Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2047 เต๋าวิบากสูญสิ้น เหยียบย่ำเส้นทางแห่งสวรรค์!

Now you are reading Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน Chapter 2047 เต๋าวิบากสูญสิ้น เหยียบย่ำเส้นทางแห่งสวรรค์! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 2047 เต๋าวิบากสูญสิ้น เหยียบย่ำเส้นทางแห่งสวรรค์!

ในแคว้นหลัวจู้ หลังจากวิญญาณส่วนหนึ่งของหลัวจู้ถูกหวังหลินทำลาย องค์ชายจี้ตูจึงกระอักโลหิตอยู่ในห้องโถง

จากนั้นผนึกที่มองไม่เห็นในร่างกายเขาจึงพังทลายและสูญสลาย

แววตาขององค์ชายจี้ตูเผยแสงแปลกประหลาดและสัมผัสได้ถึงพลังที่กำลังตื่นอยู่ในร่างกาย พลังงานนี้ไหลเวียนไปทั่วร่างทำให้ต้องหลับตาลง

ด้านนอกวัง หวังหลินผมดำถอนสายตาออกมาจากภูเขาต้นกำเนิด สายตาเย็นเยียบและโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง

ด้านข้างคือร่างแก่นแท้ห้าธาตุของหวังหลิน

แม้ทั้งสองร่างนี้จะดูเหมือนกัน แต่ความรู้สึกที่ปลดปล่อยออกมานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ร่างแก่นแท้ห้าธาตุแสดงถึงชีวิตการฝึกเซียนของหวังหลิน ทำให้ผู้คนเกรงขามและรู้สึกถึงแรงกดดันอันทรงพลังจากคนแข็งแกร่ง

ร่างแก่นแท้สังหารแสดงถึงชีวิตการเข่นฆ่าของหวังหลิน ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นยะเยือกและไม่กล้าเข้าใกล้

ชั่วจังหวะต่อมา เสียงสงบนิ่งดังออกมาจากห้องลับและดังกึกก้องไปทั่ว “ร่างแก่นแท้ กลับมา!!” ร่างแก่นแท้ห้าธาตุมองลงมาที่ห้องลับและเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงห้าสีหายกลับเข้าไปในพื้นดิน

ส่วนร่างแก่นแท้สังหารเองก็ไม่มีอาการลังเล เรือนผมและเสื้อผ้าสีดำพริ้วไหวในอากาศ พลางก้าวเดินไปบนพื้นดินอย่างช้าๆ ร่างกายเปลี่ยนกลายเป็นแสงสีดำและเลือนหายไป

ภายในห้องลับ หวังหลินนั่งลง ร่างแก่นแท้ห้าธาตุและแก่นแท้สังหารกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขามองดูร่างแก่นแท้ทั้งสองด้วยท่าทีสุขุม

‘บ่มเพาะไปร้อยปีในที่สุดก็สร้างร่างแก่นแท้สังหารขึ้นมาได้…ชักสงสัยเสียแล้วว่าหากผสานเข้ากับร่างดั้งเดิมจะทำให้ระดับบ่มเพาะของข้าก้าวข้ามผ่านขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดได้หรือไม่!’

‘หากระดับบ่มเพาะของข้าเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง บางทีข้าอาจสามารถขับไล่คำสาปบรรพชนในวิญญาณจักรพรรดิเทพและควบคุมมันได้!’ หวังหลินสูดหายใจลึกและถอนสายตาออกมาจากร่างแก่นแท้ เขามองวิญญาณที่กำลังถูกเพลิงวิญญาณเผาไหม้อยู่กลางห้อง ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา แสงสีเทาจากการสูญสลายได้ควบแน่นกลายเป็นขนาดเท่ากำปั้นทารกแต่ก็ไม่สามารถขับไล่ออกไปได้อย่างสมบูรณ์

‘เส้นทางการฝึกฝนของข้าแตกต่างจากคนอื่น ต่อจากขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดยังมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะ แต่ขั้นเหล่านี้คนอื่นเป็นคนกำหนด ความจริงก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดอยู่ดี’

‘และทุกครั้งที่ระดับบ่มเพาะของข้าเพิ่มขึ้น มันอ้างอิงมาจากขอบเขตในแต่ละชั้น…’ หวังหลินเต็มไปด้วยความคาดหวัง เขาต้องการรู้ว่าหลังจากก้าวข้ามผ่านวิบากดับสูญระดับสูงสุดไปแล้วจะเป็นระดับอะไร

หวังหลินพึมพำด้วยสายตาตื่นเต้น “มหาชั้นฟ้า…หรือจะเป็น…”

‘หรือจะเป็น…ขั้นที่สี่!! แต่มีขั้นที่สี่อยู่ในโลกนี้จริงๆ ด้วยหรือ…เป็นไปได้ว่าบรรพชนโบราณและบรรพชนเทพอาจอยู่ในขั้นที่สี่…’ สายตาหวังหลินเป็นประกายและรู้สึกคาดหวังอยู่ในใจ เขายกแขนขวาขึ้นมา ร่างแก่นแท้ห้าธาตุก้าวเดินเข้าหา ทับซ้อนกับหวังหลินและผสานเข้ากับเขาอย่างสมบูรณ์

เมื่อร่างแก่นแท้ห้าธาตุกลับคืนมา เรือนผมสีขาวของหวังหลินจึงพริ้วไสว ระดับบ่มเพาะเพิ่มพูนขึ้นในพริบตาจนบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุด หลังจากบ่มเพาะมาร้อยปีนั้นเขาเต็มไปด้วยพลังงาน นี่คือจุดสูงที่สุดในตอนนี้

หวังหลินมองร่างแก่นแท้สังหารผมดำพลางกัดฟันและเผยสายตามุ่งมั่น มือชี้ไปที่ร่างแก่นแท้สังหารจากนั้นร่างแก่นแท้มองมาที่เขาด้วยสายตาไร้ความรู้สึกพลางก้าวเดินเข้ามา

พริบตาเดียวร่างแก่นแท้สังหารจึงเข้ามาใกล้หวังหลิน เริ่มเข้ามาทับซ้อนเขาโดยไม่หยุดชะงัก เมื่อทับซ้อนกับร่างหวังหลินได้สมบูรณ์จึงเริ่มการผสานอย่างช้าๆ

ขณะที่การผสานดำเนินต่อไป แววตาหวังหลินค่อยๆ เกิดความสับสน ขณะเดียวกันระดับบ่มเพาะกลับเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ พื้นที่ทั่วบริเวณเกิดการเปลี่ยนสีสัน ระดับบ่มเพาะของหวังหลินคล้ายกับได้ทะลวงผ่านคอขวดไปและเข้าสู่ขอบเขตอันลี้ลับ

ช่วงระหว่างกระบวนการนี้ ระดับบ่มเพาะของหวังหลินได้ก้าวข้ามขั้นที่หลายคนเรียกกันว่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าและทะยานเข้าสู่ระดับผู้สูงส่งชั้นเทวะในเวลาไม่นาน

เหตุการณ์ดำเนินต่อไปโดยไม่มีสัญญาณหยุดพัก หวังหลินมีแววตาสับสนงุนงงมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเขากำลังเสียสติ ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นภาพมายา

ขณะที่ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มันได้ข้ามผ่านผู้สูงส่งชั้นเทวะ พุ่งทะยานเข้าสู่อีกหนึ่งขอบเขต ซึ่งเป็นขอบเขตของมหาชั้นฟ้า!

หลังจากไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารและหวังหลินแทบจะผสานกันได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะมีเหลื่อมกันเพียงเล็กน้อย แต่ก็ดูราวกับใกล้สมบูรณ์เต็มที สายตาหวังหลินเปล่งแสงสีเงินและเต็มไปด้วยความสับสน

ท้ายที่สุดเขารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในจิตใจและรู้สึกว่าวิญญาณเขาได้ออกจากร่าง ออกจากห้องลับและปรากฏตัวในท้องฟ้า

ท้องฟ้าไม่มีสีคราม ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีดวงจันทร์หรือดวงดาว ที่นี่มีเพียงวิญญาณของหวังหลินคงอยู่ เขามองลงบนพื้นดินด้านล่างจนพบว่าเต็มไปด้วยหมอกสีขาว ซึ่งทำให้เขามองไม่เห็นพื้นดินได้เลย

หวังหลินมองบนท้องฟ้าซึ่งถูกเส้นบางๆ บดบังคล้ายกับมีกฎเป็นของตัวเอง

‘นี่คือท้องฟ้า…’ หวังหลินเต็มไปด้วยสายตาสับสน เขามองไม่เห็นท้องฟ้าและเห็นแต่เพียงเส้นสายบางๆ แม้แต่ตอนที่เขาใช้พลังเต็มที่ก็ทำได้แค่เห็นเส้นบางๆ นับไม่ถ้วนไม่มีที่สิ้นสุด

หวังหลินต้องการทะยานออกไป เขารู้สึกเลือนลางว่าหากสามารถก้าวข้ามเส้นบางๆ เหล่านี้ได้ เขาจะสามารถข้ามผ่านขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดไปได้!

การข้ามเส้นนี้อาจเหมือนเป็นการขึ้นสวรรค์ เป็นการเปลี่ยนแปลงเหมือนหลุดออกมาจากใยไหมและเปลี่ยนกลายเป็นผีเสื้อ! ความรู้สึกนี้รุนแรงยิ่ง ราวกับออกมาจากส่วนลึกในวิญญาณ

หลังจากขบคิดเงียบๆ อยู่ชั่วขณะ หวังหลินแหงนมองขึ้นไป แม้แววตายังเต็มไปด้วยความสับสนแต่มีความมุ่งมั่นเพิ่มมากขึ้น เขาพุ่งเข้าใส่เส้นบางๆ ไร้ขอบเขตเหล่านั้น!

การเคลื่อนไหวของหวังหลินรวดเร็วมาก แม้จะไม่สามารถรู้สึกได้ชัดเจน แต่ก็ยังพุ่งเข้าสู่ทะเลแห่งเส้นบางๆ ถึงจะมีเส้นเหล่านั้นโอบล้อมแต่ก็สามารถมุ่งหน้าไปได้เรื่อยๆ

หลังจากเวลาผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหน หวังหลินเห็นสะพานแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าภายในทะเลแห่งเส้นบางๆ เหล่านี้

กล่าวให้ถูกก็คือมันไม่ได้มีแค่สะพานแห่งเดียว แต่มีถึงเก้าสะพาน!!

สะพานโค้งเหมือนสายรุ้ง ต่อจากนั้น…มีสะพานอีกแห่งยืดยาวออกไปในมิติอันกว้างใหญ่ เปล่งกลิ่นอายเก่าแก่คล้ายกับมีอยู่มานานตั้งแต่โลกถือกำเนิด

หลังจากสะพานแห่งที่เก้าไปอีกไกล มีภาพเลือนลางที่ดูเหมือนโลกอีกแห่งและเขามองเห็นร่างไม่กี่ร่างข้างในอย่างเลือนลาง ทว่าพอหวังหลินพยายามมองใกล้ๆ เขากลับไม่เห็นอะไรเลย กลายเป็นเลือนลางไปเสียหมด

“สะพานย่ำสวรรค์!” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง จากนั้นมองดูหินจารึกขนาดใหญ่เบื้องหน้าสะพานแห่งแรก มีคำขนาดใหญ่สลักเอาไว้บนแผ่นหินจารึก คำเหล่านี้ประหลาดมาก หวังหลินไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อนแต่ทันทีที่มองเข้าไป คำพูดเหล่านั้นจึงปรากฏขึ้นในใจ

บนแผ่นหินจารึก นอกจากคำที่ว่ามายังมีตัวอักษรเล็กๆ อยู่หนึ่งแถว หวังหลินมองดูอย่างเงียบๆ

“ย่ำเส้นทางแห่งสวรรค์ เต๋าวิบากสูญสิ้น วิญญาณอมตะ เทิดทูนทั่วหล้า!”

หวังหลินตกอยู่ในภวังค์ จำได้เลือนลางว่าหากจะมีขั้นที่สี่ ชื่อนั้นก็เป็นขั้นย่ำสวรรค์!

หลังจากยืนอยู่ด้านนอกสะพานแห่งแรกอยู่นาน แววตาสับสนของหวังหลินหายไป ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าและก้าวเข้าสู่สะพานแรก

สะพานแห่งแรกดูใกล้มากแต่หวังหลินใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะไปถึง เมื่อหวังหลินอยู่เบื้องหน้าสะพาน ในที่สุดเขาก็เห็นครบถ้วนทุกอย่าง

สะพานแห่งนี้เป็นภาพลวงตา มันมองเห็นได้ด้วยตาแต่ไม่สามารถรู้สึกได้ด้วยสัมผัสวิญญาณ กลิ่นอายเก่าแก่ของมันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสร้างขึ้นมาได้

‘สะพานย่ำสวรรค์…’ หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาสัมผัสกับสะพาน แต่มือเขาผ่านมันไปได้ง่ายๆ หวังหลินตกตะลึงไปชั่วขณะและมองดูมือตัวเองอย่างละเอียด

ในมือมีละอองผลึกใสอยู่บางส่วน ละอองแต่ละจุดมีพลังชีวิตอันแข็งแกร่งและทั้งหมดลอยกลับเข้าสู่สะพานแห่งแรก

หวังหลินหลับตาและยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาครึ่งก้านธูปไหม้ เขาพลันลืมตาขึ้นมาและยกเท้าก้าวสู่สะพานย่ำสวรรค์แห่งแรก!

วินาทีที่เขาก้าวไปบนสะพาน หวังหลินสัมผัสได้ว่าร่างวิญญาณของเขากำลังผ่านการเปลี่ยนแปลง ราวกับกฎมากมายในโลกทำให้เขารู้สึกชัดเจนขึ้นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนและยืนนิ่งอยู่บนสะพาน

ผ่านไปสักพักหวังหลินถอนหายใจยาวและมองดูสะพานด้วยสายตาประหลาดใจ

เขาก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว เมื่อมาถึงปลายสุดของสะพานแห่งแรก การเปลี่ยนแปลงจากกฎแห่งโลกได้สลักอยู่ในใจและไม่สามารถลบเลือนออกไปได้

ยิ่งมองออกไปไกล ภาพลวงตาอันเลือนลางตรงปลายสุดสะพานแห่งที่เก้ายิ่งชัดเจนขึ้น ราวกับเป็นสถานที่อันสวยงามแต่เหล่าร่างมนุษย์พวกนั้นยังคงพร่าเลือน เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้นกี่คน

หวังหลินก้าวเดินลงสะพานและเดินเข้าหาสะพานย่ำสวรรค์แห่งที่สอง เขารู้สึกรุนแรงว่าหากผ่านสะพานทั้งเก้าแห่งนี้ไปได้และเห็นภาพมายาตรงสุดทาง หวังหลินจะสามารถข้ามผ่านขั้นที่สามและเข้าสู่ขอบเขตย่ำสวรรค์ในตำนาน!

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด