หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง 287 กองทหารชาวฉือหลี่โกว

Now you are reading หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง Chapter 287 กองทหารชาวฉือหลี่โกว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 287 กองทหารชาวฉือหลี่โกว

“ไม่หรอก ! พวกเราไม่ได้คลุมฟางแล้วก็ทาปูนขาวไว้อีกชั้นแล้วหรือ ? ไม่ต้องห่วง ต้นโอ๊กไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด ! ” หลินเว่ยเว่ยพลิกตัว ดวงตาค่อย ๆ ปิดลงแล้วลมหายใจก็เปลี่ยนเป็นสม่ำเสมออย่างรวดเร็ว

เช้าวันต่อมา เจ้าหนูน้อยชี้หน้าพี่สาวคนโตแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น “แพนด้า ! พี่ใหญ่ รอบดวงตาของท่านดำมาก ! ”

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินไม่สนใจเขา หลังใส่เสื้อกันหนาวเสร็จแล้วนางก็ลงจากเตียงและผลักประตูออกวิ่งไปยังเนินเขาหลังบ้านทั้งที่ยังไม่หวีผมหรือล้างหน้าด้วยซ้ำ สายลมอันหนาวเหน็บทำให้นางตัวสั่นสะท้าน…

พอมาถึงเนินเขา ต้นโอ๊กยังคงตั้งตระหง่านท่ามกลางลมหนาว แม้ใบไม้ที่ต้องลมมาทั้งคืนจะร่วงลงพื้น แต่กิ่งก็ไม่ได้เหี่ยวเพราะความเย็น ต้นโอ๊กทนหนาวได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? เมื่อก่อนนางไม่ค่อยสนใจมันสักเท่าไร แต่บัดนี้นางหวังเพียงว่าต้นโอ๊กจะรอดไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า…

ตอนที่หลิวว่ายจื่อมารายงานผลการดำเนินงาน เขานำข่าวที่ไม่ค่อยดีมาด้วย “ได้ยินว่า ในเมืองจงโจวของเรามีโจรกลุ่มหนึ่งบุกปล้นข้าวสารของตระกูลหงไปหมด โจรกลุ่มนี้โหดเหี้ยมอำมหิต ไม่เพียงปล้นเท่านั้น แต่ชีวิตคนก็ไม่ปล่อยไว้ด้วย มันสังหารทุกคน ! หลานสาว สินค้าของบ้านเจ้านั้นทางที่ดีต้องเพิ่มคนไปส่งอีกสองสามคนน่าจะดีกว่า ! ”

แม้จะหาคนเพิ่มอีกสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไร้วรยุทธ หากเผชิญหน้ากับโจรกลุ่มนั้นจริง ๆ ก็ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ ? พี่ใหญ่หลีชิงพอมีวรยุทธอยู่บ้าง แต่เขายุ่งอยู่กับการหาหลักฐานเพื่อโค่นล้มศัตรู แถมยังต้องตามหาน้องสาวที่หายตัวไปอีก ทุกวันนี้นางแทบไม่เห็นเขาแม้แต่เงา…

เอ่ยถึงโจโฉ โจโฉก็มา ! ตกเย็นวันนั้นหลีชิงก็ฝ่าลมหนาวแล้วกระโดดข้ามกำแพงบ้านตระกูลหลินเข้ามาโดยไม่แม้แต่จะเคาะประตูบอกล่วงหน้า

“กินอันใดกันหรือ ? หอมมาก ! ” หลีชิงผลักประตูแล้วเดินเข้ามา เมื่อแขวนเสื้อคลุมไว้กับบานประตูแล้วในบ้านก็อบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ หัวใจที่เย็นชาและอ้างว้างของเขาจึงค่อย ๆ กลับมาอบอุ่นอีกครา

หลินเว่ยเว่ยที่กำลังใส่เนื้อลงหม้อก็กลอกตาใส่เขาทันที “เห็นประตูบ้านเราเป็นของตกแต่งหรือไร ? ระวังเถิด ข้าอาจทุบเจ้าเพราะเห็นเป็นโจรเข้าสักวัน ! ”

“สภาพอย่างเจ้าน่ะหรือ ? แม้แต่วิชาแมวสามขาของเจ้า ข้ายังเป็นคนสอนเลย ! ” หลีชิงไม่เห็นตนเองเป็นคนนอก เขาเดินไปหยิบถ้วยและตะเกียบจากห้องครัวแล้วก็เริ่มกินเนื้อในหม้อ

หลินเว่ยเว่ยใช้ตะเกียบเคาะมือเขา “เพิ่งใส่ลงไป ยังไม่สุก ! เจ้าชำนาญการใช้มีดก็ไปแล่เนื้อแพะข้างนอกให้เป็นแผ่น แล่มาเยอะหน่อยเพราะจะไม่พอกิน ! ”

หลีชิงวางตะเกียบ “เพิ่งกลับมาถึงก็ใช้ข้าทันที มีผู้ใดทำกับแขกเช่นนี้บ้าง ? ”

“กฎของบ้านเราคือ…ไม่ทำงาน ไม่มีกิน ! ” หลินเว่ยเว่ยก้มหน้าใส่มันฝรั่ง ผักกาดขาว ถั่วงอกและเต้าหู้…ในเวลานี้ผักสดมีน้อยมาก ในมิติน้ำพุวิญญาณก็มีอยู่หรอก แต่มันเอาออกมายาก !

หลีชิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครเป็นผู้ตั้งกฎ ? ”

“ข้า ! เพิ่งตั้งเมื่อครู่ ! ” หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ !

หลีชิงไม่เชื่อว่านางจะทำใจใช้เจียงโม่หานลง จึงชี้ไปยังบัณฑิตหนุ่มที่กำลังทำน้ำจิ้มอยู่พลางถามว่า “แล้วเขาล่ะ ? เขาทำอันใด ? ”

“บัณฑิตน้อยช่วยข้าชิมรส แล้วปรับปรุงรสชาติของหม้อไฟ ! ” จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็คีบเนื้อที่ต้มสุกแล้วใส่ลงในถ้วยของเจียงโม่หาน

สายตาของหลีชิงมาหยุดอยู่ที่ตัวเผิงหยูเหยี่ยนซึ่งรีบยกมือทั้งสองข้างแล้วกล่าวอย่างฉับไว “ข้าช่วยล้างผัก เผาถ่าน…”

ส่วนเจ้าหนูน้อยดึงมือเสี่ยวร่างแล้วยกขึ้นเช่นกัน “แพะตัวนี้โดนพวกเราเลี้ยงจนโต ! เราลงแรงเยอะที่สุดแล้ว ! ”

ขณะที่หลินจื่อเหยียนกำลังจะเอ่ยต่อ หลีชิงก็ขัดจังหวะเสียก่อน “ได้ ได้ ! ข้าไปแล่ก็จบเรื่องใช่หรือไม่ ? ”

เนื้อแพะข้างนอกแข็งกำลังดี มีดหั่นผักในมือหลีชิงพลิ้วไหวไปมา ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ทว่าเขาก็แล่เนื้อแพะได้จานใหญ่ ไม่อยากจะโอ้อวดว่าเนื้อแพะที่เขาแล่เหมือนใช้เครื่องแล่ออกมาไม่มีผิด ความหนาบางกำลังพอดี

เจ้าหนูน้อยและเสี่ยวร่างกินเผ็ดไม่ได้ หลินเว่ยเว่ยจึงเตรียมน้ำซุปกระดูกให้พวกเขา ด้านในยังใส่เห็ดลงไปด้วย เมื่อนำเนื้อแพะแผ่นบางลงไปลวกแล้วก็นำออกมาจิ้มกับน้ำจิ้มน้ำมันงากระเทียมสับ ทำให้อร่อยจนแทบจะกลืนลิ้นตัวเองลงไปด้วย

ส่วนพวกผู้ใหญ่กินเผ็ดกันได้ ยิ่งกินก็ยิ่งติดใจ ครอบครัวหนึ่งกินเนื้อแพะไปเกือบสิบชั่ง ผักก็กินไปไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเว่ยเว่ยลองทำหม้อไฟในบ้าน ขณะมองท่าทางอิ่มหนำสำราญของทุกคนแล้ว นางก็รู้ว่าตนประสบความสำเร็จ ในฤดูหนาวเช่นนี้เหมาะแก่การที่ทุกคนจะมาล้อมวงกินหม้อไฟร่วมกันที่สุด !

เมื่อหลินเว่ยเว่ยทำน้ำแกงช่วยย่อยให้คนละชามแล้ว นางก็ทำตัวเหมือนแมวขี้เกียจที่นอนพิงบนเก้าอี้พลางถามหลีชิงว่า “เหตุใดเจ้ากลับมาเวลานี้ ? เรื่องน้องสาวมีข่าวคราวบ้างหรือไม่ ? ”

แววตาของหลีชิงไร้ประกายทันใด เขาส่ายศีรษะเบา ๆ “ไม่มี ! หลังสงครามยาวนานติดต่อกันหลายปีนั้น การจะหาญาติที่หายตัวไปก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร”

“เจ้าต้องหาเจอแน่นอน ! ข้ามีลางสังหรณ์ว่าประเดี๋ยวเจ้ากับน้องสาวก็ได้พบกันแล้ว ! ” เมื่อพูดปลอบแล้วหลินเว่ยเว่ยก็ยังเอ่ยว่า “คราวนี้…เจ้าคงไม่ได้กลับมาเพื่อกินหม้อไฟหรอกกระมัง ? ”

หลีชิงยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “ตอนที่ข้าสืบเรื่องศัตรูก็พบโจรกลุ่มหนึ่งเข้า พวกมันทั้งเผา ปล้นและฆ่า มีพ่อค้าจำนวนไม่น้อยต้องจบชีวิตเพราะพวกมัน ข้าจึงกลับมาดูสถานการณ์ทางฝั่งนี้ ! ”

“ถ้าเช่นนั้น…เจ้าจะรีบออกไปที่ไหนอีกหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา

หลีชิงยิ้มอย่างขมขื่น “เรื่องของข้าไม่ได้จัดการในเวลาชั่วข้ามคืนได้หรอก รอมาตั้งหลายปีเช่นนี้แล้ว ศัตรูเป็นอย่างไรข้าย่อมรู้ดี ตอนนี้รอแค่โอกาสเท่านั้น ส่วนเบาะแสของน้องสาวก็ไม่มีเพิ่มเติม เหมือนแมลงวันหัวขาดที่บินเร่ร่อนไปมา ไม่มีประโยชน์อันใด ข้าจึงได้แต่รออยู่ที่นี่จนหมดฤดูหนาว…”

“ถ้าเช่นนั้น…เจ้าช่วยข้าฝึกกองทหารชาวบ้านสักกลุ่มได้หรือไม่ ? สอนแค่ศิลปะการต่อสู้โดยพื้นฐานเพื่อฝึกฝนร่างกายของพวกเขา ถ้าพบโจรหรือพวกก่อเหตุจลาจลขึ้นมาก็จะไม่โดนทำร้ายโดยง่าย ! ” ภัยแล้งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ มีผู้ก่อเหตุจลาจลปรากฏตัวขึ้นในหลายพื้นที่ ความมั่งคั่งของหมู่บ้านฉือหลี่โกวจะนำพาให้ผู้อื่นอิจฉา…คนที่มองการณ์ไกลจะเป็นกังวลในทันที ดังนั้นควรเตรียมตัวให้พร้อม !

หลีชิงคิดว่าถึงอย่างไรก็ว่างอยู่แล้วจึงตอบตกลงโดยง่ายดาย “กองทหารชาวบ้านอย่างนั้นหรือ ? คำเรียกนี้น่าสนใจมากทีเดียว ! แต่ไม่รู้ว่าทางการจะอนุญาตหรือไม่ ? ”

“พวกเรายังไม่ใช่ทหารประจำการ พวกครอบครัวใหญ่ในเมืองยังเลี้ยงคนคุ้มกันได้ ส่วนพวกเราแค่ป้องกันตัวเอง ไม่ได้ก่อเรื่องที่ไหน แล้วจะมีใครไม่อนุญาต ? ” หลินเว่ยเว่ยไม่รู้ข้อกฎหมายในสมัยโบราณจึงหันไปมองบัณฑิตน้อย

“ถ้าจำนวนคนไม่เกินกว่าที่กำหนดก็สามารถทำได้ ! ” เจียงโม่หานคิดว่าทำได้เพราะหลังจากชาวบ้านฉือหลี่โกวฝึกเสร็จก็จะสามารถป้องกันตัวเองได้ แล้วเด็กน้อยก็ไม่จำเป็นต้องพุ่งออกไปลุยก่อนเสมอ จับปลามาให้หรือจะสู้สอนวิธีจับปลา เขาจึงยกมือแสดงความเห็นด้วย

วันรุ่งขึ้น หลินเว่ยเว่ยก็ไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านซึ่งเรียกรวมพลคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านเพื่อถามความเห็นจากพวกเขา แน่นอนว่าการเรียนศิลปะการต่อสู้ย่อมเป็นเรื่องดี เรื่องทำให้ร่างกายแข็งแรงนั้นยังไม่ต้องกล่าวถึงหรอก เอาแค่หากพบเจอคนชั่วก็จะไม่โดนสังหารโดยง่ายแล้ว

ในวันต่อมาคนหนุ่มสาวเกือบทั้งหมู่บ้านก็มารวมตัวกัน ณ ลานตากข้าว ในจำนวนคนทั้งหมดยังมีเด็กอายุประมาณ 13-14 ปีมาเข้าร่วมด้วยไม่น้อย !

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *