My Death Flags Show No Sign of Ending 83 เป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง

Now you are reading My Death Flags Show No Sign of Ending Chapter 83 เป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

[ บ้าเอ๊ย มองไม่เห็นทางข้างหน้าเลย …! ]

 

แม้ว่าจะแค่ 2-3 เมตรด้านหน้าก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ ไลเนอร์ได้แต่สาปแช่งให้กับทัศนวิสัยที่ย้ำแย่เพราะถูกทั้งหมอกและความมืดยามราตรีบดบัง

เมื่อวานราวๆเที่ยง คือช่วงเวลาที่เขาได้เดินทางออกจากหมุ่บ้านบร๊อช ตั้งแต่ตอนนั้นเขาแทบไม่ได้พักเลยจนกระทั้งมาถึงหุบเขาแห่งหมอก ส่วนสาเหตุที่เขาเดินทางมาที่นี่นั้น เพราะตอนนั้นเขากำลังหิวจึงเข้าไปที่ร้านอาหารและบังเอิญได้ยินบทสนทนาของคน 2 คนที่กำลังคุยกัน

 

[[ อะไรดลใจให้เจ้าพวกนั้นแต่งตัวชุดดำทั้งตัวจนดูหน้าสงสัยขนาดนั้นกัน ? ]]

[[ ใครจะไปรู้ ? อีกอย่าง พวกมันยังเดินทางผ่านหุบเขาแห่งหมอกเวลานี้ด้วยสิ ]]

 

คนท่าทางน่าสงสัยที่แต่งชุดดำทั้งตัว นั้นคือคีย์เวิร์ดที่ไลเนอร์บังเอิญได้ยินขณะรับประทานมื้ออาหารของเขา เขาแทบจะโยนอาหารทิ้งไปทันทีและรีบเตร่ไปสอบถามกับคนทั้ง 2 นั้นด้วยน้ำเสียงอันร้อนแรง

อาจเพราะไลเนอร์จี้ถามออกมาอย่างดุดัน แม้พวกเขาทั้งคู่จะสั่นด้วยความกลัวเล็กน้อย แต่ก็ยอมตอบคำถามให้กับไลเนอร์แต่โดยดี

ประมาณ 1 ชม. ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน พวกเขาเห็นคน 2 คนแต่งกายชุดดำทั้งตัวเข้าไปยังหุบเขาแห่งหมอก นั้นคือสิ่งที่คนทั้ง 2 เล่ามา

หุบเขาแห่งหมอก ก็ตามชื่อของมัน มันคือหุบเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอก สถานที่แห่งนั้นแม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน ยังมองเห็นทางข้างหน้าได้เพียงไม่กี่เมตร ไม่ต้องพูดถึงตอนพระอาทิตย์ตกดินเลย ทุกๆสิ่งต่างมืดมิดโดยสมบูรณ์ แม้แต่แสงของดวงจันทร์ยังไม่อาจสาดส่องทะลุผืนหมอกได้ ต่อให้ไม่มีหมอก หุบเขาเส้นทางนั้นยังยากที่จะเดินทางผ่านได้ แล้วแบบนั้ใครกันถึงจะอยากเข้าไปที่นั้นในเวลากลางคืน 

หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของทั้ง 2 ไลเนอร์ก็รีบพุ่งออกจากร้านไปทันที แน่นอนว่าเขารีบมุ่งหน้าไปยังหุบเขาแห่งหมอก

แม้ว่าเขาจะไม่หลักฐานอะไรยืนยันว่าใช่ 2 คนนั้นรึปล่าว แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์และจังหวะเวลาที่เกิดขึ้นแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่ 2 คนนั้นจะคือโจรที่ไลเนอร์กำลังไล่ตามอยู่ ดังนั้นไลเนอร์จึงรีบรุดหน้าเข้าไปยังหุบเขาแห่งหมอกโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้นแม้ว่าท้องฟ้ายามราตรีกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาเรื่อยๆ แต่ว่าด้วยทัศนวิสัยที่ย่ำแย่และเส้นทางที่ขรุขระ ทำให้ขาของเขาแทบจะเหนื่อยเป็น 2 เท่า และหลังจากการเดินตลอดทั้งคืน ในที่สุดพระอาทิตย์ก็เริ่มที่จะขึ้นอีกครั้ง

ด้วยความเหนื่อยสะสม ไลเนอร์จึงนั่งลงที่ก้อนหินข้างๆเพื่อพักหายใจสักครู่

ขณะพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆหลายต่อหลายครั้ง ไลเนอร์ก็ได้แต่คิดว่ามันจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนก็เขาจะไล่ตามคนร้ายได้ทัน จากที่ได้พูดคุยกับชายทั้ง 2 ในร้านอาหาร พวกโจรได้เข้ามาที่หุบเขาแห่งหมอกก่อนเขา 1 หรือ 2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ดังนั้นเขาจึงคิดว่าหากเขารีบรุดไปข้างหน้าโดยที่ไม่หยุดพักเขาจะสามารถไล่ตามพวกโจรได้ทัน แตว่าแม้เขาจะเดินมาตลอดทั้งคืน เขากับไม่เห็นวี่แววของพวกโจรเลยสักนิด

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ไลเนอร์จึงหงายหลังลงนอนบนก้อนหินที่เขานั่งอยู่ นั้นเพราะหากเขาไม่พักเสียตอนนี้ เขาคงสลบไปเพราะหมดเรี่ยวแรง

ที่นี่เป็นสถานที่ที่เงียบสงบมาก นอกจากเสียงของลมหายใจและเสียงของหัวใจที่กำลังเต้นอยู่รบกวนสมาธิเขา ไลเนอร์ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย

ขณะที่ค่อยๆสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า หัวใจของไลเนอร์ก็ค่อยๆสงบลง นั้นไม่ใช่เพียงแค่ลมหายใจหรือหัวใจของเขาที่ค่อยสงบลงเท่านั้น รวมถึงอารมณ์บางส่วนของเขาด้วย เช่นความโกรธ และความกังวล ต่างค่อยๆลดลง

ไม่ใช่ว่าไลเนอร์เริ่มอยากที่จะให้อภัยคนที่ขโมยดาบของเขาไป อย่างไรก็ตาม เขาแค่รู้สึกว่าความอดทนที่เขามีมาอย่างยาวนานเริ่มลดลงเรื่อยๆ

 

( ใช่แล้วล่ะ ต้องไม่ใจร้อน ผมคงเข้าใกล้พวกมันมากแล้วอย่างแน่นอน )

 

บ่อยครั้งที่ไลเนอร์จะได้รับการเตือนจากพ่อและแม่ของเขาในตอนฝึกฝนดาบว่าเขานั้นมักปล่อยให้อารมณ์ทำให้หัวร้อนง่ายเกินไป มันเป็นนิสัยที่ไม่ดีที่ทำให้เขามุ่งความสนใจไปเพียงสิ่งๆเดียวจนละเลยที่จะสังเกตสิ่งรอบๆตัว จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหากเป็นการต่อสู้ 1 – 1 ที่ดำเนินไปอย่างยุติธรรม แต่ถ้าหากมันเป็นการต่อสู้กับศัตรูหลายๆคน มันอาจจะเป็นการเปิดช่องว่างอันร้ายแรงในการป้องกันของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่ของไลเนอร์จึงพร่ำสอนให้เขาหมั่นมองภาพรวมโดยรอบอยู่เสมอ และเพื่อเป็นการเตือนสติเขา พวกท่านจึงบ่นปากเปียกปากแฉะให้เขาอยู่ในสมาธิให้ได้ตลอด เห็นได้ชัดว่าการควบคุมจิตใจไม่ใช่เรื่องถนัดที่ไลเนอร์จะสามารถทำได้ดี อย่างไรก็ตาม หากวันใดวันหนึ่งเขาสามารถเอาชนะจุดอ่อนของตัวเองข้อนี้ได้ เขาก็จะแข็งแกร่งขึ้น นั้นคือสิ่งที่ไลเนอร์เชื่อมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกว่าจิตใจของเขาสับสนหรือผิดปกติ เขาก็จะค่อยๆพยายามสงบสติอารมณ์ลงด้วยตนเองอยู่เสมอ

สิ่งที่ไลเนอร์เชื่อนั้นเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของมนุษย์นั้นมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน และไม่มีใครสามารถเอาชนะมันได้โดยง่าย

และทันใดนั้นเอง ไลเนอร์ก็รู้สึกตัว ในที่สุดเขาก็รู้ว่าตนได้หมดสติและเผลอหลับไป เขารู้สึกได้ว่าดวงอาทิตย์นั้นอยู่สูงขึ้นจากเดิมมาก แม้ว่าเขาจะไม่อาจมองเห็นท้องฟ้าได้เพราะหมอกที่หนาทึบ แต่เขาก็สามารถที่จะกะตำแหน่งของดวงอาทิตย์คร่าวๆได้จากแสงที่ลอดผ่านหมอกมา จากดวงอาทิตย์ที่ควรจะขึ้นเมื่อไม่นานนี้ มันกลับอยู่สูงกว่าที่ควรจะเป็น

 

[ …. ซวยแล้ว! ดันเผลอหลับไปเสียได้ ! ]

 

สาเหตุหลักมาจากความเหนื่อยล้าที่ถูกสะสมเอาไว้ แถมอากาศก็ดีเสียจนสามารถล่อลวงให้เขาหลับลงบนก้อนหินที่ไม่เหมาะกับการนอนเลยซักนิด อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดคือไลเนอร์ไม่สามารถควบคุมจิตใจของเขาได้โดยสมบูรณ์นั้นเอง นั้นเพราะเขามักจะเผลอหลับไปทุกครั้งเมื่อเขาพยายามสงบสติอารมณ์ ถึงกระนั้น ขนาดที่กำลังอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เขายังสามารถหลับลงไปได้อย่างน้อยก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าไลเนอร์นั้นมีประสาทที่แข็งแกร่งจริงๆ

ไลเนอร์รีบดีดตัวขึ้นอยากรวดเร็ว แม้เขาจะไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วก็ตาม แต่เดาจากอากาศโดยรอบ น่าจะยังช่วงเช้าอยู่ “ผมคงหลับไป10-20 นาทีล่ะมั้ง อย่างแย่สุดๆ คงไม่เกิน 1 ชม . ” แม้ไลเนอร์จะยังสงสัย แต่อย่างไรก็ตาม การหยุดพักโดยไม่คาดคิดในครั้งนี้ หากไม่รีบกลับไปไล่ตามต่อคงแย่แน่ ขณะครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาเผลอทำพลาดไป เขาเลยตัดสินใจว่าจะเร่งความเร็วขึ้นเสียหน่อย

ถึงกระนั้น ส่วนหนึ่งเขากลับคิดว่าการได้พักบ้างแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก ร่างกายของเขาได้พัก การเดินมาทั้งคืนทำให้สายตาของเขาเริ่มคุ้นชินกับทัศนวิสัยแย่ๆ ยิ่งสำหรับตอนนี้ที่พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เริ่มมีแสงลอดส่องผ่านหมอกบ้าง มันยิ่งทำให้เขาเดินหน้าได้ไวขึ้นไปอีก ยิ่งแสงสว่างขึ้นเท่าใด ระยะการมองเห็นของเขาก็ค่อยๆไกลขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากออกเดินทางต่อได้ไม่นานนะ ในที่สุด ไลเนอร์ก็พบกับกลุ่มคนที่เขากำลังตามหา เขารีบเบรกในทันทีและพุ่งตัวเข้าไปหลบที่หลังก้อนหินเพื่อสอดแนม แม้ว่าหมอกจะยังคงหนาแน่น แต่เมื่อใช้สายตาของเขาเพ่งดูดีๆ เขาก็พบว่าเงาคนพวกนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 คน แม้จะยังไม่แน่ใจว่า 2 คนนั้นมีกล่องที่บรรจุดาบล้ำค่าของเขาติดตัวด้วยหรือไม่ ขณะที่ระวังไม่ให้เกิดเสียงขณะก้าวเดินไปข้างหน้า ไลเนอร์ก็ค่อยๆลดระยะห่างกับพวกเขาทั้งคู่ลงเรื่อยๆ

สำหรับ 2 คนนั้น พวกเขาไม่มีการเคื่อลนไหวใดๆทั้งสิ้น ดูเหมือนว่า 2 คนนั้นจะไม่ได้พูดคุยกันด้วยซ้ำ หรือบางที 2 คนนั้นจะกำลังหยุดพักเหมือนอย่างที่ไลเนอร์ทำ

 

( ถ้าเป็นแบบนี้ หากผมสามารถลอบโจมตีทีเผลอได้สำเร็จผมน่าจะชิงดาบกลับคืนมาได้ )

 

ไลเนอร์พยายามปรับลมหายใจให้เข้ากับจังหวะของร่างกาย และในทันทีที่สภาพร่างกายและจิตใจของเขาตรงกัน เขาก็พุ่งตัวออกจากที่ซ่อนอย่างไม่ลังเล 

เขาพุ่งด้วยความเร็วที่กล่าวได้ว่าขาของเขาแทบจะไม่ติดพื้น อีกเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้นก็จะถึงตัว 2 คนนั้น แต่ทว่า ในที่สุด 2 คนนั้นก็รู้สึกถึงการโจมตีและเริ่มเคลื่อนไหว 

1 ใน 2คนนั้นใช้หอกยาว เห็นดังนั้นไลเนอร์จึงมั่นใจว่าไม่ผิดตัวแน่ เขาเร่งความเร็วขึ้นอีกเพื่อที่จะไม่พลาดโอกาสในการชิงการโจมตีแรก

 

( หากกำลังเผชิญกับศัตรูที่ได้เปรียบเรื่องระยะโจมตี ผมต้องทำลายระยะห่างและเข้าประชิดตัวให้ได้! )

 

ไลเนอร์ทำตามคำสอนของพ่อแม่ของเขา เขาเข้าประชิดตัวเพื่อทำให้ผู้ที่ใช้หอกไม่สามารถเหวี่ยงหอกได้ถนัดดั่งใจนึก อย่างไรก็ตาม คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่คนธรรมดา เขาสามารถป้องกันการลอบโจมตีของไลเนอร์ได้ แม้ว่ามันจะไม่สมบูรณ์แบบเท่าไหร่ก็เถอะ แต่การฟันของไลเนอร์ถูกหยุดเอาไว้ด้วยด้ามหอกอันแข็งแรง

หากไลเนอร์ไม่บุกเข้าไปต่อ เขาคงพ่ายแพ้แน่ๆ เพราะฉากกลางต่อสู้ในคืนนั้นไลเนอร์ยังจำได้ดีและเขารู้ดีว่าความสามารถของศัตรูนั้นแข็งแกร่งกว่าตัวของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ไลเนอร์ยังแพ้ด้านจำนวนอีกด้วย ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าโอกาสเดียวที่ไลเนอร์จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้นั้นก็คือจังหวะที่คู่ต่อสู้ยังไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีอย่างการโจมตีทีเผลอ

ไลเนอร์ทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อเพิ่มพลังฟันให้กับใบดาบให้สามารถตัดทะลุด้ามหอกของศัตรูไปได้ แน่นอนว่าศัตรูนั้นไม่ได้ดึงหอกกลับเพื่อหลบเลี่ยงแต่อย่างใด เขาแค่ปรับเปลี่ยนท่าทางให้มั่นคงและเข้าเผชิญหน้ากับไลเนอร์เพื่อประลองกำลัง

แน่นอนว่ายังมีคู่ต่อสู้เหลืออยู่อีกคน และถ้าหากไลเนอร์ยังติดอยู่แบบนี้ เขาอาจถูกโจมตีโดยไม่สามารถป้องกันตัวได้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องทำให้ผู้ใช้หอกไม่สามารถต่อสู้ต่อได้เสียก่อน

ไลเนอร์ทุ่มพลังอย่างสุดกำลังไปที่ดาบ และทันใดนั้นเขาก็ใช้ขาขวาของเขาเตะไปที่กลางหอกอย่างรุนแรง

หอกที่รับความเสียหายที่ไลเนอร์โจมตีมาจากทางด้านบน ส่วนอีกฝั่งคือศัตรที่พยายามดันหอกไว้เพื่อยื้อพลังนั้น เมื่อความพลังถูกด้านเข้าหาจากทั้ง 2 ฝั่ง ไลเนอร์จึงใช้ข้อได้เปรียบจุดนั้นเตะฟาดไปที่กลางหากที่เป็นจุดรวมพลังมหาศาลของทั้ง 2 ด้าน จึงทำให้หอกเล่มนั้นถึงกลับหักครึ่ง

บางทีชายคนนั้นไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหอกของเขาจะถูกทำลาย ร่างของเขาจึงแข็งทื้อไปชั่วขณะ แน่นอนว่าไรเนอร์ไม่พลาดโอกาสนั้น เขาเบี่ยงเท้าขวาที่โจมตีใส่หอกไปเมื่อสักครู่ฟาดเข้าที่ใบหน้าของศัตรูอย่างจัง

ไลเนอร์ไม่คิดว่าลูกเตะนั้นจะมีพลังโจมตีอะไรมากมายนัก เพราะพลังในการโจมตีนั้นสูญเสียไปเกือบหมดในตอนที่เขาเตะฟาดไปที่หอกแล้ว

อย่างไรก็ตาม ชายที่ถูกไลเนอร์เตะนั้นเบี่ยงตัวไปทางซ้ายของไลเนอร์ ส่วนไลเนอร์นั้นก็เบี่ยงออกขวาเพื่อทิ้งระยะห่างออกมาเช่นกัน นั้นเพราะยังมีศัตรูอีกคนหนึ่งที่ถือดาบคู่กำลังพุ่งตัวเข้ามาโจมตีเขาจากทางด้านซ้ายมือ อาจเพราะผู้ใช้หอกเซไปขวางทางทำให้ผู้ที่ใช้ดาบคู่นั้นลดความเร็วลงนิดหน่อย แต่ศัตรูก็เบี่ยงตัวเพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางและพุ่งเข้ามาอีกครั้ง

ระยะเวลาที่ผู้ใช้ดาบเสียไปเพียงไม่ถึง 1 วินาที อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาเพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับไลเนอร์ที่กำลังตั้งท่ารอ

 

[ Dragon Fire !! [[ฮิริว!]] ]

 

มีมังกรเพลิงสีแดงเข้มปรากฎขึ้นจากดาบของไลเนอร์ มังกรไฟที่ร้อนแรงพุ่งเข้าไปกลืนกินร่างของผู้ที่ใช้ดาบคู่ทั้งตัว … หรืออาจจะ ..

 

[ อย่างที่คาด ก็คิดไว้แล้วว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้น … ]

 

“กระโดด” นั้นคือทั้งหมดที่คู่ต่อสู้ทำ ผู้ใช้ดาบคู่นั้นกระโดดขึ้นไปเพื่อหลบมังกรไฟที่พุ่งเข้าหาในวินาทีสุดท้าย

ผู้ใช้ดาบคู่นั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก แถมยังสามารถเคลื่อนไหวได้พลิกแพงหลากหลาย หากศัตรูสามารถเข้าประชิดตัวเขาได้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ไลเนอร์จะสามารถปกป้องตัวเองได้ ดังนั้นไลเนอร์จึงไม่ยอมให้ศัตรูล่นระยะเข้ามาได้ และจำเป็นต้องต่อสู้จากระยะไกลเท่านั้น นั้นเป็นสาเหตุที่ไลเนอร์ใช้การโจมตีระยะที่สุดที่เขาสามารถทำได้ ณ ตอนนี้ ถ้าเป็นไปได้จริงๆ ไลเนอร์ก็หวังไว้ว่าการโจมตีนี้จะโดนเข้าอย่างจัง

ในการดวลนั้น การคำนึงถึงระยะห่างของคู่ต่อสู้นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากใครสามารถชิงความได้เปรียบในด้านระยะโจมตีได้ มันอาจทำให้ลบข้อได้เปรียบในด้านความสามารถที่แตกต่างกันได้ และอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ตัดสินผลแพ้ชนะได้เลย

ดังนั้น เพื่อที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาทั้งหมด ไลเนอ์จึงพยายามลบข้อได้เปรียบที่ทั้งผู้ใช้หอกและผู้ใช้ดาบมี

อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงมักไม่เป็นดั่งหวัง ศัตรูสามารถหลบท่าโจมตีมังกรไฟของเขาได้ และตอนนี้ก็กลับมาตั้งหลักพร้อมจะบุกเข้ามาอีกครั้งแล้ว แม้ว่าศัตรูอีกคนหอกของมันจะใช้การไม่ได้แล้ว แต่ว่าต่อให้ไลเนอร์ต้องรับมือกับศัตรูที่ใช้ดาบตัวต่อตัว แค่นี้ก็ตึงมือมากเกินพอแล้วสำหรับไลเนอร์

แถมดาบที่ถูกขโมยไปยังอยู่ที่นั้น อยู่ในมืออีกฝ่าย

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ไลเนอร์จะเอาชนะได้

ความคิดด้านลบเหล่านั้นกลับทำให้ไลเนอร์เผยรอยยิ้มแหยงๆออกมาบนใบหน้าของเขา

เขายังจำได้ดี ในวันนั้นเมื่อ 5 ปีก่อน นั้นคือครั้งแรกที่เขาพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในการดวล หากยกเว้นพ่อแม่ของเขา นั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาพ่ายแพ้ให้กับคนรุ่นๆเดียวกันกับเขา

เขาหงุดหงิดมาก ดังนั้นเขาจึงสัญญากับตัวเองว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องล้างแค้นในครั้งนั้นให้ได้

ดังนั้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไลเนอร์ก็มีฮาโรลด์เป็นเป้าหมายที่เขาต้องไล่ตามให้ทันให้ได้มาโดยตลอด

 

[ หึ หากเทียบกับฮาโรลด์แล้ว ความเร็วของเจ้าพวกนี้ยังถือว่าช้านัก! ]

 

ในการต่อสู้กับฮาโรลด์เมื่อ 5 ปีที่ก่อน ไลเนอร์ได้ประสบพบเจอกับความเร็วที่เหนือกว่ามากจากฮาโรลด์มาแล้ว แถมหากเทียบกับศัตรูที่ถือดาบ ฮาโรลด์ก็แข็งแกร่งกว่าเป็นไหนๆ

ไลเนอร์พยายามนึกภาพของฮาโรลด์ในหัว ชายที่เขาจะต้องไล่ตามให้ทัน เป้าหมายที่เขาจะต้องเอาชนะให้ได้ เพื่อยืนหยัดในฐานะคู่แข่งและเพื่อนของเขา

 

[ แค่นี้ก็แพ้แล้วงั้นเรอะ ? ฮาโรลด์คงหัวเราะเยาะออกมาแบบนี้แน่ๆ !! ]

 

ผ่านไปแล้ว 5 ปี และฮาโรลด์คงแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากๆ “แล้วผมจะมีหน้าไปเอาชนะฮาโรลด์ได้ยังไงถ้าหากศัตรูแค่นี้ผมยังเอาชนะไม่ได้” นั้นคือสิ่งที่ไลเนอร์คิด และปลุกกำลังใจให้กับตนเอง 

เขาต้องชนะ และชิงดาบคืนมา

สายตาที่มุ่งมั่นมองตรงไปข้างหน้าอย่างตั้งใจ ไลเนอร์เผชิญกับศัตรูเก่งกว่าขาอยู่อย่างไม่เกรงกลัว เขาสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อยพร้อมกับตะโกนออกมาเสียงดัง

 

[ ลุยล่ะนะ ! ]

 

หุบเขาที่เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ ตอนนี้ มีเสียงของไลเนอร์ดังก้องกังวานไปทั่วหุบเขา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด