หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง 347 พี่รอง ท่านช่วยเก็บอาการหน่อย

Now you are reading หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง Chapter 347 พี่รอง ท่านช่วยเก็บอาการหน่อย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 347 พี่รอง ท่านช่วยเก็บอาการหน่อย

หยวนเจี๋ยยังกินไปอีกหลายคำแล้วจึงยกส่วนที่เหลือเป็นรางวัลให้ฉีเยี่ยนที่ยืนน้ำลายสออยู่ด้านข้าง ฉีเยี่ยนรีบกลืนขนมที่เหลือลงท้อง นอกจากคำว่า “อร่อย” แล้วก็ไม่มีคำชมอื่นหลุดออกจากปากเขาอีก หยวนเจี๋ยด่าในใจว่า ‘วัวเคี้ยวดอกโบตั๋น1!’

ฉีเยี่ยนปาดกินครีมที่ติดอยู่บนกล่องจนเกลี้ยง ขณะมองท่าทางตะกละตะกลามของเขาแล้ว หยวนเจี๋ยก็โยนกระเป๋าเงินอันหนักอึ้งให้ “ไป ไปต่อแถวซื้อขนมมา ! ”

หลังเปิดหน้าต่างแล้วมองผู้คนที่ต่อแถวยาวเหยียดหน้าร้านขนมหวานหนิงจี้ หยวนเจี๋ยก็ตั้งตารอและอยากรู้อยากเห็นในรสชาติของขนมชนิดอื่นในร้าน เขายังตะโกนสั่งฉีเยี่ยนที่เพิ่งออกจากโรงเตี๊ยมว่า “ซื้อมาหลายอย่างหน่อย อย่าเสียดายเงิน ! ”

พรุ่งนี้เดินทางไปฉือหลี่โกวก็เก็บขนมส่วนหนึ่งไว้กินระหว่างทาง อีกส่วนก็เอาไว้เป็นของขวัญสำหรับผู้ที่เคยช่วยชีวิตคุณชายรองลู่และมอบให้บัณฑิตเจียงด้วย ! หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ท่านพ่อคิดไว้ การเดินทางในคราวนี้ต้องราบรื่น…

ฉีเยี่ยนต่อแถวจนฟ้ามืด หน้าชาปากสั่นและต้องเข้ามาผิงไฟพักหนึ่งถึงจะดีขึ้น หลังดื่มชาร้อนไปหนึ่งถ้วยเต็ม ๆ ร่างกายก็เริ่มอบอุ่นขึ้น เขาจึงพูดด้วยความดีอกดีใจว่า “คุณชายขอรับ ท่านเดาสิว่าเกิดอะไรขึ้น ? พอบ่าวต่อแถวไปถึงหน้าร้านแล้วพนักงานก็บอกว่าร้านปิด บ่าวบอกว่าเราเดินทางมาไกลจากเมืองหลวง พรุ่งนี้ต้องออกจากเมืองจงโจวแล้วด้วย เมื่อต่อรองกันไปมาสักพัก พนักงานถึงจะยอมขายขนมให้บ่าวขอรับ”

“ในเมื่อร้านปิดแล้ว ขนมที่มีก็คงเหลือไม่มาก…” หยวนเจี๋ยอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้

ฉีเยี่ยนส่ายหน้า “ไม่เลยขอรับ ! แม้ว่าร้านจะปิดแล้ว ครัวด้านหลังก็ยังทำงานกันอยู่ พวกเขาบอกว่า…กำลังเตรียมสินค้าสำหรับวันพรุ่งนี้ ! บ่าวเลือกจนตาแทบลาย ! เพราะบ่าวซื้อเป็นจำนวนมาก พนักงานในร้านจึงช่วยยกมาถึงหน้าโรงเตี๊ยม บริการดีสุด ๆ ไปเลยขอรับ ! ”

“คุณชายขอรับ บ่าวยังซื้อครบ 50 ตำลึง พวกเขาจึงมอบเค้กงาม ๆ หนึ่งก้อนให้เราด้วย มันงดงามยิ่งกว่าเค้กชิ้นสี่เหลี่ยมเมื่อครู่อีกขอรับ ! เสมือนภาพวาดไม่ผิดเพี้ยนขอรับ ! ” ฉีเยี่ยนทำสีหน้าเปล่งประกายแล้วค่อย ๆ แกะกล่องขนาด 6 ชุ่นออก

บนหน้าเค้กได้รับการตกแต่งอย่างประณีต ครีมเปรียบเสมือนหิมะสีขาวบริสุทธิ์ กิ่งดอกเหมยสีแดงยื่นจากขอบด้านข้างของหน้าเค้กไปจนถึงตรงกลาง มันกำลังผลิบานบนหิมะอย่างโดดเด่น ใต้กิ่งเหมยเต็มไปด้วยลูกท้อเชื่อมสีเหลืองอำพัน หลานเหมย แอปเปิลปูและผลไม้ชนิดอื่นวางเชื่อมต่อกันเป็นนกสี่เชวี่ย2 ราวกับมันสามารถบินสู่ฟากฟ้าได้จริง หิมะขาว ดอกเหมยแดง นกสี่เชวี่ย…กลายเป็นภาพวาดแสนสดใส…ใครจะคิดว่าภาพวาดที่งดงามเช่นนี้แท้จริงเป็นขนม ?

เมื่อเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นหอมอันเย้ายวนลอยมาแตะจมูก ทำให้เขานึกถึงเค้กที่เพิ่งกินไปเมื่อตอนบ่ายขึ้นมา

ฉีเยี่ยนกลืนน้ำลายแล้วพูดกับคุณชายว่า “คุณชายขอรับ ขนมนี้พกไปไหนมาไหนไม่สะดวก ระหว่างอยู่บนรถม้าต้องเจอหลุมบ่อเป็นประจำ มันต้องเละแน่นอน ถ้าอย่างไร…คืนนี้…คุณชายกินมันให้หมด…”

หยวนเจี๋ยคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วตัดแบ่งเค้กออกเป็นชิ้นเล็ก “ไป เอาไปให้พ่อบ้านหยาง ให้เขาได้ชิมบ้าง ! ”

ต่อจากนั้นยังตัดเพิ่มอีกชิ้นเพื่อเก็บไว้ให้ฉีเยี่ยน ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งล้วนเข้าท้องเขาทั้งหมด พอกินขนมเยอะเกินไปก็แทบไม่ได้แตะต้องอาหารมื้อเย็นเลย ซาลาเปากับโจ๊กที่ซื้อมาในวันรุ่งขึ้นก็ไม่ค่อยอยากกิน ทว่าเขาเปลี่ยนไปกินบิสกิตที่ซื้อมาแทน

หืม ? ขนมนี้…มีรสชาติใกล้เคียงกับขนมที่คุณชายรองตระกูลลู่ให้มาเลย ! คุณชายรองยังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่าขนมนั้นเป็นของที่ผู้มีพระคุณทำให้เองกับมือ คงคุยโวเกินไปหน่อยกระมัง ? ไม่แน่ว่าผู้มีพระคุณคนนั้นอาจซื้อมาจากร้านตระกูลหนิงแล้วเอามาหลอกคุณชายรองลู่ก็ได้ !

หยวนเจี๋ยถือขนมที่ซื้อมาแล้วเดินลงจากชั้นสอง ตอนที่มายืนรอรถม้าอยู่ตรงหน้าร้านก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยของใครบางคนดังขึ้น พอหันไปมองก็เห็นกู่เหนียงทำเค้กเมื่อวานกำลังเดินลงจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมเช่นกัน

“ฮัดชิ่ว…” หลินเว่ยเว่ยลูบจมูก เมื่อวานทำเค้กหลายสิบชุดริมถนน โดนลมหนาวอยู่พักใหญ่ ตั้งแต่เมื่อคืนก็รู้สึกเจ็บคอ แม้จะดื่มน้ำขิงไปสองถ้วยก็ยังเป็นหวัดอยู่ดี !

ดวงตาของหนิงตงเซิ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “หากไม่ได้ทำเพื่อกิจกรรมวันเปิดร้านขนมหวานหนิงจี้ หลินกู่เหนียงก็คง…ถ้าอย่างไรท่านกลับช้าอีกสักวัน ให้ท่านหมอจ้าวแห่งโรงหมอซิงหลินมาตรวจอาการหน่อย จ่ายยาให้สักสองสามชุดดีหรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยสูดน้ำมูกแล้วหันไปโบกมือให้หนิงตงเซิ่ง “คุณชายหนิงไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ร้านขนมหวานนี้ก็ไม่ได้มีข้าเป็นหุ้นส่วนด้วยหรือ ? ข้าจะเอาแต่เงินปันผลแล้วไม่ออกแรงอะไรเลยไม่ได้ ข้าแค่โดนลมเล็กน้อย ไม่เป็นอะไรมาก เรื่องให้หมอมาตรวจอาการก็ไม่ต้องแล้ว ! ”

เมื่อรู้สึกว่ามีคนกำลังมองนางอยู่ หลินเว่ยเว่ยก็หันไปมอง นางจดจำอีกฝ่ายได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่มาร่วมเล่นสนุก นางจึงฉีกยิ้มและพยักหน้าให้เขา

ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น เจียงโม่หานก็เดินเข้ามาแยกนางที่กำลังเดินอยู่ข้างหนิงตงเซิ่งออก เขาเอาเสื้อคลุมในมือมาคลุมให้นางแล้วช่วยผูกเชือกเสื้อคลุมให้อีกด้วย

บัณฑิตหนุ่มทำสีหน้าเย็นชา ดวงตาไม่มองหนิงตงเซิ่งแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังโมโหอยู่ ภายใต้อุณหภูมิติดลบสิบองศาแต่กลับไปยืนตากลมอยู่หน้าร้านหลายชั่วยาม เพราะกลัวจะส่งผลต่อการทำขนมจึงใช้เสื้อคลุมไม่ได้…เด็กตัวแสบก็ไม่ยอมเชื่อฟัง แขนเพิ่งหายดีขึ้นหน่อย กระดูกยังไม่ทันเข้าที่ดีก็ฝืนจะมาทำขนมอะไรนี่แล้ว ถ้าไม่สบายขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร ?

“บัณฑิตน้อย เจ้าอย่าโกรธไปเลย ! อากาศในเดือนสิบสองก็หนาวมากพอแล้ว เจ้ายังมาแผ่รังสีเย็นเยือกอยู่ข้างข้าแบบนี้อีก มันจะไม่ยิ่งทำให้อาการของข้าแย่ลงหรือ ? เร็ว ยิ้มหน่อย ยิ้มให้อาการของข้าดีขึ้นหน่อย ! ” หลินเว่ยเว่ยทำหน้าประจบขณะพูดจาขี้เล่นตามประสาของตน

เจียงโม่หานยัดตัวนางเข้ารถม้า เดิมทีไม่คิดจะสนนางหรอก แต่สุดท้ายก็ทนเมินอีกฝ่ายไม่ได้ “เจ้าเห็นข้าเป็นยาครอบจักรวาลหรืออย่างไร แค่ยิ้มให้ แล้วเจ้าก็จะหายป่วยเลยหรือ ? ”

“หากข้าเป็นก้อนเมฆบนท้องฟ้า เจ้าก็จะเป็นสายลมคอยพัดให้ข้าลอยไปข้างหน้า หากข้าเป็นปลาในน้ำ เจ้าก็จะเป็นพืชน้ำ มีเจ้าคอยอยู่เคียงข้างทุกวัน หากข้าป่วย เจ้าก็จะเป็นยารักษา เจ้าคือพลังให้ข้าสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไป…” หลินเว่ยเว่ยพูดเสียงขึ้นจมูก แต่เสียงนั้นก็ดังจนออกมานอกตัวรถม้า

คำพูดแสดงถึงความรักอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ หยวนเจี๋ยถึงขั้นตัวแข็งทื่อทันที เขาสังเกตเห็นว่าตอนนี้ตนกำลังทำตัวโง่งมมาก…เขาไม่เคยคิดมาก่อนและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ยินใครคนหนึ่งพูดความในใจออกมาอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ มิหนำซ้ำใครคนนั้น…ยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งด้วย !

เมื่อวานยังคิดว่าเป็นแค่พี่น้องกันเลย คาดไม่ถึงว่า…จะเป็นคู่รักกัน ! หืม ? ด้านข้างของทั้งสองก็ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย แสดงว่าคนในบ้านใจกว้างใช้ได้ ถึงขั้นวางใจให้ลูกหลานออกมาด้านนอกแบบนี้

“พี่รอง ท่านช่วยเก็บอาการหน่อยได้หรือไม่ ? อยากทำให้พี่เขยรองตกใจจนหนีไปเสียก่อนล่ะ ! ” หลินจื่อเหยียนกำลังจะเข้าไปในรถม้า แต่ถูกมือน้อย ๆ ของใครบางคนดึงแขนเสื้อเอาไว้

เมื่อหันไปมองก็พบว่าติงหลิงเอ๋อร์กำลังจ้องเขาด้วยแววตาไร้เดียงสา “ข้าจะนั่งรถม้าคันเดียวกับพี่หลิน ! เจ้าไปนั่งคันหลังกับพวกพี่ชายของข้า ! ”

หลังนางพูดจบและด้วยความช่วยเหลือจากพวกสาวใช้ที่เคลื่อนไหวได้อย่างว่องไวราวกระรอกน้อย ตัวเขาก็เข้าไปอยู่ในรถม้าอีกคันแล้ว

หลินจื่อเหยียนถึงขั้นหมดคำพูด “…” เด็กผู้หญิงสมัยนี้ชอบวางอำนาจกันหมดหรือไร ? เขาได้แสดงความเห็นด้วยหรือไม่ ? นี่มันคือการบังคับกันไม่ใช่หรือ ! หลังส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจแล้ว เขาก็ได้แต่นั่งในรถม้าของตระกูลติงไปอย่างจำยอม

ส่วนเจียงโม่หานก็ยกเตาถ่านขึ้นมาบนรถม้า ตอนที่ติงหลิงเอ๋อร์เผชิญหน้ากับเขา นางก็ไม่ได้วางอำนาจเหมือนตอนที่ปฏิบัติต่อหลินจื่อเหยียน นางเพียงพูดอย่างเขินอายว่า “ขะ…ข้าจะนั่งกับพี่หลิน ท่านช่วย…”

[i]
1 วัวเคี้ยวดอกโบตั๋น หมายถึง ของล้ำค่าตกอยู่ในมือของผู้ไม่รู้คุณค่า

2 นกสี่เชวี่ย หมายถึง นกกางเขน

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *