หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง 433 หมดสนุกกันพอดี

Now you are reading หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง Chapter 433 หมดสนุกกันพอดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 433 หมดสนุกกันพอดี

เจ้าหนูน้อยอธิบาย “หม้อไฟก็คืออาหารที่ต้องสั่งทำหม้อชนิดพิเศษขึ้นมาใส่น้ำซุป จากนั้นนำวัตถุดิบต่าง ๆ ใส่ลงในน้ำซุปที่เดือด พอต้มเสร็จแล้วก็คีบขึ้นมาจิ้มน้ำจิ้ม ข้าชอบกินน้ำจิ้มงา รสชาติแบบนั้น…สุดยอดไปเลย ! ”

ขณะมองท่าทางคะนึงหาและลุ่มหลงของเจ้าหนูน้อย หลู่ซวนก็หันไปกะพริบตามองหลินเว่ยเว่ย…พรุ่งนี้จะได้ลิ้มรสหม้อไฟหรือเปล่าก็ต้องดูที่นางแล้ว

ต่อหน้าสหายร่วมห้องของน้องชายคนเล็กจึงเป็นธรรมดาที่หลินเว่ยเว่ยจะไม่กล้าหักหน้าเขา นางพูดอย่างอารมณ์ดี “ได้สิ เย็นพรุ่งนี้เรามากินหม้อไฟกัน ! ”

เจ้าหนูน้อยส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจแล้วหันไปพูดกับสหายทั้งสองว่า “ข้าได้กินหม้อไฟตอนปีใหม่ด้วยล่ะ ! พี่สามเล่าให้ฟังว่าตอนที่พวกเขาไปสอบระดับฝู่ซื่อ พี่รองก็หาวิธีทำของอร่อยสารพัดอย่างให้พวกเขากิน หนึ่งในนั้นมีหม้อไฟอยู่ด้วย น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้กิน…” เขาเอาแต่นึกถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด

หลู่ซวนล้างมือไปพลางใช้ไหล่ดันเขาไปด้วยและพูดว่า “กินหม้อไฟมื้อหนึ่งจะยุ่งยากหรือเปล่า ? ต้องเตรียมของหลายอย่างหรือไม่ ? หม้อไฟมื้อนี้พี่รองหลินต้องทำเพราะต้อนรับข้ากับฉิงจิ้งหยูแน่นอน เจ้าได้รับโชคเพราะเราเลยนะ ! ”

เจ้าหนูน้อยกลอกตาใส่ “เจ้ารู้ไว้เลย หากข้าไม่ได้ชวนเจ้ามาเล่นที่บ้านก็อย่าฝันจะได้กินหม้อไฟ เพราะแม้แต่ขนมที่อยู่ในห้องของข้าวันนี้ เจ้าก็จะไม่ได้กิน สรุปแล้วใครได้โชคจากใครกันแน่ ? ”

“ได้ ได้ ! ข้าได้โชคจากเจ้า พอใจหรือยัง ? ” ต่อหน้าอาหารเลิศรสแล้ว หลู่ซวนกลายเป็นลูกผู้ชายขึ้นมาทันที…สามารถยืดได้ก็หดได้ ฉิงจิ้งหยูกวาดตามองเขาด้วยความดูแคลน

เพราะแขกเป็นเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ นอกจากหมูตุ๋นน้ำแดงและอาหารประเภทกระต่ายผัดเผ็ดแล้ว หลินเว่ยเว่ยยังทำอาหารที่พวกเด็กในยุคอนาคตชื่นชอบมากเป็นพิเศษไว้ให้พวกเขาด้วย…คอมโบเซ็ตเคนเด๋อจี (เคเอฟซี) !

“เคนเด๋อจี ? ” เจ้าหนูน้อยเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ขณะที่น่องไก่ชุบแป้งทอดอันหอมหวนวางบนโต๊ะ เขาก็กวาดสายตามองด้วยความประหลาดใจ “ชื่อนี่ฟังแล้วประหลาดไปหน่อย…”

หลู่ซวนปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เขาพูดประจบทันที “มีอะไรแปลกกันเล่า? เคนเด๋อจี จีที่มาจากคำว่าไก่ ก็ต้องทำมาจากไก่แน่นอน ! พี่รองหลิน ข้าพูดถูกหรือไม่ ? ”

“ถูก ถูกต้อง ! ที่น้องสี่มองอยู่คือน่องไก่ชุบแป้งทอด จานนี้คือปีกกลางกับปีกล่างไก่ทอดรสเผ็ด จานนี้คือถู่โต้วแท่ง (เฟรนช์ฟรายส์)…ถ้ากินคู่กับซอสมะเขือเทศจะอร่อยกว่าเดิม แล้วยังมีจานนี้คือเนื้อไก่ชุบเกล็ดขนมปังทอด (นักเก็ต) และเนื้อไก่ทอดชิ้นพอดีคำ (ไก่ป๊อป)…” หลินเว่ยเว่ยเชือดไก่ตัวผู้ไปสองตัวจึงทำอาหารชุดไก่ทอดนี้ออกมาได้ น่าเสียดายที่วัตถุดิบไม่เพียงพอ เพราะนางชอบปีกไก่นิวออร์ลีนส์มากกว่า !

“เอาล่ะ อย่าเอาแต่มอง ลงมือกันเลยสิ ! ไม่ต้องทำตัวสุภาพเกินไป ใครลงมือก่อนได้เปรียบ คนมาที่หลังระวังจะเสียใจ…” หลินเว่ยเว่ยพูดกับเจ้าอ้วนน้อยและหนอนหนังสือน้อย

เสียงของนางเพิ่งเงียบลง เจียงโม่หานก็ยื่นตะเกียบเข้ามาแล้วคีบนักเก็ตไก่ขึ้นมาหนึ่งชิ้น เกล็ดขนมปังบริเวณตัวแป้งนักเก็ตด้านนอก หลินเว่ยเว่ยใช้หมั่นโถวนึ่งมาหันเป็นชิ้นบาง ๆ พออบแล้วก็นำไปตากอีกที แม้จะเป็นของที่ทำขึ้นมาอย่างง่าย ๆ แต่เวลากินก็ยังให้ความรู้สึกที่หอม กรอบและนุ่มลิ้น ถือว่าอร่อยมาก

เจ้าหนูน้อยคีบน่องไก่ให้สหายทั้งสองคนก่อนแล้วค่อยคีบของตัวเองกินอย่างเอร็ดอร่อย รสนิยมของเด็กสมัยก่อนก็เหมือนเด็กสมัยใหม่ เด็กไม่กี่คนนี้กินอย่างออกรส น่องไก่ชุบแป้งทอดนี้ หลินเว่ยเว่ยตั้งใจทำให้มีขนาดใหญ่เท่าครึ่งฝ่ามือ หลังกินหมดหนึ่งชิ้นแล้ว พวกเด็ก ๆ ก็ยังอยากกินอีก ทว่าผ่านไปไม่นานพวกเขาก็ต้องยอมสยบให้แก่ปีกไก่ทอดรสเผ็ดและไก่ป๊อบ สุดท้ายเฟรนช์ฟรายส์จิ้มซอสมะเขือเทศจึงกลายเป็นเมนูโปรดของพวกเขา !

เจ้าหนูน้อยเริ่มบ่นด้วยความไม่พอใจ “พี่รอง เคนเด๋อจีอร่อยขนาดนี้ เหตุใดเมื่อก่อนท่านไม่ทำให้พวกเรากินบ้าง ! ”

หลินเว่ยเว่ยเคาะท้ายทอยของเขา “ของพวกนี้เรียกว่าอาหารขยะ กินเยอะไปจะส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโต ! หากกินเป็นครั้งคราวยังพอไหว เจ้าจะกินวันละสามมื้อเลยหรือ ! ”

เจ้าหนูน้อยทั้งเชื่อและสงสัย “นี่ทำมาจากไก่ทั้งหมดเลยไม่ใช่หรือ ? เหตุใดจึงกลายเป็นอาหารขยะ ? พี่รอง ท่านคงไม่ได้อยากหลอกเด็กกระมัง ! ”

หลินเว่ยเว่ยถลึงตาใส่เขา “ถ้าเป็นของดีจริง ๆ แล้วข้าจะไม่อยากทำให้พวกเจ้ากินหรือ ? ”

“ถ้าเช่นนั้น…ทำเดือนละครั้งได้หรือเปล่า ? ข้าไม่กินเยอะหรอก กินแค่พอให้หายอยาก ชิมรสชาติเท่านั้น ! ” เจ้าหนูน้อยเริ่มทำหน้าออดอ้อนและงัดไม้เด็ดของตนออกมา

“ได้ ! ข้ารับปากแทนพี่รองของเจ้า ! ” เจียงโม่หานฉวยโอกาสที่เจ้าหนูน้อยกำลังอ้อน คีบปีกไก่ทอดรสเผ็ดชิ้นสุดท้ายเข้าปาก

เด็ก ๆ มองตามปีกไก่ทอดรสเผ็ดที่กำลังเคลื่อนออกไปจากเบื้องหน้าพวกพวกตน เมื่อสบเข้ากับสายตาเย็นชาของเจียงโม่หานแล้ว พวกเขาก็ได้แต่ละสายตาหนีด้วยความไม่พอใจ เจ้าหนูน้อยบ่นเบา ๆ ว่า “อายุเท่าไรแล้วยังแย่งของกินกับเด็ก ! ”

เจียงโม่หานเริ่มขู่ “ข้าได้ยิน…เคนเด๋อจีเดือนละครั้ง ยังคิดจะกินอยู่หรือไม่ ? ”

“ท่านกินเลย ท่านกินได้เลย ! พวกเรากินไปหลายชิ้นแล้ว ของดีต้องแบ่งให้ได้เพลิดเพลินด้วยกันอยู่แล้ว…” เจ้าหนูน้อยรีบประจบ เพราะพี่รองเป็นพวกคลั่งสามี ดังนั้นคำพูดของพี่โม่หานประโยคเดียวก็ถือว่ามีประโยชน์กว่าลูกอ้อนนับร้อยนับพันรูปแบบของเขา

หลู่ซวนคิดว่า ‘เคนเด๋อจี’ ที่อร่อยถึงเพียงนี้ สหายของตนจะได้กินเดือนละครั้ง แต่ตนกลับมีลาภปากได้กินแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “หลินจื่อถิง เจ้าโชคดีมาก…ข้าเองก็อยากมีพี่สาวทำอาหารเก่งบ้างสักคน…”

ฉิงจิ้งหยูคอยซ้ำเติมอยู่ด้านข้าง “เจ้ามีแค่พี่ชายที่ชอบสั่งให้คุกเข่า ตีก้นและลงโทษให้คัดตำรา ! ”

หลู่ซวนมีน้ำตาอาบหัวใจทันที “รู้แล้วก็ไม่ต้องพูดได้หรือเปล่า ? หมดสนุกกันพอดี”

แม้ว่าเจ้าอ้วนน้อยจะโง่เขลาไปบ้าง แต่มีนิสัยไม่เลว ส่วนหนอนหนังสือน้อยอย่างฉิงจิ้งหยูก็มีความคิดชอบธรรม ล้วนเป็นสหายที่ควรค่าแก่การคบหา หลินเว่ยเว่ยจึงใช้อาหารเป็นทูตสันติภาพแทนน้องชาย “หากคราวหน้าได้ทำก็จะให้น้องสี่ห่อไปฝากพวกเจ้าคนละหนึ่งชุด เมื่อเป็นสหายรัก เวลามีของดีก็ต้องแบ่งปันกัน ! ”

หลู่ซวนรีบใช้มืออวบอ้วนตบที่บ่าของเจ้าหนูน้อยทันที “ใช่ ! พวกเราเป็นสหายรักของกันและกัน ต่อไปถ้าใครในสำนักศึกษารังแกเจ้าก็ถือว่าผิดใจกับข้า หลู่ซวน คนนี้ด้วย ข้าจะไม่มีวันยืนมองอย่างนิ่งเฉยแน่นอน ! ”

ฉิงจิ้งหยูยังไม่เลิกเอ่ยทิ่มแทงอีกฝ่าย “เจ้าจะทำอะไรได้ ? ไปทะเลาะกับอีกฝ่ายแล้วกลับไปก็ก้นลายไม่ใช่หรือ ? ”

หลู่ซวนพูดอย่างกล้าหาญ “แม้ข้าจะโดนตีจนก้นลายก็ไม่มีทางปล่อยให้สหายรักได้รับความอยุติธรรม ! ”

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ช่วยเหลือสหายแล้วเหตุใดต้องก้นลายด้วยล่ะ ! พวกเราสามารถทำให้ผู้อื่นยอมรับด้วยเหตุผลได้ ! ควรใช้วิธีเจรจากันก่อน แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ค่อยใช้วิธีทางการทหาร ! ดีที่สุดต้องทำให้อีกฝ่ายผิด แบบนี้ก้นของพวกเจ้าก็ไม่ลายแล้ว ! ”

เจียงโม่หานเงยหน้ามองนาง…สอนเด็กให้เสียคน !

ทว่าตรงเบื้องหน้าของฉิงจิ้งหยูกลับมีประตูบานใหม่เปิดออก…ที่แท้ ก็ทำแบบนี้ได้ด้วย…

เด็กหาเงินเก่ง เจ้าอ้วนน้อยผู้ไม่คิดหน้าคิดหลังและหนอนหนังสือน้อยผู้ซ่อนความดื้อรั้นไว้ในจิตใจ…อนาคตของ ‘สามเหลี่ยมเหล็ก1 แห่งเขตเริ่นอัน’ ได้เปิดฉากขึ้นที่หมู่บ้านกลางหุบเขาเล็ก ๆ แห่งนี้…

ตกกลางคืน พวกเด็กทั้งสี่คนนอนบนเตียงหลังใหญ่พลางคุยกันเสียงเจื้อยแจ้ว แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ โดยเฉพาะหลู่ซวนที่พอมาถึงบ้านตระกูลหลินก็เห็นทุกสิ่งเป็นของแปลกใหม่สำหรับตน หรือแม้แต่อยากจับลูกกระต่ายสักสองตัวมานอนกอดอีกด้วย !

เจ้าหนูน้อยรำคาญพวกเขาจนควันออกหู “นี่ยามใดแล้ว ยังไม่นอนอีกหรือ ? พรุ่งนี้เจ้ายังอยากขึ้นเขาอยู่หรือเปล่า ? ”

[i]
1 สามเหลี่ยมเหล็ก หมายถึง ความสัมพันธ์ของสหายรักสองสามคนที่ไปไหนไปกันและดูแลกันอยู่เสมอ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *