หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง 501 ชายหญิงรวมพลังทำงาน ย่อมไม่มีคำว่าเหนื่อย

Now you are reading หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง Chapter 501 ชายหญิงรวมพลังทำงาน ย่อมไม่มีคำว่าเหนื่อย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 501 ชายหญิงรวมพลังทำงาน ย่อมไม่มีคำว่าเหนื่อย

หลินเว่ยเว่ยพูดพร้อมยิ้มยิงฟันขาว “ท่านอ๋องทรงพระปรีชา เรากำลังทำเตาสำหรับไว้ใช้อบขนมจริง ๆ…ถ้าหมินอ๋องไม่รังเกียจ รอให้ขนมอบเสร็จแล้วก็มาลองเสวยสิเพคะ”

“ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจเลย ! ” หมินอ๋องยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของนางขัดดวงเนตรมากขึ้นเรื่อย ๆ “ไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องยิ้มหรอก มองแล้วน่าสยองเสียมากกว่า”

แล้วยังมีมือที่เปื้อนโคลนของนางอีก…หมินอ๋องมีโทสะเล็กน้อย “ในบ้านของเจ้าไม่มีผู้ชายอยู่หรือ ? ถึงขั้นให้เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนเดียวมาทำงานหยาบเช่นนี้ ? ”

เจียงโม่หาน…ผู้ชายคนแรกที่กำลังทำงาน ‘หยาบ’ และผู้ชายคนที่สองอย่างหลินจื่อเหยียนล้วนหมดคำพูด “…” หมินอ๋อง พระองค์ก็มีดวงเนตรกลมโตขนาดนั้น ทว่าเป็นแค่ของประดับดวงพักตร์แต่ไม่ได้ใช้งานหรือไร ?

ในที่สุดหลินเว่ยเว่ยก็หุบยิ้ม…แท้จริงการยิ้มก็ต้องใช้ความสามารถ แค่ครู่เดียวนางก็รู้สึกปวดกรามไปหมด นางชี้ไปยังชายหนุ่มสองคนที่กำลังยุ่งอยู่ตรงมุมกำแพงบ้าน “เวลาบ้านเราทำงาน ทุกคนจะช่วยเหลือกันตลอด…ชายหญิงรวมพลังทำงาน ย่อมไม่มีคำว่าเหนื่อย ! ”

หมินอ๋องสำรวจรอบบ้านหนึ่งรอบ ก่อนจะตรัสด้วยสุรเสียงรังเกียจ “เจ้าอยู่ที่นี่จริงหรือ ? เหตุใดไม่เช่าบ้านที่ดีกว่านี้หน่อย ? ”

หลินเว่ยเว่ยมองไปโดยรอบแล้วกะพริบดวงตากลมโต “บ้านหลังนี้ก็ดีออกเพคะ นกกระจอกแม้ตัวเล็ก ทว่าก็มีอวัยวะภายในครบสมบูรณ์เหมือนนกชนิดอื่น ท่านยายเจ้าของบ้านก็ไม่เลว…”

“ดีอะไรกัน ! แม้แต่ห้องครัวที่ดูเป็นสัดส่วนก็ยังไม่มี ตัวห้องพักก็เล็กจนน่าอึดอัด…หลังคาไม่ได้ซ่อมแซมมานานเท่าไรแล้ว ? หากฝนตกหิมะถล่มแล้วคนจะไปอยู่ที่ใด ? ” หมินอ๋องอยากจะรับตัวบุตรสาวกลับตำหนักในวันพรุ่งนี้เลย…บุตรสาวสุดที่รักของพระองค์ต้องทนทุกข์อยู่ข้างนอกมานานนับ 15 ปี จะให้ทนต่ออีกแค่วันเดียวพระองค์ก็ทำใจไม่ได้ !

หลินเว่ยเว่ยรู้สึกสงสัย ใต้เท้าหมินอ๋องคนนี้อย่างไรกันแน่ ? มาเยือนแล้วก็ไม่พูดอะไรดี ๆ เอาแต่บ่นจู้จี้ใส่บ้านเช่าของนาง ถ้าไม่รู้คงหลงเข้าใจผิดว่าเป็นผู้อาวุโสในบ้านนางเสียอีก !

“ขอทูลถามหมินอ๋อง พระองค์…มีกิจธุระใดหรือไม่เพคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยพูดอ้อมค้อมไม่เก่ง นางจึงเปิดประเด็นคำถามออกมาตรง ๆ

เป็นเมล็ดพันธุ์ของตระกูลจ้าวจริง ๆ นิสัยตรงไปตรงมาก็ได้มาจากพระองค์! หมินอ๋องกระแอมไอแล้วถามออกมาว่า “ได้ยินบุตรสาวของผู้อำนวยการติงบอกว่าเจ้าชำนาญในการทำอาหารซึ่งมีสรรพคุณทางยาและขนมที่ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ? ”

“ผู้อำนวยการติง ? ผู้ใด ? ” หลินเว่ยเว่ยทำหน้ามึนงง ส่งผลให้หมินอ๋องนึกถึงพระชายาทันที ตอนเสวี่ยเอ๋อร์ยังเป็นสตรีแรกรุ่น นางก็ดูไร้เดียงสาและไม่ทันคนเช่นกัน น่ารักสุด ๆ ไปเลย

เจียงโม่หานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน “ติงกู่เหนียงที่มาเมื่อวานนี้ บิดาของนางเป็นผู้อำนวยการสถาบันกั๋วจื่อเจียน1…”

คิ้วที่ขมวดกันของหลินเว่ยเว่ยคลายออกทันที คาดไม่ถึงว่าน้องสาวคนสนิทของนางจะเป็นคุณหนูสกุลใหญ่ ยากนักที่เด็กสาวจะไร้ความเย่อหยิ่งในแบบฉบับบุตรีขุนนาง

นางแอบเหลือบมองหมินอ๋อง…บุตรสาวของจวนผู้อำนวยการติงบอกอะไรกันเล่า เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพระองค์มาแอบฟังที่บ้านข้าเอง แถมยังขโมยเค้กพุทราแดงของพวกเราไปตั้งหลายชิ้น เฮอะ ! หมินอ๋อง พระองค์ถามแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ? หรือว่าอยากกินอีกก็เลยมาเคาะประตูขอซึ่ง ๆ หน้า ?

ไฉนเลยจะปล่อยให้ท่านอ๋องเอ่ยปากเอง ? หลินเว่ยเว่ยตอบตามตรง “ทำอาหารมีสรรพคุณทางยาและขนมง่าย ๆ ได้สองสามอย่างเพคะ หรือที่ตำหนักท่านอ๋องมีคนกระเพาะอาหารไม่ค่อยดีอยู่ ? ”

หมินอ๋องพยักดวงพักตร์ “เปิ่นหวาง…มีสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาคนหนึ่ง เพราะต้องไปทำสงครามอย่างกะทันหันและยุ่งกับงานจึงส่งผลต่อกระเพาะอาหารของเขา ช่วงหลายวันมานี้อาการกำเริบขึ้นอีก เขามีอาการเบื่ออาหาร เปิ่นหวางไม่อยากเห็นเขาต้องทรมานเพราะโรคภัย จึงมาเพื่อขอสูตรฟื้นฟูสุขภาพจากกู่เหนียงโดยเฉพาะ”

นางพอรู้วิธีฟื้นฟูสุขภาพอยู่บ้างจริง ๆ ทว่าหากไม่มีส่วนผสมของน้ำพุวิญญาณ ผลลัพธ์ก็จะเกิดช้ามาก หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดแล้วพูดว่า “วัตถุดิบที่ใช้ทำขนมซานเย่าฝูหลิงที่ซื้อมาเมื่อวานยังพอเหลืออยู่บ้าง อีกประเดี๋ยวหม่อมฉันจะทำขนมซานเย่าฝูหลิงสักเตา หากหมินอ๋องเชื่อในตัวหม่อมฉันก็นำกลับไปให้สหายรักของพระองค์ลองชิม…หม่อมฉันยังทำชาผลไม้ที่ช่วยบำรุงกระเพาะได้ด้วย ถ้าอย่างไร…พรุ่งนี้จะทำให้พระองค์สักหนึ่งกาก็แล้วกันเพคะ”

“เยี่ยมไปเลย ! ” หมินอ๋องย่อวรกายลงประทับเก้าอี้ตัวน้อยในลานบ้านอย่างสง่างาม…ในที่สุดก็จะได้ชิมขนมที่ ‘บุตรสาว’ ทำโดยไม่ต้องแอบขโมยอีกแล้ว !

ในเวลานี้ หยาเอ๋อร์เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกะตร้าใส่ผัก เมื่อเห็นชายแปลกหน้าสองคน นางก็หยุดยืนตกตะลึงก่อนแล้วจึงจะหันไปมองทางหลินเว่ยเว่ย “ในบ้านมีแขกมาหรือ ? ถ้าเช่นนั้นจะให้ข้าน้อยออกไปซื้อของเพิ่มอีกไหมเจ้าคะ ? ”

หลินเว่ยเว่ยเงยหน้ามองท้องฟ้า หากรอทำขนมซานเย่าฝูหลิงจนเสร็จ ก็คงเลยเวลามื้อเที่ยงแน่นอน อย่างไรก็จะให้หมินอ๋องรอทั้งที่ยังท้องว่างไม่ได้หรอก ?

“ทูลหมินอ๋อง ถ้าอย่างไรมื้อเที่ยงนี้พระองค์อยู่เสวยอาหารกลางวันที่นี่ดีหรือไม่เพคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยก็แค่ถามตามมารยาทเท่านั้น เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ ไฉนเลยจะมาเสวยอาหารธรรดาของพวกนางได้ ?

ช่างผิดจากความคาดหมาย เพราะเมื่อหมินอ๋องได้ยินแบบนั้นก็ดีพระทัยขึ้นมาทันที วันนี้ช่างเป็นวันดี ไม่เพียงได้ชิมขนมที่บุตรสาวทำ แต่ยังได้ชิมอาหารฝีมือนางด้วย พระองค์อดกลั้นความดีพระทัยเอาไว้ จากนั้นก็แกล้งพยักดวงพักตร์เบา ๆ “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเจ้าแล้ว ! ”

ฮ่า ฮ่า! คนสวมหน้ากากเจอกับคนหน้าด้าน ! หลินเว่ยเว่ยเข้าไปตรวจดูวัตถุดิบในห้องครัว เมื่อรวมกับซี่โครงและหมูสามชั้นที่หยาเอ๋อร์ซื้อกลับมาแล้วก็น่าจะทำอาหารที่ไม่แย่มากได้หนึ่งโต๊ะ

สองตายายเจ้าของบ้านรับประทานอาหารกันแค่ 2 มื้อต่อหนึ่งวัน มื้อเที่ยงยายเจิ้งไม่ต้องใช้เตา หลินเว่ยเว่ยจึงขอยืมครัวหลัก ครัวทั้งสองหลังถูกใช้งานพร้อมกัน หลังหนึ่งใช้ทำขนมซานเย่าฝูหลิง ส่วนอีกหลังไว้ทำอาหาร

ตัวขนมซานเย่าฝูหลิง นางทำออกมาตามสัดส่วนที่แน่นอน เมื่อรวมเข้ากับน้ำพุวิญญาณแล้ว นางก็ยกงานที่เหลือให้หยาเอ๋อร์ ส่วนเรื่องสร้างเตาอบก็ทิ้งไว้ก่อน ซัวถัวเป็นคนก่อไฟ หลินจื่อเหยียนล้างผัก เจียงโม่หานหั่นผัก หลินเว่ยเว่ยจับตะหลิว ทุกคนร่วมมือทำงาน ผ่านไปไม่ถึง 1 ชั่วยาม อาหารเที่ยงอันอุดมสมบูรณ์ก็ปรากฎขึ้นบนโต๊ะ

หลินเว่ยเว่ยยังไม่ทันได้ซื้อโต๊ะกินข้าวมา จึงวางอาหารไว้บนเขียงและยืมเก้าอี้มาจากยายเจิ้งอีกสองตัว

“มีข้อจำกัดด้านสถานที่ ต้องให้หมินอ๋องมาเห็นเรื่องน่าอายแล้วเพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิด จากนั้นก็หยิบสุราองุ่นออกมาจากห้วงมิติน้ำพุวิญญาณหนึ่งไหแล้วรินใส่ถ้วยเนื้อหยาบ

เจียงโม่หานเงยหน้ามองนาง ตั้งแต่เขตเริ่นอันจนถึงเมืองหลวง ระยะทางไกลขนาดนี้ เด็กน้อยกลับซ่อนสุราองุ่นไว้ด้วยหนึ่งไห…ไม่รู้จะตำหนินางอย่างไรจริง ๆ

หมินอ๋องยกถ้วยเนื้อหยาบขึ้นดื่มอึกใหญ่ “สุราดี ! สุราองุ่นนี้กู่เหนียงได้มาจากที่ใดหรือ ? ”

“ใช้องุ่นป่ามาหมัก เป็นของที่บ้านทำเองเพคะ” หลินเว่ยเว่ยยกหมูตุ๋นน้ำแดงที่เป็นอาหารจานสุดท้ายเข้ามา “เป็นอาหารที่กินกันตามปกติ หมินอ๋องอย่าได้รังเกียจเลยเพคะ”

หมินอ๋องทอดพระเนตรหมูตุ๋นน้ำแดงที่เปล่งประกายแวววาวบนโต๊ะ ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานเงาสวย ปลากระพงนึ่งเนื้อนุ่ม แกงหมูสามชั้นรสเผ็ดหอม…แค่อาหารสี่จานนี้ก็พอจะทำให้ผู้คนน้ำลายไหลได้แล้ว

“ฝีมือดีขนาดนี้ใครจะรังเกียจ ? หลินกู่เหนียงเลิกทำอย่างอื่นเถิด มานั่งกินด้วยกันสิ ! ” หมินอ๋องไม่ได้คิดว่าสตรีร่วมโต๊ะด้วยจะมีสิ่งใดไม่เหมาะสม เพราะที่ตำหนักหมินอ๋องก็ไม่ได้มีกฎบ้าบอพวกนั้น

เป็นธรรมดาที่หลินเว่ยเว่ยจะนั่งข้างเจียงโม่หาน นางคีบซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานให้เขาหนึ่งชิ้น ระหว่างเดินทางมีข้อจำกัดมากมาย ช่วงเวลาเดือนกว่าที่ผ่านมานี้จึงเพิ่งได้ทำอาหารจานโปรดให้บัณฑิตน้อยกิน มาเถิด กินให้มากหน่อย !

หมินอ๋องปวดหทัยจนรู้สึกว่ารสเปรี้ยวที่สัมผัสจากสุราองุ่นเมื่อครู่เป็นน้ำส้มสายชูแทน มันเปรี้ยวจนพระทนต์แทบหลุด ! คนเป็นบิดายังไม่ทันได้เพลิดเพลินกับการที่ ‘บุตรสาว’ คีบอาหารให้ แต่เจ้าหน้าขาวกลับได้ไปก่อน…ทหาร ! นำดาบยักษ์ของเปิ่นหวางเข้ามา !

[i]
1 สถาบันกั๋วจื่อเจียน เป็นสถาบันอุดมศึกษาระดับสูงของจีนในยุคโบราณ สร้างขึ้นเพื่อช่วยสนับสนุนการสอบเป็นขุนนางของราชสำนักโดยเฉพาะ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *