หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง 417 นางคือความโชคดี

Now you are reading หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง Chapter 417 นางคือความโชคดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 417 นางคือความโชคดี

เจียงโม่หานกินอาหารกลางวันอย่างเอร็ดอร่อย ตำแหน่งโฉวฝู่เมื่อชาติที่แล้วได้ปลูกฝังนิสัยจู้จี้จุกจิกให้แก่ตน โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน เขาต้องได้กินของดีของอร่อยเท่านั้น ยามนี้ความเรื่องมากไม่สามารถนำมาใช้จับผิดอาหารที่เด็กน้อยเตรียมไว้ได้เลยเพราะมันช่างอร่อยยิ่งนัก !

นึกถึงการสอบเยวี่ยนซื่อทั้งสองสนามเมื่อชาติที่แล้ว เรียกได้ว่ายามนั้นเขาอัตคัดมาก ! มีแค่แผ่นแป้งทอดแห้ง ๆ ติดตัวเข้าสนามสอบเท่านั้น แถมยังไม่กล้ากินอีกด้วย เพราะกลัวว่าหากกินไปแล้วในวันท้าย ๆ จะไม่เหลือให้กินจนต้องทรมานด้วยความหิวโหย ทำได้แค่ดื่มน้ำที่ทางสนามสอบจัดไว้ให้เท่านั้น…ตอนนี้ชีวิตของเขามีนางเข้ามา ช่างเป็นความโชคดีเหลือเกิน !

ตกดึกวันนี้ เสียงนอนกรนดังสนั่นมาจากข้างห้อง ๆ ยังมีกลิ่นเท้าจากห้องอีกด้าน โชคดีเขาเอาที่อุดหูซึ่งหลินเว่ยเว่ยเตรียมไว้ให้มาใช้ นอกจากนี้ยังเอาถุงหอมวางไว้ข้างหมอนก่อนจะค่อย ๆ เข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน

ตอนที่นอนอยู่ เขาฝันร้ายจนเผลอยกเท้าถีบผนังห้องพัก ทำให้สะดุ้งตื่นยามดึก…เฮ้อ จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อช่วงขายาวเกินไป ไม่มีที่ให้เหยียดขาแล้ว ! ชาติที่แล้วเขาเข้าร่วมการสอบเยวี่ยนซื่อในช่วงสามปีหลังจากนี้และตอนนั้นตัวก็ยังไม่สูงขนาดนี้เลย แต่เพราะได้รับสารอาหารเพียงพอและใส่ใจในการออกกำลังกาย เขาถึงได้ตัวสูงขึ้นเช่นนี้

วันที่สามของสนามสอบเจิ้งซื่อ เขาตอบคำถามเสร็จเป็นกลุ่มแรก หลังตรวจสอบกระดาษคำตอบอีกหนึ่งรอบจึงส่งคำตอบ เมื่อพักอยู่ในห้องแคบ ๆ นี้มาสามวันสองคืนแล้วก็เริ่มได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวจากร่างกายของตน อีกทั้งยังกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและแป้งทอดมาสามวันจนหายอยาก ถึงเวลาต้องเปลี่ยนรสชาติอาหารบ้างแล้ว !

ดูเหมือนเขาจะเป็นคนแรกที่ส่งกระดาษคำตอบ หลังเดินออกมาจากสนามสอบแล้วก็ไม่เห็นเงาร่างคุ้นเคยของนางจึงทำได้แค่เดินกลับบ้านเช่าเพียงลำพัง ตอนเดินมาถึงบ้านเช่าก็ได้ยินเสียงร้องเพลงอย่างเหงาหงอยของนางดังมาจากด้านใน แต่พอเขาผลักประตูเข้าไปแล้วเสียงเพลงนั้นก็หยุดลงทันที

หลินเว่ยเว่ยหันขวับมาตามเสียง พอเห็นว่าเป็นเขาเอง นางก็ทำสีหน้าแปลกประหลาดแล้วปรี่มาหาเขาทันที “เหตุใดจึงออกมาเร็วขนาดนี้ ? เพราะไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ? ” เขาคงไม่ได้ป่วยจนถูกหามออกมาใช่หรือไม่ ? แต่ดูจากสีหน้าและท่าทางของเขาแล้ว…ไม่เหมือนคนป่วยเลย !

“ไม่ได้ป่วย ข้าแค่เขียนคำตอบเสร็จแล้วจึงรีบส่งและรีบออกมา ! มีน้ำอุ่นหรือเปล่า ? ข้าอยากสระผม ช่วยดูให้ทีว่ามีเหาหรือไม่ ! ” ตอนนี้เจียงโม่หานรู้สึกคันยุบยิบไปทั่วทั้งตัวแล้ว

หลินเว่ยเว่ยทำหน้าตกใจ “ไม่หรอกกระมัง ? สุขอนามัยของสนามสอบแย่ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? เจ้านั่งลงแล้วดื่มน้ำก่อน ข้าจะไปหาน้ำอุ่นมา ! ”

หลังจากบัณฑิตน้อยสระผมเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยจึงช่วยเขาเช็ดผมจนแห้ง จากนั้นให้เขานอนคว่ำหน้าลง ส่วนนางก็คอยเขี่ยพลิกเส้นผมของเขาดูแล้วให้คำตอบที่คนฟังวางใจ “ไม่ต้องกังวล ไม่มีเหา อาจเพราะเจ้ารู้สึกคัน จิตใจจึงพาให้คิดว่าอาจมีเหาอยู่บนศีรษะ ประเดี๋ยวข้าจะเอาน้ำไปไว้ในห้อง เจ้าก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จริงสิ ข้าห่อเกี๊ยวกุ้งไว้ด้วย หลังอาบน้ำเสร็จแล้วเจ้าก็กินสักชามแล้วกัน ! ”

เจียงโม่หานอาบน้ำเสร็จก็มากินเกี๊ยวกุ้งในน้ำแกงอุ่น ๆ หอมอร่อย เขานั่งอาบแดดยามเช้าอยู่ในลานบ้านอย่างเกียจคร้าน เมื่อชาติที่แล้วตอนออกจากสนามสอบก็มีสภาพเหมือนคนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ท้องหิวโซขณะมองไปยังแผ่นแป้งทอดร้อน ๆ ริมทาง แต่พอมานับเหรียญทองแดงในกระเป๋าก็ตัดใจจ่ายเงิน 2 อีแปะเพื่อซื้อไม่ได้ รสชาติของชีวิตในยามนั้นช่าง…เฮ้อ ! ไม่อยากนึกถึงมันเลย !

ชาตินี้เขามีคู่หมั้นที่ทั้งงดงามและมากความสามารถมาคอยดูแล นางปรนนิบัติเขาอย่างดีมาโดยตลอด บุตรสาวคนรองของตระกูลหลินเปรียบเสมือนดาวนำโชคของเขา !

เจียงโม่หานนอนพักผ่อนอีกราว ๆ 1 ชั่วยาม เหล่าบัณฑิตอีกห้าคนที่เหลือจึงเดินเข้าบ้านมาพร้อมสีหน้าห่อเหี่ยว หลินเว่ยเว่ยรีบต้มเกี๊ยวที่ห่อไว้แล้วนำมาให้พวกเขากินตอนร้อน ๆ คนละชาม

หยานจิงหยูเห็นว่าเจียงโม่หานอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยแล้วจึงถามว่า “น้องเจียงออกจากสนามสอบเร็วมาก คงไม่ใช่กลุ่มแรกที่ออกมาหรอกกระมัง ? ”

เจียงโม่หานพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “พอเขียนคำตอบเสร็จ ข้าก็ทนอยู่ในห้องนั้นไม่ไหวอีกจึงส่งกระดาษคำตอบแล้วออกมาเลย…แล้วพี่หยานสอบเป็นอย่างไรบ้าง ? ”

หยานจิงหยูตอบอย่างถ่อมตน “ก็พอได้ ข้าตอบคำถามไปทุกข้อแล้วที่เหลือ คงต้องดูว่าผู้ตรวจข้อสอบจะชอบและวิจารณ์อย่างไร ! ”

เมิ่งจิ่งหงได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจพลางส่ายหน้า “ส่วนข้าก็คาดว่าคงหยุดที่ระดับถงเซิงกระมัง ! ตอนเขียนคำตอบข้อสุดท้าย สมองของข้ามึนงงไปหมด ข้าจึงเขียนคำตอบแบบขอไปที…”

หลินจื่อเหยียนเกาศีรษะแล้วเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “ข้าก็เขียนคำตอบได้นะ แต่ไม่รู้ว่าจะถูกหรือเปล่า…”

“พอแล้ว ! นี่เพิ่งสอบเสร็จสนามแรกอย่าเพิ่งแสดงความเห็นเรื่องคำตอบ ไม่อย่างนั้นอาจส่งผลต่อความพยายามในการสอบสนามถัดไป ตอนนี้น้ำอุ่นเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ทุกคนไปอาบน้ำจากนั้นนอนให้อิ่มได้เลย ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนั้นอีก ! ” หลินเว่ยเว่ยตัดบทสนทนาของพวกเขาแล้วไล่แต่ละคนไปอาบน้ำ

สนามสอบเจิ้งซื่อจะมีการคัดเลือกผู้สอบผ่านทั้งหมด 100 คน ในฐานะที่เป็นบัณฑิตหยวนแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางพลาดช่วงของการให้คะแนนผู้เข้าสอบ

ผู้ตรวจข้อสอบจะได้รับชุดกระดาษคำตอบคนละหลายสิบชุด ในขั้นแรกพวกเขาจะคัดชุดคำถามที่ไม่มีการเขียนคำตอบหรือเขียนแล้วแต่อ่านไม่ออกและเขียนคำตอบผิดออกไปก่อน จากนั้นค่อยอ่านคำตอบของแต่ละชุดอย่างละเอียด ใครที่ตอบได้ไม่เลวก็จะวางไว้อีกฝั่ง ใครที่ตอบได้ธรรมดาทั่วไปก็วางไว้อีกฝั่ง แยกกันอย่างชัดเจน…

ตกดึกคืนนั้น ภายในสนามสอบยังคงเต็มไปด้วยแสงไฟส่องสว่าง เหล่าผู้ตรวจข้อสอบกำลังต่อสู้กับกระดาษคำตอบอย่างหนักหน่วง ถึงอย่างนั้นส่วนใหญ่พวกเขาก็จะอ่านกระดาษคำตอบเพียงรอบเดียวเท่านั้น ทำให้บัณฑิตหยวนอดถามไม่ได้ว่า “เป็นอย่างไร ? ดูเหมือนว่าการสอบเยวี่ยนซื่อในปีนี้จะไม่มีผู้ใดเขียนคำตอบได้น่าทึ่งเลยสักคน”

ในเวลานี้อาจารย์อายุประมาณ 50 ปีคนหนึ่งได้กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “กองของข้ามีอยู่ 2 ฉบับที่ไม่เลวเลย หนึ่งในนั้นเขียนได้โดดเด่นกว่าผู้ใด มีการเขียนคำตอบโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ถือเป็นต้นกล้าพันธุ์ดีอย่างแท้จริงขอรับ ! ”

บัณฑิตหยวนรับเอากระดาษคำตอบทั้งสองฉบับนั้นมาอ่านอย่างตั้งใจ จากกระดาษคำตอบนี้บ่งบอกได้เลยว่าผู้เข้าสอบทั้งสองมีความสามารถโดดเด่นกว่าคนอื่นจริง ๆ แต่มีหนึ่งในนั้นที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมุมมองในการตอบหรือทางทฤษฎีที่นำมาใช้ตอบก็มีความเป็นผู้ใหญ่และเฉียบคม ตอบได้อย่างตรงจุด ตรงประเด็นและเข้าใจง่าย แม้ให้บัณฑิตหยวนมาตอบเองก็อาจจะไม่มีข้อมูลเชิงลึกและความเฉพาะตัวเหมือนบัณฑิตผู้นี้ !

พอมองลายมือที่เขียนกระดาษคำตอบมาแล้ว หืม ? ช่างเป็นลายเส้นที่เฉียบคมและประณีตประดุจหงส์ร่อนมังกรทะยาน ลายเส้นแข็งแกร่ง โค้งมนงดงาม เห็นได้ชัดว่าเป็นปรมาจารย์ด้านวิจิตรอักษร ลายมือนี้ช่าง…ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก ? จากนั้นเขาก็ก้มมองพัดที่บุตรชายให้มา…แท้จริงก็เป็นเช่นนี้ !

ส่วนการสอบระดับเยวี่ยนซื่อสนามที่สองก็จัดให้มีการสอบทั้งหมดสามวัน การสอบสนามฟู่ซื่อรอบแรกจะมีบัณฑิตผ่านเข้ารอบทั้งหมด 100 คน โดยพวกเขาจะแจ้งแค่เลขห้องพักที่ผู้เข้าสอบได้เข้าพัก ทว่าไม่แจ้งชื่อแซ่ติดไว้

สนามฟู่ซื่อรอบสองจะเป็นการสอบเขียนเรียงความหนึ่งบทและกวีนิพนธ์หนึ่งบท นอกจากนี้จะมีการสุ่มเขียนเนื้อหาจากใน ‘คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่งศักดิ์สิทธิ์’ เจียงโม่หานยังคงตอบคำถามได้อย่างสบาย ข้อสอบประเภทนี้สำหรับเขา…ช่างง่ายดายยิ่งนัก

เจ้าหน้าที่ตรวจคำตอบเลือกกระดาษคำตอบของเขาออกจากกองกระดาษจำนวนมาก นอกจากนี้ยังอ่านให้ผู้ตรวจแต่ละคนฟังอย่างตื่นเต้น เมื่อทุกคนได้ฟังก็แสดงสีหน้าเหลือเชื่อและชื่นชมออกมา…บัณฑิตผู้นี้เป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดีแห่งราชสำนัก ในอนาคตจะต้องเป็นกำลังหลักของบ้านเมืองอย่างแน่นอน !

หลังการตัดสินกระดาษคำตอบทุกฉบับเสร็จสิ้นแล้ว อาจารย์ผู้ตรวจกระดาษคำตอบของเจียงโม่หานก็รอไม่ไหวที่จะอ่านชื่อของเขาออกมา “อำเภอเป่าชิง เขตเริ่นอัน เจียงโม่หาน…”

เจ้าเมืองจงโจวคนใหม่เบิกตากว้างแล้วกล่าวว่า “เขตเริ่นอัน…บัณฑิตเจียง…เขาคือผู้ที่สร้างชื่อต่อหน้าพระพักตร์ไม่ใช่หรือ ? ผู้ที่สร้างกังหันน้ำกระดูกมังกรใช่หรือไม่ ? อาจารย์ฟ่าน ท่านก็มาจากเขตเริ่นอันไม่ใช่หรือ ? เด็กคนนี้กับบัณฑิตเจียงคนนั้นเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า ? ”

อาจารย์ฟ่านลูบเคราแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ “ถูกต้อง…”

“ว่าแล้วเชียว ! สมแล้วที่เป็นผู้ทำให้โอรสสวรรค์ได้เปิดมุมมองในแบบที่ต่างออกไป ! ” เจ้าเมืองจงโจวเอ่ยพร้อมแววตาเป็นประกาย

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *