Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1970 เมืองหมายเลขหนึ่งของเผ่าเทพ!

Now you are reading Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน Chapter 1970 เมืองหมายเลขหนึ่งของเผ่าเทพ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 1970 เมืองหมายเลขหนึ่งของเผ่าเทพ!

เพียงหิมะร่วงหล่น สองคนก้าวเดินตามกันออกมาจากสำนักตะวันม่วง ทั้งสองคือหวังหลินและหลิวจินเปียว

หวังหลินบ่มเพาะอย่างเงียบๆตลอดทั้งปีอยู่ในกลิ่นอายของบ้านเกิดที่เขาคิดถึง ช่วงระหว่างนี้แก่นแท้ไม้ของหวังหลินก้าวไปอีกระดับและใกล้เคียงกับการสร้างร่างแก่นแท้

ร่างแก่นแท้สายฟ้านั้นได้ผสานกับแก่นแท้พิเศษไปอย่างสมบูรณ์ตอนที่อยู่ในสำนักตงหลิน หวังหลินไม่ต้องทำความเข้าใจแก่นแท้พิเศษเพิ่มอีกแล้ว แค่นี้ก็นับว่าพอ ส่วนร่างแก่นแท้ห้าธาตุ แก่นแท้ไม้ของหวังหลินใกล้จะสร้างร่างแก่นแท้ได้แล้ว เหลือเพียงแก่นแท้โลหะที่สำเร็จไปแค่ส่วนน้อยเท่านั้น หวังหลินเข้าใจว่าหากเขาสามารถได้เศษกระบี่มาเพิ่ม แก่นแท้โลหะก็จะสมบูรณ์ไปอีกขั้น

เมื่อแก่นแท้โลหะสมบูรณ์ แม้จะไม่มีร่างแก่นแท้ แก่นแท้ทั้งห้าของหวังหลินก็สามารถผสานกันเป็นหนึ่งได้ ถึงจุดนั้นระดับบ่มเพาะของหวังหลินจะเพิ่มขึ้นจากระดับกลางไปสู่ระดับปลาย ซึ่งเป็นขั้นของผู้สูงส่งชั้นทอง

สุดท้ายคือแก่นแท้นามธรรม ต่อจากจริงเท็จ ชีวิตและความตาย และเวรกรรม หวังหลินได้รู้แจ้งแก่นแท้นามธรรมอันที่สี่ในสำนักตงหลิน นั่นคือแก่นแท้เกิดใหม่

เขารู้แจ้งเพียงแค่เศษเสี้ยวของแก่นแท้เกิดใหม่เท่านั้น ราวกับเพิ่งเปิดประตูไปและได้รับเมล็ดพันธุ์ หวังหลินยังต้องใช้เวลาอีกมากเพื่อให้มันสมบูรณ์

‘การบรรลุระดับผู้สูงส่งชั้นทองไม่ใช่เรื่องยาก…ส่วนที่ยากคือแก่นแท้นามธรรม…เมืองหลวงคือบ้านของบรรพชนเทพ บางทีข้าอาจเจอกลิ่นอายกระบี่ของบรรพชนเทพที่นั่น…’ หวังหลินก้าวเดินพลางผชิญหน้ากับสายลมและหิมะ

การมุ่งหน้าไปเมืองหลวงในแคว้นกลางจากสำนักตะวันม่วงที่อยู่ทิศตะวันออกนับว่าเป็นการเดินทางอันยาวนาน สำหรับเซียนทั่วไปแล้วแม้จะเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดยังต้องใช้เวลานานมากเว้นเสียแต่จะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย

ร่างหวังหลินค่อยๆ ถูกหิมะปกคลุมจนเขาใช้บิดมิติเพื่อออกไปจากแผ่นดินทิศตะวันออกพร้อมกับหลิวจินเปียวและมังกรสมุทร

ด้านหลังมีกุ้ยหยาและสองสาวน้อยยืนอยู่ข้างกัน แต่ละคนทอดสายตามองออกไปไกลด้วยความไม่เต็มใจนัก

“เขาจะกลับมาหรือไม่…” ความร่าเรืองของวาวาลดลงไปเล็กน้อย

“เรายังได้เจอเขาหรือไม่…” ฮานฮานถามขึ้นทำลายความเงียบ

กุ้ยหยาถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “ก็น่าจะ…เป็นไปได้…ข้ามอบหินหยกให้เขาแล้ว หากเขาเผชิญอันตรายใดในแคว้นกลาง ท่านทั้งสองก็จะรู้ทันที”

“นี่เป็นข้อตกลงของเรากับเขา ถึงตอนนั้นมหาชั้นฟ้าชวงจื่อจะต้องไปช่วยเขา”

“ได้สิ นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อหวังหลินน้อยเลือกเรา เราจะไม่ยอมให้ใครมาแกล้งเขา!” วาวามองฮานฮาน สองสาวน้อยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

ด้านแคว้นกลางใจกลางเผ่าเทพ เป็นสถานที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยพลังปราณสวรรค์ ใจกลางของแคว้นคือเมืองหลวง

เมืองแห่งนี้กว้างใหญ่และเทียบได้กับแผ่นดินอีกสี่ทิศ มันไม่มีที่สิ้นสุดและถือเป็นเมืองหมายเลขหนึ่งของเผ่าเทพ!

แม้แต่เมืองชั้นหนึ่งในแคว้นโบราณ 36 แห่งก็มิอาจเทียบกับเมืองหลวงของเผ่าเทพได้เลย ทั้งยังเป็นถึงเมืองของบรรพชนในเผ่าเทพอีก

ในเมืองหลวงแห่งนี้มีเพียงสำนักเดียวเท่านั้นและนั่นคือสำนักที่ราชครูจากมา มันเป็นรากฐานและได้ผสานกับเซียนที่มีโลหิตของบรรพชนเทพไปแล้ว พวกเขาทนทุกข์ด้วยกันและรุ่งโรจน์ขึ้นมาด้วยกัน!

สำนักได้ถูกจักรพรรดิเทพตั้งกฎขึ้นมา จักรพรรดิเทพแต่ละรุ่นจะได้รับความภักดีจากสำนัก เมื่อสายโลหิตได้ตื่นขึ้นและสืบทอดชื่อมหาชั้นฟ้าแปดสุดขั้ว พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนชื่อของสำนักได้

จักรพรรดิเทพเหลียนต้าวเจินรุ่นนี้ได้เปลี่ยนชื่อสำนักให้เป็นสำนักเต๋า! จ้าวสำนักในรุ่นนี้คือราชครูคนปัจจุบัน ชางต้าวซวน!

ระดับบ่มเพาะของชางต้าวซวนนั้นลึกลับและมีพลังทำนายไม่ธรรมดา เพียงแค่ตัวเขาคนเดียวก็สามารถต้านทานพลังของราชครูทั้งสามจากเผ่าโบราณได้แล้ว

ไม่มีใครรู้ตำแหน่งของสำนักเต๋าที่แน่ชัด ตั้งแต่ยุคโบราณกาลมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ แต่ไม่มีความลับใดต้านทานกาลเวลาได้ ผ่านไปนานหลายปีจึงมีหลายคนคาดเดาได้หลายอย่าง

บางคนบอกว่าสำนักตั้งอยู่ในมิติว่างที่ทับซ้อนกับเมืองหลวง

บางคนบอกว่าสำนักอยู่ในรอยแยกอวกาศในเมืองหลวง ทางเข้าอยู่ในราชวัง

บางคนบอกว่าสำนักอยู่ใต้ดินลึกลงไปด้านล่างเมืองหลวง

คาดการณ์หลายอย่างและบางทีหนึ่งในนั้นอาจเป็นจริง

เมืองหลวงแบ่งออกเป็นสี่ทิศ ตรงกลางเป็นพื้นที่ต้องห้าม นั่นคือวังหลวงและคนที่ได้รับอนุญาตถึงมีสิทธิ์เข้าไปได้

ในสี่เมืองรองมีอีกหลายคฤหาสน์ แต่ละคฤหาสน์คือหนึ่งเขต ถึงจะไม่ใช่สำนักแต่ก็ทรงพลังมากกว่าสำนักส่วนใหญ่

แต่ละเมืองรองมีราชาสวมมงกุฎซึ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละเมืองรอง คฤหาสน์ลี่แห่งเมืองรองทิศเหนือ คฤหาสน์ลั่วแห่งเมืองรองทิศใต้ คฤหาสน์ชานแห่งเมืองรองทิศตะวันตก และคฤหาสน์เมิ่งแห่งเมืองรองทิศตะวันออก ทั้งสี่เป็นผู้ทรงอำนาจครอบครองพื้นที่ของตนเอง

นอกจากนี้ยังมีพลังอำนาจเหนือชั้นที่สามารถต่อกรกับพลังของจักรวรรดิได้ มันคือภูเขาที่อยู่คั่นกลางระหว่างเมืองตะวันออกและตะวันตก ภูเขาแห่งนี้ชื่อว่าภูเขาจักรพรรดิ!

ภูเขาจักรพรรดิ!

หนึ่งขุนเขา หนึ่งผู้คน หนึ่งมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ทำให้ทั้งเมืองหลวง พระราชวังและผู้คนนับล้านรู้สึกแทบหายใจได้ไม่ทั่วท้อง

จากความลึกลับของสำนักเต๋า มีหลายคนคาดเดาว่ามันมีเป้าหมายเพื่อข่มภูเขาจักรรพรดิซึ่งเอาไว้คานอำนาจกันเอง!

นี่คือโครงสร้างอำนาจภายในของเมืองหลวงที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ มีเพียงมหาชั้นฟ้าเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน หลังจากหวังหลินใช้เวลาหนึ่งปีอยู่ในสำนักตะวันม่วง เขาจึงต้องการมุ่งหน้าไปเมืองหลวง มหาชั้นฟ้าชวงจื่อได้ใช้วิชาผสานวิญญาณเพื่อค้นหาความทรงจำเรื่องของเมืองหลวงมามอบให้หวังหลิน

ในห้าแผ่นดินใหญ่ของเผ่าเทพได้แบ่งออกเป็นแคว้นยิบย่อยทั้งสิ้น 72 แคว้น แต่ละที่มีสี่ฤดูที่แตกต่างกันเล็กน้อย กว่าลมหนาวและหิมะจะพัดจากแผ่นดินทิศตะวันออกเข้าสู่แคว้นกลางก็ยังต้องใช้เวลาหลายเดือน

นี่คือหิมะแรกของเมืองหลวง มันมีขนาดใหญ่และปกคลุมทั่วทั้งเมือง ขณะที่หิมะรวบกันอยู่บนประตูทิศตะวันออก แม้แต่ภาพวิวทิวทัศน์ก็ยังเลือนลาง

ในเมืองแห่งนี้ไม่มีคนธรรมดา ซึ่งหาได้ยากนักในเผ่าเทพที่จะมีแค่เซียนอยู่อาศัย พลังปราณสวรรค์ที่หนาแน่นกลายเป็นแรงกดดันจนคนธรรมดาไม่สามารถอาศัยอยู่ได้

ในวันนี้ด้านนอกประตูทิศตะวันออกของเมืองหลวงมีหิมะปกคลุมสุดลูกหูลูกตา ร่างคนผู้หนึ่งค่อยๆ ปรากฏตัวออกมา เขาสวมเสื้อผ้ามิดชิด ก้าวเดินเข้าหาประตูเมืองพร้อมกับเงยหน้าเผชิญกับสายลมเย็น

ผ้าคลุมศีรษะปกคลุมใบหน้า แต่มองจากรูปร่างดูไม่เหมือนชายชราและเป็นชายหนุ่มแทน กระนั้นไม่ว่าพายุหิมะจะพัดใส่ร่างกายเขาแค่ไหน ก็ไม่สามารถปัดเป่ากลิ่นอายเก่าแก่ที่เขาเปล่งออกมาได้เลย

พอเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายแสนลี้ ชายคนนั้นก็หยุดลง ค่อยๆ ยกสายตาขึ้นมองทะลุหิมะออกไปในเมืองข้างหน้า

‘จักรพรรดิเทพ…ข้ากำลังมา…’ หวังหลินทอดสายตามองออกไปและยอมให้หิมะปกคลุมเสื้อผ้าและปิดบังรอยเท้า

‘นี่ควรจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของข้าในเผ่าเทพ…ข้าจะไปดูว่าเหลียนต้าวเฟยจำข้าได้หรือไม่…จากนั้นข้าก็จะไม่มีวันเสียใจ’ หวังหลินก้มหน้าอย่างเงียบๆ ผ้าคลุมไม่เพียงแต่จะขัดขวางสายลมและหิมะ มันยังปกคลุมใบหน้าเขาอีกด้วย หวังหลินก้าวเดินต่อไปอย่างเงียบๆ

เขาไม่จำเป็นต้องมาเมืองหลวง เขารู้ว่ามันอันตรายมากแต่ก็ยังมา

มีบางอย่างที่ต้องทำในชีวิตโดยไม่มีวันเสียใจ! บางคนทำไปตามอารมณ์และเดินไปด้วยความตั้งมั่น

เพื่อคนรัก แม้จะเผชิญกับหน้าผา ก็ยังอยากพึ่งพามือของตัวเองปีนขึ้นไป

หวังหลินห่วงใยความรู้สึกนี้ต่อคนรัก ครอบครัวและสหาย ทุกอย่างนี้เขาไม่ได้มีมากมายอะไรในชีวิตอันโดดเดี่ยวและเขาก็หวงแหนยิ่ง…

การสูญเสียเพียงบางสิ่งก็ถือเป็นการสูญเสียที่แท้จริง

เหลียนต้าวเฟยช่วยเหลือเขา หลังจากใช้เวลาอยู่ร่วมกันในเต๋าแห่งความฝัน เขาก็ไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้หากไม่ได้เจอกับเหลียนต้าวเฟย หวังหลินอยากจะเห็นว่าสหายคนนี้ยังอยู่ดีหรือไม่

เขามาที่นี่ด้วยความคิดเช่นนี้

สายลมพัดไปบนร่าง หิมะกีดขวางเส้นทาง ค่ำของวันนี้หวังหลินมาถึงด้านนอกประตูตะวันออก เทียบกับเมืองนี้แล้วหวังหลินเหมือนมดตัวน้อยๆ

ประตูเมืองไม่มีคนคุ้มกันซึ่งไม่เหมือนกับเมืองทั่วไป มันคือเมืองหลวงที่มีมหาชั้นฟ้าสองคนและสำนักเต๋าอันลึกลับ แม้แต่ซวนลั่วก็ไม่กล้ามาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า มีเพียงคนแบบกุ้ยต้าวเท่านั้นที่กล้ามา

ยามพลบค่ำท้องฟ้าเป็นสีเทา สายลมและหิมะพัดใส่ หวังหลินก้าวผ่านประตูทิศตะวันออกไป ฝ่าเท้าเหยียบย่ำลงไปในเมืองหลวง

แรงกดดันอันทรงพลังกระโจนเข้าใส่เขาตอนที่เข้าไปในประตูเมือง มันมากพอที่จะทำให้ร่างคนธรรมดาพังทลาย แต่เหล่าเซียนก็แทบไม่สามารถยืนไหว หากบ่มเพาะที่นี่ให้ผลลัพธ์ดียิ่งกว่าสำนักที่มีชื่อเสียงใหญ่โตเสียอีก

แต่แรงกดดันนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อหวังหลิน เขาไม่จำเป็นต้องบ่มเพาะพลังปราณสวรรค์ จึงก้าวเดินไปบนถนนของเมือง สายตากวาดมองรอบๆ

มีคนเดินเท้าหลายคนรีบก้าวผ่านไป แม้พวกเขาจะเป็นเซียนแต่ก็ไม่มีใครเหาะเหิน แค่เดินเหมือนคนทั่วไปเท่านั้น

‘แม้แต่มังกรยังต้องขดตัวอยู่ในเมืองหลวง แม้แต่พยัคฆ์ยังต้องนอนราบอยู่ในเมืองหลวง แม้แต่ผู้สูงส่งชั้นฟ้ายังต้องยึดถือกฎ…เป็นแบบนี้สินะ…’ แววตาหวังหลินเย็นเยียบ

‘แต่ไม่ได้รวมถึงข้า!’

…………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด