ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด 350 หากยังไม่ตาย ใครก็อย่าคิดจะออกจากสำนักอู๋จี๋ / 351 เงื่อนไขการเจรจาต่อรอง

Now you are reading ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด Chapter 350 หากยังไม่ตาย ใครก็อย่าคิดจะออกจากสำนักอู๋จี๋ / 351 เงื่อนไขการเจรจาต่อรอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 350 หากยังไม่ตาย ใครก็อย่าคิดจะออกจากสำนักอู๋จี๋

 

 

ไม่นานคนที่อู่จิ้นพามาด้วยก็ฆ่าทหารยามในคุกใหญ่ตายเกลี้ยง แถมยังจับมู่หรงกวานเสวี่ยที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้ด้วย

 

 

มั่วชิงเปิดประตูใหญ่ รวบตัวเฟิงอิ๋นไว้ มีผู้คุมกฎสองคนในมือ พวกเขาก็ไม่กลัวว่าเจียงสือจะทำอะไร ในเมื่อการฝึกฝนบ่มเพาะผู้คุมกฎมาได้สักคนไม่ใช่เรื่องง่าย

 

 

เฟิงอิ๋นไม่กลัว มองมั่วชิงด้วยสายตาเยียบเย็น

 

 

“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกลายเป็นสาวใช้ของเซียวเหยี่ยน มั่วชิง แรกสุดเจ้าเป็นผู้คุมกฎสำนักอู๋จี๋ แต่ต้องตกต่ำลงมาถึงจุดนี้ ไม่รู้เลยว่าสมองเจ้าคิดอะไรอยู่ หากเจ้าถูกใจเซียวเหยี่ยน อยากเป็นผู้หญิงของเซียวเหยี่ยน ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด เจ้าเต็มใจเป็นสาวใช้ ข้าดูแคลนเจ้าจริงๆ ทำสำนักอู๋จี๋ขายหน้าแท้ ๆ”

 

 

“ข้าไม่ใช่คนสำนักอู๋จี๋นานแล้ว มิหนำซ้ำข้าเกิดมาก็ยากจนข้นแค้นอยู่แล้ว ท่านอ๋องเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้า จะเป็นสาวใช้แล้วจะทำไม ก็ดีกว่าคนหน้าด้านหน้าทนคอยตามเกาะแกะท่านอ๋องอย่างเจ้า การกระทำเช่นนี้ต่างหากที่ทำให้คนอื่นเขาดูถูก”

 

 

มั่วชิงตอบกลับอย่างเย็นชา

 

 

ตอนนี้เองเจียงสือนำคนเข้ามา เจียงสือยังเกล้ามวยผม สวมเสื้อผ้าสีดำทั้งตัวเช่นเดิม เห็นว่าบนพื้นล้วนเป็นศพขององครักษ์ เลือดสีแดงสดย้อมพื้นให้เป็นสีแดงไปหมด นอกจากหมาป่าผี หมาป่าดำตัวอื่นตายหมดแล้ว หมาป่าผีเองก็บาดเจ็บสาหัส แต่ยังพอฝืนยืนต่อไปได้

 

 

เจียงสือมองเพียงปราดเดียว สีหน้าก็ขรึมลง นางไม่คิดว่าคนของเซียวเหยี่ยนจะบุกมาถึงที่นี่ได้ ข้างนอกล้วนเป็นค่ายกล ตามเหตุผลแล้วพวกเขาเข้ามาไม่ได้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

 

 

ยังมีพวกหมาป่าดำอีก ใครเป็นคนพามาถึงที่นี่ หรือว่าสำนักอู๋จี๋มีคนคิดคดทรยศอีกแล้ว

 

 

“ท่านอาจารย์ มั่วชิงกลับมาแล้ว นางคือมั่วชิง”

 

 

เฟิงอิ๋นกลัวเจียงสือสงสัยตน จึงรีบบอกตัวตนของมั่วชิงให้เจียงสือรู้

 

 

มั่วชิงออกไปจากสำนักอู๋จี๋หกปีแล้ว ตอนนั้นนางบาดเจ็บสาหัส จากนั้นก็ไม่ชัดเจนว่านางอยู่ที่ใด เจียงสือนึกว่านางตายไปแล้ว ไม่คิดว่านางจะกลายเป็นคนของเซียวเหยี่ยนไปได้

 

 

เจียงสือมองมั่วชิงด้วยสายตาพิฆาตแรงกล้า

 

 

“ที่แท้เจ้าเปลี่ยนโฉมใหม่แล้ว มิน่าถึงไม่มีเบาะแสของเจ้าเลย มั่วชิง หากเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ ก็ควรจะซ่อนตัวไปตลอดชีวิต ตอนนี้เจ้าจงรักภักดีต่อเซียวเหยี่ยน กลับมาสำนักอู๋จี๋กับเขา เพื่อมาแก้แค้นกับข้าผู้เป็นอาจารย์อย่างนั้นหรือ”

 

 

มั่วชิงรู้ดีว่าตนเองไม่มีความสามารถนี้ นางไม่เคยคิดกลับมาล้างแค้นสำนักอู๋จี๋ คิดแต่เพียงอยากลืมความทรงจำนี้เสีย ดังนั้นก่อนหน้านี้นางจึงไม่เคยพูดถึงสำนักอู๋จี๋กับใคร แม้แต่เซียวเหยี่ยนก็ไม่รู้

 

 

หากเซียวเหยี่ยนไม่ได้บังเอิญเกี่ยวข้องกับสำนักอู๋จี๋ ทั้งชีวิตนี้นางก็ไม่มีทางเอ่ยถึงสำนักอู๋จี๋อีก

 

 

ก่อนหน้านี้นางไม่รู้เลยว่าพระศพของซีหนานอ๋องอยู่ที่สำนักอู๋จี๋ มิเช่นนั้นนางคงบอกเซียวเหยี่ยนแล้ว ความลับนี้เมื่อก่อนถูกเจียงสือปิดไว้อย่างมิดชิด พวกเฟิงอิ๋นก็คงจะฝึกปรุงยาฟื้นคืนชีพจนเข้าที่เข้าทางขึ้นเรื่อยๆ ถึงได้รู้เรื่องนี้เข้า

 

 

รู้ดีว่าเจียงสือเป็นคู่แค้นของตน แต่ตนเองก็ยังกลัวนางอยู่ร่ำไป ตรงจุดนี้มั่วชิงแค้นใจตนเองมาก สำหรับนาง เจียงสือคือฝันร้าย

 

 

นางหลบสายตาเจียงสือ หลุบตาลงเพื่อปิดบังความรู้สึกในดวงตา

 

 

“ข้ากับสำนักอู๋จี๋ไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันนานแล้ว”

 

 

“เข้ามาในสำนักอู๋จี๋แล้ว หากไม่ตาย ก็ย่อมต้องเป็นคนของสำนักอู๋จี๋ไปตลอดชีวิต เจ้าโตมาที่สำนักอู๋จี๋ตั้งแต่ยังเล็ก กฎของสำนักอู๋จี๋เจ้าควรจะรู้ดี”

 

 

เจียงสือพูดจบก็หันกลับไปมองเซียวเหยี่ยนอีกครั้ง หัวเราะเยือกเย็น

 

 

“เซียวเหยี่ยน เจ้านึกว่าจับเฟิงอิ๋นกับมู่หรงกวานเสวี่ยได้แล้วจะออกจากสำนักอู๋จี๋ได้หรือ พวกเจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า พวกเจ้าก็ไม่มีวันได้ออกไปจากสำนักอู๋จี๋”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 351 เงื่อนไขการเจรจาต่อรอง

 

 

“สำนักอู๋จี๋เล็กๆ จะจับข้าไว้ได้อย่างไร ในเมื่อคนของข้าบุกเข้ามาได้ เช่นนั้นค่ายกลของสำนักอู๋จี๋คงจะแตกไปแล้ว จึงรั้งพวกเขาไว้ไม่อยู่

 

 

เจียงสือ เจ้าคงยังไม่รู้สถานการณ์ภายนอก ให้คนของเจ้าออกไปดูข้างนอกให้ดีๆ สักหน่อยดีกว่า”

 

 

เพิ่งจะสิ้นเสียงของเซียวเหยี่ยน จู่ๆ ทหารยามคนหนึ่งก็วิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามา เพราะว่ารีบวิ่งเกินไป จึงเกือบล้มคะมำ พอเห็นเขาลนลานเช่นนี้ สีหน้าของเจียงสือก็เริ่มดูไม่ได้ ขายหน้าสำนักอู๋จี๋จริงๆ ทหารยามเช่นนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้แล้ว

 

 

“มีเรื่องอะไรถึงได้ลนลานเช่นนี้”

 

 

“แย่แล้วขอรับ เจ้าสำนัก ข้างนอกสำนักอู๋จี๋ถูกเจ้าหน้าที่ทหารล้อมไว้หมดแล้ว กะจากสายตามีหลายพันคนขอรับ”

 

 

ถึงแม้ว่าสำนักอู๋จี๋จะใหญ่มาก แต่ข้างในมีทหารยามเพียงสองสามร้อยคนเท่านั้น หากถูกนายพลทหารที่เคยผ่านสนามรบมาแล้วล้อมไว้ พวกนางก็คงไม่ได้อยู่ในสถานะได้เปรียบอะไร เพียงแต่จะถูกทำลายให้ย่อยยับเท่านั้น

 

 

“เซียวเหยี่ยน เจ้า…”

 

 

เห็นได้ชัดว่าเจียงสือนึกไม่ถึงว่าคนของเซียวเหยี่ยนจะเจอที่นี่ได้ ซ้ำยังระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารมาล้อมสำนักอู๋จี๋ไว้

 

 

เขาเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในมือมีอำนาจกำลังทหาร การส่งกำลังทหารมาก็เป็นเรื่องง่าย ขอเพียงไม่เข้าไปในเมืองหลวง ก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องได้รับพระราชานุญาตจากฮ่องเต้

 

 

เพียงแต่ปกติกองทัพทหารจะประจำการอยู่ที่ชายแดน ทางนี้ไม่ได้มีกองทัพทหารขนาดใหญ่ คนสองสามพันคนนี้เซียวเหยี่ยนไปเกณฑ์มาจากไหน เหตุใดนางถึงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลยแม้แต่น้อย

 

 

มิหนำซ้ำค่ายกลข้างนอกก็ละเอียดซับซ้อนเช่นนี้ หากไม่มีคนที่ชำนาญค่ายกล ก็ไม่มีทางแหกค่ายกลเข้ามาได้เด็ดขาด

 

 

สีหน้าเซียวเหยี่ยนนิ่งสงบ รังสีความเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แผ่ซ่านไปทั้งร่าง

 

 

“ข้าเป็นขุนพลมาหลายปี มียอดฝีมือไม่ธรรมดาในกำมือหลายคน ค่ายกลเหล่านี้แม้จะละเอียดซับซ้อนเพียงใด ก็มิได้หมายความว่าจะไขไม่ออก

 

 

เมื่อก่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสำนักอู๋จี๋อยู่ที่ใด และข้าก็มิได้คิดจะสู้รบปรบมือด้วย ตอนนี้พวกเจ้ากล้าดูหมิ่นพระศพของเสด็จพ่อ ข้าก็ไม่สามารถเก็บสำนักอู๋จี๋เอาไว้อีก”

 

 

“เซียวเหยี่ยน เซียวซู่ยังอยู่ในกำมือข้า หากเจ้ากล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ข้าก็คงต้องเฆี่ยนศพ [1] เสียแล้ว”

 

 

“ตอนที่ข้าเห็นพระศพของเสด็จพ่อวันนั้น ข้าจงใจโรยผงฟอสฟอรัสลงไป หากไม่มีอะไรผิดคาด ตอนนี้เสด็จพ่อคงจะกลายสภาพเป็นเถ้าแล้ว ข้าไม่มีวันยอมปล่อยให้เจ้ามีโอกาสทำเรื่องอัปมงคลกับเสด็จพ่อเป็นอันขาด เจียงสือ เจ้าไม่มีเบี้ยหมากไว้ข่มขู่ข้าแล้ว”

 

 

ขณะฟังคำพูดของเซียวเหยี่ยน สีหน้าของเจียงสือก็ค่อยๆ หม่นหมองลง นางไม่รู้เลยว่าเซียวเหยี่ยนแอบทำเรื่องเอาไว้มากมายเช่นนี้ สำนักอู๋จี๋เคยถูกทำลายมาแล้ว ไม่มีทางถูกทำลายได้อีกเด็ดขาด

 

 

“เจียงสือ เจ้าไม่มีทางเลือกเหลือแล้ว ตอนนี้สำนักอู๋จี๋ถูกบีบอยู่ในกำมือของข้า เพียงแค่สั่งครั้งเดียว สำนักอู๋จี๋ก็จะมลายหายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง”

 

 

เซียวเหยี่ยนเตือนเจียงสือ

 

 

หลิงอวี้จื้อไม่ได้พูดอะไรมาโดยตลอด ช่วงเวลาแบบนี้ปล่อยให้เซียวเหยี่ยนได้สำแดงพลัง เธอทำหน้าที่เป็นคนดูอยู่เงียบๆ ก็พอ

 

 

เธอเข้าใจเจตนาของเซียวเหยี่ยน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเธอคือออกไปจากสำนักอู๋จี๋ หากเจียงสือไม่ปล่อยคน เช่นนั้นความเป็นไปได้ที่มากที่สุดก็คือตายไปพร้อมกันหมด

 

 

เซียวเหยี่ยนพูดเรื่องเหล่านี้เพื่อบังคับให้เจียงสือปล่อยคน

 

 

“หากเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าทุกคนก็ต้องกลายเป็นศพพร้อมกับข้า

 

 

เซียวเหยี่ยน ขอเพียงเจ้าถอนกำลังทหาร ข้าก็จะปล่อยพวกเจ้าออกไปจากสำนักอู๋จี๋ ชีวิตของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีค่าสูงส่งนัก หากตายที่นี่ย่อมไม่คู่ควร ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีความเห็นว่าอย่างไร หากสู้กันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง จะไม่เป็นผลดีกับพวกเราสักคน”

 

 

คิดอยู่สองสามตลบ เจียงสือก็ตัดสินใจ

 

 

ข้างนอกถูกเจ้าหน้าที่ทหารล้อมไว้ หากพวกเขาบุกโจมตีสำนักอู๋จี๋ นางก็ยังหนีออกไปได้

 

 

แต่สำนักอู๋จี๋ก็จะจบสิ้นโดยบริบูรณ์ นี่คือสิ่งที่นางทุ่มเททำมาตลอดชีวิต จะมาป่นปี้ไปด้วยน้ำมือของเซียวเหยี่ยนเช่นนี้ไม่ได้ ดังนั้นนางจึงต้องตั้งเงื่อนไขเจรจาต่อรองกับเซียวเหยี่ยน นางรู้ว่าเซียวเหยี่ยนก็ไม่อยากตาย

 

 

สิ่งที่เซียวเหยี่ยนรอคือคำพูดนี้แหละ ได้ยินเช่นนี้เขาก็ลอบถอนหายใจโล่งอก แต่แสร้งทำเป็นครุ่นคิดถึงได้เอ่ยว่า

 

 

“ได้ ข้าจะถอนกำลังทหาร แต่ข้าต้องเอาสองคนนี้ไป เถ้ากระดูกของเสด็จพ่อกับชุนเหนียง”

 

 

 

 

——

 

 

[1] เฆี่ยนศพ (鞭尸)เป็นวิธีการลงโทษอย่างหนึ่งในสมัยโบราณของจีน โดยขุดศพออกมาแล้วใช้แส้เฆี่ยนตี เพื่อระบายความแค้นเคืองและความอัปยศอดสู เป็นการดูถูกเหยียดหยามคนตายอย่างที่สุด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด