ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 574 มือสังหาร

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 574 มือสังหาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 574 มือสังหาร

ทางนี้มีบุคลากรไม่น้อยเลย อีกทั้งประตูเมืองมีคนมากมายผ่านเข้าออกมิใช่สถานที่เหมาะพูดคุย ถูไหวอี้จึงพาคนออกจากเมืองก่อน

พอมาถึงสถานที่โล่งกว้างนอกเมือง ถูไหวอี้จึงรั้งม้าหยุดรอเฉาเซิ่งไหวเข้ามาใกล้

“เฉาเซิ่งไหวศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ ขอบพระคุณใต้เท้าไหวที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์” เฉาเซิ่งไหวที่อยู่บนหลังม้าประสานมือเอ่ยขอบคุณ

ถูไหวอี้โบกมือพลางเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อชาวแคว้นซ่ง ตัวข้าในฐานะราชทูตแคว้นซ่งออกหน้าช่วยเหลือก็สมเหตุสมผลแล้ว ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าแซ่วเฉา ไม่ทราบว่ารู้จักกับผู้อาวุโสเฉาจิ่งแห่งสำนักหมื่นสรรพสัตว์หรือไม่?”

เฉาเซิ่งไหวเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสเฉาก็คือท่านปู่ของข้าพเจ้า”

“โอ้!” ถูไหวอี้มีสีหน้ากระจ่างขึ้นมาในทันใด ลูบเคราพยักหน้าเอ่ยไปว่า “นึกถึงอดีตข้าก็เคยพบหน้าท่านปู่เจ้าที่เมืองหลวงแคว้นซ่งอยู่สองสามหน ความสง่างามของท่านปู่จำยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของข้า ไม่คิดเลยว่าจะได้พบหลานชายผู้อาวโสเฉาที่นี่”

พูดคุยสานไมตรีไปก่อนจากนั้นเอ่ยถามต่อว่า “ใช่แล้ว เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”

เฉาเซิ่งไหวกล่าวว่า “เมื่อไม่นานมานี้ได้รับอนุญาตจากทางสำนักให้ออกมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ข้าท่องเที่ยวมาจนถึงที่นี่ ผู้ใดจะคาดว่ากลับถูกทาสชั่วคนหนึ่งจงใจพุ่งชน แต่ดันมาปรักปรำว่าข้าเป็นฝ่ายชนเขา เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าตั้งใจสมคบคิดกับทหารยามเฝ้าประตูเมืองเพื่อรีดไถเงิน น่าโมโหจริงๆ! ตอนนี้จะปล่อยให้พวกเขาได้ใจไปก่อน วันหน้าจะกลับมาคิดบัญชีกับพวกเขาอีกครั้ง ให้พวกเขาต้องสำรอกผลประโยชน์ที่ฮุบกินไปออกมา แค่กลุ่มสุนัขตาไร้แววกลุ่มหนึ่ง กล้ามารังแกข้าได้! ใต้เท้าถูไม่ควรให้เงินพวกเขาเลย ข้าก็อยากเห็นนักว่าพวกเขาจะกล้าทำอันใดข้า!”

ถูไหวอวี้หัวเราะฮ่า โบกมือเอ่ยไปว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้า เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องโมเลย ผ่านไปแล้วก็แล้วกันไปเถิด ไปถือสาหาความกับคนชั้นต่ำเช่นนี้ออกจะเป็นการลดเกียรติไป กำลังจะเหตุเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นแล้ว อีกเดี๋ยวคนพวกนี้ก็ต้องน้ำตานองหน้าจ มีคนมาจัดการแทนแน่นอน เจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือเลย”

แววตาเฉาเซิ่งไหววูบไหว “ระหว่างทางข้าได้ยินว่าแคว้นจ้าวจะเข้าโจมตีมณฑลจินโจว ฟังความหมายจากวาจาของใต้เท้าถูแล้ว หรือว่าจะเป็นความจริงกัน?”

“มีความเป็นไปได้กระมัง” ถูไหวอี้ไม่ได้ตอบแน่ชัด มีฐานะราชทูตแคว้นซ่งจึงไม่อยากคุยเรื่องแว่นแคว้นกับคนนอกส่งเดช ดังนั้นจึงเบี่ยงหัวข้อไป “เจ้าจะไปที่ใดหรือ?”

เฉาเซิ่งไหวกล่าวว่า “ออกท่องไปทั่วหล้า มาเยือนแคว้นจ้าวทั้งทีย่อมต้องไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวงแคว้นจ้าว กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงแคว้นจ้าว ไม่มทราบว่าใต้เท้าถูจะไปที่ใดหรือ?”

ถูไหวอี้หัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “กำลังจะกลับไปยังจวนราชทูต ณ แคว้นจ้าว หากไม่รังเกียจ มิสู้ร่วมทางไปด้วยกันเถิด จะได้คอยดูแลกันและกันด้วย”

หากเป็นศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ธรรมดาไม่มีทางได้รับคำเชิญเช่นนี้ แต่หลานชายของเฉาจิ่งย่อมต่างออกไป สามารถอาศัยโอกาสสานสัมพันธ์กับเฉาจิ่งได้

ในเมื่อยืนยันภูมิหลังฐานะของเฉาจิ่งมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลอันใดอีก

ไหนเลยจะทราบว่าเฉาเซิ่งไหวมีความคิดแอบแฝงอยู่ ทำให้เขาไม่ต้องเอ่ยขอด้วยตัวเองแล้ว “เคารพมิสู้คล้อยตาม อาตามที่ใต้เท้าถูว่ามาเถิด”

“ดี!” ถูไหวอวี้ยิ้มพลางโบกมือ ขบวนม้าออกเดินทางต่อ

ตลอดการเดินทางนี้ ผู้มาเยือนและเจ้าถิ่นพูดคุยยิ้มหัว

ในช่วงเที่ยงวัน เมื่อทั้งคณะเดินทางผ่านแถบป่าเขาแห่งหนึ่งก็เกิดเหตุขึ้นอย่างกะทันหัน

“ผู้ใดกัน?” องครักษ์ประจำตัวถูไหวอวี้สังเกตเห็นความผิดปกติเป็นรายแรก

สังเกตเห็นไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว คนที่ก่อเหตุผิดปกติขึ้นมาไม่มีทางยอมล่าถอย แต่ดาหน้าเข้ามา

วินาทีนั้น คนชุดดำโพกหน้าสิบกว่าคนพุ่งโจมตีเข้ามา กระบวนท่าโจมตีร้ายกาจ พลังน่าหวาดหวั่น ทำให้ทางนี้เกิดความโกลาหลยกใหญ่ มีเสียงดังครึกโครมแว่วขึ้นไม่ขาดสาย

มือสังหารไม่สนใจคนอื่น พุ่งตรงเข้าหาถูไหวอวี้ที่ถูกทุกคนคุ้มกันอยู่

ทางฝั่งนี้พยายามขัดขวางสุดกำกลัง กลุ่มหนึ่งคอยสกัดกั้น อีกกลุ่มคุ้มกันถูไหวอวี้ให้หลบหนีออกไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว

ถูไหวอวี้ตกใจจนใบหน้าแก่ๆ ถอดสีแล้ว

แต่ในจังหวะนี้เอง พลันมีคนโพกหน้าอีกหลายสิบคนปรากฏตัวขึ้นในเขตพื้นที่หลบหนี มุ่งตรงเข้าหาถูไหวอี้ พลังแกร่งกล้าจนทำให้ทางนี้ยากจะสกัดได้

ประกอบกันมีคนจำนวนหนึ่งถูกล่อให้คอยสกัดกั้นอยู่ด้านหน้า พอทางนี้เผชิญการโจมตีที่แข็งแกร่งกว่าขึ้นมาอีกก็ยากจะตามมาสนับสนุนได้

เฉาเซิ่งไหวที่ปะปนอยู่ในกลุ่มคนที่ต่อสู้อยู่ขวัญหนีดีฝ่อ ตกใจกำลังกองกำลังของหนิวโหย่วเต้า ไม่คิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะมียอดฝีมือในสังกัดมากมายปานนี้

“อ๊าก!” ระหว่างการต่อสู้ดุเดือด ถูไหวอวี้แผดร้องโหยหวนขึ้นมา ถูกปราณกระบี่สายหนึ่งฟันร่างขาดเป็นสองท่อน

เขาเบิกตาโพลง นึกเสียใจก่อนตายที่ไม่ได้เรียกวิหคพาหนะมาใช้เดินทางกลับเมืองหลวงแคว้นจ้าว

ไหนเลยจะทราบว่าต่อให้เรียกวิหคพาหนะมาก็ไร้ประโยชน์ จำนวนที่เขาเรียกใช้งานได้มีจำกัด ผู้คุ้มกันติดตามไปได้ไม่มาก แต่ทางฝั่งมือสังหารกลับมิใช่เช่นนั้น มีแต่จะประสบภัยเร็วขึ้นกว่าเดิม

ต้องทราบด้วยว่า กองกำลังที่ใครบางคนเรียกใช้งานมิใช่มือสังหารธรรมดา แต่เป็นมือสังหารที่มีไว้ใช้รับมือตามกำลังของเป้าหมาย

“ไป!” เมื่อมือสังหารลงมือสำเร็จก็มีคนตะโกนขึ้นมาทันที กลุ่มมือสังหารรวมตัวกันแล้วล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว ใช้ซากศพที่อยู่ทางฝั่ง มีการคุ้มกันเพื่อพาศพของคนฝั่งตนจากไปด้วย

“ตาม!” องครักษ์ของฝั่งนี้ตวาดกร้าว

คนกลุ่มหนึ่งไล่ตามไปทันที เพิ่งไล่ตามเข้าป่าไป มือสังหารที่หลบหนีอยู่ด้านหน้าได้โยนเงาดำๆ มากมายออกมาอย่างเนืองแน่น มีควันโขมงฟุ้งขึ้นในอากาศ

ควันตลบอบอวลไปทั่วป่าและในอากาศ ไม่ทราบว่ามีพิษหรือไม่ ทางนี้ตกใจรีบหยุดเท้าพลางล่าถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าเข้าใกล้อีก

เห็นได้ชัดว่ามือสังหารกลุ่มนั้นผ่านประสบการณ์ลอบสังหารมาอย่างโชกโชน หลังจากลงมือครานี้ ทางนี้รอจนควันทึบสลายตัวไปไหนเลยจะยังมองเห็นเงาร่างของกลุ่มมือสังหารอีก ไม่รู้ว่าหนีไปหลบซ่อนตามที่ใดในป่าลึกตั้งนานแล้ว

เมื่อตามไม่ได้ก็ทำได้เพียงย้อนกลับมา

ซากศพเกลื่อนกลาด ผู้นำของกลุ่มฝ่าซือติดตามค่อยๆ ย่อตัวลงข้างศพของถูไหวอวี้ที่ตายตาไม่หลับ อดไม่ได้ที่จะกัดฟันขบริมฝีปาก ถึงขั้นที่หนังหัวชาไปหมดแล้วแล้ว เช่นนี้จะให้เขากลับไปอธิบายต่อทางราชสำนักแคว้นซ่งอย่างไรเล่า?

กลุ่มองครักษ์และคณะบุคลากรล้วนค่อนข้างสับสนแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดถึงเผชิญการลอบสังหารที่รุนแรงทรงพลังเช่นนี้ได้? ขนาดกำลังป้องกันของฝั่งพวกเขาก็ยังไม่อาจหยุดยั้งการโจมตีได้!

เฉาเซิ่งไหวที่เดินแทรกผ่านกลุ่มคนเข้ามายื่นผ้าโพกหน้าผืนหนึ่งไปด้านหน้าของหลูเฉิงไห่ที่นั่งยองๆ อยู่ “ระหว่างที่ต่อสู้ข้าทำสิ่งนี้หลุดออกมาจากหน้าของมือสังหาร ข้าเคยเห็นหน้าของมือสังหารคนนั้นมาก่อน”

ก่อนหน้านี้เขาก็เรียกได้ว่าสู้สุดชีวิตเช่นกัน ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยต่อสู้อย่างไม่กลัวตายเช่นนี้มาก่อนเลย

แน่นอนว่าเป็นเพราะเขามีความมั่นใจอยู่เช่นกัน เขารู้ดีว่ามือสังหารไม่มีทางลงมือสังหารเขา

ทุกคนหันไปมองเขาอย่างรวดเร็ว หลูเฉิงไห่ก็ลุกขึ้นมาทันที เอ่ยถามด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม “เป็นผู้ใด?”

เฉาเซิ่งไหวกล่าวว่า “หากข้าจำไม่ผิดไปละก็ น่าจะชื่อว่าสวีเกา”

“สวีเกาหรือ?” หลูเฉิงไห่เบิกตากว้าง เอ่ยเสียงเครียด “น้องเฉาแน่ใจหรือว่าเป็นสวีเกา”

ทุกคนมองหน้ากัน สวีเกาหรือ? ในกลุ่มฝ่าซือติดตามของคณะทูตแคว้นเยี่ยนก็มีคนที่ชื่อสวีเกาอยู่คนหนึ่ง

คณะทูตของแคว้นต่างๆ ชิงไหวชิงพริบกันมาช้านาน จะไม่รู้จักบุคลากรทุกคนในคณะของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนไว้ได้หรือ?

เฉาเซิ่งไหวเอ่ยว่า “ข้าเคยพบคนผู้นี้ที่เมืองวั่นเซี่ยงมาก่อน เห็นเขาแทะโลมสตรีนางหนึ่งอยู่ข้างทาง ข้าจึงออกหน้าขัดขวางไว้ดังนั้นจึงจดจำได้”

เป็นการพูดเหลวไหลทั้งเพ แต่เขาเคยพบสวีเกามาก่อนจริงๆ เพียงแต่เป็นการพบกันเมื่อคืนนี้ เขาตกอยู่ในกำมือของหนิวโหย่วเต้าแล้ว ทางหนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้ทรมานง้างปากหาข้อมูลอันใดจากสวีเกาเช่นกัน เพียงสุ่มหลอกถามมาเล็กน้อยเพื่อให้เฉาเซิ่งไหวนำมาใช้ประโยชน์ได้เท่านั้น

“เกาเส่าหมิง ไอ้สารเลว!” มีคนด่าออกมาในทันใด

ทั้งกลุ่มล้วนนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาแล้ว ในงานเลี้ยงของเรือนรับรองอวลสุคนธา ใต้เท้าถูเคยทะเลาะกับเกาเส่าหมิง ยามนั้นใต้เท้าถูยกเรื่องการตายของซ่งหลงราชทูตแคว้นเยี่ยนคนเก่ามาเสียดสีอีกฝ่าย สื่อว่าให้อีกฝ่ายระวังจะซ้ำรอยเดิมกับซ่งหลง ไม่คิดเลยว่าเกาเส่าหมิงจะเจ้าคิดเจ้าแค้นปานนี้

คิดๆ ไปก็ว่าถูกแล้ว กองกำลังมือสังหารที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ไหนเลยจะใช้สิ่งที่คนทั่วไปเรียกใช้งานได้ แต่หากมีอำนาจแคว้นหนึ่งหนุนหลังอยู่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

หลูเฉิงไห่จ้องมองเฉาเซิ่งไหว เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “น้องเฉา เจ้าต้องทราบด้วยว่าผู้ที่ถูกสังหารคือราชทูตแห่งแคว้นซ่งของพวกเรา เรื่องราวมิใช่เล็กน้อยเลย ไม่อาจกล่าวส่งเดชได้ เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นสวีเกา?”

เฉาเซิ่งไหวชูกระบี่ในมือขึ้นมา มีคราบเลือดอยู่บนคมกระบี่ “เขาถูกข้าฟันแขนไปทีหนึ่ง ขอเพียงหาตัวเขาพบ บาดแผลจากกระบี่บนแขนจะเป็นหลักฐานยืนยัน”

หลูเฉิงไห่เอ่ยขึ้นอีกว่า “น้องเฉา เจ้ารู้หรือไม่ว่าสวีเกาเป็นผู้ใด? เจ้ายินดีออกหน้าเป็นพยานหรือไม่?”

เฉาเซิ่งไหวมองศพของถูไหวอวี้ที่อยู่บนพื้นเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ใต้เท้าถูช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ข้า ข้าจะไม่กล้าเป็นแม้แต่พยานได้หรือ? อีกอย่าง สวีเกาคนนั้นจะเป็นคนใหญ่คนโตอันใดไปได้หรือ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ของข้าต้องกลัวเขาหรือไร?”

“ดี! เมื่อน้องเฉากล่าวมาเช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว!” หลูเฉิงไห่พยักหน้า กันฟันเอ่ยว่า ในคณะราชทูตแคว้นเยี่ยนก็มีคนที่ชื่อสวีเกาอยู่เช่นกัน จำเป็นต้องให้น้องเฉาช่วยเป็นพยานชี้ตัวแล้ว!“”

“คนในคณะราชทูตแคว้นเยี่ยนหรือ?” เฉาเซิ่งไหวผงะไปเล็กน้อย จากนั้นคล้ายจะตะหนักอะไรขึ้นมาได้ คล้ายจะรับรู้แล้วว่าปัญหาในเรื่องนี้ใหญ่เกินไป รีบเฉไฉเปลี่ยนคำพูดทันที “พี่หลู ข้าอาจจะจำคนผิดไปก็ได้”

วาจานี้ทำให้ทุกคนนึกดูแคลนขึ้นมาทันที

หลูเฉิงไห่โมโหแล้ว “เหตุใดน้องเฉาจึงพูดจากลับไปกลับมาเล่า”

เฉาเซิ่งไหวอึกอัก ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “มิใช่ข้ากลัวจะมีเรื่องแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องไปถึงเรื่องราวของแว่นแคว้น สำนักหมื่นสรรพสัตว์เราไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่ง เรื่องใหญ่โตเกินไป ข้ารับภาระไม่ไหว ทุกท่านถือเสียว่าข้าไม่เคยพูดอันใดก็แล้วกัน”

หลูเฉิงไห่กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นคนหูหนวกหรือ? ในเมื่อน้องเฉาเอ่ยออกมาแล้วก็จำเป็นต้องรายงานขึ้นไป เรื่องนี้ไม่อาจแสร้งเลอะเลือนได้ หากน้องเฉาออกหน้าเป็นพยานก็ยังพอว่า หากไม่ยอมออกหน้าชี้ตัว คิดจะถอยตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว พวกเราไม่อนุญาตให้น้องเฉาถอยแล้ว มิเช่นนั้นพวกเราก็รับผิดชอบไม่ไหวเช่นกัน พวกเราคงทำได้เพียงคุมตัวน้องเฉากลับไปมอบให้ราชสำนักไต่สวน ให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปทวงคนกับราชสำนักเอา จะเลือกอย่างไรน้องเฉาตัดสินใจเองเถิด”

เฉาเซิ่งไหวคิดจะหันหลังหนี แต่คนรอบข้างขยับเข้า ต่างจ้องเขม็ง ปิดล้อมเขาเอาไว้

“ส่งข่าวไปยังราชสำนักเดี๋ยวนี้!” หลูเฉิงไห่ร้องสั่ง

ในยามที่ปีกทองตัวหนึ่งถูกปล่อยให้โบยบินออกไปก็มีเสียงฝีเท้ามาแว่วกุบกับเข้ามาอีกครั้ง ทุกคนทอดสายตามองออกไป เห็นเพียงว่าคณะของราชสำนักแคว้นจ้าวควบมุ่งเข้ามา มีหลายคนที่สวมชุดขันทีอยู่ ผู้ที่นำอยู่ตรงกลางคือจ้าวเซินที่สวมเสื้อคลุมกันลมไว้

เมื่อพบหน้าทั้งสองฝ่ายย่อมหยุดพูดจากัน พอทราบข่าวว่าถูไหวอวี้เผชิญการลอบสังหาร คนอย่างจ้าวเซินที่มีสีหน้าเย็นชาเฉยเมยมาโดยตลอดพลันตกใจจนหน้าถอดสี กระโดดลงจากมือแล้วเร่งเดินเข้ามา

“ด้วยกำลังคุ้มกันของท่างฝั่งพวกเจ้า ผู้ใดจะสามารถลอบสังหารใต้เท้าถูได้ง่ายๆ กัน เป็นฝีมือใคร?” หลังจากตรวจดูสภาพศพครู่หนึ่ง จ้าวเซินก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยถาม

เขาไม่เข้าใจเลย ในสถานการณ์ทั่วไปไม่มีผู้ใดกล้าลอบสังหารราชทูตแคว้นหนึ่งอย่างอุกอาจแน่ เนื่องจากไม่มีประโยชน์มากนัก สังหารแล้วก็ส่งคนอื่นมาแทนที่ได้ อีกทั้งปัญหาที่ก่อขึ้นก็จะใหญ่หลวงนัก ทันทีที่ถูกจับได้จะดึงดูดให้กองกำลังของแคว้นนั้นตามมาล้างแค้นได้ง่ายๆ

หลูเฉิงไห่กัดฟันเอ่ย “ฝีมือของคณะทูตแคว้นเยี่ยน!”

สีหน้าจ้าวเซินมืดมนลง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าพูดอะไรอยู่? ไม่มีหลักฐานก็ไม่อาจพูดจาส่งเดชได้!”

หลูเฉิงไห่ยิ้มหยัน “ตอนที่ทั้งสองฝ่ายประมือกัน คนทางฝั่งข้าเห็นคนของคณะทูตแคว้นเยี่ยนมากับตา ยังจะผิดพลาดไปได้อีกหรือ?”

จ้าวเซินผงะพูดไม่ออก หันมองกลับไปทางมณฑลจินโจวทันที

โทสะสุมอยู่ในทรวงเขาแลว ก่นด่าเกาเส่าหมิงในใจว่าบ้าไปแล้วหรือ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ยังกล้าไปหาเรื่องแคว้นซ่งอีก คิดจะล้างแค้นก็ไม่รู้จักดูเวล่ำเวลาบ้างเลย ไม่แปลกเลยที่กำลังของแคว้นเยี่ยนจะซบเซาลงเรื่อยๆ บิดามีตำแหน่งสูงคิดจะหนุนนำบุตรชาย คนเช่นไรก็ยังกล้าส่งมาเป็นราชทูตได้ทั้งสิ้น!

ขาก็คิดเช่นกันว่าเกาเส่าหมิงต้องการล้างแค้นเรื่องงานเลี้ยงคืนนั้น

“ไป!” หลูเฉิงไห่โบกมือพลางตะโกนสั่ง

ทั้งคณะนำศพของถูไหวอวี้และคนอื่นๆ ไปด้วย หันเหเปลี่ยนทิศทางต้องการย้อนกลับไปยังมณฑลจินโจว

ความคิดหนึ่งพลันผุดวาบขึ้นมาในหัวจ้าวเซินดั่งสายฟ้าแลบ ยกมือขวางทันที ตะโกนขึ้นว่า “อย่าเพิ่งวู่วาม เรื่องนี้มีเงื่อนงำ อาจจะติดกับคนเขาเข้าแล้ว!”

“เจ้ากรมจ้าว ข้าก็รู้สึกว่ามีเงื่อนงำเช่นกัน แต่จะให้ข้านิ่งดูดายได้หรือ? จะใช้แผนร้ายหรือไม่ก็ต้องส่งคนไปตรวจสอบดู เรื่องเกิดขึ้นมาแล้วหากข้าไม่ทำอะไรเลยก็ไม่อาจไปอธิบายต่อทางราชสำนักได้! ไป!” หลูเฉิงไห่ชูแขนขึ้พลางตะโกนสั่ง ทั้งคณะควบม้าย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม

………………………………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด