ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 671 กดเข้ากับกำแพงแล้วจูบแรงๆ / 672 ผู้ชายของเจ้ายังไม่ตายนะ

Now you are reading ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง Chapter 671 กดเข้ากับกำแพงแล้วจูบแรงๆ / 672 ผู้ชายของเจ้ายังไม่ตายนะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 671 กดเข้ากับกำแพงแล้วจูบแรงๆ   

 

 

มีอย่างที่ไหนจะหัวเราะเยาะคนแล้วยังเอ่ยจุดประสงค์ออกมาอีก เห็นได้ชัดว่ามีความนัยในคำพูด ต่อหน้าคนหมู่มากมิกล้าเอ่ยออกมา จึงรีบเปลี่ยนบทพูดชั่วขณะ ชัดเจนว่าที่แห่งนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง

 

 

[1]  เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว แม้แต่ซั่งเหมยยังดูออก นับประสาอะไรกับเฝิงเยี่ยไป๋ที่ยืนมองอยู่ไกลๆ จากภูเขาจำลองเล่า  

 

 

เฉินยางรู้ว่าคราวนี้ต้องตำหนิอวี่เหวินลู่สวนกลับไป เหมือนกับคราวอื่นๆ ก็ศัตรูกันอย่างไรเล่า ระหว่างกันและกันก็ควรจะมองด้วยความโกรธ อยากเอาคืนเท่านั้น เยี่ยงนี้จึงจะเหมือนคราวอื่นๆ แต่เฉินยางตอนนี้แม้ประโยคเดียวก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา เขาช่วยนางไว้ อีกทั้งเมื่อวานยังถูกเฝิงเยี่ยไป๋ทำร้ายเข้าให้อย่างไม่มีเหตุผลอีก ในใจนางเสียใจยิ่งนัก หากต้องหันกลับไปตำหนิเขาอีกจะได้อย่างไรกัน  

 

 

“เป็นข้าเองที่ดูคนผิดไป สายตาข้ามักมองคนผิดไปเสมอ” เอ่ยจบแล้วจึงยกมุมปากขึ้น หัวเราะเยาะตนเอง อวี่เหวินลู่เมื่อเห็นว่านางไม่ตำหนิให้อย่างเจ็บแสบ แต่กลับเอ่ยเป็นคำพูดแทน ในใจนั้นมิได้รู้สึกดีเลย รู้สึกได้เลยว่ามิสู้ครั้งก่อนๆ ที่ยังทะเลาะเบาะแว้งเสียงดัง อย่างน้อยคราวก่อนก็ยังคึกคัก ไม่เหมือนตอนนี้ ระหว่างพวกเขากับมีความห่างเหินเพิ่มเข้ามา ตรงกลางคล้ายกับว่ามีเขตพันธสีมากั้นไว้เสียหลายชั้น พิศดูแล้วเหมือนใกล้เพียงตาเห็น แต่จับต้องกันไม่ได้เลย  

 

 

เฉินยางนั้นแต่ก่อนไม่เคยทราบถึงความในใจของอวี่เหวินลู่ หากนางทราบก่อน อย่าว่าแต่ทะเลาะเบาะแว้งกับเขาเลย นางจะต้องหลบไปให้ไกลเป็นแน่ แม้แต่หน้าก็จะไม่ยอมพบ จะได้ไม่ต้องพบกับเรื่องมากมายเพียงนี้ นางอยู่ตรงกลางก็วางตัวลำบาก อีกฝั่งคือเฝิงเยี่ยไป๋ ไม่ทันไรก็จะเอาเรื่องนี้มาเคืองนางเสมอ อีกฝั่งคืออวี่เหวินลู่ หากเขาไม่ช่วยตนก็แล้วไป แต่เขาเองกลับสอดเท้ามายุ่ง ตนเองก็ไปขอร้องเขาเสียอีก ตอนนี้เลยรู้สึกเหมือนพัวพันไปมาไม่หยุด  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋นั้นยืนมองอยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง เฉาเต๋อหลุนมองเห็นเขาแล้ว ครั้นมองตามสายตาไปพบว่ากำลังจ้องอยู่ที่เฉินยาง จึงอยากจะเอ่ยเตือนเฉินยาง แต่ยังไม่ทันได้เปิดปาก นางก็หมุนตัวจากไปแล้ว หลบไม่ทันจึงเจอเข้ากับสายตาของเฝิงเยี่ยไป๋พอดี สีหน้าของเฝิงเยี่ยไป๋หาได้ตกใจที่ถูกพบไม่ เปิดเผยตนเดินออกมาอย่างผ่าเผย แถมยังยิ้มแล้วเดินออกมาอีกด้วย เดินเข้าไปจับมือเฉินยางเอาไว้ นำนางเดินขึ้นไปยังบันได มือนั้นถือโอกาสโอบเอวนาง เงานั้นทอดลงบนตัวอวี่เหวินลู่พอดี รู้สึกเหมือนกับว่ามีเงาที่มองไม่เห็นซัดเขาเสียหนึ่งหมัด เจ็บนัก แต่กลับบอกไม่ถูกว่าเจ็บตรงจุดใด  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋กอดไปที่เอวเฉินยางเสียหนึ่งที ออกแรงกำลังดี แต่เฉินยางทนไม่ไหวแล้ว เสียงดังออกไปหลังจากนั้นตีไปที่แขนเขา “ท่านไม่ได้มีงานต้องไปเข้าร่วมรึ ทำไมกลับมาเร็วนัก กลับมาแล้วยังจะเป็นบ้าอะไรอีกเล่า”  

 

 

“เหตุใดยังไปพบเขาอีก”  

 

 

“คุยเรื่องสำคัญ หากไม่เชื่อท่านไปถามเฉาเต๋อหลุนก็ได้ เขาไม่ใช่คนของท่านรึ แม้แต่ข้าก็ต้องมาจับตาดู พวกเราพูดอะไรกัน ทุกคำทุกประโยคล้วนฟังชัดทุกคำ”  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋รวบนางไว้ในอ้อมกอด “ตั้งแต่เมื่อวานที่ข้ากลับมาเจ้าก็ทำหน้าไม่พอใจเลย ทำไมกัน”  

 

 

ประโยคนี้ช่างถามได้ประหลาดนัก เฉินยางหักนิ้วมือของเขา กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียเยือกเย็นว่า “เมื่อวานท่านกลับมาก็มิได้แยกแยะสบู่ฟ้าแดงขาว  [2]  ก็ใส่ความว่าข้าสวมเขาให้ท่านทำไมกันเล่า ข้าอธิบายอย่างไรท่านก็ไม่เชื่อ ลูกชายหายไปท่านไม่แม้แต่จะถามสักคำ ข้ายังไม่ถามท่านเลยว่าทำไม”  

 

 

“ข้าบอกแล้ว ลูกนั้นข้าต้องช่วยกลับมาได้แน่”  

 

 

“ข้าก็บอกแล้วอย่างไรเล่า ข้ากับอวู่เหวินลู่นั้นหาได้มีเรื่องอะไรไม่ หากมีเรื่องอะไรจริงๆ ละก็ คงมิต้องรอจนท่านกลับมาหรอก ข้าหนีไปกับผู้อื่นตั้งนานแล้ว”  

 

 

“เด็กหนอเด็ก เวลานี้รู้จักใช้วิธีฟันต่อฟันแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋โกรธจนคันไปทั้งรากฟัน จากนั้นจึงผลักนางไปติดกำแพง มิได้สนใจเลยว่ารอบข้างจะมีผู้อื่นผ่านไปมาหรือไม่ ก้มหน้าลงกลืนกินริมฝีปากนางเสีย เอาคำพูดเหลวไหลพวกนั้นของนางกลืนลงท้องไปเสียให้หมด  

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 672 ผู้ชายของเจ้ายังไม่ตายนะ  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ยามทะเลาะกับเฉินยาง คนที่เสียเปรียบเสมอมักเป็นเฉินยาง บอกว่านางยังเล็กบ้าง ยังเป็นเด็กบ้าง แต่เขาเองนั้นก็เหมือนกัน บางคราหึงขึ้นมาก็เหมือนดั่งเด็กที่ไม่รู้จักโต ต้องให้คนมากล่อม กวนใจเสียจนไม่รู้จะรับมืออย่างไรดี เฉินยางเกลียดนักอารมณ์โกรธฟาดงวงฟาดงาของเขา คนเยอะเพียงนี้ ในมือเขาถือสิทธิ์ไว้มากมายนัก กับคนภายนอกคิดจะทำอย่างไรก็อย่างไรเถอะ แต่กับนางก็เช่นเดียวกัน ควบคุมผู้อื่นแล้วยังคิดจะควบคุมนางอีก นางเป็นคนมีชีวิตจริงๆ มิใช่ตุ๊กตาที่เขาจะมาจัดวางอย่างไรก็ได้  

 

 

คนที่เดินผ่านไปด้านข้างเมื่อมองเห็นฉากนี้ไม่มีใครกล้าเงยหน้าดูเลย เดินหลบไปอย่างเงียบๆ เสีย แม้กระทั่งยังไม่กล้าหายใจดังเลย ด้วยเกรงว่าจะไปรบกวนความสุนทรีย์ของนายท่านเข้า  

 

 

เฉินยางผลักเขาออกแล้วหอบหายใจแรง มองเขาอย่างโกรธเคือง “ท่านบ้าไปแล้วหรือ นี่พวกเขาอยู่ข้างนอกนะ ข้าว่าตั้งแต่ท่านกลับมาก็ไม่ปกติเสียทั้งคน ข้าไม่อยากจะเอ่ยความอันใดกับท่านแล้ว”  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋หยิกแก้มนางทั้งสองข้าง สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน “ไม่อยากเอ่ยความกับข้ารึ ข้าบอกกี่หนแล้ว ให้เจ้าอยู่ให้ไกลจากอวี่เหวินลู่หน่อย ไกลหน่อย เจ้าทำไมไม่ฟังกันนะ เมื่อคืนที่ข้าสั่งสอนเข้าไปยังไม่เพียงพอใช่หรือไม่ เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรจึงจะเพิ่มความจำเสียบ้าง ลูกชายเป็นของข้า ไม่ใช่ของอวี่เหวินลู่ ผู้ชายของเจ้ายังไม่ตายนะ เจ้าให้เขามาช่วยเจ้า เอาข้าไปวางไว้ที่แห่งใดกัน”  

 

 

“นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนท่านจะกลับมา ข้าบอกท่านแล้ว เขาแค่มาบอกข้าเกี่ยวกับท่าทีของน่าอวี้ นอกจากนี้ เฉาเต๋อหลุนเองก็ได้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ท่านยังไม่วางใจเรื่องอันใดอีก” นี่มันเรื่องไร้เหตุผลสิ้นดี เฉินยางไม่อยากจะโต้เถียงอีก ยุ่งยากใจเสียจนต้องเกาศีรษะแรงๆ ดวงตามองเลยข้ามไปยังที่อื่นเสีย ไม่อยากสนใจเขาสักนิด  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋หายใจเข้าแรง พยายามให้ตนนั้นสงบลงมาหน่อย ระหว่างพวกเขาไม่ควรเกิดเรื่องแบบนี้ เขาเองที่สมองเลอะเลือนไป ก็แค่ทนดูไม่ได้ที่จะเห็นนางอยู่กับชายอื่น คงเป็นเพราะเขาเองที่รุนแรงเกินไปก็เป็นได้ แต่มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว สิ่งที่อยู่ในใจกับสิ่งที่คาดคิดไม่เหมือนกันเลย คำพูดไม่ตรงกับใจ ในใจเขาความรู้สึกที่คิดแต่ส่วนได้ส่วนเสียนั้นยิ่งนับวันยิ่งรุนแรง แทบอยากจะมัดนางเอาไว้เสียข้างกายคงดี  

 

 

คำพูดไม่น่าฟังบางคำเฉินยางไม่ได้พูดออกไป เกรงว่าหากพูดไปจะสาแก่ใจแค่ในคราแรก ทำให้เขาโกรธแล้ว สุดท้ายแล้วคนที่ปวดใจคือนางเอง ฉะนั้นก็เอาความโกรธกลืนลงท้องไปเสีย ไม่เอ่ยอะไรทั้งนั้น แต่ละคนก็ไปสงบใจเสียเถอะ  

 

 

นี่เป็นครั้งแรกหลังจากแต่งงานที่แยกกันอยู่นานขนาดนี้ กลยุทธ์สร้างความบาดหมางของฮ่องเต้นั้นนับว่าได้ผล ตัดขาดช่องทางติดต่อระหว่างสองคนเสีย ใส่ความคิดที่ไม่ดีระหว่างเขาทั้งคู่ ไม่มีวิธีการใดดีไปกว่านี้แล้ว  

 

 

“เอาเถอะ เป็นข้าที่ไม่ดีเอง อย่าโกรธเคืองเลย” เด็กยังกล่อมง่าย เดิมทีนำของอร่อยให้นางเสียหน่อย ต่อให้นางอารมณ์เสียแค่ไหนก็มลายหายไปดั่งเมฆหมอก ตอนนี้ก็เช่นกัน เขาพูดถ้อยคำน่าฟังเสียสองประโยค อีกประเดี๋ยวค่อยให้นางถือไพ่เหนือกว่าสักหน่อย จะต้องเหมือนกับเมื่อก่อนเป็นแน่  

 

 

เขาใช้กลเม็ดนี้กล่อมนางไม่รู้ตั้งกี่หนแล้ว เฉินยางค่อยๆ ถูกเขากลืนลงไปหมด ในตามีแต่ความห่างเหิน มองเขาอย่างเลื่อนลอย ไม่พูดอะไรสักคำ แต่ความผิดหวังนั้นแสดงออกมาทั้งทางสีหน้าและแววตาแล้ว ไม่มีกะจิตกะใจจะไปถกเถียงกับเขาด้วยซ้ำ “ช่างเถอะ ให้มันเป็นอย่างนี้ไปก่อน เรื่องที่เหลือ รอจนเสี่ยวจินอวี๋กลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกที”  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋รู้สึกได้เลยว่าในใจเบาโหวงยิ่งนัก นางเป็นแบบนี้ทำให้คนเจ็บปวดใจกว่าตบตีหรือด่าทอเขาอีก ราวกับเชือกเส้นหนึ่ง ใช้สุดแรงมัดไว้ พอใกล้จะขาดออกก็ถูกคนดึงรั้งเอาไว้ เสียงสุดท้ายนั้นมีกลิ่นอายที่คงเหลืออยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อลองลิ้มรสดูแล้ว ล้วนเป็นความเศร้าอาดูรที่อ้อมค้อมนั่นเอง  

 

 

“เฉินยาง เราทั้งคู่ชาตินี้ล้วนถูกผูกเข้าไว้ด้วยกันเสียแล้ว ข้าไม่สนใจว่าเจ้าคิดอย่างไร แต่ว่าต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป”  

 

 

 

 

 

——

 

 

[1]  ที่แห่งนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง (此地无银三百两 )  เป็นสำนวน หมายความว่า อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้

 

 

[2]  皂 แปลว่าสีดำ ความหมายทั้งคำคือ ไม่จำแนกว่าเป็นสีเขียว สีแดงสีดำหรือสีขาว อุปมาว่า ไม่แยกถูกแยกผิด บุ่มบ่ามวู่วาม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 671 กดเข้ากับกำแพงแล้วจูบแรงๆ / 672 ผู้ชายของเจ้ายังไม่ตายนะ

Now you are reading ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง Chapter 671 กดเข้ากับกำแพงแล้วจูบแรงๆ / 672 ผู้ชายของเจ้ายังไม่ตายนะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 671 กดเข้ากับกำแพงแล้วจูบแรงๆ   

 

 

มีอย่างที่ไหนจะหัวเราะเยาะคนแล้วยังเอ่ยจุดประสงค์ออกมาอีก เห็นได้ชัดว่ามีความนัยในคำพูด ต่อหน้าคนหมู่มากมิกล้าเอ่ยออกมา จึงรีบเปลี่ยนบทพูดชั่วขณะ ชัดเจนว่าที่แห่งนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง

 

 

[1]  เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว แม้แต่ซั่งเหมยยังดูออก นับประสาอะไรกับเฝิงเยี่ยไป๋ที่ยืนมองอยู่ไกลๆ จากภูเขาจำลองเล่า  

 

 

เฉินยางรู้ว่าคราวนี้ต้องตำหนิอวี่เหวินลู่สวนกลับไป เหมือนกับคราวอื่นๆ ก็ศัตรูกันอย่างไรเล่า ระหว่างกันและกันก็ควรจะมองด้วยความโกรธ อยากเอาคืนเท่านั้น เยี่ยงนี้จึงจะเหมือนคราวอื่นๆ แต่เฉินยางตอนนี้แม้ประโยคเดียวก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา เขาช่วยนางไว้ อีกทั้งเมื่อวานยังถูกเฝิงเยี่ยไป๋ทำร้ายเข้าให้อย่างไม่มีเหตุผลอีก ในใจนางเสียใจยิ่งนัก หากต้องหันกลับไปตำหนิเขาอีกจะได้อย่างไรกัน  

 

 

“เป็นข้าเองที่ดูคนผิดไป สายตาข้ามักมองคนผิดไปเสมอ” เอ่ยจบแล้วจึงยกมุมปากขึ้น หัวเราะเยาะตนเอง อวี่เหวินลู่เมื่อเห็นว่านางไม่ตำหนิให้อย่างเจ็บแสบ แต่กลับเอ่ยเป็นคำพูดแทน ในใจนั้นมิได้รู้สึกดีเลย รู้สึกได้เลยว่ามิสู้ครั้งก่อนๆ ที่ยังทะเลาะเบาะแว้งเสียงดัง อย่างน้อยคราวก่อนก็ยังคึกคัก ไม่เหมือนตอนนี้ ระหว่างพวกเขากับมีความห่างเหินเพิ่มเข้ามา ตรงกลางคล้ายกับว่ามีเขตพันธสีมากั้นไว้เสียหลายชั้น พิศดูแล้วเหมือนใกล้เพียงตาเห็น แต่จับต้องกันไม่ได้เลย  

 

 

เฉินยางนั้นแต่ก่อนไม่เคยทราบถึงความในใจของอวี่เหวินลู่ หากนางทราบก่อน อย่าว่าแต่ทะเลาะเบาะแว้งกับเขาเลย นางจะต้องหลบไปให้ไกลเป็นแน่ แม้แต่หน้าก็จะไม่ยอมพบ จะได้ไม่ต้องพบกับเรื่องมากมายเพียงนี้ นางอยู่ตรงกลางก็วางตัวลำบาก อีกฝั่งคือเฝิงเยี่ยไป๋ ไม่ทันไรก็จะเอาเรื่องนี้มาเคืองนางเสมอ อีกฝั่งคืออวี่เหวินลู่ หากเขาไม่ช่วยตนก็แล้วไป แต่เขาเองกลับสอดเท้ามายุ่ง ตนเองก็ไปขอร้องเขาเสียอีก ตอนนี้เลยรู้สึกเหมือนพัวพันไปมาไม่หยุด  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋นั้นยืนมองอยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง เฉาเต๋อหลุนมองเห็นเขาแล้ว ครั้นมองตามสายตาไปพบว่ากำลังจ้องอยู่ที่เฉินยาง จึงอยากจะเอ่ยเตือนเฉินยาง แต่ยังไม่ทันได้เปิดปาก นางก็หมุนตัวจากไปแล้ว หลบไม่ทันจึงเจอเข้ากับสายตาของเฝิงเยี่ยไป๋พอดี สีหน้าของเฝิงเยี่ยไป๋หาได้ตกใจที่ถูกพบไม่ เปิดเผยตนเดินออกมาอย่างผ่าเผย แถมยังยิ้มแล้วเดินออกมาอีกด้วย เดินเข้าไปจับมือเฉินยางเอาไว้ นำนางเดินขึ้นไปยังบันได มือนั้นถือโอกาสโอบเอวนาง เงานั้นทอดลงบนตัวอวี่เหวินลู่พอดี รู้สึกเหมือนกับว่ามีเงาที่มองไม่เห็นซัดเขาเสียหนึ่งหมัด เจ็บนัก แต่กลับบอกไม่ถูกว่าเจ็บตรงจุดใด  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋กอดไปที่เอวเฉินยางเสียหนึ่งที ออกแรงกำลังดี แต่เฉินยางทนไม่ไหวแล้ว เสียงดังออกไปหลังจากนั้นตีไปที่แขนเขา “ท่านไม่ได้มีงานต้องไปเข้าร่วมรึ ทำไมกลับมาเร็วนัก กลับมาแล้วยังจะเป็นบ้าอะไรอีกเล่า”  

 

 

“เหตุใดยังไปพบเขาอีก”  

 

 

“คุยเรื่องสำคัญ หากไม่เชื่อท่านไปถามเฉาเต๋อหลุนก็ได้ เขาไม่ใช่คนของท่านรึ แม้แต่ข้าก็ต้องมาจับตาดู พวกเราพูดอะไรกัน ทุกคำทุกประโยคล้วนฟังชัดทุกคำ”  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋รวบนางไว้ในอ้อมกอด “ตั้งแต่เมื่อวานที่ข้ากลับมาเจ้าก็ทำหน้าไม่พอใจเลย ทำไมกัน”  

 

 

ประโยคนี้ช่างถามได้ประหลาดนัก เฉินยางหักนิ้วมือของเขา กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียเยือกเย็นว่า “เมื่อวานท่านกลับมาก็มิได้แยกแยะสบู่ฟ้าแดงขาว  [2]  ก็ใส่ความว่าข้าสวมเขาให้ท่านทำไมกันเล่า ข้าอธิบายอย่างไรท่านก็ไม่เชื่อ ลูกชายหายไปท่านไม่แม้แต่จะถามสักคำ ข้ายังไม่ถามท่านเลยว่าทำไม”  

 

 

“ข้าบอกแล้ว ลูกนั้นข้าต้องช่วยกลับมาได้แน่”  

 

 

“ข้าก็บอกแล้วอย่างไรเล่า ข้ากับอวู่เหวินลู่นั้นหาได้มีเรื่องอะไรไม่ หากมีเรื่องอะไรจริงๆ ละก็ คงมิต้องรอจนท่านกลับมาหรอก ข้าหนีไปกับผู้อื่นตั้งนานแล้ว”  

 

 

“เด็กหนอเด็ก เวลานี้รู้จักใช้วิธีฟันต่อฟันแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋โกรธจนคันไปทั้งรากฟัน จากนั้นจึงผลักนางไปติดกำแพง มิได้สนใจเลยว่ารอบข้างจะมีผู้อื่นผ่านไปมาหรือไม่ ก้มหน้าลงกลืนกินริมฝีปากนางเสีย เอาคำพูดเหลวไหลพวกนั้นของนางกลืนลงท้องไปเสียให้หมด  

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 672 ผู้ชายของเจ้ายังไม่ตายนะ  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ยามทะเลาะกับเฉินยาง คนที่เสียเปรียบเสมอมักเป็นเฉินยาง บอกว่านางยังเล็กบ้าง ยังเป็นเด็กบ้าง แต่เขาเองนั้นก็เหมือนกัน บางคราหึงขึ้นมาก็เหมือนดั่งเด็กที่ไม่รู้จักโต ต้องให้คนมากล่อม กวนใจเสียจนไม่รู้จะรับมืออย่างไรดี เฉินยางเกลียดนักอารมณ์โกรธฟาดงวงฟาดงาของเขา คนเยอะเพียงนี้ ในมือเขาถือสิทธิ์ไว้มากมายนัก กับคนภายนอกคิดจะทำอย่างไรก็อย่างไรเถอะ แต่กับนางก็เช่นเดียวกัน ควบคุมผู้อื่นแล้วยังคิดจะควบคุมนางอีก นางเป็นคนมีชีวิตจริงๆ มิใช่ตุ๊กตาที่เขาจะมาจัดวางอย่างไรก็ได้  

 

 

คนที่เดินผ่านไปด้านข้างเมื่อมองเห็นฉากนี้ไม่มีใครกล้าเงยหน้าดูเลย เดินหลบไปอย่างเงียบๆ เสีย แม้กระทั่งยังไม่กล้าหายใจดังเลย ด้วยเกรงว่าจะไปรบกวนความสุนทรีย์ของนายท่านเข้า  

 

 

เฉินยางผลักเขาออกแล้วหอบหายใจแรง มองเขาอย่างโกรธเคือง “ท่านบ้าไปแล้วหรือ นี่พวกเขาอยู่ข้างนอกนะ ข้าว่าตั้งแต่ท่านกลับมาก็ไม่ปกติเสียทั้งคน ข้าไม่อยากจะเอ่ยความอันใดกับท่านแล้ว”  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋หยิกแก้มนางทั้งสองข้าง สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน “ไม่อยากเอ่ยความกับข้ารึ ข้าบอกกี่หนแล้ว ให้เจ้าอยู่ให้ไกลจากอวี่เหวินลู่หน่อย ไกลหน่อย เจ้าทำไมไม่ฟังกันนะ เมื่อคืนที่ข้าสั่งสอนเข้าไปยังไม่เพียงพอใช่หรือไม่ เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรจึงจะเพิ่มความจำเสียบ้าง ลูกชายเป็นของข้า ไม่ใช่ของอวี่เหวินลู่ ผู้ชายของเจ้ายังไม่ตายนะ เจ้าให้เขามาช่วยเจ้า เอาข้าไปวางไว้ที่แห่งใดกัน”  

 

 

“นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนท่านจะกลับมา ข้าบอกท่านแล้ว เขาแค่มาบอกข้าเกี่ยวกับท่าทีของน่าอวี้ นอกจากนี้ เฉาเต๋อหลุนเองก็ได้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ท่านยังไม่วางใจเรื่องอันใดอีก” นี่มันเรื่องไร้เหตุผลสิ้นดี เฉินยางไม่อยากจะโต้เถียงอีก ยุ่งยากใจเสียจนต้องเกาศีรษะแรงๆ ดวงตามองเลยข้ามไปยังที่อื่นเสีย ไม่อยากสนใจเขาสักนิด  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋หายใจเข้าแรง พยายามให้ตนนั้นสงบลงมาหน่อย ระหว่างพวกเขาไม่ควรเกิดเรื่องแบบนี้ เขาเองที่สมองเลอะเลือนไป ก็แค่ทนดูไม่ได้ที่จะเห็นนางอยู่กับชายอื่น คงเป็นเพราะเขาเองที่รุนแรงเกินไปก็เป็นได้ แต่มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว สิ่งที่อยู่ในใจกับสิ่งที่คาดคิดไม่เหมือนกันเลย คำพูดไม่ตรงกับใจ ในใจเขาความรู้สึกที่คิดแต่ส่วนได้ส่วนเสียนั้นยิ่งนับวันยิ่งรุนแรง แทบอยากจะมัดนางเอาไว้เสียข้างกายคงดี  

 

 

คำพูดไม่น่าฟังบางคำเฉินยางไม่ได้พูดออกไป เกรงว่าหากพูดไปจะสาแก่ใจแค่ในคราแรก ทำให้เขาโกรธแล้ว สุดท้ายแล้วคนที่ปวดใจคือนางเอง ฉะนั้นก็เอาความโกรธกลืนลงท้องไปเสีย ไม่เอ่ยอะไรทั้งนั้น แต่ละคนก็ไปสงบใจเสียเถอะ  

 

 

นี่เป็นครั้งแรกหลังจากแต่งงานที่แยกกันอยู่นานขนาดนี้ กลยุทธ์สร้างความบาดหมางของฮ่องเต้นั้นนับว่าได้ผล ตัดขาดช่องทางติดต่อระหว่างสองคนเสีย ใส่ความคิดที่ไม่ดีระหว่างเขาทั้งคู่ ไม่มีวิธีการใดดีไปกว่านี้แล้ว  

 

 

“เอาเถอะ เป็นข้าที่ไม่ดีเอง อย่าโกรธเคืองเลย” เด็กยังกล่อมง่าย เดิมทีนำของอร่อยให้นางเสียหน่อย ต่อให้นางอารมณ์เสียแค่ไหนก็มลายหายไปดั่งเมฆหมอก ตอนนี้ก็เช่นกัน เขาพูดถ้อยคำน่าฟังเสียสองประโยค อีกประเดี๋ยวค่อยให้นางถือไพ่เหนือกว่าสักหน่อย จะต้องเหมือนกับเมื่อก่อนเป็นแน่  

 

 

เขาใช้กลเม็ดนี้กล่อมนางไม่รู้ตั้งกี่หนแล้ว เฉินยางค่อยๆ ถูกเขากลืนลงไปหมด ในตามีแต่ความห่างเหิน มองเขาอย่างเลื่อนลอย ไม่พูดอะไรสักคำ แต่ความผิดหวังนั้นแสดงออกมาทั้งทางสีหน้าและแววตาแล้ว ไม่มีกะจิตกะใจจะไปถกเถียงกับเขาด้วยซ้ำ “ช่างเถอะ ให้มันเป็นอย่างนี้ไปก่อน เรื่องที่เหลือ รอจนเสี่ยวจินอวี๋กลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกที”  

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋รู้สึกได้เลยว่าในใจเบาโหวงยิ่งนัก นางเป็นแบบนี้ทำให้คนเจ็บปวดใจกว่าตบตีหรือด่าทอเขาอีก ราวกับเชือกเส้นหนึ่ง ใช้สุดแรงมัดไว้ พอใกล้จะขาดออกก็ถูกคนดึงรั้งเอาไว้ เสียงสุดท้ายนั้นมีกลิ่นอายที่คงเหลืออยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อลองลิ้มรสดูแล้ว ล้วนเป็นความเศร้าอาดูรที่อ้อมค้อมนั่นเอง  

 

 

“เฉินยาง เราทั้งคู่ชาตินี้ล้วนถูกผูกเข้าไว้ด้วยกันเสียแล้ว ข้าไม่สนใจว่าเจ้าคิดอย่างไร แต่ว่าต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป”  

 

 

 

 

 

——

 

 

[1]  ที่แห่งนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง (此地无银三百两 )  เป็นสำนวน หมายความว่า อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้

 

 

[2]  皂 แปลว่าสีดำ ความหมายทั้งคำคือ ไม่จำแนกว่าเป็นสีเขียว สีแดงสีดำหรือสีขาว อุปมาว่า ไม่แยกถูกแยกผิด บุ่มบ่ามวู่วาม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+