My Death Flags Show No Sign of Ending 104 ภาชนะที่ว่างเปล่า

Now you are reading My Death Flags Show No Sign of Ending Chapter 104 ภาชนะที่ว่างเปล่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เพียงวันเดียวหลังจากที่วินเซนต์ฟื้นคืนสติ เขาก็เลือกที่จะเดินทางกลับเมืองหลวงทันที แม้ว่าเขาควรจะอยู่ดูอาการที่ รพ. ต่ออีกหน่อย แต่เขาก็ตัดสินใจว่าไม่ดีกว่า

แม้หมอจะยืนยันว่าวินเซนต์นั้นต้องพักผ่อนให้มากกว่านี้ แต่การตัดสินใจของวินเซนต์นั้นแน่วแน่และไม่สั่นคลอน

เพราะยังไงซะ วินเซนต์ก็เป็นถึงหัวหน้ากองอัศวิน เมื่อคำนึงถึงตำแหน่งและหน้าที่ของเขาแล้ว คงจะเป็นเรื่องไม่ดีเท่าไหร่นักที่เขาหายออกมาจากกองอัศวินเป็นเวลาหลายวันโดยไม่บอกกล่าว ไม่ต้องคิดเลยว่าเหล่าลูกน้องของเขาจะสับสนและวุ่นวายขนาดไหนที่จู่ๆหัวหน้าของตนหายตัวไป เพราะเหตุนี้ฮาโรลด์จึงไม่คิดที่จะห้ามเขา

 

[ ไงก็ตาม นายมีแผนที่จะทำอะไรต่อ ? ] – วินเซนต์

[ นั้นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนาย ] – ฮาโรลด์

 

จริงๆแล้วฮาโรลด์ตั้งใจจะพูดว่า “ผมมีบางสิ่งที่ต้องไปจัดการเสียก่อน” แต่เช่นเคย ปากของเขาแปลภาษาให้เรียบร้อย และถ้าเป็นไปได้ ฮาโรลด์เองก็อยากจะร่วมมือกับวินเซนต์ในการขัดขวางแผนการของยูสทัส แต่วินเซนต์ไม่น่าจะยอมเชื่อจนกว่าเขาจะยืนยันได้ว่าคำพูดของฮาโรลด์นั้นเป็นความจริงเสียก่อน

นั้นเพราะอัศวินไม่สามารถเคลื่อนไหวได้โดยพละการโดยอิงจากคำพูดหรือหลักฐานตามสถานการณ์เพียงเท่านั้น

และจากเรื่องที่พูดคุยกันเมื่อคืน พวกเขาสรุปได้ว่าเหตุผลเดียวที่วินเซนต์ถูกล้างสมองนั้นก็เพราะยูสทัสมองว่าตัวของวินเซนต์มีพลังที่มากพอที่จะเอาชนะฮาโรลด์ผู้ซึ่งมีแผนจะขัดขวางแผนการของเขา

ซึ่งมันจะเป็นเรื่องที่ดีและช่วยได้มากถ้าหากโคดี้และวินเซนต์กลับไปที่เมืองหลวงและค้นหาความจริงเพื่อยืนยันเรื่องที่ฮาโรลด์พูดมาทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฮาโรลด์กังวลจริงๆนั้นคือเวลา เพราะเขาคิดว่ามันอาจจะเหลือไม่มากแล้ว

 

[ … ชั้นมีคำแนะนำบางอย่างให้กับนาย ] – ฮาโรลด์

[ ข้ากำลังฟังอยู่ ] – วินเซนต์

[ นายควรส่งลูกน้องของนายจำนวนหนึ่งไปที่เมือง ทราวิส และเรื่องนี้ควรที่จะดำเนินการให้เร็วที่สุด ] – ฮาโรลด์

[ ทำไม ? ] – วินเซนต์

 

จากมุมของวินเซนต์ คำพูดของฮาโรลด์นั้นอาจฟังดูแปลกๆ

นั้นเพราะ ทราวิสเป็นเมืองที่สงบสุข ห่างไกลจากเมืองหลวง เมืองนั้นถูกสร้างขึ้น ณ ดินแดนทางทิศใต้ ฝั่งที่ติดทะเลนั้นมีลักษณะเป็นชายฝั่งโอบล้อมอ่าว นอกจากนี้ยังมีเทือกเขาทางทิศเหนือและทิศตะวันตก ถนนเพียงเส้นเดียวที่ตัดผ่านมายังเมืองนั้นคือทางทิศตะวันออก แต่ที่บริเวณนั้นก็เป็นภูเขาเช่นเดียวกัน ด้วยลักษณะที่เมืองถูกภูเขาสูงชันล้อมรอบไว้ทุกทิศ แถมเขตเมืองยังแผ่ขยายไปทั่วภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ด้วยเหตุนี้เมืองทราวิสจึงถูกเรียกว่าเป็น “ป้อมปราการทางธรรมชาติ”

แม้เมืองนี้จะเป็นเมืองท่าแต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตเช่นเดียวกับเมืองเดลฟิต แต่เมืองนี้ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเนื่องจากมีการค้าที่คึกคักและทิวทัศน์ที่สวยงาม แถมเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัยสาธาะณะก็ดีกว่าเมืองอื่นๆ จึงนึกไม่ออกว่าจะต้องมีเหตุอะไรที่จะต้องส่งอัศวินไปยังเมืองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าเมืองแห่งนั้นเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและมีโอกาสยากมากที่จะถูกโจมตีได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากเมืองนั้นถูกโจมตีจริงๆมันก็เป็นการยากมากๆที่จะอพยพหรือหลบหนีออกมาจากเมืองได้ และมันจะยิ่งเลวร้ายลงหากถนนเส้นแคบๆที่ทอดยาวมาตามแนวริมผาของทิศตะวันออกถูกปิดกั้น เพราะเส้นทางที่เหลือที่ใช้ได้จะมีเพียงหนีขึ้นไปบนเขาทางทิศเหนือหรือตะวันตก และทางเรือที่ทิศใต้เท่านั้น

ด้วยเส้นทางหนีที่เหลือเพียงแค่ 2 เส้นทางนั้น ทำให้มีคนจำนวนมากไม่สามารถอพยพได้ทัน นั้นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่องของเกมส์

 

[ ในระยะเวลาอันใกล้นี้ เมืองแห่งนั้นจะกลายเป็นดั่งนรกบนดิน ] – ฮาโรลด์

 

และเหตุผลที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้นเนื่องจากถูกมอนเตอร์จำนวนมหาศาลบุกและความวุ่นวายที่ฮาโรลด์ในเนื้อเรื่องของเกมส์เป็นคนก่อขึ้น

ในเนื้อเรื่องของเกมส์ ฝูงมอนเตอร์จะบุกถล่มเมืองในช่วงที่ฮาโรลด์อยู่ที่เมืองนั้นพอดี แต่แทนที่ฮาโรลด์จะช่วยป้องกันชาวเมืองหรือสู้กับมอนเตอร์ เขากลับเลือกที่จะหลบหนี และตามที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าเมืองทราวิสนั้นมีเส้นทางหลบหนีออกมาจากเมืองเพียงไม่กี่เส้นทาง ดังนั้นฮาโรลด์จึงใช้เหล่าชาวเมืองเป็นผู้ถ่วงเวลาให้กับเขา เขาเริ่มจุดไฟเผาบ้านเรือนทั่วเมืองจนวอดวาย ความสับสนวุ่ยวายเกิดขึ้นไปทั่ว ทำให้ผู้คนจำนวนมากติดอยู่ในกองไฟและไม่สามารถหลบหนีออกมาได้ทันจนถูกมอนเตอร์เหล่านั้นสังหารเพื่อเป็นการถ่วงเวลาให้กับเขา

 

สมแล้วที่เป็นไอ้ขยะ

 

แน่นอนว่าฮาโรลด์คนปัจจุบันไม่มีความตั้งใจที่จะทำอะไรแบบนั้น แต่อย่างที่บอก ถึงฮาโรลด์จะไม่เข้าไปยุ่ง ก็ยังมีโอกาสสูงที่เมืองทราวิสจะถูกมอนเตอร์บุกเหมือนดั่งในเกมส์

ในฉากของเกมส์นั้น ไลเนอร์และพรรคพวกได้มาถึงที่เมืองทราวิสช้าไป 1 ก้าวและต้องเห็นภาพเมืองทราวิสที่กลายเป็นนรกไปแล้ว ถึงจะไม่เป็นปัญหาอะไรที่พวกเขาจะสามารถจัดการเหล่าสัตว์ประหลาดที่เหลืออยู่ได้ไม่ยากนัก แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ด้วยจำนวนมอนเตอร์ที่มาบุกเกือบ 1 หมื่นตัว จำนวนผู้เคราะห์ร้ายคงมากเกินจะนับได้

แต่ความเป็นจริงนั้นอาจไม่ใช่ เพราะไม่รู้ว่าจำนวนของมอนเตอร์นั้นจะมีมากกว่านั้น และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เหล่าตัวเอกที่มีตำนวนเพียง 6 คนต้องไปสู้กับมอนเตอร์นับหมื่น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องลดจำนวนของมอนเตอร์ที่มาบุกให้มากที่สุดจนกว่าพวกเขาจะเดินทางไปถึง

และเพื่อจะทำสิ่งนั้นได้ จึงจำเป็นต้องให้เหล่าอัศวินไปประจำการที่ทราวิส หากเกิดเหตุมอนเตอร์โจมตีขึ้นมาจริงๆ เหล่าอัศวินก็จะสามารถรับมือกับเหตุการณ์ได้ทันและเริ่มการอพยพพลเรือนทันที และในเวลาเดียวกัน ต้องส่งคนไปแจ้งข่าวกับพวกของไลเนอร์ทันที เพื่อที่พวกเขาจะได้รีบเดินทางไปยังเมืองทราวิสได้ทันช่วงเวลาที่เหล่ามอนเตอร์บุก

ด้วยเหตุนี้จึงต้องหวังพึ่งการสนับสนุนจากกลุ่มฟรีรี่เพื่อให้สิ่งต่างๆดำเนินไปอย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม ฮาโรลด์ไม่ทราบแน่ชัดว่ามอนเตอร์จะบุกเมื่อไหร่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการณ์อยู่ตลอดเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ เพราะถ้ากลุ่มของไลเนอร์ไปถึงเมืองทราวิสเร็วเกินไปหรือช้าเกินไปผลที่ได้อาจออกมาตรงกันข้าม

ด้วยเหตุนี้ ฮาโรลด์จึงตั้งใจที่จะออกคำสั่งกับเอลล์ไว้ว่า “ถ้าเธอได้รับสัญญาณจากชั้น เธอต้องให้ไลเนอร์และพรรคพวกเดินทางไปที่ทราวิสในทันที” เขาได้แต่รู้สึกขอโทษเอลล์อยู่ในใจที่ต้องออกคำสั่งที่ไร้เหตุผลอยู่เสมอๆ แต่ด้วยเรื่องนี้ ยังไงเขาก็ต้องหวังพึ่งเอลล์

และฮาโรลด์ยังตั้งใจที่จะใช้เงินทุนของกลุ่มฟรีรี่ในการจัดเตรียมเรือเหาะเผื่อไว้ ถึงกระนั้น เหล่าพลเรือนก็ยังต้องการเวลาหลายชั่วโมงในการอพยพ ซึ่งในช่วงเวลานั้น จะต้องเป็น กลุ่มของไลเนอร์ และเหล่าอัศวิน ที่จะต้องหยุดยั้งเหล่ามอนเตอร์ไว้ให้ได้

 

[ … ข้าเข้าใจแล้ว และจะจำคำแนะนำเหล่านั้นไว้ในใจอยู่เสมอ ] – วินเซนต์

 

ด้วยคำตอบนั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับฮาโรลด์ ด้วยบุคลิคของวินเซนต์ ไม่มีทางที่เขาจะเพิกเฉยต่อเรื่องที่เขาได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างแน่นอน

และในท้ายที่สุด ฮาโรลด์และวินเซนต์ก็แยกทางกันโดยไม่ได้กล่าวอะไรกันอีก ตอนนี้ฮาโรลด์มีเวลาไม่มาก และมีอย่างสิ่งที่เขาต้องรีบไปจัดการทันที

และเพื่อจะดำเนินการได้ เขาจำเป็นต้องให้เอลล์เป็นผู้ติดต่อมาหาเขาเสียก่อน—-

 

[ นายกำลังคิดอะไรอยู่รึ? ฮาโรลด์ ] – โคดี้ 

 

ขณะที่ฮาโรลด์กำลังกังวลว่าจะทำอะไรต่อไปดี โคดี้ก็ขัดจังหวะความคิดของเขาเสียก่อน นั้นเพราะฮาโรลด์หลงคิดไปว่าโคดี้ออกเดินไปทางไปที่เมืองหลวงพร้อมกับวินเซนต์แล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น

 

[ … นายยังทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่ ? ] – ฮาโรลด์

[ ก็ ชั้นมีบางสิ่งที่ต้องไปจัดการเสียก่อน ] – โคดี้

[ เข้าใจล่ะ งั้นชั้นไปล่ะ ] – ฮาโรลด์

[ เดี่ยวสิ เดี่ยวสิเห้ย ! ] – โคดี้

 

ฮาโรลด์ที่พยายามจะรีบชิ่งแต่กลับถูกโคดี้เข้ามาขวางไว้ ดูเหมือนว่าเรื่องที่เขาจะทำนั้นเกี่ยวข้องกับฮาโรลด์ด้วยเช่นกัน

 

[ ชั้นไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นไร้สาระกับนาย ] – ฮาโรลด์

[ อย่าพูดแบบนั้นสิ ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องจริงๆ ] – โคดี้

 

ฮาโรลด์ถึงกับหยุดเดินทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงที่จริงจังของโคดี้

ซึ่งฮาโรลด์นึกไม่ออกเลยว่าโคดี้นั้นจะขอร้องอะไรกับเขา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เรื่องที่โคดี้จะขอร้องนั้นไม่ใช่เหตุการณ์ที่สามารถพัฒนาไปสู่เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นภายในเกมส์

ก็ ต่อให้เพิ่มเรื่องใหม่เข้ามาอีกสักเรื่องเส้นเรื่องคงไม่ชิบหายไปกว่านี้แล้วล่ะ และแถมโคดี้เองก็อยู่ฝั่งเดียวกับกลุ่มตัวเอกของเรื่อง ดังนั้นเรื่องที่เขาขอร้องก็สมควรที่จะต้องกังวล ซึ่งต่อให้ฮาโรลด์ไม่ยอบรับคำขอ แต่อย่างน้อยก็ได้ฟังซักหน่อยก็ยังดี

 

[ … พูดมา สั้นๆด้วย ] – ฮาโรลด์

 

ฮาโรลด์จึงรับฟังคำขอร้อง และเตรียมใจที่จะต้องเผชิญเรื่องยุ่งยากอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม คำขอของโคดี้มันเกินกว่าที่ฮาโรลด์คาดไว้มากโข

 

[ ดาบเล่มนั้นที่ดูดอายุไขของนาย ข้าของยืมได้มั้ย? ] – โคดี้

 

 

——————————-

 

 

หัวใจของเธอด้านชา

 

[ ดิฉันคุ้มครองคุณอยู่ค่ะ <Water Fan> ] – เอริกะ

 

อารมณ์และความรู้สึกของเธอเหือดแห้งไป

 

[ ถ้าพวกเราไม่จัดการให้มันจบ ณ ที่นี่ ความผิดเหล่านั้นก็จะไม่มีทางถูกเปิดเผยค่ะ ] – เอริกะ

 

ท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม 

พืชพรรณสีเขียวชอุ่ม  

ถนนที่ทอดยาวรับแสงตะวัน

และเลือดสดๆ …..

 

[ ดิฉันกำลังจะเริ่มต้นการร่ายเวทมนตร์ ] – เอริกะ

 

ทุกๆสิ่งล้วนกลายเป็นขาวดำ

 

[ …. < Wind Burst > ] – เอริกะ

 

มันรู้สึกราวกับ —-

 

[ ดิฉันต้องขออภัยด้วยที่ต้องใช้ความรุนแรงกับพวกคุณ แต่ได้โปรดสลบอยู่ตรงนั้นสักพักเถอะนะคะ ] – เอริกะ

 

มันรู้สึกราวกับถูกตัดขาดออกจากโลก

“นี่ฉันกลายเป็นคนด้านชาไปแล้วจริงๆหรอ ?” เธอได้แต่สงสัย ทั้งความรักที่เธอเคยมีต่อฮาโรลด์ ทั้งความมุ่งมั่นที่อยากจะสนับสนุนเขา ทันทีที่เธอยอมแพ้ให้กับสิ่งเหล่านั้น เธอไม่นึกเลยว่าเธอจะสูญเสียตัวตนของเธอเองไปมากมายขนาดนี้

เอริกะอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะตัวเอง และความจริงเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าตัวเธอนั้นอ่อนแอถึงเพียงไหน

 

[ เธอช่วยฉันไว้ เอริกะ … ] – ฟรานซิส

 

ถึงแม้ว่าฟรานซิสจะกล่าวขอบคุณพร้อมกับรอยยิ้ม แต่นั้นก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่เคยเป็นดั่งธรรมชาติของเขา

เช่นเดียวกับ ไลเนอร์ คลอเล็ต ลีฟา และ ฮิวโก้ ทุกๆคนต่างไม่ค่อยสู้ดีนัก นอกเหนือจากความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ ยังมีปัจจัยอื่นที่กำลังเล่นงานพวกเขาอยู่

 

( … ใช่แล้วล่ะ พวกเราไม่ได้กำลังสู้กับมอนเตอร์อีกแล้ว ตอนนี้พวกเรากำลังต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันเอง ) – เอริกะ

 

พูดง่ายๆคือ ตอนนี้พวกเขากำลังต้องฆ่าอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายเป็นมนุษย์ไม่ใช่มอนเตอร์ มันจึงไม่สามารถเอาเปรียบเทียบกันได้

เอริกะมั่นใจว่าทุกๆคน รวมถึงเหล่าทหารของแฮร์ริสันที่ถูกเวทมนตร์ของเธอซัดจนลงไปกอง ต้องเกิดความเกลียดชังขึ้นในหัวใจทั้งสิ้น

 

[ ให้ดิฉันได้รักษาคุณก่อนดีกว่าค่ะ ] – เอริกะ

 

ขณะร่ายเวทมนตร์เพื่อรักษาบาดแผลให้ฟรานซิส เอริกะก็ได้ถามกลับตัวเอง “แล้วฉันล่ะ เกลียดชังรึปล่าว ?” 

นี่ฉันลังเลที่จะยิงธนูใส่พวกเขารึปล่าว? ฉันลังเลที่จะซัดพวกเขาให้กระเด็นออกไปด้วยเวทมนตร์รึปล่าว ? 

แม้ว่าเธอจะไม่คิดที่จะสังหารพวกเขาเหล่านั้น แต่ถ้ามันเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นหรือโชคไม่เข้าข้าง เพียงแค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เธออาจพลั้งมือสังหารคู่ต่อสู้ของเธอได้ เธอได้แต่ถามกลับตัวเองว่าเคยคิดถึงข้อนี้บ้างรึปล่าว ?

… ไม่สิ ไม่ว่ายังไง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือปลดอาวุธพวกเขาให้หมดและ—

 

 << ใครจะไปสนถ้าพวกมันจะได้รับบาดเจ็บ? >>

 

( นี่ฉันกลายเป็นคนโหดร้ายแล้วหรอถึงได้คิดเช่นนั้น ? ) – เอริกะ

 

เธอไม่ได้เกลียดตัวเองที่คิดแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อจะเป็นคนแบบเขา เฉกเช่นเขา เขาคนนั้นก็คิดแบบนั้นมาโดยตลอด

ถึงกระนั้น เมื่อได้รับรู้ถึงแสงที่เรียกว่าฮาโรลด์ และเธอพยายามไขว่คว้ามัน พยายามยื่นมือเข้าไปหา แต่ว่ามันกลับอยู่ไกลเกินจะเอื้อมถึง ห่างออกไปเกินกว่าเธอจะไล่ตามได้ทัน จนในที่สุดเธอก็ยอมแพ้ เธอกลายเป็นเพียงภาชนะที่ว่างเปล่าที่ดูเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง ไร้จุดหมาย ไร้จุดประสงค์ใดอีกต่อไป

เธอคิดว่ามันตลก ผลลัพธ์มันก็เห็นชัดๆอยู่แล้ว ทำไมเธอไม่เคยแม้แต่จะสังเกตมัน

 

[ ตอนนี้พวกเราจัดการเหล่าทหารในคฤหาสน์ได้เกือบหมดแล้ว พวกเราไปจัดการให้จบๆกันเถอะค่ะ ] – เอริกะ

[ ใช่แล้ว! ไปกันเถอะ ทุกๆคน ! ] – ไลเนอร์

 

ตามคำพูดของเอริกะ ไลเนอร์ส่งเสียงขึ้นมาเพื่อให้กำลังใจกับทุกคน

ขณะที่เธอกำลังเดินตามหลังกลุ่มอยู่นั้น เธอรู้ว่าย่างก้าวของเธอนั้นเบาบางเหลือเกิน มันราวกับเธอกำลังก้าวอยู่กับที่ ไม่คืบหน้าไปไหน

 “ฉันคงจะเป็นแบบนี้มานานมากแล้วสินะ” นั้นคือสิ่งที่เอริกะคิด นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเธอไม่สามารถไล่ตามฮาโรลด์ได้ทันมาโดยตลอด … ไม่ใช่เพราะฮาโรลด์ก้าวไปข้างหน้าเร็วเกินไป แต่เป็นเพราะเธอเองต่างหากที่ไม่เคยก้าวไปไหน

 

( ความรู้สึกที่ฉันมีให้ต่อท่านฮาโรลด์นั้น จริงๆแล้ว มันช่างตื้นเขินนัก มันไม่มีค่าอะไรเลย ) – เอริกะ

 

ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งๆที่มันเป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ?

ว่ากันว่าความรักทำให้คนตาบอด แต่สำหรับเอริกะมันยิ่งกว่าตาบอดไปแล้ว เหมือนกับที่ลีฟาเคยพูดเอาไว้ ความเชื่อใจที่เอริกะมีต่อฮาโรลด์นั้นเป็นความเชื่อที่มืดบอด เป้าหมายของเธอ ตัวตนของเธอ วิถีชีวิตของเธอ ทุกๆสิ่งกลายเป็นว่าต้องขึ้นอยู่กับฮาโรลด์เสียทั้งหมด

ดังนั้น ไม่ว่าสุดท้ายมันจะจบลงเช่นไร และถึงแม้ว่าการกระทำทั้งหมดของเธอจะเป็นเพียงเรื่องไร้ความหมาย แต่เธอต้องอยู่ดูการต่อสู้นี้จนจบให้ได้ ….

นั้นคือความต้องการเพียงเล็กน้อยที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวของเอริกะ แม้ว่าเธอจะไม่สามารถเป็นกำลังให้กับฮาโรลด์ได้ อย่างน้อยเธอก็ต้องไม่ฉุดรั้งเขา

เกิดเสียงดังก้องไปทั่วห้อง มันเป็นฝีมือของไลเนอร์ที่พุ่งเข้าไปแล้วที่ประตูและเปิดมันอย่างสุดแรง

เมื่อประตูถูกเปิดออก ความรู้สึกของกระแสลมก็กระทบเข้าที่ใบหน้า ประตูบานนี้นำไปสู่งทางเดินที่ระเบียงเพื่อขึ้นไปยังชั้นบนสุด ที่ซึ่งดูเหมือนคฤหาสน์ขนาดย่อมๆ

ชายคนนั้นอยู่ที่นั้น เขาคือ แฮร์ริสัน ผู้ที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์และเป็นคนสั่งการให้พวกโจรไปขโมยดาบประจำตระกูลของตระกูลกริฟฟิธ 

และที่ด้านหน้าของเขา มีคนในชุดคลุมหน้ายืนอยู่ 2 คน

 

[ เวรเอ้ย!! …พวกมันกัดไม่ปล่อยเลยจริงๆ ] – แฮร์ริสัน

 

แฮร์ริสันพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญขณะจ้องมองมาที่กลุ่มของพวกเธอ

สิ่งนี้ทำให้เอริกะแน่ใจว่าพวกเธอไม่สามารถทำให้ชายคนนี้ยอมแพ้อย่างสันติได้

 

[ ยอมแพ้เถอะ พวกเรามีหลักฐานการกระทำผิดของแก และแกก็เหลือเพียงแค่ 2 คนนั้นเท่านั้นที่ยังสามารถปกป้องตัวแกได้ ] – ลีฟา 

 

ขณะที่ลีฟากำลังกระตุ้นให้แฮร์ริสันยอมแพ้ เอริกะกลับกำลังคิดว่าวิธีที่เห็นผลที่สุดคือจัดการ 2 คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา “การพยายามคุยกับหมอนั้นมันเสียเวลาปล่าว” ขณะที่เอริกะกำลังคิดเช่นนั้น เธอก็ตระหนักได้ว่าตัวเธอนั้นไม่มีความคิดที่โน้มน้าวศัตรูอยู่ในหัวเลยซักนิด เธอคิดแต่จะเข้าต่อสู้เพียงอย่างเดียว

“สิ่งเหล่านี้คงทำให้ฮาโรลด์ดูเป็นคนดีขึ้นทันตา” ในที่สุดเธอก็ตระหนักได้ว่าตัวเธอที่ถอดหน้ากากจอมปลอมที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัวและความละอายออกไปแล้ว เธอจะป่าเถื่อนได้ถึงเพียงไหนกัน

 

[ ฮึ สองคนนั้นแตกต่างจากทหารทั่วๆไปในคฤหาสน์ พวกมันไม่ลังเลที่จะฆ่าพวกแก! ] – แฮร์ริสัน

[ ดูเหมือนว่าการเจรจาจะล้มเหลวสินะคะ ] – เอริกะ

 

“รีบมาทำมันให้จบเถอะ ก่อนที่ฉันจะเปิดเผยความน่ารังเกียจไปมากกว่านี้:” ด้วยความคิดนั้น เอริกะจึงก้าวไปข้างหน้า ทั้งไลเนอร์และคนอื่นถึงกับตกตะลึง แม้จะรับรู้ความรู้สึกประหลาดใจของทุกคนที่ส่งมาจากทางด้านหลัง แต่เธอก็ปลดปล่อยเวทมนตร์โดยไม่ร่ายใดๆออกไปทันที

 

[ << Ice End >> ] – เอริกะ

 

เวทมนตร์ที่ถูกปล่อยออกไปพร้อมกับน้ำเสียงที่เย็นชาของเธอทำให้บริเวณครึ่งหนึ่งของระเบียงถูกแช่แข็งไปทันที ไม่มีทางที่แฮร์ริสันผู้ที่มีพุงยื่นออกมาซะขนาดนั้นจะรับมือได้ทัน ส่วนล่างของเขาตั้งแต่เข่าลงไปถูกแช่แข็งยึดติดกับพื้นระเบียง

 

[ อั๊ก ! แก! เวรเอ้ย!!! .. ] – แฮร์ริสัน

 

ทั้งพลังโจมตี ระยะ และความเร็ว มันยากที่จะเชื่อว่าเวทมนตร์นี้ถูกใช้ออกมาโดยไม่มีคำร่ายใดๆทั้งสิ้น นั้นเพราะ เวทมนตร์นี้เป็นคาถาที่ทรงพลังมาก มันทรงพลังเสียจนเธอไม่สามารถใช้มันในคฤหาสน์ได้เพราะว่าสถานที่นั้นแคบจนเกินไป

โดยปกติแล้วการร่ายเวทมนตร์เป็น 1 วิธีที่ช่วยให้ใช้คาถาได้อย่างถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น และสำหรับผู้เชี่ยวชาญ การร่ายคาถานั้นสามารถช่วยเพิ่มพลังโจมตีได้อีกด้วย แน่นอนว่าตอนแรกนั้นเอริกะก็ใช้การร่ายคาถาเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม เธอพยายามอย่างมาก ฝึกหนักมาโดยตลอด เพื่อที่จะเป็นคนที่เหมาะสมกับฮาโรลด์ จนในที่สุด เมื่อมาถึงจุดๆหนึ่งเธอก็รู้สึกตัว ในที่สุดการร่ายคาถามันก็ไร้ความหมายสำหรับเธอไปเสียแล้ว

สำหรับเอริกะ การร่ายคาถาเป็นเพียงการจำกัดพลังเวทมนตร์ เพื่อระงับพลังให้มันไม่รุนแรงมากจนเกินไปเท่านั้น

เช่นเดียวกับ << Meteor Blast >> ที่เธอใช้ตอนแก้ปัญหาหมอกพิษในดินแดนของเธอ หากตอนนั้นเธอใช้เวทมนตร์โดยการไม่ร่ายคาถา อุปกรณ์ที่ควรจะถูกลีฟาปิดการทำงานลงอาจจะถูกระเบิดไปพร้อมกับมอนเตอร์ทั้งหมดแทน ดังนั้น เธอจึงจำเป็นต้องร่าคาถาเพื่อจำกัดพลังทำลายของมันเอาไว้

สำหรับเอริกะแล้ว ฝูงมอนเตอร์ในตอนนั้นไม่ต่างอะไรกับการบี้มด

 

[ เอริกะ ! รอเดี๋ยว !! ] – ฮิวโก้

 

เหมือนว่า ฮิวโก้จะร้องเตือนอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่เธอจะรู้สึกตัวว่าเขาร้องเตือนอะไรเธอกันแน่  2 คนที่อารักขาแฮร์ริสันก็ กระโดดขึ้นเพื่อหลบ << Ice End >> ของเธอ และพุ่งตรงมายังเอริกะ ปฎิกิริยาของ 2 คนนี้แสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่แฮร์ริสันเคยกล่าวเอาไว้ พวกเขาทั้งคู่มีฝีมือสูงกว่าทหารคนอื่นๆในคฤหาสน์เป็นอย่างมาก

คนที่พุ่งเข้ามาจากทางด้านซ้ายนั้นเป็นผู้ชายตัวสูง อีกคนทางขวานั้นเป็นผู้หญิงรูปร่างเล็ก

 

( มันคงจะเป็นปัญหา ถ้าคนผู้ชายเข้ามาใกล้กว่านี้ ) – เอริกะ

 

หลังจากวิเคราะห์อย่างใจเย็น เอริกะก็ใช้ธนูของเธอ เพื่อยิงคาถาซุยโชกิ 3 ลูกไปยังจุดที่ชายคนนั้นกำลังจะยั้งเท้าลงไป มันคือลูกศรน้ำที่รูปร่างเหมือนพัด และกลายเป็นน้ำแข็งทันทีเมื่อมันปะทะเข้ากับพื้น ด้วยเวทมนตร์นี้ทำให้พื้นที่ถูกยิงใส่ราวกับเป็นลานสเก็ต ชายคนนั้นจึงไม่สามารถยั้งเท้าได้อย่างถูกต้องและลื่นล้มลง

แน่นอนว่าเธอไม่ปล่อยให้เขามีเวลาได้ตั้งตัว เธอได้ยินลูกศรน้ำซ้ำไปที่ชายคนนั้นทันที และในจังหวะที่ลูกศรน้ำเข้าปะทะกับร่างของเขา มันก็หลอมหลวมกับคาถา <<Ice End>> และตรึงร่างเขาไว้ที่พื้น

เพียงแค่วินาทีเดียวที่ขาเขาลงถึงพื้น เขาก็ถูกจับกุมในคุกน้ำแข็งและไม่สามารถขยับตัวได้อีก

 

( เอาล่ะ เหลืออีก 1 ) – เอริกะ

 

ยังเหลือผู้หญิงรูปร่างเล็กที่ถือดาบ 2 เล่มในมืออยู่อีกคน แต่ว่ากลับไม่เป็นอย่างที่ชายคนนั้นโดน เธอรวดเร็วและสามารถหลบหลีกไปบนพื้นน้ำแข็งได้หมด และพุ่งตรงเข้ามาที่เอริกะ

อย่างไรก็ตาม เอริกะกับรู้สึกเพียงว่า เธอคนนั้นช่างเชื่องช้าจนน่าใจหาย

ย้อนกลับไปในตอนที่เธอยังคงเป็นเด็ก มีหลายๆครั้งที่เอริกะได้ไปแอบดูฮาโรลด์ประลองกับอิสุกิผู้เป็นพี่ชายของเธอที่โรงฝึก ฮาโรลด์ในตอนนั้นยังเร็วกว่านี้มาก แล้วไม่คิดหรอว่าเธอจะเคยปะมือกับพี่ชายของเธอ ผู้ที่รวดเร็วพอๆกับความเร็วของฮาโรลด์ในตอนนั้น ?

ดาบที่หญิงสาวร่างเล็กใช้นั้นเป็นดาบคู่รูปร่างโค้งๆ มันสั้นกว่าดาบปกติ ด้วยระยะโจมตีของมัน สำหรับเอริกะถ้าเป็นระยะนี้เธอสามารถใช้เทคนิคการต่อสู้ระยะประชิดได้

พลังของการฟันเหล่านั้นที่สามารถบดขยี้กระดูกของเอริกะได้อย่างง่ายดาย แต่ทันทีที่คมดาบพุ่งเข้ามาจากทางขวาของเธอ เอริกะสามารถหลบมันได้อย่างง่ายๆเพียงแค่เส้นบางๆของกระดาษ และในเมื่อดาบนั้นจั่วลมเข้าเต็มเปา ข้อมือของหญิงสาวก็อยู่ในมือของเอิรกะแล้ว

แทนที่เธอจะต้านแรงที่ส่งมานั้น เอริกะเลือกที่จะใช้แรงของหญิงสาวคนนั้นเพื่อเสริมแรงและทุ่มลอยออกไป และระหว่างที่หญิงสาวถูกทุ่ม เอริกะก็ยังบิดข้อมือของเธอเล็กน้อยเพื่อให้อาวุธนั้นหลุดจากมือ ด้วยแรงที่เธอใส่ลงไปตอนบิดข้อมือ แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้มือข้างแพลงนั้นของหญิงสาวใช้การไม่ได้อีก

หลังจากหญิงสาวถูกเหวี่ยงลอยออกไป เธอไถลไปตามพื้นน้ำแข็งตรงไปที่กำแพง … แต่ทว่ามันกลับหยุดก่อนที่จะปะทะเข้ากับกำแพง เอริกะคิดว่า ด้วยการโจมตีเพียงเท่านั้น ก็น่าจะพอแล้วที่จะแสดงความห่างของฝีมือและอีกฝ่ายคงสูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้

 

[ … แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นสินะคะ ] – เอริกะ

 

เอริกะถอนหายใจออกมาเล็กๆขณะจ้องมองไปยังหญิงสาวที่กำลังลุกขึ้นอย่างไร้ความรู้สึกพร้อมกับดาบในมือของเธอ เมื่อเห็นดังนั้น เอริกะจึงสะพายคันธนูเก็บไว้ที่หลังของเธอ พร้อมกับก้มตัวลงหยิบดาบสั้นที่หญิงสาวคนนั้นทำตกไว้ขึ้นมา การต่อสู้ในระยะประชิดและดาบนั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอถนัดเลยซักนิด

แต่ถึงกระนั้น ต่อให้หญิงสาวคนนี้ที่เป็นคู่ต่อสู้ของเธอ เอริกะก็จะไม่ยอมให้ใครแซงหน้าเธอได้อีก

อีกครั้งที่ เอริกะพุ่งตรงออกไปข้างหน้า

เงาของเอริกะและหญิงสาวตัดผ่านกัน เสียงแหลมสูงที่เกิดจากคมดาบของทั้งคู่ปะทะกันดังกึกก้องและจางหายไปในท้องฟ้าสีคราม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด