ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 269 หน้าตาดุจสตรีงามปานล่มเมือง / 270 ไปหาแม่นางไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

Now you are reading ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง Chapter 269 หน้าตาดุจสตรีงามปานล่มเมือง / 270 ไปหาแม่นางไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 269 หน้าตาดุจสตรีงามปานล่มเมือง

 

 

 

 

“ไม่ต้องคุกเข่า นั่งเสียเถอะ เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกเจ้าพูดถึงข้า พูดว่าอะไรหรือ พูดต่อเลย จะได้ให้ข้ารู้จักตัวเองเสียหน่อย”

 

 

ไหนเลยจะยังกล้าพูดอีก ขืนพูดอีกก็คงมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แล้ว คนที่ถูกเขาประคองขึ้นมานั้น นั่งก็ไม่ได้ ยืนก็ไม่ได้ จึงคุกเข่าลงเสีย คุกเข่าแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ดื่มเองไปจอกหนึ่ง กวาดตามองสามคนที่คุกเข่าอยู่ข้างเท้าตนเอง เอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกเจ้าแต่งเรื่องฮ่องเต้กับไทเฮา ยังบอกอีกว่าข้าหน้าตาเหมือนสตรีงามปานล่มเมือง…ใช่หรือไม่”

 

 

ทั้งสามคนเหมือนดั่งฟ้าผ่ากลางศีรษะ ท่านอ๋องคนนี้คงจะฟังอยู่ข้างหลังตลอด คราวนี้จบสิ้นแล้ว หากพูดถึงเพียงเขาคนเดียวยังพอให้อภัยได้ แต่ดันทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ พวกเขาไม่ควรพูดถึงฮ่องเต้ ฮ่องเต้เป็นคนใจแคบนัก หากเรื่องนี้ถึงพระกรรณพระองค์ ฆ่าพวกเขาไปก็ไม่พอทำให้หายพิโรธได้ เพียงแต่เมื่อผิดใจกับท่านอ๋องตรงหน้าคนนี้ นอกจากร้องขอชีวิตแล้วยังจะพูดอะไรได้อีก

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋รังเกียจคนเช่นพวกเขามากที่สุด ปากไม่ระวังอยากพูดอะไรก็พูดออกมา ชีวิตอยู่ในกำมือคนอื่นแล้ว นอกจากร้องขอชีวิตก็ทำอะไรไม่ได้อีก นี่เรียกว่าก่อกรรมเองช่วยไม่ได้ อย่างไรเสียมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรมากมายนัก ตายไปก็ไม่มีผลอะไร

 

 

“ตอนแรกพวกเจ้าแต่งเรื่องของข้าก็ช่าง เพียงแต่ฝ่าบาทและไทเฮาพอมาอยู่ที่ปากพวกเจ้ากลับกลายเป็นเรื่องตลกสนุกปาก อย่างอื่นไม่พูดถึง ไทเฮาก็คือแม่แท้ๆ ของข้า ทั้งยังเป็นพระมารดาเลี้ยงของฮ่องเต้ ใต้เท้าซ่ง…” เขาเคาะจอกเหล้า กวาดสายตาเย็นชา “แม้แต่ไทเฮาเจ้ายังบังอาจพูดถึง ข้าว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง!”

 

 

ใต้เท้าซ่งคนนั้นแทบจะเอาศีรษะมุดลงไปซุกอยู่ในร่องอิฐแล้ว คราวนี้แม้แต่ร้องขอชีวิตก็พูดไม่ออก เขาคุกเข่าอย่างหวาดระแวง พูดไม่ออกแม้ประโยคเดียว สองคนที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน วันนี้ได้รู้เสียทีว่าอะไรที่เรียกว่าปลาหมอตายเพราะปาก คนผู้นี้ไม่ใช่เป็นคนที่นิสัยอ่อนโยนนัก รอถูกปาดคอไปเสียเถอะ

 

 

ไม่มีใครกล้าส่งเสียง เฝิงเยี่ยไป๋เหลือบมองพวกเขา แล้วเอ่ยข้อเสนอออกมาเนิบๆ “เพียงแต่เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางตกลงกันได้ ดูเพียงว่าพวกเจ้ายังอยากมีชีวิตหรือไม่แล้ว”

 

 

เงินทองอำนาจยังใช้ไม่มากพอ ‘ของรักของหวง’ ก็ยังรักไม่พอ ใครอยากจะตายบ้างหรือ พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็รีบพยักหน้า “อยาก ข้าน้อยยังอยากจะมีชีวิตอยู่ ขอท่านอ๋องได้โปรดชี้ทางรอดให้ข้าน้อยด้วยเถิด”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋พูดช้าๆ ว่า “ตอนนี้ชีวิตพวกเจ้าล้วนอยู่ในกำมือข้า ข้าให้พวกเจ้าทำอะไร จะปฏิเสธไม่ทำหรือไม่”

 

 

จะกล้าไม่เชื่อฟังได้อย่างไร ในมือเขากำชะตาชีวิตของพวกตนอยู่ ก็เหมือนเป็นบรรพบุรุษของพวกเขา จะกล้าทำตัวไม่เชื่อฟังได้อย่างไร จึงรีบตอบว่า “หลังจากนี้ข้าน้อยจะเชื่อฟังท่านอ๋องทุกอย่าง ท่านอ๋องพูดอะไรก็เป็นตามนั้นมิกล้าขัด”

 

 

เพียงแต่สีหน้าของเขาก็ยังไม่ปรากฏแววพอใจ เขาพยักหน้าด้วยท่าทางเอาแน่นอนไม่ได้ “หากเรื่องนี้ถูกฮ่องเต้รู้เข้า ต่อให้พวกเจ้าถูกประหารก็ยังไม่พอ เพียงแต่หากให้ข้ารู้ว่าพวกเจ้าวางแผนลับหลังข้า ข้าทูลฮ่องเต้ก็ดี ไม่ทูลก็ดี อย่างไรเสียก็มีวิธีให้พวกเจ้าตายอย่างไร้ร่องรอย คำพูดนี้ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียว พวกเจ้าจำไว้ให้ดี อย่าได้คิดวิธีที่จะช่วยพวกเจ้ารอดไปได้ เทพหม่าหวัง[1]มีตาสามดวง ข้าก็มีตาทิพย์ เล่ห์เหลี่ยมที่ใช้ไม่ได้ของพวกเจ้าพวกนั้นรีบเก็บกลับไปเสีย ไม่เช่นนั้นมีแต่จะตายเร็วยิ่งขึ้น”

 

 

คำพูดนี้ทำเอาทั้งสามคนที่ตอนแรกยังคิดว่ารอดตัวไปแล้วกระตุกขึ้นมา ศีรษะก้มต่ำลงไปอีก พร่ำพูดเพียงว่ามิบังอาจ

 

 

 

 

——

 

 

[1] เทพหม่าหวัง เป็นเทพในลัทธิเต๋า ตามตำนานกล่าวไว้ว่ามีดวงตาสามดวง

 

 

 

 

ตอนที่ 270 ไปหาแม่นางไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

 

 

 

 

ที่มาวันนี้ถือว่าได้ผลเกินคาด ตอนแรกเขาเพียงจะสืบข่าวเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าสามคนนี้จะส่ง ‘ของขวัญชิ้นใหญ่’ ให้ตัวเองเช่นนี้ เพียงแต่ก็ดี ในราชสำนักมีคนของตนเองทำอะไรก็สะดวกขึ้น ไม่ถึงกับถูกมัดมือมัดเท้า เพียงแต่คนพวกนี้ไม่ฉลาดนัก ควบคุมปากตนเองไม่ได้ไม่ช้าก็เร็วต้องมีเรื่องแน่นอน ก็ใช้ชั่วคราวไปก่อน หากใช้ได้ดีก็ให้พวกเขามีชีวิตต่อเสียอีกหน่อย ด้วยคำพูดของพวกเขาเมื่อครู่นั้น เขาก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขามีชีวิตได้ เพียงแค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น หากใช้เป็นประโยชน์ได้ก็ดี

 

 

สามคนที่ชะตาถึงฆาตนั้นถอนหายใจด้วยความโชคร้าย ทั้งแสดงความภักดีทั้งสาบาน อย่างไรเสียก็ถือว่าได้รักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้

 

 

ก่อนที่เฝิงเยี่ยไป๋จะไปก็เตือนพวกเขาอีก “ทำงานให้มีสติหน่อย ไม่แน่ว่าก่อนจะได้ประโยชน์ใดจะผลักตัวเองเข้าแท่นประหารเสียก่อน หากข้าได้ยินคำพูดพวกนี้อีกครั้ง ข้าจะประหารทั้งตระกูลเจ้าเสีย”

 

 

ตอนแรกยังคิดว่าท่านอ๋องผู้นี้รังแกได้ง่ายๆ ที่แท้ก็เป็นพวกคมในฝัก ไม่ยอม ไม่ยอมแล้วจะทำอย่างไรได้ อย่างไรเสียก็ต้องกระดิกหางเพื่อเอาใจ จะกระดิกหางให้ใครก็เป็นการกระดิกหางมิใช่หรือ

 

 

สถานที่เริงรมย์เช่นนี้เขาไม่อยากอยู่ต่อแล้ว กลิ่นแป้งชาดเต็มไปหมด เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินลงไปอย่างรวดเร็ว

 

 

แม่เล้าเห็น ‘เทพเงินทอง’ ไปแล้วก็รู้สึกไม่ยอม จึงรีบเข้าไปพูดว่า “นายท่าน ท่านเป็นอะไรหรือ ไฉนถึงจะไปเสียแล้ว เป็นเซียงจือของพวกเราปรนนิบัติท่านไม่ดีใช่หรือไม่ พวกเรานี้ยังมีแม่นางอีกมากมาย ท่านเลือกเสียอีกหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

พูดจาไพเราะอย่างไรก็หนีไม่พ้นคำว่าเงิน เขาหยิบตำลึงทองก้อนใหญ่สองก้อนจากถุงเงินข้างเอวออกมาแล้วโยนไปข้างหลัง แม่เล้ารีบเข้าไปเก็บอย่างรีบร้อน พอเก็บกลับมาก็เอาฟันกัด สวรรค์! นี่เป็นของจริง ว่าแล้วว่าต้องเป็น ‘เทพเงินทอง’ ของจริง พอตั้งสติกลับมาคิดจะรั้งเขาไว้อีก เพียงพริบตาเดียว ‘เทพเงินทอง’ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความร่ำรวยก็หายไปเสียแล้ว น่าเสียดายนัก หากอยู่ต่ออีกเล็กน้อย ไม่แน่อาจจะได้มากกว่านี้อีก

 

 

เขาเดินลงบันไดมาที่ชั้นสอง เมื่อครู่ตอนที่ขึ้นมาก็เห็นแล้ว ขนมที่นี่ไม่เลว เขาจึงหาที่นั่งใกล้ๆ แล้วทรุดกายลงนั่ง แล้วสั่งคนต้อนรับเอาขนมชั้นดีใส่ห่อนำกลับบ้าน นั่งดื่มชาดูละครไปพลาง

 

 

ที่แสดงบนเวทีนั้นเป็นปาอ๋องลาสนม [1]ทำเอาคนดูร้องไห้ไม่น้อย มีบ้างที่ว่าสนมน่าสงสาร มีบ้างที่บอกว่าเซี่ยงอวี่น่ารังเกียจ ร้อยคนมีร้อยปาก ความชอบย่อมต่างกัน เขาก็คิดเช่นกันว่า หากเป็นเขาที่วันหนึ่งต้องตกอยู่ในสถานการณ์ถูกล้อม เฉินยางจะทำอย่างไร จะมีความกล้าเหมือนดั่งสนมคนนั้นหรือไม่

 

 

“ท่านอ๋อง” ขณะกำลังคิดอย่างใจลอย จู่ๆ ก็ได้ยินว่าข้างหูมีคนเรียกเขา พอหันศีรษะไปมอง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นน่าอวี้

 

 

“แม่นางเจี่ยง…”

 

 

น่าอวี้ย่อตัวคำนับด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง”

 

 

เขาประคองศอกของนางให้ลุกขึ้น “แม่นางเจี่ยงไม่ต้องมากพิธี” แล้วชี้ที่นั่งข้างๆ “นั่งเถิด”

 

 

สีหน้าของน่าอวี้ดีขึ้นจากเดิมมาก พอยิ้มขึ้นมาบนหน้าก็มีลักยิ้มจางๆ สองข้าง นางไม่ถามเขาก่อนว่าเหตุใดจึงอยู่ที่นี่ ทว่ามองไปรอบๆ แล้วแลบลิ้นด้วยความขี้เล่น ขยับตัวเข้ามาพูดใกล้ๆ เขาว่า “ข้ามากับลูกพี่ลูกน้องของข้า” นางชี้นิ้วไปข้างบน แล้วบุ้ยปากถามเขาว่า “ข้างบนนั้นมีแม่นางคนงามอยู่มากมายใช่หรือไม่ พี่เขยไม่กลับบ้านมาหลายวันแล้ว พี่สาวข้าบอกว่านี่เรียกว่าดอกไม้ในบ้านไม่หอมเท่าดอกไม้ป่า พวกผู้ชายอย่างท่านเป็นเช่นนี้กันหมดเลยหรือ”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋พยักหน้าไม่ปฏิเสธ “ผู้ชายส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้…เพียงแต่ก็ไม่ทั้งหมด ต้องดูว่าคนที่บ้านนั้นเป็นคนที่เขารักอยู่ในใจหรือไม่ หากใช่ ต่อให้เจ้าไล่ก็ไล่ไม่ไป หากไม่ใช่ จะไปหาแม่นางก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”

 

 

 

 

 ——

 

 

[1] ปาอ๋องลาสนม เป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ปาอ๋องหรือเซี่ยงอวี่ถูกข้าศึกล้อมเอาไว้และได้ดื่มเหล้าลาสนม จากนั้นสนมฆ่าตัวตาย เซี่ยงอวี่ฝ่าวงล้อมออกไปถอยไปอยู่ข้างแม่น้ำอู ด้วยความรู้สึกที่ไม่มีหน้าไปพบคนบ้านเกิด จึงได้ฆ่าตัวตาย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด