ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 429 หญิงนั้นอ่อนแอ เป็นแม่นั้นแกร่ง / 430 พวกคนเห็นแก่เงิน

Now you are reading ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง Chapter 429 หญิงนั้นอ่อนแอ เป็นแม่นั้นแกร่ง / 430 พวกคนเห็นแก่เงิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 429 หญิงนั้นอ่อนแอ เป็นแม่นั้นแกร่ง

 

 

เฉินยางมองจดหมายที่อยู่ในมือเฉาเต๋อหลุนด้วยความสงสัย ใครจะเขียนจดหมายให้นาง? ความรู้สึกอยากรู้เกิดขึ้นมา ประโยคแรกก็แทบจะทำเอานางร้องออกมาแล้ว

 

 

เป็นจดหมายที่เว่ยหมิ่นเขียนให้นาง

 

 

ในนั้นได้เล่าสภาพของตัวเองในช่วงนี้ บอกว่านางถูกฮ่องเต้กักบริเวณ แม้แต่ไทเฮาก็ไม่สามารถไปเยี่ยมนางได้ แล้วบอกอีกว่าครั้งก่อนเกือบจะแท้งลูก ก็เป็นฮ่องเต้ที่ตรัสสั่งครัวหลวงให้วางยาแท้งลูกในอาหารของนาง ตอนนี้แม้แต่กินข้าวนางก็ยังต้องระวังมากขึ้น การใช้ชีวิตต้องระวังทุกอย่าง กลัวจะก้าวพลาดตกอยู่ในกับดักของฮ่องเต้ นี่เป็นลูกคนแรกของนาง ผู้หญิงพอเป็นแม่แล้วจะแกร่ง ลูกเป็นความหวังเดียวที่นางยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่นางตัวอยู่ในวัง ถูกฮ่องเต้หักปีก มีความสามารถมากมายเพียงใดก็ไม่มีที่ใช้ คิดแล้วว่าจะปล่อยให้ถูกควบคุมอยู่เช่นนี้ไม่ได้ ตัวเองจึงได้แต่หาวิธีติดต่อกับข้างนอก

 

 

จดหมายนี้เป็นนางที่ซื้อขันทีน้อยของครัวหลวงถึงส่งออกมาได้ เมื่อได้เจอจดหมายก็เหมือนดั่งตัวนาง ให้นางต้องไปเยี่ยมเหลียงอู๋เย่ว์ที่อยู่จวนท่านหญิง เขาถูกฮ่องเต้กักบริเวณอยู่ในจวนท่านหญิง นางกลัวว่าฮ่องเต้จะวางแผนร้ายใส่เขา เหลียงอู๋เย่ว์คนเดียวจะต้านไม่ไหว

 

 

เฉินยางยิ่งดูไปข้างหลังก็ยิ่งรู้สึกน่ากลัว มาคิดดูตอนนี้ เวลานี้ฮ่องเต้ส่งให้เฝิงเยี่ยไป๋ออกไป เป้าหมายไม่ใช่เจาะจงที่เขาง่ายๆ เช่นนั้นแน่นอน ตอนนี้เฝิงเยี่ยไป๋ไม่อยู่ในเมืองหลวง คนที่พวกนางพึ่งพิงได้ก็มีเพียงตัวเอง ขาดตัวการสำคัญ จะจัดการพวกนาง ก็ไม่ใช่เหมือนดั่งหั่นเนื้อที่อยู่บนเขียงง่ายดายเช่นนั้นหรือ

 

 

จากจดหมายก็รู้ได้ว่า เว่ยหมิ่นมีชีวิตอยู่ในวังลำบากนัก กินไม่อิ่มยังหวาดระแวงอีก พอมาคิดดูตอนนี้ ก็น่าสงสารยิ่งนัก นางเป็นถึงท่านหญิง เคยยิ่งใหญ่มาก่อน เดินไปที่ใดมีแต่คนเอาใจ ฐานะนี้เป็นฮ่องเต้ที่มอบให้นาง ความสบายทุกอย่างก็เป็นฮ่องเต้ที่มอบให้นาง ตอนนี้ฮ่องเต้เก็บทุกอย่างกลับไปแล้ว นางยังเหลืออะไรอีก สุดท้ายแล้วก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น

 

 

นางเป็นเพียงผู้หญิงคนเดียว คิดจะหนีออกจากคุกเช่นวังนี้ ไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยนจะหนีได้อย่างไร

 

 

เฉาเต๋อหลุนเห็นสีหน้านางผิดแปลกไป จึงโค้งตัวถามว่า “นายหญิง ท่านเป็นอะไรหรือ”

 

 

เว่ยหมิ่นเป็นผู้หญิง แล้วนางไม่ใช่หรือ เพียงแต่พวกนางนอกจากเป็นผู้หญิงแล้ว ก็ได้ถูกฐานะหนึ่งใส่เอาไว้แล้ว… นั่นคือแม่!

 

 

หญิงนั้นอ่อนแอเป็นแม่นั้นแกร่ง เว่ยหมิ่นพูดไม่ผิด จะหลบอยู่ข้างหลังเฝิงเยี่ยไป๋อย่างขี้ขลาดอยู่ตลอดไม่ได้ รอให้เขามาช่วยกระมัง

 

 

สามีภรรยาเป็นคนเดียวกัน เขาไม่อยู่ นางก็สามารถแบกรับภาระหนักได้ แม้ว่าจะไม่มีความสามารถช่วยเว่ยหมิ่นออกมา เพียงแต่เรื่องที่นางขอร้องนางก็ยังสามารถทำได้อยู่

 

 

“ข้าไม่เป็นไร” นางพยุงท้องยืนขึ้นมา “ผู้ดูแลเฉา รบกวนเจ้าไปเตรียมรถม้าให้ข้า ข้าจะออกไป”

 

 

ท้องของนางโตวันโตคืน พยุงยืนขึ้นมาก็ลำบากแล้ว เฉาเต๋อหลุนไม่ค่อยวางใจนัก “ท้องของท่าน… นายหญิง ท่านมีเรื่องใดสั่งให้บ่าวไปทำก็ได้แล้ว มีเรื่องใดที่ท่านต้องไปด้วยตัวท่านเองหรือ”

 

 

เฉินยางเก็ยจดหมายไป พยุงท้องเดินไปสองก้าวบอกไม่เป็นไร “เจ้าไปเถิด ข้ารู้ตัวเองดี ลูกของข้าเอง ระวังมากกว่าพวกเจ้า อีกเดี๋ยวให้ซั่งเหมยตามข้าไปก็พอ”

 

 

เฉาเต๋อหลุนลังเลอยู๋ครู่หนึ่ง ก็ยังคงไม่วางใจ “ก่อนที่ท่านอ๋องจะไปได้กำชับไว้แล้ว ให้บ่าวดูแลท่านให้ดีๆ ท่านดูนี่… หากท่านอ๋องลงโทษมา…”

 

 

“ลงโทษมาก็มีข้าแบกให้ เจ้าไม่ต้องกลัวเขา อีกอย่าง ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่เมืองหลวง ข้าออกไปเพียงครู่เดียว กลับมาอย่างรวดเร็ว”

 

 

นิสัยดื้อดึงของนายหญิงคนนี้ล้วนเป็นที่รู้กัน เรื่องที่นางจริงจังนั้น วัวสิบตัวก็ฉุดไม่อยู่ เฉาเต๋อหลุนจนปัญญา จึงได้แต่ไปทำ ยามจะไปนั้นก็กำชับซั่งเหมยนักหนา แทบอยากจะเปลี่ยนซั่งเหมยให้เป็นตัวเองเช่นนั้น

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 430 พวกคนเห็นแก่เงิน

 

 

เหลียงอู๋เย่ว์ถูกขังอยู่ในจวนท่านหญิง ไม่ใช่ว่าไม่เคยหาโอกาสหนี เพียงแต่ทั้งในและนอกจวนท่านหญิงล้วนถูกกององครักษ์ของฮ่องเต้ล้อมเอาไว้จนเข้าออกไม่ได้ เขาออกจากห้องก็ยังมีคนเฝ้ามองเขาอยู่บนคาน ไปที่ใดก็มีคนเดินตามอยู่ หนี จะหนีไปที่ใด

 

 

เขาเคยลองอยู่หลายครั้ง ปีนกำแพงปีนบันได แปลงโฉมเปลี่ยนหน้า ถึงขั้นขุดอุโมงค์เขาก็คิดออกมาแล้ว ใช้ไม่ได้ กององครักษ์เหล่านั้นเหมือนดั่งมีตาแปดคู่ จ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็สามารถลากเขากลับมาได้

 

 

ฮ่องเต้แยกทั้งสองคนออกจากกันอย่างดื้อด้าน คนหนึ่งอยู่ในวังอีกคนอยู่นอกวัง ความห่างไกลนั้นกลับยิ่งกว่าขอบฟ้าเสียอีก

 

 

ความทรมานนั้นมีมากเพียงใดหรือ หากนางเป็นเว่ยหมิ่น ไม่แน่ตอนนี้ก็คงล้มลงแล้ว ตรงหน้าไม่เห็นความหวัง ทุกเวลาที่อยู่ในวังก็เหมือนดั่งถูกทรมาน ช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

 

 

รถม้าเพิ่งหยุดอยู่หน้าจวนท่านหญิง กององครักษ์ที่อยู่หน้าประตูก็ถือหอกเดินล้อมเข้ามาแล้ว ซั่งเหมยเปิดม่านดู ก็ตกใจ นางประคองเฉินยางลงมาอย่างระมัดระวัง ยามนี้ต่อให้ฝีปากดีเพียงใดก็ใช้ไม่ได้ นางเป็นเพียงสาวใช้ตัวน้อย เมื่อต้องเจอกัยกององครักษ์ก็หวาดกลัว นางประคองเฉินยาง ทั้งสองคนล้วนเพิ่งจะเจอภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรก ต่างตัวสั่นต้องประคองกันถึงจะยืนได้นิ่ง

 

 

หัวหน้ากององครักษ์ชูหอกเปิดม่านรถมองดูข้างใน ไม่เห็นว่ามีอะไร จึงเหลือบมองไปที่เฉินยาง ทำหน้าบึ้งถามว่า “นี่ไม่ใช่พระชายาอ๋องกู้หลุนหรือ ไฉนท่านถึงมาที่นี่เสียแล้ว”

 

 

เฉินยางตั้งสติ เชิดศีรษะพูดไม่หวาดกลัวว่า “ข้ามาเยี่ยมจวิ้นหม่า”

 

 

หัวหน้ากององครักษ์หัวเราะหึๆ ตั้งหอกขึ้นมา ตะโกนว่า “ฝ่าบาทมีราชโองการ ก่อนที่จะถึงวันอภิเษกของจวิ้นหม่าและท่านหญิง ไม่ให้เข้าออกจวนท่านหญิง และไม่ให้พบหน้าใคร ต่อให้เทพเซียนมาแล้วก็ไม่สน พระชายาเชิญกลับไปเสีย!”

 

 

เฉินยางตกใจ รีบพยุงท้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว “ข้าก็ไม่ได้? ท่านหญิงเป็นน้องสาวของท่านอ๋องบ้านข้า เช่นนั้นจวิ้นหม่าก็เป็นน้องเขยของข้า ผู้เป็นพี่สะใภ้มาเยี่ยมน้องเขยก็ไม่ได้หรือ ใต้ฟ้ามีเรื่องนี้เสียที่ใด”

 

 

ซั่งเหมยกลัวว่านางจะมีภัยเพราะปาก จึงรีบขวางนางไว้แล้วพูดกล่อมว่า “ใต้เท้า ท่านดู นายหญิงบ้านข้ายังตั้งครรภ์อยู่เลย พวกเราเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอสองคน ต่อให้เข้าไปแล้ว ก็จำอะไรได้อีก ท่านมีคนมากมายเช่นนี้ พวกเราจะกล้าสร้างเรื่องที่จวนท่านหญิงได้อย่างไร เพียงแค่เข้าไปพูดคุยกับจวิ้นหม่าเสียหน่อย กำชับเรื่องงานอภิเษก พวกเราเพียงพูดคุยเล็กน้อย ท่านไม่วางใจส่งคนตามพวกเราก็ได้ เพียงเวลาธูปหนึ่งดอก ผ่านเวลาไปแล้วพวกเราก็ออกมา ขอเพียงท่านไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้”

 

 

นางหยิบเงินที่เฉินยางให้นางไว้ซื้อคนจากแขนเสื้อ แล้วยัดให้กับหัวหน้า พลางโค้งคำนับพลางยิ้มให้ ขอเพียงเขาใจอ่อน ปล่อยให้พวกนางเข้าไป

 

 

พวกเขาเฝ้าอยู่หน้าประตูจวนท่านหญิงอยู่ทุกวัน ลมพัดฝนสาดตากแดดอยู่ทุกวัน และก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย ยิ่งไม่มีใครเดินมาที่จวนท่านหญิง พระชายาอ๋องกู้หลุนนี้จ่ายหนัก ช่างทำเอาหวั่นไหวเสียจริง

 

 

งานที่พวกเขาทำนั้นเป็นงานลำบาก เอาชีวิตไปเสี่ยงหนึ่งปีก็ไม่ได้เงินมากมายเท่าไรนัก ก็เพียงแค่เวลาธูปหนึ่งดอกไม่ใช่หรือ คุ้มอะไร เขาไม่พูด จะมีใครรู้ได้อย่างไร

 

 

เงินเป็นของดี ใครจะทะเลาะกับเงินได้ หัวหน้ารับเงินไป แล้วเหลือบมองเฉินยางหัวเราะเบาๆ ให้ทหารหลีกทางให้ปล่อยนางเข้าไป “มีเวลาเพียงธูปหนึ่งดอกเท่านั้น ถึงเวลาแล้ว พระชายาอย่าได้ทำให้ข้าต้องลำบากใจ!”

 

 

ซั่งเหมยยิ้มขานรับ นางประคองเฉินยางก้าวเข้าไปในประตู พริบตาเดียวสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “ถุย! พวกคนเห็นแก่เงิน ไม่ดูว่าตัวเองเป็นใคร มาอวดเบ่งให้ใครดูหรือ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด