ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 535 จับได้แล้วให้ประหารทันที / 536 ร่างเล็กๆ ของเจ้านี้ล้มจนกระดูกแตก

Now you are reading ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง Chapter 535 จับได้แล้วให้ประหารทันที / 536 ร่างเล็กๆ ของเจ้านี้ล้มจนกระดูกแตก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 535 จับได้แล้วให้ประหารทันที

 

 

ฮ่องเต้มีพระโอรสสิบสองคน มกุฎราชกุมารเป็นลูกของไทเฮา ปีนี้พระชนมพรรษาสิบสอง ฮ่องเต้คุมราชกิจด้วยพระองค์เอง มกุฎราชกุมารมีโอกาสน้อยนักที่จะได้ฝึกฝน ยามนี้ฮ่องเต้ถูกลอบสังหาร มกุฎราชกุมารถูกผลักให้กุมบังเ**ยน ในพระเศียรไม่มีความคิด ไม่รู้จะเริ่มลงพระหัตถ์จากที่ใดดี

 

 

ฝั่งเอี๋ยนเลี่ยงนั้นเสี่ยงชีวิตต้านไว้ก็ต้านได้เพียงชั่วคราว หากราชสำนักไม่อาจส่งกองกำลังเสริมได้ทัน ด่านเอี้ยนหงถูกตีแตกก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว

 

 

ยามนี้เมืองหลวงวุ่นวายเช่นนี้ จะสนใจใครได้อีก เหลียงอู๋เย่ว์ก็ไม่สำคัญแล้ว จะตีอ๋องซู่ให้ถอยอย่างไรถึงสำคัญกว่า

 

 

แม้ว่ามกุฎราชกุมารจะสงสัยเฝิงเยี่ยไป๋และเว่ยหมิ่นว่ามีความเกี่ยวโยงกัน แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถเอาหลักฐานออกมาได้ ยามนี้จะให้เหล่าขุนนางผิดหวังไม่ได้ ยิ่งไม่อาจคาดเดาแล้วฆ่าผิดคนได้ มกุฎราชกุมารมีความเมตตามากกว่าฮ่องเต้ แต่ก็เผยให้เห็นถึงความอ่อนไหว อย่างไรเสียก็ยังเป็นเด็ก ภาระหนักเช่นราชกิจลงที่ไหล่เขาทันที จะระวังเสียหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ

 

 

ช่วงแรกที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ก็ฆ่าพี่น้องที่ฆ่าได้จนหมดสิ้น ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็เหลือเพียงซู่อ๋องคนเดียว มกุฎราชกุมารอยู่ในราชกิจไม่มีใครช่วยเหลือ ที่ข้างล่างก็ดันเลี้ยงคนไร้ความสามารถมากมาย แต่ละคนทำได้เพียงร้องโอดครวญว่าโชคร้าย ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ก็ยินดีที่จะไม่สนใจ เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างสงบ ฟังมกุฎราชกุมารกริ้วอยู่ในราชกิจ ด่าพวกเขาว่าเป็น “พวกเฒ่าสถุล” เสียงของเด็กยังคงเป็นเด็ก จะตะโกนอย่างไรก็ไม่มีพลังอำนาจ ตะโกนจนสุดท้ายเสียงแหบ เขานั่งลงพัก ตรัสถึงแม่ทัพใหญ่ที่ติดตามพระบิดาไปในวันนั้น “ท่านหญิงบังอาจลอบสังหารพระบิดาเรา ประกาศคำสั่งของเราออกไป หลังจับได้ให้ประหารทันที!”

 

 

“มกุฎราชกุมาร ฝ่าบาทตรัสสั่งว่าจะจับทั้งเป็น!”

 

 

“ยามนี้พระบิดายังไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตาย ล้วนเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ ยังจะเก็บนางไว้เพื่ออะไรอีก บังอาจลอบสังหารฮ่องเต้ก็เป็นโทษใหญ่ถึงประหารเจ็ดชั่วโคตร” มกุฎราชกุมารเหลือบมองเฝิงเยี่ยไป๋ด้วยท่าทางที่เหมือนดั่งไม่ได้ตั้งใจ “ปล่อยให้นางรอดมาหลายวันถือเป็นบุญคุณแล้ว พอจับได้ก็ให้ประหารทันที!”

 

 

เพิ่งจะบอกว่าเขาเมตตา ยามนี้ดูแล้วก็เพียงแค่เก็บซ่อนได้ดีกว่าฮ่องเต้เท่านั้น ฮ่องเต้เป็นคนที่ใช้ไม่ค่อยได้ มกุฎราชกุมารโตมาเท่านี้ จำนวนครั้งที่พบฮ่องเต้ก็ใช้นิ้วนับได้ พระองค์ถูกไทเฮาเลี้ยงมาด้วยตัวเอง ผู้หญิงในวังหลังไม่มีใครไร้ฝีมือ พระองค์ติดตามไทเฮา เรียนรู้จนได้ดั่งเช่นตอนนี้ เก็บซ่อนอารมณ์ ทำเรื่องใดๆ ล้วนมีความระมัดระวังของผู้หญิงก็ไม่แปลก

 

 

พระบิดาของพระองค์แสดงสีพระพักตร์ไม่ปิดบัง ไม่ใช่สิ่งที่ฮ่องเต้ควรกระทำ พระองค์เก่งกว่าพระบิดา อย่างน้อยก็รู้หลักการที่ไม่แสดงอารมณ์ทางสีพระพักตร์ เป็นเช่นนั้นจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่า

 

 

เพียงแต่ที่สำนักหมอหลวงนั้นยังไม่มีข่าวที่เกี่ยวกับอาการของฮ่องเต้เลย มกุฎราชกุมารนี้กลับด่วนตัดสินว่าไม่รู้ความเป็นความตายของฮ่องเต้ ดูแล้วก็เป็นผู้ที่เฝ้าฝันถึงราชสมบัติ อยากจะรีบเตะพระบิดาออก ตัวเองเป็นเจ้าแผ่นดิน เพียงแต่เด็กก็ยังคงเป็นเด็ก จะควบคุมอย่างไร ความโลภที่อยู่ในสายตาก็ไม่อาจปิดบังได้ ใครๆ ก็อยากเป็นฮ่องเต้ เพียงแต่จะได้เป็นหรือไม่นั้นก็อาศัยความสามารถของแต่ละคนแล้ว

 

 

ผ่านไปสองวันแล้วก็ยังคงไม่มีข่าวของเว่ยหมิ่น คนของเขาตามหานางอยู่ คนของฮ่องเต้ก็ตามหานาง ตอนแรกคิดจะกลับไปที่จวนแล้วส่งคนไปตามหาเพิ่ม เพียงแต่กลับไปแล้ว เฉาเต๋อหลุนกลับบอกเขาว่าเหลียงอู๋เย่ว์หายไปแล้ว

 

 

ไม่ใช่เพียงแค่คนหายไป ยังขี่ม้าตัวหนึ่งที่คอกม้าไป ตอนนี้ประชาชนที่เมืองหลวงต่างหวาดผวา จะย่องออกจากเมืองก็ไม่ยาก เขารู้ว่าเหลียงอู๋เย่ว์นั่งไม่ติด จึงตั้งใจสั่งคนเฝ้าที่ที่เขาอยู่ ใครจะรู้ว่าเขาเอาสิ่งที่เรียนรู้ใหม่มาใช้ ใช้วิธีแอบย่องที่เขาสอนนั้นหนีออกไป

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 536 ร่างเล็กๆ ของเจ้านี้ล้มจนกระดูกแตก

 

 

ที่จริงแล้วหากคิดในมุมกลับกัน เปลี่ยนเป็นเขา ก็จะไม่สนสิ่งใดไปช่วยเฉินยาง เขาชอบเว่ยหมิ่นตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ยามที่เริ่มพูดได้ก็วิ่งตามหลังเว่ยหมิ่น ความผูกพันกี่สิบปี รักนางมากกว่ารักตัวเองนานแล้ว ก่อนหน้านี้เป็นเพราะออกไปไม่ได้ ไร้วิธี ตอนนี้พอได้โอกาส ย่อมอยากจะไปหานาง

 

 

เฉินยางถูกซั่งเหมยห่ออย่างแน่นหนาถึงได้ปล่อยนางออกมา บนศีรษะยังมีหมวกขนสัตว์ มองไกลๆ แล้วนางเหมือนดั่งลูกไหมพรม ยืนกลมเกลี้ยงอยู่ท่ามกลางลมหนาว ดูไปแล้วทำเอารู้สึกตลกนัก นางเห็นเขาแล้ว ก็ดึงมือออกจากแขนเสื้อจนสุนัขจิ้งจอกโบกให้เขา สองสามีภรรยานี้แต่งงานมานานเช่นนี้แล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางออกมาต้อนรับเขา สุดท้ายก็มีท่าทางเป็นสามีภรรยาเสียที

 

 

เขาก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นไปรับ รู้สึกดีใจ เพียงแต่สีหน้ากลับไม่ได้ดูดีนัก “ใครให้เจ้าออกมา ไม่ใช่ว่าอยู่ในช่วงพักฟื้นจะให้ถูกลมหนาวไม่ได้หรือ”

 

 

นางหมุนตัวต่อหน้าเขา นางสวมชุดหนา ดูรูปร่างไม่ออก เพียงแต่ท่าทางตลกเช่นนี้ ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเป็นผู้ที่เพิ่งคลอดลูก ดูไปแล้วก็ยังเห็นเป็นเด็กอยู่เลย คิ้วนางโค้งงอ เปล่งประกายยิ่งกว่าแสงพระอาทิตย์ในฤดูหนาว นางคล้องแขนด้วยท่าทางเอาใจเหมือนดั่งสุนัขจิ้งจอกที่เจ้าเล่ห์ “ท่านดูสิ ข้าถูกห่ออย่างแน่นหนาเช่นนี้จะถูกลมหนาวได้อย่างไร ข้าอยู่ในห้องน่าเบื่อยิ่งนัก จึงออกมาเดินเล่น”

 

 

ซั่งเหมยถอยไปอยู่ข้างหลังทั้งสองคนอย่างรู้ตัว เดินตามด้วยระยะทางที่ไม่ใกล้ไม่ไกล บนท้องฟ้ามีหิมะโปรยลงมา ไม่ทันไรก็ปกคลุมบนพื้นจนเป็นสีขาว เฉินยางจับแขนของเขาค่อยๆ เดินไป ทางที่เดินมามีรอยเท้าใหญ่หนึ่งเล็กหนึ่งเคียงคู่กัน จนสุดท้ายก็เหลือเพียงรอยเท้าของคนคนเดียวแล้ว

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋อุ้มนางไว้ ยามที่ตั้งครรภ์อยู่นั้น พออุ้มก็ยังรู้สึกว่ามีน้ำหนักอยู่บ้าง ยามนี้เด็กคลอดออกมาแล้ว คนก็กลับไปเบาเช่นเดิม อุ้มไว้เหมือนดั่งอุ้มขนนกเช่นนั้น แทบไม่ต้องให้เขาออกแรงเลย

 

 

“ไฉนถึงเบาเช่นนี้” เขาโยนนางขึ้นไปเล็กน้อย “ไม่ได้กินข้าวดีๆ อีกแล้วใช่หรือไม่”

 

 

เฉินยางตกใจร้องเบาๆ ออกมา นางใช้มือคล้องคอของเขากลับตกลงไป สายตาเหลือบเห็นซั่งเหมยเอามือป้องปากหัวเราะ นางตบไหล่เฝิงเยี่ยไป๋ ให้เขาวางตัวเองลง

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ไม่สนใจนาง กลับอุ้มนางเดินเร็วขึ้นเล็กน้อย “หิมะตกแล้ว บนพื้นลื่นนัก ร่างเล็กๆ ของเจ้านี้ระวังจะล้มจนกระดูกแตกอีก”

 

 

“ข้าไม่ได้ทำจากกระเบื้องเสียหน่อย จะล้มจนกระดูกแตกได้หรือ” นางหยุดเล็กน้อยก็พูดอีกว่า “ที่จริงแล้ว… วันนี้ยามที่เหลียงอู๋เย่ว์ไปนั้นข้าเห็นเขา เขาไปอย่างรีบร้อนนัก ยังบอกข้าว่าอย่าบอกท่าน ข้า… เขาร้องไห้ต่อหน้าข้า ข้าอดไม่ได้ จึง… จึงปล่อยเขาไปแล้ว ข้าทำผิดหรือไม่ เมื่อวานท่านเพิ่งช่วยเขาออกมา ข้ากลับปล่อยเขาออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาออกไปจะมีอันตราย แต่ก็ยัง…”

 

 

นางเป็นคนหูเบาตั้งแต่แรก เรื่องของเหลียงอู๋เย่ว์กับเว่ยหมิ่น นางก็ใส่ใจยิ่งกว่าใครๆ อีก พวกเขาทั้งสองคนอยู่ในสภาพเช่นนี้ ข่าวร้อยมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเหลียงอู๋เย่ว์ร้องไห้ ก็กระแทกใจนางพอดี เขาร้องจนนางหวั่นไหว ก็ใจอ่อนปล่อยเขาไปแล้วไม่ใช่หรือ!

 

 

ภรรยาของเขานี้ อย่างอื่นไม่มี ก็คือหลอกง่าย เขาก็ไม่แปลกใจ อีกอย่าง เหลียงอู๋เย่ว์อยากจะไป ต่อให้เขาห้ามได้ชั่วคราว เว่ยหมิ่นยังหาไม่เจอ เขายังสามารถห้ามเขาไปตลอดชีวิตได้หรือ

 

 

“ไม่ใช่ปัญหาของเจ้า ในเมื่อเขาอยากจะไป ก็ให้เขาไปเถิด ข้าจะส่งคนตามไป ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ฝั่งเว่ยหมิ่นนั้น นี่ก็ผ่านไปสองวันแล้ว นางไม่กินไม่ดื่ม ไปได้ไม่ไกลนัก ขอเพียงคนของข้าหานางเจอก่อนคนของฮ่องเต้ ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด