Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1902

Now you are reading Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน Chapter 1902 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มองวิบากแก่นแท้จากเบื้องบน

ชายวัยกลางคนทอดสายตาออกไปไกล ผ่านไปสักพักจึงพึมพำกับตัวเอง “ข้าตื่นก่อนหายนะแรกจะมาถึง…” เขาก้มศีรษะลงมองซากปรักหักพังด้านล่างและแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกไป สัมผัสวิญญาณทรงพลังและปกคลุมแผ่นดินแห่งนี้ทุกตารางนิ้ว

ทันใดนั้นเขาจดจำได้เลือนลางว่าเมื่อนานมาแล้ว เขาเข้ามาทำลายที่นี่ หลังจากสังหารสิ่งมีชีวิตและดูดซับกลิ่นอายแห่งความตายจึงปิดด่านบ่มเพาะอยู่ตรงนี้

ตามที่เขาคำนวณ เขาควรจะตื่นหลังจากผ่านหายนะไปแล้วห้าครั้ง แต่ตอนนี้เขากลับตื่นก่อนจะมีหายนะแรก

‘กลิ่นอายที่สั่นคลอนจิตใจข้าจากก้นบึ้งวิญญาณและทำให้ข้าตื่นขึ้นมาก่อน มันออกมาจากทิศทางนั้น…มันเป็นกลิ่นอายแบบเดียวกัน…หรือว่ามีตัวตนที่คล้ายกันถือกำเนิดขึ้น…’ เขาขบคิด

ความทรงจำบางส่วนกำลังบอกว่ากลิ่นอายมาจากทิศทางนั้น

‘ที่นั่นควรจะเป็นที่ที่มีองครักษ์อยู่…’ ชายวัยกลางคนคิดขึ้นมาชั่วขณะและค่อยๆ ยืนขึ้น แสงน่ากลัวส่องประกายและปรากฏผ้าคลุมสีดำปกคลุมใบหน้า เหลือไว้แต่เรือนผมยาวโผล่ออกมาผ่านผ้าคลุมด้วยกรรมวิธิพิเศษ

เขาเดินเข้าหาท้องฟ้า เรือนผมยาวด้านหลังดูราวกับมังกรสีดำ ขณะที่เขาค่อยๆ ล่องลอยผ่านท้องฟ้าไป มังกรดำตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นราวกับชายผู้นี้คือมังกรดำ เขาท่องทะยานไปยังทิศทางของแผ่นดินเซียนดาราซึ่งอยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก

ด้วยความเร็วระดับนี้ คงใช้เวลาอีกหลายร้อยปีกว่าจะไปถึงแผ่นดินเซียนดารา!

ลึกเข้าไปภายในอารามแมงป่องเขียวในแคว้นมารเขียว หวังหลินมองแก่นแท้นามธรรมทั้งสามเบื้องหน้า ฝ่ามือสร้างผนึกและชี้ออกไป

แก่นแท้นามธรรมทั้งสามเริ่มรวมตัวและผสานอย่างช้าๆ พวกมันไม่ได้เกิดขึ้นจากพลังภายนอกแต่เกิดขึ้นจากเขตแดนและความเข้าใจของเขาเอง

การที่สามแก่นแท้นี้ถือกำเนิดขึ้นมา ได้ให้ผลลัพธ์เป็นเมล็ดพันธุ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเปลี่ยนผ่านในครั้งแรก จากนั้นเติบโตขึ้นอีกในการเปลี่ยนผ่านครั้งที่สอง และสุดท้ายจึงสมบูรณ์ในการเปลี่ยนผ่านครั้งที่สาม!

ชีวิตและความตาย เวรกรรมและจริงเท็จได้ตอบสนองต่อกันและเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน พวกมันผสานอย่างช้าๆ เบื้องหน้าหวังหลิน

ในแก่นแท้ชีวิตและความตาย หวังหลินเห็นดาวซูซาคุและเห็นตระกูลของต้าหนิวถึงสามรุ่น

ในแก่นแท้แห่งเวรกรรม หวังหลินเห็นหลิวเหมย เห็นหวังผิงและเห็นตัวเองกลายเป็นบิดา

ในแก่นแท้จริงเท็จ เขาเห็นซูต้าว ความฝันหกสิบปีและใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคน

สามแก่นแท้นามธรรมนี้ไม่ได้เป็นแค่แก่นแท้สำหรับหวังหลิน พวกมันคือช่วงชีวิตการฝืนลิขิตฟ้าของเขา!

“ข้าใช้แก่นแท้แห่งชีวิตและความตายเพื่อละทิ้งความเป็นมนุษย์ ใช้แก่นแท้เวรกรรมเพื่อได้รับเต๋า ใช้แก่นแท้จริงเท็จเพื่อทำความเข้าใจ”

“ในชีวิตและความตาย ความคิดปั่นป่วนของข้าให้กำเนิดเวรกรรมขึ้นมา ในเวรกรรมนี้ข้าได้พิสูจน์เต๋าอย่างต่อเนื่อง…จนท้ายที่สุดช่วงระหว่างความจริงเท็จ ข้าได้ค้นหาว่าเต๋าของข้าอยู่ที่ไหน…”

“หลังชีวิตและความตายคือเวรกรรม หลังเวรกรรมคือจริงเท็จ หลังจากจริงเท็จ มันคือ…เข้าสู่เต๋า!”

“การผสานสามแก่นแท้นามธรรมไม่ใช่เรื่องยาก พวกมันเกิดขึ้นมาก็เพราะข้า ก่อร่างขึ้นมาก็เพราะข้า และผสานกันก็เพราะข้า!” ขณะที่หวังหลินพึมพำ เขาสะบัดแขนขวาให้สามแก่นแท้เบื้องหน้าเริ่มหมุนและผสานกันเองเร็วขึ้น

ขณะที่ผสาน เขาได้มองแก่นแท้ข้างใน เขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เขาเกิดจวบจนกระทั่งวินาทีนี้

เขาเห็นตัวเองกำลังคุกเข่าเบื้องหน้าหลุมศพของบิดามารดา ร้องคำรามกับท้องฟ้าพร้อมทั้งน้ำตา

เขาเห็นตัวเองกำลังกอดร่างลี่มู่หวานและร้องคำราม ขณะที่ลี่มู่หวานหลับตา หยาดน้ำตาของนางไหลรินตกลงสู่พื้นดิน

เขาเห็นว่าปีต่อมา มีดอกไม้เบ่งบานขึ้นตรงจุดที่น้ำตาไหลรินลงไป

เขาเห็นตัวเองตอนที่รู้ว่าหลิวเหมยให้กำเนิดลูกชาย เขาเห็นตัวเองกำลังมองเด็กคนนั้นที่เต็มไปด้วยความแค้นและความเกลียดชังสุดขั้วหัวใจ

เขาเห็นลี่เฉียนเหมยป้ายโลหิตและหยาดน้ำตาใส่รูปปั้นของเขาตลอดระยะเวลาสิบปี

‘ทั้งชีวิตของข้า…’ หวังหลินถอนหายใจ ใบหน้าดูเหมือนมีอายุมากขึ้นขณะที่แก่นแท้ทั้งสามผสานกัน

เพียงเวลาผ่านไป ขณะที่หวังหลินได้เห็นความทรงจำของตัวเองใหม่ แก่นแท้นามธรรมทั้งสามได้ผสานเข้าด้วยกันอย่างเงียบๆ

การผสานกันนี้ได้เปลี่ยนกลายเป็นเส้นยาวหนึ่งเส้นเต็มไปทั่วความทรงจำของหวังหลิน เส้นนี้กลายเป็นวงแหวนและประทับบนหน้าผากของเขา

วินาทีที่วงแหวนเข้าประทับ แววตาหวนรำลึกจึงหายไปและถูกแทนที่ด้วยแสงสีทอง

ในแสงสีทองนี้ ระดับบ่มเพาะของหวังหลินเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้น พลังที่ควรจะเป็นของแมงป่องมารเขียวจึงถูกเขาดูดซับเพิ่มไปอีก!

แม้กระทั่งวิญญาณส่วนหนึ่งของแมงป่องมารเขียวที่หวังหลินกลืนกินมาก็ยังถูกวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินดูดซับไป

แต่นี่ยังไม่มากพอ พลังขนาดนี้ทำให้หวังหลินใกล้เคียงกับขั้นแก่นแท้ระดับสูงสุดเท่านั้น!

ไม่มากพอที่จะทะลวงผ่านและเข้าเผชิญหน้ากับด่านวิบากแก่นแท้ทั้งเก้าเลย!

เขายังต้องการพลังของโลกนี้อีกมาก!

ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นมาและอ้าปากสูดเข้าไปโดยไม่ลังเล พลังสายหนึ่งพวยพุ่งเข้ามาในอารามแมงป่อง แม้แต่สายหมอกด้านนอกยังถูกดึงเข้ามาก่อเกิดเป็นวังวนยักษ์ เป็นปรากฏการณ์แห่งสวรรค์!

การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้เซียนทั้งหมดบนแคว้นมารเขียวให้ความสนใจ สงครามระหว่างแคว้นมารเขียวและแคว้นกระทิงสวรรค์ได้มาถึงจุดจบ หลังจากเซียนจำนวนมากตายไป ไม่เหลือเซียนบนแคว้นมารเขียวมากนัก!

ส่วนคนที่เหลือล้วนเป็นเซียนทรงพลัง!

ถึงแม้จะตายไปจำนวนนับไม่ถ้วนแต่สำนักเต๋ามารยังคงเหลืออยู่เกือบสามในสิบส่วน แต่จ้าวสำนักได้ปิดด่านบ่มเพาะมามากกว่าร้อยปีแล้วและยังไม่ออกมา

ยามนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ณ อารามแมงป่องมารเขียวใจกลางแคว้นมารเขียวจนเหล่าเซียนหลายสำนักสัมผัสได้

ใครก็ตามที่รู้สึกได้จะพอรู้มาบ้างจากข่าวลือว่าท่านมารเขียวกำลังฟื้นคืนชีพ ตอนนี้ลำแสงมากกว่าสิบสายพุ่งทะยานเข้ามาหาอารามแมงป่องเขียว มีลำแสงอีกสองสายจากสำนักเต๋ามารได้ออกมาเป็นพยานการฟื้นคืนชีพด้วยเช่นกัน!

ปรากฎการณ์รอบอารามแมงป่องเขียวกินเวลาอยู่หลายเดือน ช่วงระหว่างนี้พลังจำนวนมากได้รวมกันเข้ามาที่นี่อย่างบ้าคลั่งจนเหล่าเซียนที่มาต่างก็ไม่กล้าเข้าใกล้ พวกเขาได้แต่สังเกตอยู่ตรงขอบอย่างห่างๆ พอขอบเขตกว้างขึ้นพวกเขาก็ล่าถอย

พลังทั้งหมดนี้ได้พุ่งเข้าสู่ร่างหวังหลินตลอดหลายเดือน ระดับบ่มเพาะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนวันหนึ่งระดับบ่มเพาะได้ระเบิดออกและส่งเสียงดังกึกก้องภายในร่าง

ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นจากขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับปลายไปสู่ขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับสูงสุด!!

การเปลี่ยนแปลงระดับบ่มเพาะนี้ถูกซ่อนเอาไว้ใต้พลังที่พรั่งพรูเข้ามา เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวไม่กล้าแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาเช่นกันเพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อการชุบชีวิตแมงป่องมารเขียว พวกเขาไม่ต้องการให้แมงป่องมารเขียวโกรธเกรี้ยวดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตอะไรได้

พอหวังหลินบรรลุขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับสูงสุด เขาจึงลืมตาขึ้นมาและเผยสายตาเยือกเย็นจนน่ากลัว แขนขวาสะบัดออกไป ร่างแก่นแท้ห้าธาตุเข้าผสานกับร่างหลัก

เพียงเท่านี้พลังของหวังหลินจึงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า!

จากนั้นไม่นานจึงสะบัดแขนอีกครั้ง ร่างแก่นแท้สายฟ้าเดินเข้ามาหา มันทับซ้อนกับร่างหวังหลินและผสานเข้าด้วยกันกลายเป็นหนึ่งเดียว

จังหวะที่ร่างแก่นแท้สายฟ้ากลับคืนมา ร่างหวังหลินระเบิดกลิ่นอายน่าตกตะลึง เขาสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของตัวเองเพิ่มขึ้น ตอนนี้เขาสามารถต่อสู้กับเซียนขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับปลายได้แม้จะไม่มีเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์!

แค่นี้ยังไม่ได้ใช้สายฟ้าสังหาร เมื่อเขาเสี่ยงใช้สายฟ้าสังหารสักครั้ง แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดพลังทำลายล้างได้ขนาดไหน…

สายฟ้าสังหารนั่นเขาสร้างขึ้นมาโดยบังเอิญและไม่สามารถควบคุมมันได้!

ความรู้สึกอันทรงพลังนี้ทำให้หวังหลินสัมผัสถึงความเชื่อในตัวเองอย่างรุนแรง และทำให้ทุกคนที่จะเผชิญหน้ากับเขาต้องตกตะลึงก่อนที่หวังหลินจะได้โจมตีเสียอีก!

หวังหลินยืนขึ้นเอามือไพล่หลังและมองออกไป สายตามองทะลุอารามแมงป่องและเห็นท้องฟ้าเบื้องบน สัมผัสวิญญาณแผ่กระจายออกมาและเห็นทั่วทั้งอารามแมงป่อง

กลุ่มของหยุนยี่เฟิงไม่อยู่ที่นี่แล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพักอยู่นานเกินไปและคงไม่กล้าอยู่นานกว่านี้

เรื่องนี้ไม่สำคัญอีกแล้ว สำหรับหวังหลิน ขอบเมฆาก็แค่หมอกควันในอดีต สิ่งที่เขาต้องการเผชิญตอนนี้คือเก้าวิบากแก่นแท้!!

‘หากข้าผ่านด่านเก้าวิบากแก่นแท้ไปรวดเดียวและบรรลุขั้นวิบากดับสูญ ข้าจะทำลายล้างทั้งสำนักเต๋ามาร แม้แต่เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายก็จะต้องโดนทำลายเพื่อชดใช้เวลาของข้าในช่วงร้อยปี!’ แววตาหวังหลินเย็นวาบและเต็มไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า

หวังหลินมองขึ้นไป กำลังรอคอย!

รอคอยด่านวิบากแก่นแท้ที่จะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญ!

เขาไม่เคยเห็นด่านวิบากแก่นแท้อันใดมาก่อน แต่มั่นใจว่าหยั่งเท้าได้สูงพอจนสามารถเห็นความงดงามของด่านวิบากแก่นแท้ได้!!

นับตั้งแต่ยุคโบราณกาล ใครก็ตามที่มีคุณสมบัติในการเผชิญด่านวิบากแก่นแท้ล้วนเป็นคนที่ระมัดระวังและร้อนรนอย่างมาก แม้กระทั่งเหล่ามหาชั้นฟ้าก่อนที่จะมาถึงระดับนี้ล้วนเหมือนกัน แต่คนแบบหวังหลินนั้นหาได้ยากยิ่ง!

………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด