได้!” เจี่ยจื้อจายส่ายหน้า “เขากับบอสเป็นอย่างสุดท้ายที่จะร่วมมือกันได้”

“มันอาจไม่ใช่ก็ได้” หลี่ฟางพูด “บางเรื่องอาจไม่ใช่อย่างที่พวกเขาแสดงให้เห็นก็ได้นายไม่มีทางรู้ได้เลยว่า มีกรรมการกี่คนที่ร่วมมือกันอยู่ หรือมีกี่คนที่เป็นคนของบอส”

“มีคนอยู่ฝ่ายเขาด้วยเหรอ?” เจี่ยจื้อจายถาม

“อ่าฮะ แม้แต่ซินหัวยังมีพวกพ้องตั้งหลายคน” หลี่ฟางพูด “เริ่มจากตามหาพวกเขาแล้วจัดการไปทีละคนแล้วเหลือบอสเป็นคนสุดท้าย แบบนั้นจะง่ายกับพวกเรามากกว่า”

ในเมื่ออาการของลูกชายเขาเริ่มแสดงสัญญาณที่ดีขึ้นแล้ว หลี่ฟางจึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเขามีความปรารถนาใหม่ในชีวิต เพราะเรื่องนั้น เขาจําต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา

“จ๊ๆๆ นายไม่ได้โหดเหี้ยมแบบนี้มานานแล้ว!” เจี้ยจื้อจายถอนหายใจ

“เรามาเริ่มกันเลยไหม?” หลี่ฟางถาม

“มาเริ่มกันเลย” เจี้ยจื้อจายตอบ

เมื่อดวงจันทร์มืดมนลมพัดแรง เวลาของการฆ่าและเผาทําลายก็ได้เริ่มต้นขึ้นเช้าวันต่อมาท้องฟ้ามืดครึม ไม่นานฝนก็เริ่มโปรยลงมา

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ เจิ้งอี้ชวนสามารถลุกออกจากเตียงโดยไม่ต้องพึ่งพาไม้ค่ำแล้วสีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ

“หัวหน้า ผมคิดว่าพวกเราน่าจะกลับกันได้แล้วนะครับ” เขาพูด

“ได้ ฉันจะไปบอกหมอหวังก่อน” เฉิงห่ายตงพูด

พวกเขาเดินไปลาหวังเย้าที่คลินิกด้วยกัน

“ครับ คุณกลับได้แล้วล่ะ” หวังเย้าหัวเราะและมอบซุปเป่ยหยวนกับพวกเขาด้วย“เอายานี้ไปด้วยนะครับ”

“ขอบคุณครับ หมอหวัง” เจิ้งอี้ชวนพูด “ในอนาคต ถ้าคุณต้องการให้ช่วยอะไรบอกผมได้เลยนะครับ”

“ได้ครับ” หวังเย้ายิ้มและพยักหน้ารับ

พวกเขาเชิญหวังเย้ากับจงหลิวชวนไปทานข้าวกลางวันที่ร้านอาหารด้วยกันที่โต๊ะอาหารเฉิงห่ายตงพูดเรื่องค่ารักษาขึ้นมาอีกครั้งแต่กลับถูกหวังเย้าเปลี่ยนเรื่องแทนในเมื่อเขาพูดไปแล้วว่าไม่คิดเงินเขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน

หลังทานอาหารเสร็จ เฉิงห่ายตงและเจิ้งอี้ชวนโบกมือลาพร้อมกับข้าวของอีกหลายอย่างรถขับเคลื่อนไปตามถนนคอนกรีตที่คับแคบ

เจิ้งอี้ชวนมองดูทิวเขาที่เรียงตัวไปตลอดสองข้างทาง ฐานทัพของพวกเขาต้องอยู่บนภูเขา

“หัวหน้า ที่นี่เป็นที่ที่ดีมากเลยนะครับ” เขาพูด

“ใช่ มันเป็นที่ที่ดีจริงๆ รวมถึงคนที่อยู่ที่นี้ด้วย” เฉิงห่ายตงพูด

การรักษาได้ช่วยชีวิตคนของเขาเอาไว้ได้ และคนเป็นหมอก็ไม่คิดเงินสักหยวนพวกทั้งประทับใจและนับถือในฝีมือการรักษาและหลักการของหวังเย้า

“เขามีเส้นสายกับทางตระกูลซูเหรอครับ?” เจิ้งอี้ชวนถาม

“ซูจือจึงเรียกเขาว่า น้องเขย” เฉิงห่ายตงพูด
“หา ทําไมหมอนั่นถึงได้แต่ของดีไปหมดแบบนี้ล่ะครับ?”เจิ้งอี้ชวนหัวเราะ หลายวันที่ได้ทําความรู้จักกันเขาก็เริ่มชื่นชอบหมอหวังมากขึ้น“น่าเสียดายที่ผมไม่มีน้องสาว”

“คนนั้นของตระกูลซูก็เป็นเขาที่รักษาจนหาย” เฉิงห่ายตงพูด

“อืม แสดงความขอบคุณโดยการมอบตัวเองให้สินะครับ?” เจิ้งอี้ชวนถาม “ก่อนหน้านี้ผมได้เจอเธอด้วยเธอสวยเหมือนนางฟ้าแต่ก็เหมาะกับหมอหวังดี”

แนวหินโสโครกแห่งหนึ่งในเมืองเต๋

“คิดจะเผยตัวเมื่อไหร่?” ชายคนหนึ่งถาม “งานบางอย่างในบริษัทแทบไม่เดินหน้าเลยลูกค้าบางคนก็เริ่มไม่พอใจแล้ว”

“รออีกสักหน่อย” ชายสวมหมวกเบสบอลพูด ใบหน้าของเขาดูซีดเล็กน้อย

“นายต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วย” ชายอีกคนพูด

“ได้ ตอนที่นายกลับไป ต้องระวังอย่าให้โดนจับตามองได้ล่ะ” ชายสวมหมวกเบสบอลพูด

ชายอีกคนถอนหายใจและเดินจากไป เขาเดินไปรอบๆและอ้อมไปไกลก่อนที่จะโบกมือเรียกแท็กซี่กลับไปเขาคิดว่าเขาระวังตัวดีแล้ว แต่กลับไม่รู้ตัวเลยว่าเขาถูกจับตามองไว้แล้ว

“นี่มันเกินคาดจริงๆ! มันเป็นเขา!” ชายคนหนึ่งอุทาน

“ใครเหรอ?” เจี้ยจื้อจายถาม

“ลุงหลี่ ที่เป็นยามยังไงล่ะ” ชายคนนั้นพูด

“โอ้ เชี่ย!” เจี่ยจื้อจายอึ้ง “นายมองดูชัดแล้วใช่ไหม?”

“แน่นอน ฉันเห็นจริงๆ” เขาพูด

“เป็นไปได้ยังไงกัน?” เจี้ยจื้อจายเกาหัว

เขาเห็นหน้าชายชราคนนี้ทุกครั้งที่เขาไปที่บริษัท เขาเป็นชายชราวัยหกสิบกว่าที่อารมณ์ดีอยู่เสมอเขาสามารถพูดคุยได้กับทุกคน และเป็นเพียงยามคนหนึ่งเท่านั้น คงไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นคนที่สนิทชิดเชื้อกับเจ้าของบริษัทผู้ที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรคนนั้น

“เราไม่สามารถตัดสินหนังสือจากแค่หน้าปกจริงๆสินะ” เจียจื้อจายพูด “สืบเรื่องของเขามา!”

ไม่มีใครให้ความสนใจคนแบบเขา หรือคิดมากเกี่ยวกับตัวตนของเขาเพราะเขาเป็นแค่ยามคนหนึ่งเท่านั้น เขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัทด้วยซ้ำไป

“เขาซ่อนตัวได้ลึกมากจริงๆ” เจี้ยจื้อจายพูด

พวกเขาได้เบาะแสที่จะสืบต่อจากนี้แล้ว การสืบสวนเรื่องราวรอบตัวลุงหลได้เริ่มขึ้นแล้ว

เจิ้งเหว่ยจวันเดินทางมาที่หมู่บ้านกลางเขา การก่อสร้างบริษัทยาหนานชานดําเนินไปอย่างราบรื่นโครงการหลักถูกวางให้สร้างสําเร็จในเดือนตุลาคมกระบวนการอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องก็เป็นไปด้วยดีเช่นกันเขาจึงวางงานทุกอย่างและเดินทางมาหาหวังเย้า

“เชียนเชิง ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ?” เขาถาม

“โชคดีที่หลายวันมานี้มีคนไข้ไม่มากเท่าไหร่” หวังเย้าพูด “คุณดูดีเลยนี่!”

“ก็ดีครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

เมื่อคนเรามีความสุขพวกเขามักดูสดใสช่วงนี้เขามีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้นและอํานาจในมือของเขาก็เพิ่มตามไปด้วยนี่หมายถึงความไว้วางใจที่ตระกูลมอบให้และเป็นการทดสอบเขาด้วยเช่นกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Elixir Supplier 793 จิ้งจอกเฒ่า

Now you are reading Elixir Supplier Chapter 793 จิ้งจอกเฒ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ที่ทะเล แถวแนวหินโสโครก” หลี่ฟางพูด

“บอกให้ชัดกว่านี้ไม่ได้เหรอ?” เจี้ยจื้อจายถาม

“มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” หลี่ฟางพูดแล้วยกขาขึ้นจิบ “นายก็รู้ว่าเขาไม่ได้เชื่อใจฉันมากขนาดนั้นเขายังระแวงฉันอยู่”

“ผู้ชายอย่างเขาใช้ชีวิตเหน็ดเหนื่อยเกินไป” เจี้ยจื้อจายพูด เขาพ่นควันบุหรี่ออกมา “เขาคอยป้องกันทางนี้ที่ทางนั้นที่ตลอดเวลา ไม่มีใครที่เขาเชื่อใจได้ นี่ นายว่าเวลาที่เขานอนกับผู้หญิงเขาจะระแวงว่าอีกฝ่ายเป็นนักฆ่ารึเปล่า? เธออาจจะฆ่าเขาตอนที่เขากับเธอกําลัง…แม้แต่จะมีความสุขก็ยังทําไม่ได้เลย!”

“เท่าที่ฉันรู้ บอสไม่แตะผู้หญิงเลย” หลี่ฟางพูด

เจี้ยจื้อจายสูดบุหรี่เข้าปอด “จุ๊ๆ เขาไม่ดื่ม, ไม่สูบ, ไม่ย้อมสีผม, ไม่แตะผู้หญิง… นี่เขาเป็นขันที่ใช่ไหม?”

“เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว” หลี่ฟางพูด “เขาไหว้หนวดอยู่นะ”

“นั่นอาจจะเป็นหนวดปลอมก็ได้” เลี้ยจื้อจายพูด

“ฉันคิดว่า เขาน่าจะมีคนที่ไว้ใจมากอยู่ด้วย” หลี่ฟางพูด

“ใคร?” เจียจื้อจายถาม

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง?” หลี่ฟางตอบ “แล้วฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”

“มีหลักฐานอะไรไหม?” เจี้ยจื้อจายถาม

“ไม่มี เดาจากสัญชาตญาณ” หลี่ฟางพูด

“สัญชาตญาณ? นั่นไม่ใช่ที่พวกผู้หญิงเอาไว้จับผิดพวกที่นอกใจหรอกเหรอ?” เจี้ยจื้อจายถามเขารู้ว่าหูเหมยมีสัญชาตญาณที่แม่นยํามาก เขาจึงไม่ชินเมื่อมาได้ยินจากปากหนุ่มใหญ่แบบนี้“แล้วบอสมีความสามารถอะไรบ้าง?”

“เขาเก่งเรื่องการต่อสู้ เป็นยอดฝีมือของจริง” หลี่ฟางพูด

“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว” เลี้ยจื้อจายพูด

“อาวุธแทบจะทําอะไรเขาไม่ได้เลย แล้วเขายังต้านทานพิษได้ด้วย” หลี่ฟางพูด “ความสามารถในการตัดสินคนของเขาก็ชั้นยอด”

“มีอะไรอีกไหม? ช่วยพูดให้จบในครั้งเดียวไม่ได้รึไง?” เจี้ยจื้อจายถาม เขารู้เรื่องที่หลี่ฟางพูดมาทั้งหมดอยู่แล้ว

“นั่นเป็นทั้งหมดที่ฉันรู้” หลี่ฟางพูด

“นายยังรู้น้อยกว่าฉันด้วยซ้ำ! นี่นายติดตามเขาโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลยงั้นเหรอ?” เจี่ยจื้อจายรู้สึกได้ว่าหลี่ฟางยังมีเรื่องที่ไม่ได้พูดออกมาและเก็บซ่อนบางอย่างเอาไว้

“ฉันรู้สึกว่า เขาน่าจะเก่งเรื่องใช้อาวุธด้วย” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลี่ฟางก็พูดขึ้นมา

“สัญชาตญาณอีกแล้วล่ะสิ?” เจี้ยจื้อจายถาม

“ฉันเห็นมือซ้ายของเขา” หลี่ฟางพูด “มือซ้ายของเขาด้านมาก น่าจะเป็นเพราะการจับอาวุธแต่ไม่ใช่ปืน”

“มือซ้าย?” เจี้ยจื้อจายคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นายบอกว่ามือซ้าย แต่ฉันจําได้ว่าเขาใช้มือขวาเซ็นเอกสารนะ”

“นั่นก็หมายความได้ว่า นายยังสังเกตไม่มากพอ” หลี่ฟางพูด “เขามีนิสัยชอบกําหมัดด้วยมือซ้ายมันเป็นความเคยชินที่แสดงออกมา”

“ถึงอาวุธจะทําอะไรเขาไม่ได้ แต่ระเบิดน่าจะพอทําอะไรเขาได้บ้าง” เจี้ยจื้อจายพูด “ปัญหาคือข้อมูลในมือของเขาที่ถูกซ่อนเอาไว้ ถ้าเขาตายของสิ่งนั้นก็จะถูกเปิดเผยออกมาไม่ใช่ว่าพวกเราก็ตายเหมือนกันหรอกเหรอ?”

เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้อมูลตกไปอยู่ในมือของคนอื่น มันก็ไม่ต่างจากการมีดาบแขวนอยู่เหนือหัวตลอดเวลามันอาจร่วงลงมาได้ทุกเมื่อและมันก็คือสาเหตุที่ทําให้เขาไม่สามารถนอนหลับและกินข้าวได้อย่างสบายใจ

“ฉันมีข้อมูลบางส่วนอยู่ในมือ” หลี่ฟางพูด

“นายมีของฉันไหม?” เจี้ยจื้อจายถาม

“ฉันไม่รู้” หลี่ฟางพูด

“หมายความว่ายังไง ที่ว่านายไม่รู้?” เจียจื้อจายถาม

“มันเป็นฮาร์ดไดร์ฟ” หลี่ฟางพูด “ฉันเคยให้คนที่เชี่ยวชาญเรื่อง
คอมพิวเตอร์ถอดรหัสดูแล้วไม่เพียงแต่มันจะมีรหัสให้กรอกเท่านั้น แต่คนคนนั้นยังบอกฉันด้วยว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันพยายามเปิดไฟล์ที่อยู่ด้านใน ตัวฮาร์ดไดร์ฟจะทําลายข้อมูลด้านในโดยอัตโนมัติและส่งข้อความไปหาใครบางคนทันที”

“บ้าเอ้ย ไอ้จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์” เจี้ยจื้อจายพูด “เขาให้นายรักษาข้อมูลแต่นายกลับไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรอยู่อย่างนั้นสินะ”

“ถูกต้อง” หลี่ฟางพูด

“แล้วถ้าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับเขาขึ้นมาล่ะ เขาได้บอกไหมว่านายต้องทํายังไง?”เจี้ยจื้อ

จายถาม

“เขาบอกให้ฉันเอาข้อมูลมอบให้กับเถิงเหว่ย” หลี่ฟางพูด

“เอ็งเหว่ย? เป็นไปไม่ได้!” เจี่ยจื้อจายส่ายหน้า “เขากับบอสเป็นอย่างสุดท้ายที่จะร่วมมือกันได้”

“มันอาจไม่ใช่ก็ได้” หลี่ฟางพูด “บางเรื่องอาจไม่ใช่อย่างที่พวกเขาแสดงให้เห็นก็ได้นายไม่มีทางรู้ได้เลยว่า มีกรรมการกี่คนที่ร่วมมือกันอยู่ หรือมีกี่คนที่เป็นคนของบอส”

“มีคนอยู่ฝ่ายเขาด้วยเหรอ?” เจี่ยจื้อจายถาม

“อ่าฮะ แม้แต่ซินหัวยังมีพวกพ้องตั้งหลายคน” หลี่ฟางพูด “เริ่มจากตามหาพวกเขาแล้วจัดการไปทีละคนแล้วเหลือบอสเป็นคนสุดท้าย แบบนั้นจะง่ายกับพวกเรามากกว่า”

ในเมื่ออาการของลูกชายเขาเริ่มแสดงสัญญาณที่ดีขึ้นแล้ว หลี่ฟางจึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเขามีความปรารถนาใหม่ในชีวิต เพราะเรื่องนั้น เขาจําต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา

“จ๊ๆๆ นายไม่ได้โหดเหี้ยมแบบนี้มานานแล้ว!” เจี้ยจื้อจายถอนหายใจ

“เรามาเริ่มกันเลยไหม?” หลี่ฟางถาม

“มาเริ่มกันเลย” เจี้ยจื้อจายตอบ

เมื่อดวงจันทร์มืดมนลมพัดแรง เวลาของการฆ่าและเผาทําลายก็ได้เริ่มต้นขึ้นเช้าวันต่อมาท้องฟ้ามืดครึม ไม่นานฝนก็เริ่มโปรยลงมา

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ เจิ้งอี้ชวนสามารถลุกออกจากเตียงโดยไม่ต้องพึ่งพาไม้ค่ำแล้วสีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ

“หัวหน้า ผมคิดว่าพวกเราน่าจะกลับกันได้แล้วนะครับ” เขาพูด

“ได้ ฉันจะไปบอกหมอหวังก่อน” เฉิงห่ายตงพูด

พวกเขาเดินไปลาหวังเย้าที่คลินิกด้วยกัน

“ครับ คุณกลับได้แล้วล่ะ” หวังเย้าหัวเราะและมอบซุปเป่ยหยวนกับพวกเขาด้วย“เอายานี้ไปด้วยนะครับ”

“ขอบคุณครับ หมอหวัง” เจิ้งอี้ชวนพูด “ในอนาคต ถ้าคุณต้องการให้ช่วยอะไรบอกผมได้เลยนะครับ”

“ได้ครับ” หวังเย้ายิ้มและพยักหน้ารับ

พวกเขาเชิญหวังเย้ากับจงหลิวชวนไปทานข้าวกลางวันที่ร้านอาหารด้วยกันที่โต๊ะอาหารเฉิงห่ายตงพูดเรื่องค่ารักษาขึ้นมาอีกครั้งแต่กลับถูกหวังเย้าเปลี่ยนเรื่องแทนในเมื่อเขาพูดไปแล้วว่าไม่คิดเงินเขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน

หลังทานอาหารเสร็จ เฉิงห่ายตงและเจิ้งอี้ชวนโบกมือลาพร้อมกับข้าวของอีกหลายอย่างรถขับเคลื่อนไปตามถนนคอนกรีตที่คับแคบ

เจิ้งอี้ชวนมองดูทิวเขาที่เรียงตัวไปตลอดสองข้างทาง ฐานทัพของพวกเขาต้องอยู่บนภูเขา

“หัวหน้า ที่นี่เป็นที่ที่ดีมากเลยนะครับ” เขาพูด

“ใช่ มันเป็นที่ที่ดีจริงๆ รวมถึงคนที่อยู่ที่นี้ด้วย” เฉิงห่ายตงพูด

การรักษาได้ช่วยชีวิตคนของเขาเอาไว้ได้ และคนเป็นหมอก็ไม่คิดเงินสักหยวนพวกทั้งประทับใจและนับถือในฝีมือการรักษาและหลักการของหวังเย้า

“เขามีเส้นสายกับทางตระกูลซูเหรอครับ?” เจิ้งอี้ชวนถาม

“ซูจือจึงเรียกเขาว่า น้องเขย” เฉิงห่ายตงพูด
“หา ทําไมหมอนั่นถึงได้แต่ของดีไปหมดแบบนี้ล่ะครับ?”เจิ้งอี้ชวนหัวเราะ หลายวันที่ได้ทําความรู้จักกันเขาก็เริ่มชื่นชอบหมอหวังมากขึ้น“น่าเสียดายที่ผมไม่มีน้องสาว”

“คนนั้นของตระกูลซูก็เป็นเขาที่รักษาจนหาย” เฉิงห่ายตงพูด

“อืม แสดงความขอบคุณโดยการมอบตัวเองให้สินะครับ?” เจิ้งอี้ชวนถาม “ก่อนหน้านี้ผมได้เจอเธอด้วยเธอสวยเหมือนนางฟ้าแต่ก็เหมาะกับหมอหวังดี”

แนวหินโสโครกแห่งหนึ่งในเมืองเต๋

“คิดจะเผยตัวเมื่อไหร่?” ชายคนหนึ่งถาม “งานบางอย่างในบริษัทแทบไม่เดินหน้าเลยลูกค้าบางคนก็เริ่มไม่พอใจแล้ว”

“รออีกสักหน่อย” ชายสวมหมวกเบสบอลพูด ใบหน้าของเขาดูซีดเล็กน้อย

“นายต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วย” ชายอีกคนพูด

“ได้ ตอนที่นายกลับไป ต้องระวังอย่าให้โดนจับตามองได้ล่ะ” ชายสวมหมวกเบสบอลพูด

ชายอีกคนถอนหายใจและเดินจากไป เขาเดินไปรอบๆและอ้อมไปไกลก่อนที่จะโบกมือเรียกแท็กซี่กลับไปเขาคิดว่าเขาระวังตัวดีแล้ว แต่กลับไม่รู้ตัวเลยว่าเขาถูกจับตามองไว้แล้ว

“นี่มันเกินคาดจริงๆ! มันเป็นเขา!” ชายคนหนึ่งอุทาน

“ใครเหรอ?” เจี้ยจื้อจายถาม

“ลุงหลี่ ที่เป็นยามยังไงล่ะ” ชายคนนั้นพูด

“โอ้ เชี่ย!” เจี่ยจื้อจายอึ้ง “นายมองดูชัดแล้วใช่ไหม?”

“แน่นอน ฉันเห็นจริงๆ” เขาพูด

“เป็นไปได้ยังไงกัน?” เจี้ยจื้อจายเกาหัว

เขาเห็นหน้าชายชราคนนี้ทุกครั้งที่เขาไปที่บริษัท เขาเป็นชายชราวัยหกสิบกว่าที่อารมณ์ดีอยู่เสมอเขาสามารถพูดคุยได้กับทุกคน และเป็นเพียงยามคนหนึ่งเท่านั้น คงไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นคนที่สนิทชิดเชื้อกับเจ้าของบริษัทผู้ที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรคนนั้น

“เราไม่สามารถตัดสินหนังสือจากแค่หน้าปกจริงๆสินะ” เจียจื้อจายพูด “สืบเรื่องของเขามา!”

ไม่มีใครให้ความสนใจคนแบบเขา หรือคิดมากเกี่ยวกับตัวตนของเขาเพราะเขาเป็นแค่ยามคนหนึ่งเท่านั้น เขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัทด้วยซ้ำไป

“เขาซ่อนตัวได้ลึกมากจริงๆ” เจี้ยจื้อจายพูด

พวกเขาได้เบาะแสที่จะสืบต่อจากนี้แล้ว การสืบสวนเรื่องราวรอบตัวลุงหลได้เริ่มขึ้นแล้ว

เจิ้งเหว่ยจวันเดินทางมาที่หมู่บ้านกลางเขา การก่อสร้างบริษัทยาหนานชานดําเนินไปอย่างราบรื่นโครงการหลักถูกวางให้สร้างสําเร็จในเดือนตุลาคมกระบวนการอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องก็เป็นไปด้วยดีเช่นกันเขาจึงวางงานทุกอย่างและเดินทางมาหาหวังเย้า

“เชียนเชิง ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ?” เขาถาม

“โชคดีที่หลายวันมานี้มีคนไข้ไม่มากเท่าไหร่” หวังเย้าพูด “คุณดูดีเลยนี่!”

“ก็ดีครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

เมื่อคนเรามีความสุขพวกเขามักดูสดใสช่วงนี้เขามีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้นและอํานาจในมือของเขาก็เพิ่มตามไปด้วยนี่หมายถึงความไว้วางใจที่ตระกูลมอบให้และเป็นการทดสอบเขาด้วยเช่นกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+