Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1881

Now you are reading Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน Chapter 1881 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
จีบ

หลังจากได้ยินว่าเส้นชีพจรแห่งที่หนึ่ง สองและเจ็ดถูกทำลาย หวังหลินยังมีท่าทีสงบนิ่งเพราะสัมผัสได้ก่อนหน้านี้แล้ว

“แผนการลับสุดยอด?” หวังหลินขมวดคิ้ว

“ข้ามาเพื่อส่งคำสั่งและไม่รู้รายละเอียด ข้าหวังว่าสหายเซียนจะรีบกลับสำนักในทันที คนแบบข้ามีทั้งสิ้นสี่คนที่ถูกส่งออกไปยังเส้นชีพจรแต่ละแห่ง” โอวหยางเจินยื่นมืออกไปหยิบหินหยก เขาโยนให้หวังหลิน

“หินหยกก้อนนี้มีตำแหน่งของค่ายกลเคลื่อนย้ายและสามารเปิดใช้งานค่ายกลได้สามครั้ง หวังว่าสหายเซียนจะรีบไป ข้ายังมีงานอีกอย่างต้องทำและต้องขอตัวลาก่อน!” โอวหยางเจินดูกระวนกระวาย หลังจากคำนับฝ่ามือให้หวังหลิน เขาก็จากไป

โอวหยางเจินไปมาอย่างรวดเร็วแต่หวังหลินสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดของเซียนในแคว้นกระทิงสวรรค์ได้ หลังจากขบคิดเล็กน้อยเขาจึงมองดูหินหยก

บนพื้นดินมีลำแสงหลายเส้นทะยานออกไปและกลายเป็นกลุ่มของหยานหลวน

หลังจากนั้นไม่นาน หวังหลินเก็บหินหยกไปและมองดูกลุ่มของนาง เขาคำนับฝ่ามือให้

“เหล่าสหายเซียน เราอยู่ด้วยกันมาหลายเดือนแต่ถึงเวลาต้องแยกจากกันแล้ว หากโชคชะตาลิขิตอีกครั้ง เราคงมีโอกาสได้ต่อสู้ร่วมกันอีก”

“ลาก่อน!” หวังหลินกวาดสายตาผ่านไปยังหยานหลวน เขาหันตัวกลับโดยไม่รังเล ระลอกคลื่นใต้ฝ่าเท้าดังกึกก้องและร่างกายเลือนหายไป

หวังหลินจากไปโดยไม่ลีลา เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแคว้นกระทิงสวรรค์ดังนั้นจะมาจะไปก็ได้

กลุ่มของหยานหลวนมองดูตำแหน่งที่หวังหลินจากไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนไปชั่วครึ่งก้านธูป การอยู่ด้วยกันหลายเดือนที่ผ่านมามีเรื่องที่เกิดขึ้นมากมายและมิอาจลืม เป็นสิ่งที่พวกเขาจะจำไปจนวันตาย

วันที่หวังหลินจากไป เหล่าเซียนทั้งหมดจึงไปจากที่นี่พร้อมกับกลุ่มของหยานหยวน พวกเขาออกไปจากทุ่งยอดนภา ละทิ้งที่นี่เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ตำแหน่งที่โอวหยางเจินมอบให้

การป้องกันของเส้นชีพจรแห่งที่สามได้จบสิ้นลงแล้ว

สำนักกุ้ยยี่ หนึ่งในสองสำนักที่ทรงพลังที่สุดของแคว้นกระทิงสวรรค์ หนึ่งในเก้าสำนักสิบสามกองกำลังของแผ่นดินฝั่งตะวันออก แม้จะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอที่สุดเช่นกัน

ทั้งสำนักกุ้ยยี่ครอบครอบพื้นที่ของแคว้นกระทิงสวรรค์จำนวนมาก ยอดเขานับไม่ถ้วนมีสิ่งก่อสร้างเก่าแก่และเปล่งสัมผัสอันทรงเกียรติอยู่ใต้สายหมอก

สำนักกุ้ยยี่มีโครงสร้างที่เป็นวงแหวนล้อมกันไว้หลายชั้นจนดูเหมือนวังวนยักษ์ปกคลุมพื้นที่กว้างไกลสุดตา

สำนักกุ้ยยี่มีศิษย์จำนวนมากเช่นเดียวกับสำนักมหาวิญญาณ และมีเซียนทรงพลังมากมาย

ห่างจากสำนักกุ้ยยี่ไปหลายหมื่นลี้มีแสงระเบิดขึ้นในท้องฟ้า ทันใดนั้นมันทำให้คนในสำนักเกิดความสนใจขึ้นทันที ลำแสงหลายเส้นลอยทะยานเข้ามาหาค่ายกล

ภายในลำแสงค่ายกล หวังหลินในชุดขาวเริ่มปรากฏตัวขึ้นมา ทว่ามันเป็นเพียงแค่รูปร่างและไม่เห็นใบหน้า จังหวะนั้นลำแสงหลายเส้นได้ล้อมรอบหวังหลินเข้าแล้ว

“เจ้าเป็นใคร? โปรดนำหินระบุตัวตนออกมา!” น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้น คนที่พูดเป็นชายวัยกลางคนระดับขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับกลาง เขาสวมชุดคลุมเต๋าห้าธาตุและจ้องหวังหลินด้วยสายตาเย็นเยียบ

เซียนรอบด้านทั้งหมดต่างก็สวมชุดคลุมเต๋าห้าธาตุและกำลังรอคอยหวังหลินนำหินหยกระบุตัวตนออกมา ตอนนี้เป็นเวลาแห่งสงคราม หากหวังหลินไม่สามารถนำหินหยกออกมาได้พวกเขาจะสังหารทันที

หลังจากร่างหวังหลินเริ่มชัดเจนขึ้นอย่างสมบูรณ์ เหล่าเซียนรอบด้านเห็นรอยสักกระทิงสวรรค์บนใบหน้า ทุกคนต่างมีท่าทีเปลี่ยนไปและถอยไปหลายก้าว

พวกเขาสัมผัสถึงกลิ่นอายของวิญญาณกระทิงสวรรค์ได้ ซึ่งสัมผัสได้ชัดเจนว่ากลิ่นอายนี้มาจากอีกสองคนเมื่อวานก่อนด้วย

“เราทั้งหมดขอต้อนรับผู้ส่งสาส์นกระทิงสวรรค์! ข้าสงสัยว่าท่านผู้ส่งสาส์นมาจากเส้นชีพจรแห่งไหน? สำนักอะไร?” ชายวัยกลางก่อนหน้านี้พลันเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นสุภาพขึ้น เหล่าเซียนรอบด้านรีบคำนับฝ่ามือทันที

พวกเขารู้สึกเคารพยิ่งจากก้นบึ้งจิตใจต่อเหล่าผู้ส่งสาส์นที่สามารถคุ้มกันเส้นชีพจรกระทิงสวรรค์ได้ แม้พวกเขาจะเห็นว่าระดับบ่มเพาะของหวังหลินไม่ได้สูง พวกเขาก็คิดว่าคนที่สามารถป้องกันการโจมตีของแคว้นมารเขียวได้ต้องมีบางอย่างพิเศษเป็นแน่

“หวังหลิน สำนักมหาวิญญาณ เส้นชีพจรกระทิงสวรรค์แห่งที่สาม มาจากทุ่งยอดนภา” หวังหลินคำนับฝ่ามือให้กับทุกคน

“ท่านผู้ส่งสาส์น! จ้าวสำนักมีคำสั่งออกมาว่าผู้ส่งสาส์นทั้งหมดต้องมุ่งหน้าไปที่ห้องโถงหลัก” ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นมาต้อนรับหวังหลิน

หวังหลินพยักหน้าและมองสำนักกุ้ยยี่ที่ห่างออกไปไกล นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่นี่ ความจริงในโลกถ้ำเขาก็สัมผัสได้ถึงสำนักกุ้ยยี่จากรอยแยกที่อยู่ในแดนสวรรค์วายุแล้ว

ทั้งยังมีสหายเก่าอยู่ที่นี่ด้วย

เขาก้าวออกมาจากค่ายกล ชายวัยกลางคนและเหล่าเซียนรอบด้านพุ่งทะยานไปพร้อมกับเขาเข้าหาสำนักกุ้ยยี่

ทว่าก่อนที่ทุกคนจะทะยานไปได้ไกล ค่ายกลเคลื่อนย้ายพลันเรืองแสงพร่ามัวอีกครั้งกระจายออกไปทั่วสารทิศ

การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้หวังหลินและเซียนคนอื่นหันมาสนใจ ชายวัยกลางคนหันมาเย็นเยียบอีกครั้ง จ้องมองค่ายกลด้วยความเคร่งเครียด

ภายในค่ายกลมีร่างสตรีผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา รูปลักษณ์ของนางยังมองเห็นได้ไม่ชัดแต่รูปร่างงดงามยิ่ง เพียงแค่มองปราดเดียวก็ทำให้หัวใจสั่นระรัวได้แล้ว

หลังจากนั้นไม่นานร่างของนางก็ชัดเจนขึ้นกลายเป็นสตรีสวมชุดสีม่วง นางดูอ่อนเยาว์และงดงามมาก สัมผัสที่นางแผ่กระจายออกมาดูเยือกเย็นและทำให้นางคล้ายเทพธิดา

ใบหน้าทางด้านขวาของนางมีรอยสักกระทิงสวรรค์เช่นกัน ไม่เพียงแต่รอยสักจะไม่ลดทอนความสวย ทั้งยังทำให้มีกลิ่นอายลี้ลับ

“ถังเจียแห่งสำนักซิ่วเฉิง เส้นชีพจรกระทิงสวรรค์แห่งที่หก เทือกเขาทะเลคราม” นางเอ่ยขึ้นบางเบาพลางกวาดสายตาผ่านคนเบื้องหน้า สายตาหยุดอยู่ตรงหวังหลินชั่วขณะแต่นางยังคงนิ่งเฉย

หลังจากเห็นนาง หวังหลินหรี่ตาแคบลง เขามองใกล้ขึ้นและรู้สึกว่านางดูคุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าทำไม

ถังเจียขมวดคิ้วเล็กน้อยไปทางหวังหลินและชำเลืองมองไปด้วย

“สหายเซียน ท่านมาจากเส้นชีพจรเส้นไหน?” นางเอ่ยเสียงแจ่มใจและน่ารัก

“เส้นชีพจรกระทิงสวรรค์แห่งที่สาม” หวังหลินเอ่ยขึ้นช้าๆ ทำการสังเกตนางอย่างต่อเนื่อง พยายามค้นหาว่าทำไมนางถึงทำให้รู้สึกคุ้นๆ

เขามั่นใจว่านางไม่ได้เป็นคนจากโลกถ้ำ

ทว่าสายตาของเขานั้นไร้มารยาทสำหรับนางมาก นางขมวดคิ้วและมองหวังหลินแฝงความรังเกียจเล็กน้อย

นางมองดูหวังหลินอย่างเย็นชาและเอ่ยขึ้นเบาๆ “สหายเซียน ท่านเคยเจอข้ามาก่อนหรือไม่?”

“ข้าไม่เคยเจอท่านมาก่อน แต่ข้ารู้สึกเหมือนท่านดูคุ้นหน้าคุ้นตาเล็กน้อย” หวังหลินขบคิดและตระหนักได้ว่าท่าทีของเขานั้นเสียมารยาท เขายิ้มเป็นเชิงขอโทษและถอนสายตาออกมา

หลังจากได้ยินคำพูดของหวังหลิน ถังเจียรู้สึกรังเกียจขึ้น นางได้ยินคำพูดคล้ายกันนี้หลายครั้งมาก่อนและถือว่าหวังหลินกำลังจีบนาง นางไม่พูดอีกและทะยานเข้าหาสำนักกุ้ยยี่

หวังหลินลูบจมูกพลางทะยานเข้าหาสำนักกุ้ยยี่ด้วยสายตาแปลกประหลาดจากชายวัยกลางคน

ไม่นานนักทุกคนจึงได้ทะยานเข้าสู่สำนักกุ้ยยี่และเข้าสู่ค่ายกลโดยมีชายวัยกลางคนนำทาง

แสงสีม่วงกะพริบวาบ แต่ดูเหมือนว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ถังเจียมาที่สำนุกกั้ยยี่ นางตรงเข้าสู่โถงใหญ่

ครึ่งชั่วโมงต่อมา หวังหลินเห็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีนาฬิกายักษ์ห้อยหัวอยู่ในท้องฟ้า มันเปล่งแรงกดดันระเบิดออกมา

ใต้นาฬิกามีเซียนสองคนกำลังนั่งอยู่ คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนใบหน้ามืดมนคล้ายไม่สนใจทุกอย่างรอบตัว ใบหน้าทางด้านขวามีรอยสักกระทิงสวรรค์กะพริบวาบและเปล่งกลิ่นอายวิญญาณกระทิงสวรรค์

อีกคนเป็นชายวัยกลางคนท่าทีดูขี้เกียจ แต่หากมองใกล้ๆ จะเห็นแสงในดวงตา แม้จะดูขี้เกียจแต่เมื่อเขาเคร่งเครียดขึ้นมาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

บนใบหน้าด้านขวามีรอยสักกระทิงสวรรค์กะพริบวาบอยู่เช่นกัน

ตอนที่ถังเจียมาถึง ชายหนุ่มมองเข้ามาและไม่สนใจอะไรเลย แต่ในจังหวะต่อมาท่าทีของเขาหายไปและเผยอาการตกตะลึง ยืนขึ้นพรวดพราดและจ้องมองถังเจีย

หรืออีกความหมายหนึ่ง เขากำลังจ้องมองด้านหลังถังเจีย! หวังหลินผมขาวผู้กำลังมีเซียนหลายคนชี้ทาง

หวังหลินเองก็เห็นเขาเช่นกัน!

ถังเจียตกตะลึงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่ม นางรู้จักเขา รู้จักตัวตนและรู้จักชื่อเสียงเขาบนแคว้นกระทิงสวรรค์ ในอดีตนั้นนางเห็นได้เห็นแต่ท่าทีภูมิใจ ทว่าไม่เคยเห็นสีหน้าอาการอย่างตอนนี้

หลังจากตกตะลึงไปชั่วขณะ ถังเจียจึงหันกลับมาโดยไม่รู้ตัวและมองไปที่ร่างชายผู้ที่นางรู้สึกรังเกียจก่อนหน้านี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด