หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง 12 น้ำใจนี้พวกเราควรตอบแทน

Now you are reading หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง Chapter 12 น้ำใจนี้พวกเราควรตอบแทน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 12 น้ำใจนี้พวกเราควรตอบแทน

มารดาของเจ้าอ้วนซานกลิ้งตัวไปมาอยู่บนพื้น หลินเว่ยเว่ยมองท่าทีเสแสร้งนี้ออกจึงนั่งยองตรงเบื้องหน้าของอีกฝ่าย “ราวกับดูละครลิงอยู่เลย แสดงได้สมจริงดีนี่”

ขณะเดียวกันบรรดาชาวบ้านที่มามุงดูถึงขั้นพากันหัวเราะออกมา

มารดาของเจ้าอ้วนซานกลิ้งบนพื้นจนเหนื่อยแล้วหอบหายใจพร้อมกล่าวว่า “เจ้าต้องชดใช้เงินและเนื้อให้ข้า ! ”

หลินเว่ยเว่ยจึงเอื้อมมือไปหา มารดาของเจ้าอ้วนซานเห็นดังนั้นจึงถอยหลังกรูแล้วส่งเสียงร้องราวกับหมู “เจ้าจะทำอันใด ? เจ้าจะฆ่ากันหรือ ! เจ้าเด็กโง่ของบ้านตระกูลหลินจะลงมือสังหารข้าแล้ว ! ”

หลินเว่ยเว่ยยกตัวมารดาเจ้าอ้วนซานขึ้นมาไว้เหนือศีรษะแล้วหันไปบอกพวกชาวบ้านที่อยู่หน้าประตูว่า “พวกท่านช่วยหลีกทางให้ข้าที นางเสียงดังน่ารำคาญเหลือเกิน นางรบกวนการพักผ่อนของท่านแม่ข้าแล้ว ! ”

ตลอดทางนางได้ยกตัวมารดาของเจ้าอ้วนซานไว้จนกระทั่งเดินออกไปนอกประตูรั้วบ้านจึงวางตัวอีกฝ่ายลงพื้น จากนั้นนางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนตอนที่นางหวงคุยกับนางในยามปกติ “จงเป็นเด็กดีที่เชื่อฟัง จงนั่งนิ่ง ๆ อย่าขยับไปไหน เพราะสิ่งที่เจ้าหมาป่าชอบกินที่สุดคือเด็กดื้อไม่เชื่อฟัง ! ”

บรรดาชาวบ้านที่มามุงดูต่างก็พากันหัวเราะด้วยความชอบอกชอบใจ มารดาของเจ้าอ้วนซานไม่สามารถทนการดูหมิ่นเช่นนี้ได้จึงง้างมือแล้วพุ่งตัวหมายตบสั่งสอนหลินเว่ยเว่ย

แต่หลินเว่ยเว่ยใช้นิ้วมือเพียงนิ้วเดียวดันหน้าผากของอีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นก็เปิดปากหัวเราะร่า “ดูสิ ! ตอนนี้ข้ารักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าหายแล้ว หน้าอกของเจ้าไม่เจ็บปวดแล้วสินะ คงหายใจสะดวกขึ้นถึงได้กระปรี้กระเปร่าเช่นนี้ ! ”

มารดาของเจ้าอ้วนซานพยายามยื่นแขนไปด้านหน้าสุดแรงเพราะคิดตบสั่งสอนหลินเว่ยเว่ย แต่ด้วยความจนปัญญาเพราะแขนสั้นเกินไปจึงทำให้นางไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่ปลายแขนเสื้อของอีกฝ่าย พอคิดจะยื่นเท้าไปถีบก็ถีบได้เพียงอากาศเท่านั้น นางโวยวายเช่นนี้ไปพักใหญ่จนเหงื่อท่วมตัวและสุดท้ายก็มิได้สิ่งใดติดมือกลับไป

คนในหมู่บ้านเริ่มทนดูมิไหวจึงพูดตำหนิ “โก่วเซิ่งจื่อ1 เจ้าปล่อยให้ภรรยามาทะเลาะกับเด็กโง่คนหนึ่งได้เช่นไร ? ต่อให้เจ้าไม่อายแต่พวกข้ารู้สึกอับอายแทนเหลือเกิน ! ”

บิดาของเจ้าอ้วนซานได้ยินเช่นนั้นจึงลากภรรยากลับไปที่บ้านท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนบ้านที่ไล่หลังพวกเขาไป จะเอาเปรียบผู้อื่นทั้งทียังไม่สามารถทำได้ ทั้งยังก่อเรื่องวุ่นวายจนน่าอับอายไปถึงบรรพบุรุษอีกด้วย ! ดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้านแล้วทั้งคู่จึงทะเลาะตบตีกันพักใหญ่ !

เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ดูแล้ว บรรดาชาวบ้านที่อยู่รอบด้านก็พากันถอยออกจากบ้านตระกูลหลิน แม้ว่าพวกเขาจะเกิดความโลภอยากได้ส่วนแบ่งเนื้อกวางที่เจ้าเด็กโง่แบกกลับมา ทว่าคนที่ปากจัดและเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นมารดาของเจ้าอ้วนซานยังไม่สามารถช่วงชิงมาได้ แล้วนับประสาอันใดกับพวกตน !

หลินจื่อเหยียนมองพี่สาวคนรองด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย นางกำลังขู่ให้ชาวบ้านกลัว ! นางที่เคยเป็นคนเบาปัญญาจอมโง่เขลาและเป็นภาระของครอบครัวมาโดยตลอด จู่ ๆ ก็กลายเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบดีเพียงนี้ ทำให้เขารู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย…

ขณะเดียวกันเจ้าหนูน้อยก็มองไปยังพี่สาวคนรองด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความนับถือเพราะขนาดมารดาเจ้าอ้วนซานที่เป็นคนไร้เหตุผลและเจ้าเล่ห์เพทุบายที่สุดยังไม่สามารถทำอันใดพี่รองได้ นางช่างเก่งกาจเหลือเกิน !

“ลุงหวัง รอข้าก่อน” หลินเว่ยเว่ยเรียกพรานหวังเอาไว้ “ท่านช่วยข้าจัดการเจ้าสิ่งนี้ได้หรือไม่ ? ” จริงอยู่ที่นางสามารถอาศัยพละกำลังในการล่าสัตว์ได้ แต่ถ้าจะให้มาถลกหนังแล้วเอาอวัยวะของสัตว์เหล่านี้ออกมา เกรงว่าคนมือหนักเช่นนางคงทำเละไม่เป็นท่า

บรรดาชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังล้วนมองไปที่พรานหวังด้วยสายตาอิจฉา เพราะการที่เขาถูกขอร้องให้ช่วยเช่นนี้ รับรองได้เลยว่าจะมิได้กลับบ้านมือเปล่าอย่างแน่นอน

พรานหวังได้ยินดังนั้นจึงกลับบ้านไปเอามีดเล่มโตมาแล้วเริ่มทำการถลกหนัง แล่เนื้อและควักอวัยวะภายในออกมาอย่างชำนาญ ตัวเขามิได้ล่ากวางป่าตัวใหญ่เช่นนี้นานแล้ว !

พรานหวังกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ากวางตัวนี้อ้วนมาก แค่เนื้อที่ถูกแล่ออกมาก็มีน้ำหนักร้อยกว่าชั่งแล้ว ! ส่วนหนังของมันแม้ฉีกขาดไปเล็กน้อยแต่ถ้าเอาไปฟอกหนังก็ยังสามารถทำเป็นเสื้อกั๊กไว้ใส่คลายหนาวได้”

“พวกข้าไม่เอาหนังของมันไว้หรอกเพราะฟอกไม่เป็น หากลุงหวังไม่รังเกียจก็สามารถนำกลับไปได้ ! ” หลินเว่ยเว่ยแล่เนื้อกวางแบ่งให้เขาอีกห้าหกชั่ง

แต่พรานหวังโบกมือปฏิเสธ “ครอบครัวของเจ้าลำบาก จงนำเนื้อพวกนี้ไปขายแลกเงินที่หอจุ้ยเซียนเถิด ส่วนหัวและกีบเท้าของมัน หากเจ้าไม่เอาก็ค่อยให้ข้าแทน ! ”

“ท่านเอากีบเท้าพวกนี้ไปเถิด รวมถึงเนื้อก้อนนี้ด้วย ! หากมิใช่เพราะท่านแนะนำให้ข้ารู้จักกับหอจุ้ยเซียน ข้าก็คงไม่รู้ว่าจะไปแลกเงินได้จากที่ใด ! นี่ถือเป็นของแทนคำขอบคุณจากข้า ! ” หลินเว่ยเว่ยยังดึงดันที่จะให้พรานหวังรับเนื้อกวางไปด้วย

เวลานี้นางหวงถูกบุตรสาวคนโตประคองออกมาจากในบ้าน เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่หวัง ในเมื่อนางอยากให้ ท่านก็รับไปเถิด ตลอดหลายปีมานี้ท่านและพี่สะใภ้ก็คอยช่วยเหลือพวกเราไม่น้อยเลย ! ”

ช่วงสองปีที่ผ่านมานี้เกิดเหตุสัตว์ป่าออกอาละวาดอย่างรุนแรงจึงทำให้บริเวณรอบหมู่บ้านมิค่อยปลอดภัย บางครั้งก็มีหมูป่าวิ่งลงมาจากบนเขาแล้วเข้าทำลายพืชผักสวนครัวและเมล็ดพันธุ์พืชที่ชาวบ้านตากเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเคยทำให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บอีกด้วย

เนื่องจากครอบครัวของพรานหวังมีที่ดินน้อยแต่บุตรเยอะมาก เขาจึงไม่สามารถขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขาได้และทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวเริ่มลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งเด็กในครอบครัวไม่ได้ลิ้มรสชาติเนื้อมานานแล้ว พรานหวังจึงเกิดความรู้สึกลังเลเล็กน้อย สุดท้ายจึงยอมรับน้ำใจในครั้งนี้ไว้ เขาตั้งใจว่าจะนำเนื้อก้อนนี้ไปแลกเป็นบะหมี่และวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร จากนั้นก็เก็บกีบเท้าของกวางไว้ทำอาหารให้เด็กในครอบครัวทาน

“เจ้ามีน้ำใจมากเหลือเกิน ! ” พี่สาวของหลินเว่ยเว่ยยังมิวายพูดประชดประชันเพื่อหาเรื่อง !

“ชมกันเกินไปแล้ว ! อันที่จริงข้าก็รู้สึกว่าตนใจกว้างอยู่เช่นกัน ไม่เหมือนใครบางคนที่ดีแต่คอยหาเรื่องผู้อื่น ! ” หลินเว่ยเว่ยชำเลืองมองอีกฝ่าย

เมื่อพี่สาวได้ยินเช่นนั้นก็กระทืบเท้าด้วยความโมโหแล้วชี้หน้าเพื่อด่าหลินเว่ยเว่ย ทว่าพอเห็นหลินเว่ยเว่ยเดินเข้าไปในครัวแล้วหยิบมีดทำครัวออกมา ทันใดนั้นนางก็ขี้ขลาด “ เจ้า…เจ้าเอามีดออกมาทำไม ? ”

“ก็เอามาแล่เนื้อไงเล่า หรือเจ้าคิดว่าข้าจะเอามีดมาฟันเจ้าหรือ ? หากข้าอยากจัดการกับเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้มีดหรอก” หลินเว่ยเว่ยทำเป็นชกกำปั้นไปทางพี่สาว

“พี่ใหญ่ ได้เวลาทำอาหารแล้ว ! ” หลินจื่อเหยียนถือว่ามองสถานการณ์ออก ขืนยังให้พวกนางทะเลาะกันอยู่เช่นนี้ คนที่เสียเปรียบก็เห็นมีแต่พี่ใหญ่เท่านั้น ดูจากนิสัยของพี่ใหญ่แล้วคงไม่สามารถเอาชนะพี่รองได้

เมื่อพี่สาวคนโตได้ยินน้องชายกล่าวเช่นนี้จึงเดินกระทืบเท้าเข้าไปในครัวทันที นางมองไปยังเนื้อที่เหลือเอาไว้ ไหนจะเส้นหมี่คุณภาพดีที่ถูกเก็บไว้ในโถอย่างมิดชิด ทันใดนั้นนางก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้นมา “ท่านแม่ วันนี้อากาศร้อน พวกเราคงไม่สามารถเก็บเนื้อไว้ได้นาน มาทำไส้ซาลาเปาดีหรือไม่เจ้าคะ ! ”

เพื่อเก็บหอมรอมริบให้น้องสามได้ศึกษาเล่าเรียนจึงทำให้พวกนางมิได้ลิ้มรสชาติของเกี๊ยวและซาลาเปามานานมากแล้ว วันนี้นางเด็กโง่ขึ้นไปบนภูเขาแล้วได้กวางกลับมา อีกทั้งยังจงใจจักทำอาหารให้แค่ท่านแม่และน้องชายทั้งสองคนเท่านั้น เช่นนี้นางจงใจที่จักมิให้นางได้มีส่วนร่วมด้วย นางเด็กบ้า ช่างน่าโมโหยิ่งนัก !

นางหวงลังเลไปครู่หนึ่ง แต่ด้วยสายตาอ้อนวอนของเด็ก ๆ สุดท้ายจึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ได้ คืนนี้เราจะทานเกี๊ยวกับซาลาเปาไส้เนื้อกัน ! ” อย่างมากสุดต่อไปนี้นางแค่ต้องทำงานให้หนักขึ้น ดังนั้นวันนี้ปล่อยให้พวกเด็ก ๆ ได้ดีใจก่อนแล้วกัน !

บุตรสาวคนโตได้เผยรอยยิ้มดีใจออกมา ส่วนเจ้าหนูน้อยที่ได้ยินมารดาเอ่ยเช่นนั้นก็ปรบมือด้วยความดีอกดีใจ “เยี่ยม ! เยี่ยมไปเลย ! จะได้ทานเกี๊ยวแล้ว ! พวกเรากำลังจะได้ฉลองปีใหม่ครั้งใหญ่ใช่หรือไม่ ! ! ”

นางหวงเผยรอยยิ้มออกมาโดยมิรู้ตัว ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่บิดาของพวกเขาจากโลกนี้ไป พวกเขาก็มิเคยเผยรอยยิ้มดีใจเช่นนี้ออกมา แม้ว่าในใจของนางเสียดายแป้งและเนื้อ แต่ก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่ายิ่งนัก !

“ลูกรอง เมื่อวานนี้มีพวกผู้ใหญ่สิบกว่าคนยอมเสี่ยงอันตรายขึ้นไปบนภูเขาเพื่อช่วยแม่ตามหาเจ้า ตอนนี้คนในหมู่บ้านต่างก็รู้แล้วว่าครอบครัวของเราได้เนื้อกวางกลับมา หากเราไม่แบ่งให้พวกเขาสักหน่อยก็คงไม่เหมาะสม ! ” ไม่ว่าผู้ใดจะกล่าวเช่นไร พวกเขาก็ยอมเสี่ยงอันตรายขึ้นไปช่วยตามหา นี่คือน้ำใจของมนุษย์ซึ่งพวกนางควรตอบแทน !

แม้ในตอนสุดท้ายหมูป่าจะบุกเข้ามาจนทำให้พวกชาวบ้านวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง เหลือเพียงพวกนางสามคนแม่ลูก ทว่านี่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ หากเปลี่ยนเป็นนางก็คงวิ่งหนีเช่นกัน ! การช่วยเหลือก็คือการช่วยเหลือ แต่จะให้เอาชีวิตของตนไปแลกกับชีวิตของอีกฝ่ายก็คงเป็นไปมิได้ !

หลินเว่ยเว่ยไม่โต้แย้งในข้อนี้เพราะมีคำกล่าวไว้ว่า ‘ญาติที่อยู่ไกลก็ยังไม่สนิทใจเท่าเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกัน’ ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็ต้องผูกสัมพันธ์กับชาวบ้านเอาไว้ ! เดิมทีกวางตัวนี้ก็เป็นสิ่งที่ได้มาจากฝูงหมาป่า หากจะให้แบ่งให้ผู้อื่นก็มิใช่ปัญหา !

“คนที่ไปช่วยแม่ตามหาเจ้ามีน้าเฝิงบ้านข้าง ๆ มีครอบครัวของลุงต้าซวนและครอบครัวฝ่ายภรรยาของเขา…” นางหวงพยายามนึกชื่อซึ่งทุกคนที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสามีของตนทั้งสิ้น

ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่อพยพมาจากนอกหมู่บ้าน เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ได้เกิดสงครามครั้งใหญ่จึงทำให้ผู้คนอพยพมาตั้งรกรากอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ พวกชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านก่อนแล้วต่างพากันรังเกียจพวกตน ดังนั้นเหล่าผู้อพยพจึงต้องรวมกลุ่มกันอย่างสมัครสมานสามัคคีถึงจะไม่โดนเจ้าถิ่นรังแก

1 โก่วเซิ่งจื่อ ( 狗剩子 ) หากแปลตามรากศัพท์คือ ลูกที่สุนัขไม่เอา

ตอนต่อไป

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *