หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง 451 ฮ่าฮ่า พวกเขาเรียกข้าว่านายหญิง

Now you are reading หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง Chapter 451 ฮ่าฮ่า พวกเขาเรียกข้าว่านายหญิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 451 ฮ่าฮ่า พวกเขาเรียกข้าว่านายหญิง

คนอื่นพยักหน้าและขานรับทันที ในช่วงเวลาที่ยากลำบากแล้วได้มาเจอนายจ้างที่ใจกว้างขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นวาสนา งานดีขนาดนี้ถ้าทำหลุดมือไปก็คงน่าเสียดายมาก ยิ่งไปกว่านั้นนายหญิงก็พูดแล้วว่าหากทำงานดียังมีรางวัลให้ด้วย ! ทั้ง 5 ครอบครัวจึงบอกกับตัวเองว่าจะทำให้ดีที่สุด ทำให้ฤดูเก็บเกี่ยวภาคฤดูใบไม้ร่วงได้ผลผลิตดีที่สุดเพื่อจะได้รับรางวัลจากนายจ้าง

หวังเถี่ยฉุยยังกังวลไม่หาย “ท่านพ่อขอรับ พืชไร่เหล่านี้ปลูกช้ายิ่งกว่าปีก่อนตั้งหนึ่งเดือนกว่า ฤดูหนาวของภาคเหนือมาเยือนเร็ว หากลมหนาวมาเยือนก็จะไม่มีพืชผลให้เก็บเกี่ยว แบบนั้นก็ไม่เท่ากับพวกเราเสียแรงเปล่าหรือขอรับ ! ”

เขาแอบบ่นบิดาในใจ ‘ท่านเห็นใจนายจ้างจึงเลือกรับค่าจ้างแบบที่สอง แต่ก็ควรรอจนถึงปีหน้าก่อนสิ ปีนี้สภาพอากาศแห้งแล้งตั้งแต่ต้นปี ต่อจากนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นยังปลูกช้าอีกตั้งเดือนกว่า’…โชคดีที่บ้านตนคนเยอะ ตอนพลิกหน้าดิน หว่านเมล็ดจึงพอจะได้เงินมาบ้าง ไม่อย่างนั้น…

เฮ้อ ! ถ้าช่วงสิ้นปีมาถึงแล้วบ้านอื่นได้เงินกันหลายตำลึง แต่มีเพียงบ้านพวกตนที่มีแต่ความว่างเปล่า คงกลายเป็นเรื่องตลกร้ายแน่นอน !

แต่ลุงหวังพูดว่า “ในเมื่อนายท่านและนายหญิงเลือกปลูกในเวลานี้ พวกเขาก็ต้องมีเหตุผลแน่นอน ลองเปลี่ยนเป็นเจ้านะ หากเจ้ารู้ทั้งรู้ว่าจะเก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้แล้วเจ้ายังจะเอาเมล็ดพันธุ์มาหว่านเล่นถึงร้อยหมู่อีกหรือเปล่า ? นายท่านเป็นถึงบัณฑิตซิ่วไฉแล้ว จะคิดไม่ได้แบบเจ้าหรือไร ? ”

“บัณฑิตซิ่วไฉศึกษาตำราเก่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าทำการเกษตรเก่งนะขอรับ” หวังเถี่ยฉุยบ่นเบา ๆ ทว่า ขณะมองต้นกล้าข้าวโพดที่เขียวขจีในไร่แล้วก็รู้สึกประหลาดใจพอสมควร “ท่านพ่อ เมื่อก่อนท่านเคยปลูกข้าวโพดหรือเปล่า ? สภาพดินแห้งแตกขนาดนี้ แม้แต่หญ้าก็ยังไม่ขึ้น แต่เมล็ดข้าวโพดกลับงอกเงยแถมยังเติบโตได้ดีด้วย…”

ลุงหวังส่ายหน้า “ตอนข้ายังเด็กก็มีคนในหมู่บ้านเคยปลูก แต่ได้ผลผลิตน้อย แถมราคารับซื้อก็ยังถูก ต่อมาจึงมีคนปลูกน้อยลง…”

พอหวังเถี่ยฉุยได้ยินแบบนั้นก็ทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ทันที “ท่านพ่อขอรับ พอท่านพูดแบบนี้แล้วข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าเราคงไม่ได้อะไรในปีนี้กันแล้ว…”

ลุงหวังตบบ่าของบุตรชาย “เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวนายท่านกับนายหญิง ! ถ้าไม่ได้อะไรจริง ๆ เราก็หาเงินได้พอสมควรแล้วไม่ใช่หรือ ? ประหยัดหน่อยก็พอจะผ่านไปถึงปีหน้าได้แล้ว ! ”

“ก็ต้องเป็นแบบนั้นสิขอรับ…” หวังเถี่ยฉุยถอนหายใจเฮือกใหญ่ หวังว่าบ้านนายจ้างจะใจดี สงสารพวกตนที่ทำงานอย่างเสียเปล่าในปีนี้ แล้วอนุญาตให้เลือกวิธีรับเงินแบบใหม่ในปีหน้า เฮ้อ ไม่รู้ว่าท่านพ่อคิดอะไรอยู่จึงได้เอาทุกคนในครอบครัวมาเป็นตัวตลกให้คนอื่นหัวเราะเยาะ !

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” จู่ ๆ หลินเว่ยเว่ยที่นั่งอยู่ในรถม้าก็หัวเราะขึ้นมา

เจียงโม่หานเหลือบมองนาง “คิดอะไรอยู่ ? เหตุใดจึงหัวเราะชั่วร้ายขนาดนั้น ? ”

หลินเว่ยเว่ยขยับไปนั่งข้างเขาแล้วทำให้ดวงตาอันกลมโตกลายเป็นเสี้ยวพระจันทร์ “เมื่อครู่เจ้าได้ยินพวกลุงหวังเรียกพวกเราว่าอะไร ? ”

“นายท่าน” แต่มันก็ปกติไม่ใช่หรือ ?

ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าหลินเว่ยเว่ยก็ดูเด่นชัดขึ้นกว่าเดิมทันที “พวกเขาเรียกเจ้าว่านายท่าน เรียกข้าว่านายหญิง ฮ่าฮ่า…”

“แค่นี้ก็ดีใจแล้วหรือ ? ” เจียงโม่หานอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นผมนุ่มมือของนาง แค่คำเรียกขานก็ทำให้นางดีใจจนมีสภาพแบบนี้แล้ว ถ้าต่อไปแต่งงานกับเขาก็คงจะได้ยิ้มไม่หุบทุกวันเพราะชีวิตจริงดีกว่าฝันหวานทุกวันหรอกหรือ ?

“คิกคิกคิก…นอกจากพวกอาว่ายจื่อแล้วก็เพิ่งโดนคนนอกเรียกแบบนี้เป็นครั้งแรก ให้ข้าได้เพลิดเพลินกับมันอีกหน่อยเถิด” ท่าทางของหลินเว่ยเว่ยอธิบายคำว่า ‘ยิ้มหน้าบาน’ ได้อย่างสมบูรณ์

“เด็กโง่…” เจียงโม่หานไม่ทันสังเกตว่าน้ำเสียงและท่าทางของตนก็เต็มไปด้วยความเอาใจนางอย่างอ่อนโยน เด็กคนนี้ก็จริง ๆ เลย ไม่ว่าคิดอะไรมักเขียนไว้บนใบหน้าหมด น่ารักเหมือนเด็กไร้เดียงสา !

หลินเว่ยเว่ยยื่นศีรษะออกไป ขณะมองละอองฝนนอกหน้าต่างรถม้า นางก็เหมือนจะคุยกับเขา แต่ก็เหมือนบ่นพึมพำกับตัวเอง “หลังหมดฝนห่านี้แล้ว ภัยแล้งในแดนเหนือก็น่าจะถูกบรรเทาไปด้วยกระมัง ? ”

“อืม ต่อไปจะกลายเป็นฤดูกาลแห่งสายฝนและภัยแล้งที่ดำเนินติดต่อกันถึง 2 ปีก็จะสิ้นสุด ! ” เจียงโม่หานเลิกม่านหน้าต่างเพื่อมองไปด้านนอก ภายใต้สายฝนโปรยปรายมีชาวบ้านจำนวนมากกำลังรีบหว่านเมล็ดพันธุ์ ในชาติก่อนชาวบ้านละแวกเขตเริ่นอันเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วน หลังภัยแล้งจบลงแล้ว ที่ดินส่วนใหญ่กลายเป็นพื้นที่รกร้างเพราะขาดเจ้าของดูแล ไฉนเลยจะได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่มีชีวิตชีวาแบบนี้ ?

แค่โชคชะตาของคนผู้เดียวเปลี่ยนไป พื้นที่ทั่วทั้งแดนเหนือก็พลอยได้รับผลประโยชน์ตามไปด้วย…เจียงโม่หานอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเด็กสาวผู้เปี่ยมชีวิตชีวาในรถม้า…หรือเด็กคนนี้จะเป็นเหมือนอย่างที่นางพูดจริง ๆ คือเป็นเทพธิดาลงมาจุติเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย ? แต่แล้วเขาก็ต้องส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม จะเป็นไปได้อย่างไร ! ความคิดเพ้อเจ้อนี้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ด้วยหรือ ?

หลินเว่ยเว่ยย้อนถาม “บัณฑิตน้อย เจ้าไม่คิดว่าน้ำเสียงของตนฟังแล้วมั่นใจเกินไปหน่อยหรือเปล่า ? บอกข้ามาตามตรงเถิด เจ้ามีความสามารถหยั่งรู้อนาคตใช่หรือเปล่า ? หรือ…เจ้าจะกลับชาติมาเกิดใหม่ ? ”

แววตาของเจียงโม่หานสั่นไหวเล็กน้อย เขามองเข้าไปในดวงตาของนาง จากนั้นมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยและตอบกลับเบาๆ ว่า “เจ้านี่นะ ในสมองมีแต่ความคิดประหลาด บนโลกใบนี้มีคนหยั่งรู้อนาคตที่ไหนกัน ? ใครต่างก็พูดว่าคนตายไปแล้วก็เหมือนตะเกียงดับแสง หากยังกลับชาติมาเกิดใหม่ได้อีก คนเช่นนั้นจะไม่พลอยสร้างความโกลาหลหรอกหรือ ? ”

“ไม่แน่หรอก ! พูดกันว่าศิลปะมาจากประสบการณ์ชีวิต ในนิทานพื้นบ้านบางเล่มก็ไม่ได้เขียนว่ามีผู้ที่เคยไปเยือนยมโลกแล้วฟื้นคืนจากความตายหรอกหรือ ? แล้วก็…เรื่องยืมซากศพคืนชีพ…อาจมีเรื่องแบบนี้จริง ๆ ก็ได้ ! ”

หลินเว่ยเว่ยพูดในใจ ‘ยกตัวอย่างเช่นข้าก็แล้วกัน ทะลุมิติมาจากยุคอื่นแล้วเข้าร่างเด็กหญิงปัญญาอ่อนคนนี้ ถ้าไม่ได้ประสบด้วยตัวเอง แม้จะตีข้าให้ตายก็ไม่มีทางเชื่อเรื่องประหลาดพรรค์นี้เด็ดขาด ทว่ามันก็เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ! ’

เจียงโม่หานเหลือบมองนาง ‘เด็กโง่ เจ้าจะเปิดเผยตัวตนออกมาจนหมดหรือไร ? ที่จริงข้ารอคอยวันที่เจ้าจะมาเล่าให้ฟัง เพราะนั่นหมายความว่าเจ้าเชื่อมั่นข้าอย่างหมดใจ’…เขาเชื่อว่าวันนั้นจะต้องมาถึงแน่นอน !

พอทั้งสองคนกลับถึงฉือหลี่โกวแล้วก็พบว่ามีรถม้าคันหนึ่งมาจอดอยู่หน้าบ้านของตน เมื่อเข้ามาในบ้านก็เห็นคนขับรถม้าสกุลเผิงและมีเผิงหยูเหยี่ยนพูดอยู่ที่ประตูบ้านหลังข้าง ๆ…เฮอะ เจ้าหนอนหนังสือคนนี้ พอมาถึงแล้วก็ไปหาคู่หมั้นทันที !

ผ่านไปไม่นาน ในที่สุดเผิงหยูเหยี่ยนก็ออกมาจากบ้านหลังข้าง ๆ อย่างอาลัยอาวรณ์ พอเห็นหน้าเจียงโม่หานแล้ว เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเขินอาย “ท่านแม่ให้ข้ามาศึกษาตำราอยู่กับศิษย์น้องเจียงต่อไป…ข้าอยากลองเข้าร่วมการสอบระดับเซียงซื่อดูสักครั้ง”

ทำอย่างไรได้ ใครใช้ให้คู่หมั้นของตนเก่งเกินไป ? นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือนก็สร้างโรงทอผ้าขึ้นมาแล้ว ว่าที่แม่ยายก็พูดแล้วว่าโรงทอผ้านี้เป็นสินเดิมของบุตรสาวคนโต ถ้าเขายังไม่ขยันขึ้นอีก ต่อไปก็ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นภรรยามาหาเลี้ยงเขาแทนหรือ ?

แม้จะรู้ว่าโอกาสแสนเลือนราง แต่เขาก็อยากลองดูสักตั้ง หากสอบได้จู่เหรินกลับมา เขาก็สามารถเปิดสำนักศึกษาของตน หรือไม่ก็ไปเป็นอาจารย์สอนที่สำนักศึกษาในตัวเมืองได้ อย่างน้อยก็มีความสามารถหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว พอเป็นเช่นนี้แล้ว ภรรยาของเขาก็จะไม่ต้องเหนื่อยจนเกินไป…

หลังจากเผิงหยูเหยี่ยนบอกจุดประสงค์ในการมาเยือนของตนแล้ว หลินจื่อเหยียนก็ทำสีหน้าไม่อยากเชื่อทันที “ว่าอย่างไรนะ ? พี่เขยใหญ่จะเข้าร่วมการสอบฤดูใบไม้ร่วง ? ท่านอย่าลืมว่าอันดับในการสอบเยวี่ยนซื่อของท่านอยู่อันดับสุดท้าย…”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *