หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 55 เมืองหลวง ! (ปลาย)

Now you are reading หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ Chapter 55 เมืองหลวง ! (ปลาย) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 55 เมืองหลวง ! (ปลาย)

เจ้าเด็กอ้วนเป็นคนที่สนใจใคร่รู้ต่อสิ่งต่าง ๆ รอบกาย เขาเดินเข้ามาแล้วจัดแจงวางผลไม้หลากชนิดซึ่งหอบมาจนเต็มอ้อมแขนลงตรงหน้าสองพี่น้องตระกูลเยี่ย พร้อมกับเอ่ยชักชวนอย่างใจดีว่า “พี่ชายใหญ่ พี่สาว พวกท่านกินผลไม้นี้สิ อร่อยนะขอรับ !”

เสียงนั้นทำให้พวกเขาทั้งสองหันมองหน้ากันแล้วต่างฝ่ายก็หัวเราะออกมา

ขณะนั้นเอง ลู่เสี่ยวหรานก็ได้เดินมาสมทบ เขาใช้มือหุ้มกำปั้นแสดงคารวะต่อเยี่ยฉวนพลางยิ้ม “ข้าเข้ามาขัดจังหวะของพวกเจ้าหรือไม่ ?” เขาเอ่ยถาม

เยี่ยฉวนตอบเจือเสียงหัวเราะ “ไม่เลย เชิญนั่งก่อนผู้อาวุโสลู่”

ลู่เสี่ยวหรานหย่อนกายลงบนม้านั่งที่ว่าง เด็กน้อยสองคนหลบออกไปอีกมุมหนึ่งอย่างรู้งาน

“ระยะทางอีกเพียงครึ่งวันพวกเราก็จะถึงเมืองหลวง สหายของข้า เจ้ารู้จักใครที่เมืองหลวงเป็นการส่วนตัวหรือไม่ ?” ลู่เสี่ยวหรานถาม

เยี่ยฉวนส่ายศีรษะ

เขาไม่รู้จักใครที่เมืองหลวงแม้สักคนเดียว

ลู่เสี่ยวหรานยิ้มอย่างใจดีก่อนพูดกับเยี่ยฉวนว่า “ในเมืองหลวงมีคนอยู่มากหน้าหลายตา ทั้งคนดีและ คนชั่ว แต่ว่าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะหาโรงเตี๊ยมให้เจ้าพักชั่วคราวก่อนที่จะเดินทางไปยังสถานศึกษาฉางมู่ ไว้ เมื่อเจ้าจัดการธุระเรียบร้อยแล้วพวกเราค่อยมาคิดกันว่าเจ้าจะพักที่นั่นต่อไปหรือไม่ เจ้าคิดเห็นเช่นไร ?”

เยี่ยฉวนคิดเห็นด้วย เขาพยักหน้าน้อย ๆ  “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนท่านแล้ว ผู้อาวุโส”

แน่นอนว่าเยี่ยฉวนไม่ปฏิเสธคำเชิญชวนด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจของลู่เสี่ยวหราน เคยมีคำ พูดหนึ่งกล่าวว่า ‘คบเพื่อนหนึ่งคนเสมือนมีทางเดินชีวิตหนึ่งเส้นทาง’ ในเมื่อคนแซ่ลู่มีความจริงใจ แล้วใยเยี่ย ฉวนจะปฏิเสธได้ลงคอ ?”

ลู่เสี่ยวหรานคลี่ยิ้มอย่างยินดีเมื่อได้ยินชายหนุ่มตอบรับ

เขาเป็นขุนนางในเมืองใหญ่ จึงพอจะมีบารมีกว้างขวางอยู่บ้าง การที่เขามาเป็นมิตรกับเยี่ยฉวนก็เป็น เพราะชื่นชมในความเป็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์ของชายหนุ่มนั่นเอง

หลังจากนั่งคุยต่อไปอีกสักพักจนได้เวลา เขาจึงกลับออกไปพร้อมกับลู่หมิง

ตอนนี้ภายในห้องเหลือเพียงเยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงสองพี่น้อง

นางขยับมานั่งลงข้าง ๆ พี่ชาย เอ่ยถามชายหนุ่มเสียงละห้อย “ท่านพี่ ท่านปฏิเสธตำแหน่งผู้บัญชาการกองร้อยเป็นเพราะข้าใช่หรือไม่ ?”

เยี่ยฉวนหันมามองหน้านางยังมิทันเอ่ยปาก เสียงอ่อน ๆ ดังพลันแว่วมาอีก “ข้าถามเจ้าอ้วนแล้ว เขา บอกข้าว่าผู้บัญชาการกองร้อยเป็นตำแหน่งสำคัญเพราะเทียบเท่ากับการเป็นคนของทางการ ท่านพี่ทำไมจึงทำอะไรโง่เช่นนี้ ? ท่านปฏิเสธทำไมกัน ?”

เยี่ยฉวนลูบไล้ศีรษะของนางก่อนจะถามว่า “ถ้ารับข้อเสนอนั่น แล้วเจ้าจะเป็นอย่างไรกันเล่า ?”

เยี่ยหลิงเงยหน้ามองพี่ชาย “ข้าเป็นตัวถ่วงของท่านใช่หรือไม่ ?”

ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ “เจ้าเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพี่ พี่จะทำทุกอย่างเพื่อเจ้าและจะให้ทุก สิ่งที่เจ้าปรารถนา”

เยี่ยฉวนเอื้อมจับมือน้องมาบีบเบา ๆ ขณะกล่าวต่อไป “ถ้าไม่มีเจ้า การเป็นเซียนกระบี่ก็หาได้มีความ หมายสำหรับข้าไม่”

ผู้เป็นน้องสาวน้ำตารินอาบแก้มก่อนโผกอดพี่ชายไว้แน่น

ในไม่ช้าความอ่อนล้าจากการเดินทางคืบคลานเข้ามานางจึงผล็อยหลับไป

“ขี้เซาอะไรเช่นนี้ !”

เยี่ยฉวนกลับมามีสีหน้าเคร่งเครียด เขานั่งมองเยี่ยหลิงภายหลังจากวางนางลงบนที่นอน ดูเหมือนนางจะนอนหลับมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่เคราะห์ยังดีที่ไม่ถึงกับหนาวสั่น คงด้วยเพราะอิทธิฤทธิ์แห่งเครื่องรางนั่น ละมั้ง จะว่าไปแล้วอาการโดยทั่วไปของนางไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะใบหน้าที่ซีดเซียวลงทุกที !”

เขารู้ดีว่าน้องสาวของตนไม่ชอบบอกเล่าเรื่องอาการป่วยด้วยไม่ต้องการให้ตนเป็นกังวล

เยี่ยฉวนคลี่ผ้าห่มคลุมให้นางก่อนที่ตัวเขาจะเดินออกไปที่ดาดฟ้าเรือเหาะซึ่งอยู่ไม่ไกล

ชายหนุ่มยืนอยู่บริเวณหัวเรือเพื่อชะเง้อมองออกไปไกลจนสุดสายตา เวลาใกล้พลบค่ำแล้ว ดังนั้นแนว เส้นขอบฟ้าจึงกลายเป็นสีแดงดั่งเปลวเพลิง มันดูราวกับผ้าห่มเพลิงผืนใหญ่แผ่กางทั่วทั้งแผ่นฟ้า ที่เผยให้ เยี่ยฉวนเห็นทิวเขาน้อยใหญ่ภายใต้อาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า

เมืองหลวงกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ !

“สหายข้า !”

เสียงของลู่เสี่ยวหรานดังขึ้น

ชายหนุ่มหันมาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังเดินตรงเข้ามาหา ผู้อาวุโสนั้นหัวเราะร่วนก่อนจะพูดว่า “ดูท่าว่าเจ้า จะอยากให้ถึงเมืองหลวงโดยเร็วใช่หรือไม่ !?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ายอมรับก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเล่าเรื่องสถานศึกษาฉางมู่ให้ข้าฟังสักหน่อยจะได้หรือไม่ ผู้อาวุโส ?”

ลู่เสี่ยวหรานพยักหน้า “สถานศึกษาแห่งนี้หาได้เป็นสำนักที่มาจากแคว้นเจียงไม่ เช่นเดียวกันสำนัก อัปสรเมรัยที่มีสำนักสาขากระจายอยู่ในหลายแคว้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผู้คนจึงอยากจะได้ชื่อว่าเป็นคนของสถานศึกษาซึ่งมีสถานะในเชิงสัญลักษณ์ นอกจากนี้ ภายในสถานศึกษายังเต็มไปด้วยผู้ชี้แนะที่มีขั้นพลังสูงส่งมากมายที่พร้อมสั่งสอนวิชาความรู้ และวิชายุทธ์หลากหลายแขนง ใครที่ได้เข้าศึกษาในสถานศึกษาฉางมู่ คน ผู้นั้นก็จะถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ พวกเขาจะถูกแย่งตัวจากสำนักต่าง ๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับศาสตร์แขนงที่สำเร็จการศึกษามา”

น้ำเสียงเรียบเรื่อยกล่าวยิ้ม ๆ ต่อไป “ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถานศึกษาฉางมู่สามารถปฏิบัติงานได้ ทุกที่ เคยมีศิษย์เก่าของที่นี่ถูกคัดเลือกให้เข้าไปรับใช้ใกล้ชิดในวังหลวง สำหรับครอบครัวที่ยากจน สถานศึกษาแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนกับทางลัดเพื่อหนีจากความอัตคัดขัดสนก็ว่าได้ ขณะเดียวกัน การที่ราชนิกุลทั้งชายหญิง ของราชวงศ์ รวมทั้งลูกหลานจากครอบครัวขุนนางชั้นสูงล้วนเลือกที่จะเข้าสถานศึกษาฉางมู่แห่งนี้ นี่ก็เป็นสิ่ง ยืนยันได้อย่างดี เหนือสิ่งอื่นใด ว่าศิษย์ของที่นี่จะมีโอกาสได้พบปะกับชนชั้นสติปัญญาเลิศล้ำ เจ้าน่าจะเข้าใจดีอยู่แล้วว่าเครือข่ายที่มั่นคงมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมากน้อยเพียงใด !”

เยี่ยฉวนพยักหน้าช้า ๆ แต่แล้วเหมือนเขาจะนึกบางอย่างขึ้นได้ “ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้น อันหลานซิ่ว นางเป็นศิษย์ของสถานศึกษาฉางมู่ด้วยใช่หรือไม่ ?”

ลู่เสี่ยวหรานส่ายหน้า “ผู้เยี่ยมยุทธ์หาได้ฝึกฝนยุทธ์จากสถานศึกษาไม่”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ?” เยี่ยฉวนรู้สึกฉงนในใจ

ลู่เสี่ยวหรานยังคงหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า “ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสถานศึกษามีเทียบเชิญนางให้เข้าเป็นศิษย์ของที่นั่น แต่ข้าได้ยินว่านางกลับปฏิเสธ”

“ปฏิเสธ ?”

เยี่ยฉวนตะลึงงัน “ท่านหมายความว่าอย่างไร ?”

เขาส่ายหน้าพลางหัวเราะ “เพราะว่าทั้งสถานศึกษาฉางมู่ หามีใครคู่ควรเป็นผู้ชี้แนะให้กับนางไม่ ! หรือข้าควรจะบอกว่าขั้นพลังของนางนั้นสูงชั้นเกินไปจนเหมาะที่เป็นผู้ชี้แนะเสียมากกว่า จะว่าไป การที่ไม่ได้เข้า เรียนที่สถานศึกษาแห่งนี้น่าขบขันนักหรือ ?”

“…” เยี่ยฉวนอึ้งไปอีก

เสียงของลู่เสี่ยวหรานยังดังต่อไป “แม้ว่านางจะไม่ได้เข้าเป็นศิษย์ แต่สถานศึกษาก็ยังคงมอบตำแหน่งผู้ชี้แนะกิตติมศักดิ์ให้กับนางเพื่อเป็นเกียรติแก่ทางสถานศึกษา อันที่จริงถึงนางจะไม่มีอำนาจในทางปฏิบัติ แต่ทุกคนก็ยังคงต้องให้ความเคารพแก่นางเหมือนกับคนอื่นอยู่ดี จะมีข้อยกเว้นก็ต่อเมื่อเป็นผู้อาวุโส หรือไม่ก็ศิษย์ระดับหัวหน้าเท่านั้น

เขานิ่งคิดเพียงชั่วครู่ “ข้ามาคิดดูแล้ว บางที่เบื้องหลังอาจไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคิด ! อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะต้องเป็นกังวลเสียหน่อย !”

ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนเริ่มสอบถามต่อไป “ผู้อาวุโส ข้าได้ยินมาว่าแพทย์ที่เก่งที่สุดอยู่ในสถานศึกษา ฉางมู่ ถูกต้องหรือไม่ ?”

ลู่เสี่ยวหรานผงกศีรษะ “ข้าไม่กล้ายืนยันว่าแพทย์ที่นั่นเก่งที่สุด แต่ถ้าเจ้าจะถามหาการแพทย์ที่ดีที่สุด ข้าก็คงต้องบอกว่าที่แคว้นเจียงแห่งนี้ แม้แต่แพทย์ในเมืองหลวงยังต้องมาขอคำปรึกษาจากแพทย์ในสถาน ศึกษาฉางมู่ อันที่จริงแล้วพวกเขาบางส่วนเองก็สำเร็จการศึกษาจากสถานศึกษาฉางมู่นี่เอง !”

เมื่อได้ยินได้ฟังเช่นนั้นชายหนุ่มจึงค่อยคลายกังวล เขาหันกลับสายตาเหม่อมองในที่ไกล ภาพเลือนรางของความยิ่งใหญ่และสง่าผ่าเผย เมืองเก่าแก่เบื้องหลังเทือกเขาสูง…

เมืองหลวง !

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 55 เมืองหลวง ! (ปลาย)

Now you are reading หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ Chapter 55 เมืองหลวง ! (ปลาย) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 55 เมืองหลวง ! (ปลาย)

เจ้าเด็กอ้วนเป็นคนที่สนใจใคร่รู้ต่อสิ่งต่าง ๆ รอบกาย เขาเดินเข้ามาแล้วจัดแจงวางผลไม้หลากชนิดซึ่งหอบมาจนเต็มอ้อมแขนลงตรงหน้าสองพี่น้องตระกูลเยี่ย พร้อมกับเอ่ยชักชวนอย่างใจดีว่า “พี่ชายใหญ่ พี่สาว พวกท่านกินผลไม้นี้สิ อร่อยนะขอรับ !”

เสียงนั้นทำให้พวกเขาทั้งสองหันมองหน้ากันแล้วต่างฝ่ายก็หัวเราะออกมา

ขณะนั้นเอง ลู่เสี่ยวหรานก็ได้เดินมาสมทบ เขาใช้มือหุ้มกำปั้นแสดงคารวะต่อเยี่ยฉวนพลางยิ้ม “ข้าเข้ามาขัดจังหวะของพวกเจ้าหรือไม่ ?” เขาเอ่ยถาม

เยี่ยฉวนตอบเจือเสียงหัวเราะ “ไม่เลย เชิญนั่งก่อนผู้อาวุโสลู่”

ลู่เสี่ยวหรานหย่อนกายลงบนม้านั่งที่ว่าง เด็กน้อยสองคนหลบออกไปอีกมุมหนึ่งอย่างรู้งาน

“ระยะทางอีกเพียงครึ่งวันพวกเราก็จะถึงเมืองหลวง สหายของข้า เจ้ารู้จักใครที่เมืองหลวงเป็นการส่วนตัวหรือไม่ ?” ลู่เสี่ยวหรานถาม

เยี่ยฉวนส่ายศีรษะ

เขาไม่รู้จักใครที่เมืองหลวงแม้สักคนเดียว

ลู่เสี่ยวหรานยิ้มอย่างใจดีก่อนพูดกับเยี่ยฉวนว่า “ในเมืองหลวงมีคนอยู่มากหน้าหลายตา ทั้งคนดีและ คนชั่ว แต่ว่าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะหาโรงเตี๊ยมให้เจ้าพักชั่วคราวก่อนที่จะเดินทางไปยังสถานศึกษาฉางมู่ ไว้ เมื่อเจ้าจัดการธุระเรียบร้อยแล้วพวกเราค่อยมาคิดกันว่าเจ้าจะพักที่นั่นต่อไปหรือไม่ เจ้าคิดเห็นเช่นไร ?”

เยี่ยฉวนคิดเห็นด้วย เขาพยักหน้าน้อย ๆ  “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนท่านแล้ว ผู้อาวุโส”

แน่นอนว่าเยี่ยฉวนไม่ปฏิเสธคำเชิญชวนด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจของลู่เสี่ยวหราน เคยมีคำ พูดหนึ่งกล่าวว่า ‘คบเพื่อนหนึ่งคนเสมือนมีทางเดินชีวิตหนึ่งเส้นทาง’ ในเมื่อคนแซ่ลู่มีความจริงใจ แล้วใยเยี่ย ฉวนจะปฏิเสธได้ลงคอ ?”

ลู่เสี่ยวหรานคลี่ยิ้มอย่างยินดีเมื่อได้ยินชายหนุ่มตอบรับ

เขาเป็นขุนนางในเมืองใหญ่ จึงพอจะมีบารมีกว้างขวางอยู่บ้าง การที่เขามาเป็นมิตรกับเยี่ยฉวนก็เป็น เพราะชื่นชมในความเป็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์ของชายหนุ่มนั่นเอง

หลังจากนั่งคุยต่อไปอีกสักพักจนได้เวลา เขาจึงกลับออกไปพร้อมกับลู่หมิง

ตอนนี้ภายในห้องเหลือเพียงเยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงสองพี่น้อง

นางขยับมานั่งลงข้าง ๆ พี่ชาย เอ่ยถามชายหนุ่มเสียงละห้อย “ท่านพี่ ท่านปฏิเสธตำแหน่งผู้บัญชาการกองร้อยเป็นเพราะข้าใช่หรือไม่ ?”

เยี่ยฉวนหันมามองหน้านางยังมิทันเอ่ยปาก เสียงอ่อน ๆ ดังพลันแว่วมาอีก “ข้าถามเจ้าอ้วนแล้ว เขา บอกข้าว่าผู้บัญชาการกองร้อยเป็นตำแหน่งสำคัญเพราะเทียบเท่ากับการเป็นคนของทางการ ท่านพี่ทำไมจึงทำอะไรโง่เช่นนี้ ? ท่านปฏิเสธทำไมกัน ?”

เยี่ยฉวนลูบไล้ศีรษะของนางก่อนจะถามว่า “ถ้ารับข้อเสนอนั่น แล้วเจ้าจะเป็นอย่างไรกันเล่า ?”

เยี่ยหลิงเงยหน้ามองพี่ชาย “ข้าเป็นตัวถ่วงของท่านใช่หรือไม่ ?”

ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ “เจ้าเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพี่ พี่จะทำทุกอย่างเพื่อเจ้าและจะให้ทุก สิ่งที่เจ้าปรารถนา”

เยี่ยฉวนเอื้อมจับมือน้องมาบีบเบา ๆ ขณะกล่าวต่อไป “ถ้าไม่มีเจ้า การเป็นเซียนกระบี่ก็หาได้มีความ หมายสำหรับข้าไม่”

ผู้เป็นน้องสาวน้ำตารินอาบแก้มก่อนโผกอดพี่ชายไว้แน่น

ในไม่ช้าความอ่อนล้าจากการเดินทางคืบคลานเข้ามานางจึงผล็อยหลับไป

“ขี้เซาอะไรเช่นนี้ !”

เยี่ยฉวนกลับมามีสีหน้าเคร่งเครียด เขานั่งมองเยี่ยหลิงภายหลังจากวางนางลงบนที่นอน ดูเหมือนนางจะนอนหลับมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่เคราะห์ยังดีที่ไม่ถึงกับหนาวสั่น คงด้วยเพราะอิทธิฤทธิ์แห่งเครื่องรางนั่น ละมั้ง จะว่าไปแล้วอาการโดยทั่วไปของนางไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะใบหน้าที่ซีดเซียวลงทุกที !”

เขารู้ดีว่าน้องสาวของตนไม่ชอบบอกเล่าเรื่องอาการป่วยด้วยไม่ต้องการให้ตนเป็นกังวล

เยี่ยฉวนคลี่ผ้าห่มคลุมให้นางก่อนที่ตัวเขาจะเดินออกไปที่ดาดฟ้าเรือเหาะซึ่งอยู่ไม่ไกล

ชายหนุ่มยืนอยู่บริเวณหัวเรือเพื่อชะเง้อมองออกไปไกลจนสุดสายตา เวลาใกล้พลบค่ำแล้ว ดังนั้นแนว เส้นขอบฟ้าจึงกลายเป็นสีแดงดั่งเปลวเพลิง มันดูราวกับผ้าห่มเพลิงผืนใหญ่แผ่กางทั่วทั้งแผ่นฟ้า ที่เผยให้ เยี่ยฉวนเห็นทิวเขาน้อยใหญ่ภายใต้อาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า

เมืองหลวงกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ !

“สหายข้า !”

เสียงของลู่เสี่ยวหรานดังขึ้น

ชายหนุ่มหันมาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังเดินตรงเข้ามาหา ผู้อาวุโสนั้นหัวเราะร่วนก่อนจะพูดว่า “ดูท่าว่าเจ้า จะอยากให้ถึงเมืองหลวงโดยเร็วใช่หรือไม่ !?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ายอมรับก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเล่าเรื่องสถานศึกษาฉางมู่ให้ข้าฟังสักหน่อยจะได้หรือไม่ ผู้อาวุโส ?”

ลู่เสี่ยวหรานพยักหน้า “สถานศึกษาแห่งนี้หาได้เป็นสำนักที่มาจากแคว้นเจียงไม่ เช่นเดียวกันสำนัก อัปสรเมรัยที่มีสำนักสาขากระจายอยู่ในหลายแคว้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผู้คนจึงอยากจะได้ชื่อว่าเป็นคนของสถานศึกษาซึ่งมีสถานะในเชิงสัญลักษณ์ นอกจากนี้ ภายในสถานศึกษายังเต็มไปด้วยผู้ชี้แนะที่มีขั้นพลังสูงส่งมากมายที่พร้อมสั่งสอนวิชาความรู้ และวิชายุทธ์หลากหลายแขนง ใครที่ได้เข้าศึกษาในสถานศึกษาฉางมู่ คน ผู้นั้นก็จะถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ พวกเขาจะถูกแย่งตัวจากสำนักต่าง ๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับศาสตร์แขนงที่สำเร็จการศึกษามา”

น้ำเสียงเรียบเรื่อยกล่าวยิ้ม ๆ ต่อไป “ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถานศึกษาฉางมู่สามารถปฏิบัติงานได้ ทุกที่ เคยมีศิษย์เก่าของที่นี่ถูกคัดเลือกให้เข้าไปรับใช้ใกล้ชิดในวังหลวง สำหรับครอบครัวที่ยากจน สถานศึกษาแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนกับทางลัดเพื่อหนีจากความอัตคัดขัดสนก็ว่าได้ ขณะเดียวกัน การที่ราชนิกุลทั้งชายหญิง ของราชวงศ์ รวมทั้งลูกหลานจากครอบครัวขุนนางชั้นสูงล้วนเลือกที่จะเข้าสถานศึกษาฉางมู่แห่งนี้ นี่ก็เป็นสิ่ง ยืนยันได้อย่างดี เหนือสิ่งอื่นใด ว่าศิษย์ของที่นี่จะมีโอกาสได้พบปะกับชนชั้นสติปัญญาเลิศล้ำ เจ้าน่าจะเข้าใจดีอยู่แล้วว่าเครือข่ายที่มั่นคงมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมากน้อยเพียงใด !”

เยี่ยฉวนพยักหน้าช้า ๆ แต่แล้วเหมือนเขาจะนึกบางอย่างขึ้นได้ “ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้น อันหลานซิ่ว นางเป็นศิษย์ของสถานศึกษาฉางมู่ด้วยใช่หรือไม่ ?”

ลู่เสี่ยวหรานส่ายหน้า “ผู้เยี่ยมยุทธ์หาได้ฝึกฝนยุทธ์จากสถานศึกษาไม่”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ?” เยี่ยฉวนรู้สึกฉงนในใจ

ลู่เสี่ยวหรานยังคงหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า “ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสถานศึกษามีเทียบเชิญนางให้เข้าเป็นศิษย์ของที่นั่น แต่ข้าได้ยินว่านางกลับปฏิเสธ”

“ปฏิเสธ ?”

เยี่ยฉวนตะลึงงัน “ท่านหมายความว่าอย่างไร ?”

เขาส่ายหน้าพลางหัวเราะ “เพราะว่าทั้งสถานศึกษาฉางมู่ หามีใครคู่ควรเป็นผู้ชี้แนะให้กับนางไม่ ! หรือข้าควรจะบอกว่าขั้นพลังของนางนั้นสูงชั้นเกินไปจนเหมาะที่เป็นผู้ชี้แนะเสียมากกว่า จะว่าไป การที่ไม่ได้เข้า เรียนที่สถานศึกษาแห่งนี้น่าขบขันนักหรือ ?”

“…” เยี่ยฉวนอึ้งไปอีก

เสียงของลู่เสี่ยวหรานยังดังต่อไป “แม้ว่านางจะไม่ได้เข้าเป็นศิษย์ แต่สถานศึกษาก็ยังคงมอบตำแหน่งผู้ชี้แนะกิตติมศักดิ์ให้กับนางเพื่อเป็นเกียรติแก่ทางสถานศึกษา อันที่จริงถึงนางจะไม่มีอำนาจในทางปฏิบัติ แต่ทุกคนก็ยังคงต้องให้ความเคารพแก่นางเหมือนกับคนอื่นอยู่ดี จะมีข้อยกเว้นก็ต่อเมื่อเป็นผู้อาวุโส หรือไม่ก็ศิษย์ระดับหัวหน้าเท่านั้น

เขานิ่งคิดเพียงชั่วครู่ “ข้ามาคิดดูแล้ว บางที่เบื้องหลังอาจไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคิด ! อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะต้องเป็นกังวลเสียหน่อย !”

ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนเริ่มสอบถามต่อไป “ผู้อาวุโส ข้าได้ยินมาว่าแพทย์ที่เก่งที่สุดอยู่ในสถานศึกษา ฉางมู่ ถูกต้องหรือไม่ ?”

ลู่เสี่ยวหรานผงกศีรษะ “ข้าไม่กล้ายืนยันว่าแพทย์ที่นั่นเก่งที่สุด แต่ถ้าเจ้าจะถามหาการแพทย์ที่ดีที่สุด ข้าก็คงต้องบอกว่าที่แคว้นเจียงแห่งนี้ แม้แต่แพทย์ในเมืองหลวงยังต้องมาขอคำปรึกษาจากแพทย์ในสถาน ศึกษาฉางมู่ อันที่จริงแล้วพวกเขาบางส่วนเองก็สำเร็จการศึกษาจากสถานศึกษาฉางมู่นี่เอง !”

เมื่อได้ยินได้ฟังเช่นนั้นชายหนุ่มจึงค่อยคลายกังวล เขาหันกลับสายตาเหม่อมองในที่ไกล ภาพเลือนรางของความยิ่งใหญ่และสง่าผ่าเผย เมืองเก่าแก่เบื้องหลังเทือกเขาสูง…

เมืองหลวง !

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+