หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 204 ข้าปกป้องพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ! (ต้น)

Now you are reading หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ Chapter 204 ข้าปกป้องพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ! (ต้น) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 204 ข้าปกป้องพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ! (ต้น)

จ้าวหอชั้นเก้าอ้างบัญชาสวรรค์อย่างนั้นหรือ ?

คนที่ไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก หลี่เสวียนชางกัดฟันกรอด หน้าตาบูดบึ้ง “เจ้าจะบ้าหรือยังไง ?” ขาดคำเพียงเท่านั้น จ้าวหอชั้นเก้าทะยานเข้าหาคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

ตู้ม !

เกิดเสียงดังสนั่นครั่นครืนราวฟ้าพิโรธ ร่างสองร่างพุ่งปะทะพลันแยกห่าง

อีกฝ่ายคือหลี่เสวียนชาง มองเขม็งที่จ้าวหอชั้นเก้า “สำนักอัปสรเมรัยของเจ้าก็ใช่ว่าจะเป็นพวกใจซื่อมือสะอาด เหอะ ยังคิดบังอาจอ้างอยู่ข้างความถูกต้องอย่างนั้นหรือ ? สงสัยว่าสมองของเจ้าคงได้รับความกระทบกระเทือน สติถึงได้เลอะเลือนเช่นนี้ ?!”

จ้าวหอชั้นเก้าแสยะยิ้ม มองหลี่เสวียนชางด้วยสายตาเย็นชา “ไฉนเจ้าจึงชอบพูดจาไร้สาระนัก ? มาสู้กันให้รู้ดีรู้ชั่วไปเลย !” หลังจากนั้น ทั้งเสียงและคนหายวาบจากที่ไปอีกครั้ง

เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามปรารถนาการต่อสู้ ท้ายที่สุดหลี่เสวียนชางจำต้องเลิกล้มความคิดที่จะเจรจาอย่างสันติ ดังนั้นจึงระงับวาจาไร้ความหมายลงเสียทันที  โดยไม่รอช้า เขาทะยานเข้าต่อสู้กับจ้าวหอชั้นเก้าอย่างรวดเร็ว !

ตู้ม ! ตู้ม ! ตู้ม ! ตู้ม !

ครู่ต่อมาแรงกระเพื่อมของแผ่นดินเลื่อนลั่น เสียงดังเปรี้ยงปร้างจากบริเวณที่คนทั้งสองปะทะกันติดตามมาเป็นระลอก ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เจียงเยว่เทียนเผชิญหน้ากับชายในชุดดำซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าใด

คืนนี้ เขาและจ้าวหอชั้นเก้าจะต้องมาที่นี่อย่างไม่มีข้อแม้ ! ถ้าคืนนี้พวกเขาไม่มาที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำไป จะกลายเป็นไร้ค่าไร้ความหมายทันที !

โดยเฉพาะเจียงเยว่เทียน เขาถือข้างเยี่ยฉวนเต็มประตู ทุกสิ่งจะปราศจากความหมายหากเยี่ยฉวนต้องจบชีวิต ไม่เพียงทุกอย่างจะหมดความหมายเท่านั้น ทว่าตนเองจะต้องถูกตามล่าตามล้างจากสถานศึกษาฉางมู่อย่างแน่นอน !

คนที่ยืนเบื้องหน้าเจียงเยว่เทียน ชายในชุดดำเอ่ยขึ้นก่อน “ท่านกล้านำราชสำนักแห่งแคว้นเจียง มาแขวนไว้กับชีวิตชายผู้นี้ได้อย่างไร ?”

อีกฝ่ายตอบโต้ด้วยท่าทีเยือกเย็นยิ่ง “ในเมื่อสถานศึกษาฉางมู่กระทำการซึ่งความอยุติธรรม ดังนั้นข้าจำต้องมีหน้าที่ขจัดความอยุติธรรมนั้นเสียก็เท่านั้น” ทันทีที่คนพูดขาดคำ ร่างกลับหายไปจากจุดที่อยู่

ชายในชุดดำเห็นเช่นนั้น พลันร่างเลือนหายไปจากที่ตำแหน่งทันที…

เยี่ยฉวนหันไปพูดกับพวกโม่อวิ๋นฉี “พวกเจ้ารีบไป !”

“ไป ?” โม่อวิ๋นฉีและคนอีกสองคน ต่างหันมามองหน้าคนพูด แต่ละคนสีหน้าตกตะลึงราวกับไม่เชื่อหู  เยี่ยฉวนหุบปากขณะกวาดสายตาไล่เรียงไปทีละใบหน้าของคนทั้งสาม “พวกเจ้าทุกคน ต้องไปเสียจากที่นี่”

โม่อวิ๋นฉีไวกว่าคนอื่นตามเคย เขาเอ่ยถามสียงแหบห้าว “พี่หัวขโมยเยี่ย พูดยังงี้หมายความว่าอย่างไร ?” คนถูกถามเอียงศีรษะไปทางที่กำลังมีการต่อสู้ ก่อนตอบเสียงเบา “พวกเจ้าไม่ควรเอาชีวิตมาทิ้ง !”

เวลานี้เยี่ยฉวนได้ประจักษ์ชัดถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่อย่างดี สำนักใหญ่แห่งฉางหลานตัดสัมพันธ์กับคนที่นี่ ทั้งอาจารย์ใหญ่จี้ก็ไม่อาจอดทนต่อแรงกดดันได้โดยลำพัง นับว่าสถานการณ์ของพวกเขาอยู่ในขั้นวิกฤต !

ถามว่าเขารู้สึกสับสนหรือไม่ ? แน่นอน เขาค่อนข้างสับสน ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูขึ้นมาจริง ๆ เยี่ยฉวนกลับรู้สึกว่าตนเองถึงทางตัน ด้วยเพราะขณะนี้เขายังไม่ได้เป็นเซียนกระบี่ ซึ่งสามารถสังหารศัตรูหลายคนได้ด้วยหนึ่งกระบี่

คนอ่อนแอเกิดจากความรู้สึกหนทางตีบตัน !

เยี่ยฉวนเคยมีประสบการณ์กับความรู้สึกหนทางตีบตันมาก่อน ทว่าเวลานี้เขากลับเข้าใจความรู้สึกนั้นอย่างสุดซึ้ง เมื่อใดที่เขาอ่อนแอ บางครั้งก็ต้องยอมรับต่อโชคชะตา !

เสียงของโม่อวิ๋นฉีดังขึ้นข้างตัว “พี่หัวขโมยเยี่ย พูดอย่างกับว่าเจ้าไม่คิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนตายเลยสินะ !”

เยี่ยฉวนหันมาสบตา ขณะที่เจ้าตัวยังคงพูดเสียงแหบห้าวต่ออีกว่า “พวกเราจะยังเป็นผู้เป็นคนอยู่อีกหรือ ถ้าพากันหนีไปและทิ้งให้เจ้ากับอาจารย์ใหญ่จี้ต่อสู้อยู่ที่นี่ ? ที่เจ้าพูดมาก็ถูก เหตุการณ์ตอนนี้ยากที่พวกเราจะรับมือ แต่อย่างน้อยพวกเราจะสู้จนตายไปพร้อมกันทั้งหมด… จะสู้ไปด้วยกัน !”

“แต่ถ้าพวกเจ้ายังขืนอยู่ที่นี่ มีแต่จะตายไปพร้อมกับข้า !” ความจริงเยี่ยฉวนกำลังอ้าปากจะพูดต่อ ทว่าโม่อวิ๋นฉีส่ายหน้าและพูดขึ้นก่อนว่า “เจ้าคิดว่าสถานศึกษาฉางหลานคือบ้าน ที่นี่ก็เป็นบ้านของพวกเราด้วยเหมือนกัน การหนีอาจทำให้มีชีวิตรอด แต่ต้องอยู่อย่างไร้จุดหมาย… ตอนแรกข้าก็อยากหนีไปหรอกนะ แต่เอาเข้าจริงก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ ฉะนั้นพวกเรามาเผชิญหน้ากับความตายไปด้วยกันเถอะ ! เจ้าเองเลิกโน้มน้าวข้าได้แล้ว ถ้าขืนยังพยายามโน้มน้าวอีกล่ะก็ กลัวว่าเดี๋ยวข้าจะบ้าจี้ขึ้นมา !”

ไป๋เจ๋อซึ่งยืนอยู่อีกด้าน หันมามองคนพูด สายตาแสดงว่าทึ่งไม่น้อย “โอ้โฮ เพิ่งเห็นว่าพูดจาเข้าท่าก็วันนี้ !” โม่อวิ๋นฉีชำเลืองมองไป๋เจ๋อ สีหน้าหงุดหงิด “ทำไมมาว่าเพิ่งพูดเข้าท่า ‘วันนี้’ ? ข้าเป็นของข้าอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเฟ้ย !”

อีกฝ่ายกลับตีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ข้านึกไม่ออกเลยนี่หว่า !”

โม่อวิ๋นฉี “…”

เยี่ยฉวนหันไปมองคนสองสามคู่ที่กำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายในระยะไกล จากนั้นจึงหลับตาลง “นายท่านที่อยู่ในชั้นที่สองขอรับ… พวกเราสนทนากันหน่อยได้ไหม ?”

ไม่มีเสียงตอบรับ !

ชายหนุ่มยังไม่ละความพยายาม จึงลองถามไปอีกครั้ง “ท่านลงมาได้หรือไม่ขอรับ ?”

ทันใดนั้น มีกระดาษสีขาวหนึ่งแผ่นปลิวลงมาจากทางขึ้นชั้นสอง บนกระดาษแผ่นนั้นมีรอยอุ้งเท้าจำนวนหนึ่ง โดยรอยอุ้งเท้ามีการเรียงตัวเป็นรูปวงกลม

เยี่ยฉวนหยิบกระดาษขึ้นดูด้วยแววตาฉงนสนเท่ห์ พึมพำแผ่วเบา “นี่มันหมายความว่ายังไง ?” ไม่ทันไร ปรากฏกระดาษอีกแผ่นลอยละลิ่วลงมาจากชั้นที่สอง คราวนี้บนกระดาษมีรอยอุ้งเท้าสองรอยเรียงเป็นวงกลม จะว่าไปเมื่อพิจารณาให้ถ้วนถี่ รอยเท้าทั้งสองนี้มีความแตกต่างกัน !

เขาลองนำกระดาษทั้งสองแผ่นมาประกบกัน จึงเห็นว่าวงกลมที่สองอยู่เหนือขึ้นไปจากวงกลมที่หนึ่งเล็กน้อย…

“กลิ้งออกไป ?” ความรู้สึกประหลาดใจวูบ

“นี่เขาบอกว่าให้ข้ากลิ้งออกไป อย่างนั้นหรือ ?” เยี่ยฉวนรู้สึกตื้อตันด้วยคำพูด “นายท่าน พวกเรามาสนทนากันไม่ได้จริงหรือ ?”

กระดาษอีกแผ่นลอยลงมาทันที ครั้งนี้กระดาษว่างเปล่า ! ชายหนุ่มรีบตรงเข้าหยิบกระดาษขึ้นมา ทว่าสีหน้าสลดวูบ “กระดาษเปล่า หมายความว่าไม่ยินดีพูดกันซึ่งหน้าสินะ !”

เยี่ยฉวนทำท่าขยับจะพูด พลันกระดาษอีกสองแผ่นก็ปลิวลงมาอีก บนหน้ากระดาษทั้งสองปรากฏรอยเท้ารูปวงกลมสองรอย… นี่คือหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า ต้องการให้เขากลิ้งออกไป !

ชายหนุ่มเหยียดมุมปาก สีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ “นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าอย่าเชื่อความรู้สึกของตนเอง !”

จากนั้นจึงเบนสายตาเหลือบมองขึ้นไปบนทางขึ้นชั้นที่สอง สุดท้ายเขาก็คิดตกแล้วว่าบางสิ่งบนชั้นที่สองเพียงแค่มีความกังวลที่จะมองดูเขาตายไปเฉย ๆ เท่านั้น !

และถ้าเขาตายจริง บางทีบางสิ่งที่อยู่บนนั้นอาจจะลงมาก็ได้ ! หรือไม่ก็อาจทำให้บางสิ่งบนนั้น มีชัยเหนือหอคอยแห่งเรือนจำ…

เยี่ยฉวนสั่นศีรษะ “ข้ามันโง่เอง ที่คิดจะขอยืมมือบางสิ่งบนชั้นสองให้มาช่วยต่อสู้กับเรา อันที่จริงนี่ก็นับว่าดีแล้ว ที่บางสิ่งบนนั้นไม่ลงมาตีข้า !”

หลังจากนิ่งไปอึดใจใหญ่ เยี่ยฉวนเหลือบมองขึ้นไปข้างบนและร้องถามออกไป “อาจารย์ขอรับ ท่านอยู่หรือไม่ ?”

เขากำลังร้องหาคนมาช่วยเหลืองั้นหรือ ?

ให้ตายเหอะ สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤตเช่นนี้ เขาจึงได้เรียกร้องความช่วยเหลือจากใครต่อใคร แต่ถ้าไม่ร้องขอความช่วยเหลือไม่เพียงแค่ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้กล้าน่ะสิ ทว่ายังถือว่าเป็นเพื่อร่วมกลุ่มที่ไม่เอาไหนอีกด้วย !

แต่ที่สุดก็หาได้มีคำตอบจากสตรีลึกลับไม่ เยี่ยฉวนเพียรพยายามอีกสองสามรอบ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบเหมือนเดิม ! เขาจึงถอดใจและออกจากหอคอยแห่งเรือนจำไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 204 ข้าปกป้องพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ! (ต้น)

Now you are reading หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ Chapter 204 ข้าปกป้องพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ! (ต้น) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 204 ข้าปกป้องพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ! (ต้น)

จ้าวหอชั้นเก้าอ้างบัญชาสวรรค์อย่างนั้นหรือ ?

คนที่ไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก หลี่เสวียนชางกัดฟันกรอด หน้าตาบูดบึ้ง “เจ้าจะบ้าหรือยังไง ?” ขาดคำเพียงเท่านั้น จ้าวหอชั้นเก้าทะยานเข้าหาคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

ตู้ม !

เกิดเสียงดังสนั่นครั่นครืนราวฟ้าพิโรธ ร่างสองร่างพุ่งปะทะพลันแยกห่าง

อีกฝ่ายคือหลี่เสวียนชาง มองเขม็งที่จ้าวหอชั้นเก้า “สำนักอัปสรเมรัยของเจ้าก็ใช่ว่าจะเป็นพวกใจซื่อมือสะอาด เหอะ ยังคิดบังอาจอ้างอยู่ข้างความถูกต้องอย่างนั้นหรือ ? สงสัยว่าสมองของเจ้าคงได้รับความกระทบกระเทือน สติถึงได้เลอะเลือนเช่นนี้ ?!”

จ้าวหอชั้นเก้าแสยะยิ้ม มองหลี่เสวียนชางด้วยสายตาเย็นชา “ไฉนเจ้าจึงชอบพูดจาไร้สาระนัก ? มาสู้กันให้รู้ดีรู้ชั่วไปเลย !” หลังจากนั้น ทั้งเสียงและคนหายวาบจากที่ไปอีกครั้ง

เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามปรารถนาการต่อสู้ ท้ายที่สุดหลี่เสวียนชางจำต้องเลิกล้มความคิดที่จะเจรจาอย่างสันติ ดังนั้นจึงระงับวาจาไร้ความหมายลงเสียทันที  โดยไม่รอช้า เขาทะยานเข้าต่อสู้กับจ้าวหอชั้นเก้าอย่างรวดเร็ว !

ตู้ม ! ตู้ม ! ตู้ม ! ตู้ม !

ครู่ต่อมาแรงกระเพื่อมของแผ่นดินเลื่อนลั่น เสียงดังเปรี้ยงปร้างจากบริเวณที่คนทั้งสองปะทะกันติดตามมาเป็นระลอก ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เจียงเยว่เทียนเผชิญหน้ากับชายในชุดดำซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าใด

คืนนี้ เขาและจ้าวหอชั้นเก้าจะต้องมาที่นี่อย่างไม่มีข้อแม้ ! ถ้าคืนนี้พวกเขาไม่มาที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำไป จะกลายเป็นไร้ค่าไร้ความหมายทันที !

โดยเฉพาะเจียงเยว่เทียน เขาถือข้างเยี่ยฉวนเต็มประตู ทุกสิ่งจะปราศจากความหมายหากเยี่ยฉวนต้องจบชีวิต ไม่เพียงทุกอย่างจะหมดความหมายเท่านั้น ทว่าตนเองจะต้องถูกตามล่าตามล้างจากสถานศึกษาฉางมู่อย่างแน่นอน !

คนที่ยืนเบื้องหน้าเจียงเยว่เทียน ชายในชุดดำเอ่ยขึ้นก่อน “ท่านกล้านำราชสำนักแห่งแคว้นเจียง มาแขวนไว้กับชีวิตชายผู้นี้ได้อย่างไร ?”

อีกฝ่ายตอบโต้ด้วยท่าทีเยือกเย็นยิ่ง “ในเมื่อสถานศึกษาฉางมู่กระทำการซึ่งความอยุติธรรม ดังนั้นข้าจำต้องมีหน้าที่ขจัดความอยุติธรรมนั้นเสียก็เท่านั้น” ทันทีที่คนพูดขาดคำ ร่างกลับหายไปจากจุดที่อยู่

ชายในชุดดำเห็นเช่นนั้น พลันร่างเลือนหายไปจากที่ตำแหน่งทันที…

เยี่ยฉวนหันไปพูดกับพวกโม่อวิ๋นฉี “พวกเจ้ารีบไป !”

“ไป ?” โม่อวิ๋นฉีและคนอีกสองคน ต่างหันมามองหน้าคนพูด แต่ละคนสีหน้าตกตะลึงราวกับไม่เชื่อหู  เยี่ยฉวนหุบปากขณะกวาดสายตาไล่เรียงไปทีละใบหน้าของคนทั้งสาม “พวกเจ้าทุกคน ต้องไปเสียจากที่นี่”

โม่อวิ๋นฉีไวกว่าคนอื่นตามเคย เขาเอ่ยถามสียงแหบห้าว “พี่หัวขโมยเยี่ย พูดยังงี้หมายความว่าอย่างไร ?” คนถูกถามเอียงศีรษะไปทางที่กำลังมีการต่อสู้ ก่อนตอบเสียงเบา “พวกเจ้าไม่ควรเอาชีวิตมาทิ้ง !”

เวลานี้เยี่ยฉวนได้ประจักษ์ชัดถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่อย่างดี สำนักใหญ่แห่งฉางหลานตัดสัมพันธ์กับคนที่นี่ ทั้งอาจารย์ใหญ่จี้ก็ไม่อาจอดทนต่อแรงกดดันได้โดยลำพัง นับว่าสถานการณ์ของพวกเขาอยู่ในขั้นวิกฤต !

ถามว่าเขารู้สึกสับสนหรือไม่ ? แน่นอน เขาค่อนข้างสับสน ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูขึ้นมาจริง ๆ เยี่ยฉวนกลับรู้สึกว่าตนเองถึงทางตัน ด้วยเพราะขณะนี้เขายังไม่ได้เป็นเซียนกระบี่ ซึ่งสามารถสังหารศัตรูหลายคนได้ด้วยหนึ่งกระบี่

คนอ่อนแอเกิดจากความรู้สึกหนทางตีบตัน !

เยี่ยฉวนเคยมีประสบการณ์กับความรู้สึกหนทางตีบตันมาก่อน ทว่าเวลานี้เขากลับเข้าใจความรู้สึกนั้นอย่างสุดซึ้ง เมื่อใดที่เขาอ่อนแอ บางครั้งก็ต้องยอมรับต่อโชคชะตา !

เสียงของโม่อวิ๋นฉีดังขึ้นข้างตัว “พี่หัวขโมยเยี่ย พูดอย่างกับว่าเจ้าไม่คิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนตายเลยสินะ !”

เยี่ยฉวนหันมาสบตา ขณะที่เจ้าตัวยังคงพูดเสียงแหบห้าวต่ออีกว่า “พวกเราจะยังเป็นผู้เป็นคนอยู่อีกหรือ ถ้าพากันหนีไปและทิ้งให้เจ้ากับอาจารย์ใหญ่จี้ต่อสู้อยู่ที่นี่ ? ที่เจ้าพูดมาก็ถูก เหตุการณ์ตอนนี้ยากที่พวกเราจะรับมือ แต่อย่างน้อยพวกเราจะสู้จนตายไปพร้อมกันทั้งหมด… จะสู้ไปด้วยกัน !”

“แต่ถ้าพวกเจ้ายังขืนอยู่ที่นี่ มีแต่จะตายไปพร้อมกับข้า !” ความจริงเยี่ยฉวนกำลังอ้าปากจะพูดต่อ ทว่าโม่อวิ๋นฉีส่ายหน้าและพูดขึ้นก่อนว่า “เจ้าคิดว่าสถานศึกษาฉางหลานคือบ้าน ที่นี่ก็เป็นบ้านของพวกเราด้วยเหมือนกัน การหนีอาจทำให้มีชีวิตรอด แต่ต้องอยู่อย่างไร้จุดหมาย… ตอนแรกข้าก็อยากหนีไปหรอกนะ แต่เอาเข้าจริงก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ ฉะนั้นพวกเรามาเผชิญหน้ากับความตายไปด้วยกันเถอะ ! เจ้าเองเลิกโน้มน้าวข้าได้แล้ว ถ้าขืนยังพยายามโน้มน้าวอีกล่ะก็ กลัวว่าเดี๋ยวข้าจะบ้าจี้ขึ้นมา !”

ไป๋เจ๋อซึ่งยืนอยู่อีกด้าน หันมามองคนพูด สายตาแสดงว่าทึ่งไม่น้อย “โอ้โฮ เพิ่งเห็นว่าพูดจาเข้าท่าก็วันนี้ !” โม่อวิ๋นฉีชำเลืองมองไป๋เจ๋อ สีหน้าหงุดหงิด “ทำไมมาว่าเพิ่งพูดเข้าท่า ‘วันนี้’ ? ข้าเป็นของข้าอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเฟ้ย !”

อีกฝ่ายกลับตีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ข้านึกไม่ออกเลยนี่หว่า !”

โม่อวิ๋นฉี “…”

เยี่ยฉวนหันไปมองคนสองสามคู่ที่กำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายในระยะไกล จากนั้นจึงหลับตาลง “นายท่านที่อยู่ในชั้นที่สองขอรับ… พวกเราสนทนากันหน่อยได้ไหม ?”

ไม่มีเสียงตอบรับ !

ชายหนุ่มยังไม่ละความพยายาม จึงลองถามไปอีกครั้ง “ท่านลงมาได้หรือไม่ขอรับ ?”

ทันใดนั้น มีกระดาษสีขาวหนึ่งแผ่นปลิวลงมาจากทางขึ้นชั้นสอง บนกระดาษแผ่นนั้นมีรอยอุ้งเท้าจำนวนหนึ่ง โดยรอยอุ้งเท้ามีการเรียงตัวเป็นรูปวงกลม

เยี่ยฉวนหยิบกระดาษขึ้นดูด้วยแววตาฉงนสนเท่ห์ พึมพำแผ่วเบา “นี่มันหมายความว่ายังไง ?” ไม่ทันไร ปรากฏกระดาษอีกแผ่นลอยละลิ่วลงมาจากชั้นที่สอง คราวนี้บนกระดาษมีรอยอุ้งเท้าสองรอยเรียงเป็นวงกลม จะว่าไปเมื่อพิจารณาให้ถ้วนถี่ รอยเท้าทั้งสองนี้มีความแตกต่างกัน !

เขาลองนำกระดาษทั้งสองแผ่นมาประกบกัน จึงเห็นว่าวงกลมที่สองอยู่เหนือขึ้นไปจากวงกลมที่หนึ่งเล็กน้อย…

“กลิ้งออกไป ?” ความรู้สึกประหลาดใจวูบ

“นี่เขาบอกว่าให้ข้ากลิ้งออกไป อย่างนั้นหรือ ?” เยี่ยฉวนรู้สึกตื้อตันด้วยคำพูด “นายท่าน พวกเรามาสนทนากันไม่ได้จริงหรือ ?”

กระดาษอีกแผ่นลอยลงมาทันที ครั้งนี้กระดาษว่างเปล่า ! ชายหนุ่มรีบตรงเข้าหยิบกระดาษขึ้นมา ทว่าสีหน้าสลดวูบ “กระดาษเปล่า หมายความว่าไม่ยินดีพูดกันซึ่งหน้าสินะ !”

เยี่ยฉวนทำท่าขยับจะพูด พลันกระดาษอีกสองแผ่นก็ปลิวลงมาอีก บนหน้ากระดาษทั้งสองปรากฏรอยเท้ารูปวงกลมสองรอย… นี่คือหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า ต้องการให้เขากลิ้งออกไป !

ชายหนุ่มเหยียดมุมปาก สีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ “นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าอย่าเชื่อความรู้สึกของตนเอง !”

จากนั้นจึงเบนสายตาเหลือบมองขึ้นไปบนทางขึ้นชั้นที่สอง สุดท้ายเขาก็คิดตกแล้วว่าบางสิ่งบนชั้นที่สองเพียงแค่มีความกังวลที่จะมองดูเขาตายไปเฉย ๆ เท่านั้น !

และถ้าเขาตายจริง บางทีบางสิ่งที่อยู่บนนั้นอาจจะลงมาก็ได้ ! หรือไม่ก็อาจทำให้บางสิ่งบนนั้น มีชัยเหนือหอคอยแห่งเรือนจำ…

เยี่ยฉวนสั่นศีรษะ “ข้ามันโง่เอง ที่คิดจะขอยืมมือบางสิ่งบนชั้นสองให้มาช่วยต่อสู้กับเรา อันที่จริงนี่ก็นับว่าดีแล้ว ที่บางสิ่งบนนั้นไม่ลงมาตีข้า !”

หลังจากนิ่งไปอึดใจใหญ่ เยี่ยฉวนเหลือบมองขึ้นไปข้างบนและร้องถามออกไป “อาจารย์ขอรับ ท่านอยู่หรือไม่ ?”

เขากำลังร้องหาคนมาช่วยเหลืองั้นหรือ ?

ให้ตายเหอะ สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤตเช่นนี้ เขาจึงได้เรียกร้องความช่วยเหลือจากใครต่อใคร แต่ถ้าไม่ร้องขอความช่วยเหลือไม่เพียงแค่ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้กล้าน่ะสิ ทว่ายังถือว่าเป็นเพื่อร่วมกลุ่มที่ไม่เอาไหนอีกด้วย !

แต่ที่สุดก็หาได้มีคำตอบจากสตรีลึกลับไม่ เยี่ยฉวนเพียรพยายามอีกสองสามรอบ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบเหมือนเดิม ! เขาจึงถอดใจและออกจากหอคอยแห่งเรือนจำไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+