Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 4 130 ประตูบ้านปิดไว้ไม่อยู่

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 130 ประตูบ้านปิดไว้ไม่อยู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พูดไปแล้วเต๋อเซิ่งชางก็อาศัยตระกูลเฉาเปิดฉากร้านแลกเงินที่ซานซี

 

 

ตระกูลเฉาคือตระกูลมารดาของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

 

ตอนแรกสุดร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชางติดต่อค้าขายกับตระกูลเฉามากมาย มีคนของตระกูลเฉาไม่น้อยอยู่ในร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชางด้วย

 

 

ต่อมาตระกูลเฉาตกต่ำลงทุกวัน ตระกูลฟางรุ่งเรืองขึ้นทุกที หลังจากนั้นนายท่านผู้เฒ่าฟาง นายท่านฟางก็จากโลกไปกะทันหัน บุตรที่นายหญิงใหญ่ฟางตั้งครรภ์อยู่ก็ไม่รู้เป็นชายหรือหญิง คนของตระกูลเฉาจึงเกิดความคิด คิดทำให้สองครอบครัวกลายเป็นครอบครัวเดียว ตระกูลเฉารู้สึกว่านี่ก็เป็นความช่วยเหลือสำหรับนายหญิงผู้เฒ่าฟางบุตรสาวที่แต่งออกไปคนนี้

 

 

อย่างไรเวลานั้นตระกูลฟางดั้งเดิมที่ซานตงก็มาหาเรื่องอยู่

 

 

ผลสุดท้ายนายหญิงผู้เฒ่าฟางปฏิเสธเด็ดขาด ไม่เพียงเท่านี้ ยังโอหังคืนคนของตระกูลเฉาในเต๋อเซิ่งชาง ไล่เก็บหนี้จนเกลี้ยง ในนี้ยังมีพี่น้องแท้ๆ ของนางด้วย

 

 

บีบบังคับจนพี่น้องหลายคนไม่อาจไม่ขายทอดสมบัติตระกูล มารดาของนายหญิงผู้เฒ่าฟางเวลานั้นยังอยู่บนโลก อายุเจ็ดสิบแปดสิบวิ่งมาขอร้องบุตรสาว ลั่นวาจาว่าหากไม่ยอมก็ตีนางให้ตายเสียก่อน

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองมารดาที่โวยวายขวางประตูอยู่ คว้าไม้กระบองในมือผู้คุ้มกันเรือนมาหวดเข้าไปอย่างไม่ลังเลสักนิด

 

 

“กล้าแย่งเงินทองของข้า ไม่ใช่ญาติ ล้วนเป็นศัตรูข้า” นางตะโกน

 

 

หนึ่งกระบองฟาดจนนายหญิงผู้เฒ่าเฉาหัวแตกเลือดไหล แล้วก็ฟาดจนคนทั้งซานซีตะลึงงัน กับเดรัจฉานที่รู้จักแต่เงินไม่รู้จักญาติเช่นนี้ยังมีพูดดีๆ อันใดอีก คนตระกูลเฉาก็ดี คนตระกูลฟางก็ดีล้วนหางจุกตูดจากไป ตั้งแต่นั้นตัดญาติขาดมิตร บนถนนพบพานก็ถือเป็นคนแปลกหน้า

 

 

เวลานั้นพี่น้องตระกูลฟางยังเล็ก ทั้งยังผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว แม้ในด้านกิจการจะถูกเลี้ยงดูอบรมอย่างเคร่งครัด แต่ในด้านชีวิตปกติกลับเสพสุขกับการทะนุถนอมจากญาติผู้ใหญ่ นายหญิงผู้เฒ่าฟางผู้ไร้หัวใจไร้คุณธรรมที่เล่ากันคนนั้นสำหรับพวกนางแล้วคล้ายเป็นผู้อื่น

 

 

นี่จะทำอะไร?

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้าซีดเผือด นายหญิงใหญ่ฟางก็วิตก มีเพียงฟางอวี้ซิ่วยังคงสีหน้าดุจเดิม

 

 

“คุณหนูทั้งสอง นายหญิงผู้เฒ่าถามว่าเล่นพอหรือยังเจ้าคะ” หญิงรับใช้ที่นำหน้าสีหน้าบึ้งตึงเอ่ยขึ้น “เล่นพอแล้วก็มอบตราประทับมาเจ้าค่ะ”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วตัวสั่นระริกเหมือนที่เป็นมาเสมอมองฟางอวี้ซิ่ว

 

 

“หากยังเล่นไม่พอเล่า?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยถาม “จะตีพวกเราให้ตายไหม?”

 

 

“เจ้าอย่าพูดเหลวไหล พวกเจ้าทำไมไม่รู้ความเช่นนี้” นายหญิงใหญ่ฟางเอ็ด ด้านหนึ่งคือแม่สามี ด้านหนึ่งคือบุตรสาว นางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีแล้วจริงๆ

 

 

หญิงรับใช้สีหน้าไร้อารมณ์

 

 

“คุณหนูรองล้อเล่นแล้ว” นางเอ่ยพลางโบกมือให้คนด้านหลังร่าง

 

 

หญิงรับใช้หลังร่างถือเชือกรุมเข้ามาทันที นายหญิงใหญ่ฟางกางมือจะขวางก็ไม่รู้ควรขวางอย่างไร

 

 

ส่วนฟางอวิ๋นซิ่วรีบก้าวมายืนหน้าร่างฟางอวี้ซิ่ว แม้สีหน้าซีดขาวแต่แววตาแน่วแน่ ไม่ถอยไม่หลีก

 

 

“ข้าให้ ข้าให้ ไม่ต้องลงไม้ลงมือ” ฟางอวี้ซิ่วชูมือเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาดฉับไว

 

 

คนทั้งห้องตะลึงวูบหนึ่ง บรรดาหญิงรับใช้หวิดหยุดเท้าไม่ทัน

 

 

นี่ก็ให้แล้วหรือ?

 

 

นี่ก็…ไม่สู้คนเกินไปแล้วกระมัง?

 

 

“ต่อให้มอบมา คุณหนูทั้งสองก็ก่อหายนะแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าสั่งกักบริเวณพวกท่าน” หญิงรับใช้สีหน้าเย็นชาเอ่ย ส่งสัญญาณให้หญิงรับใช้ทั้งหลายก้าวเข้ามา

 

 

ฟางอวี้ซิ่วขานอืมตอบ

 

 

“นั่นคงไม่ได้” นางเอ่ย “ต่อให้เอาตราประทับออกมาแล้ว ไม่ใช่ข้าไปเอง ผู้ดูแลทั้งหลายก็ไม่มีทางเปิดคลัง นี่เป็นสิ่งที่ข้าบอกไว้ยามแรก”

 

 

คิ้วของหญิงรับใช้เลิกขึ้น

 

 

“อวี้ซิ่ว เจ้าอย่าเกินไปนัก ให้เจ้าคุมเรื่องราวได้ไม่กี่วัน เจ้าก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้วรึ? เจ้าคิดว่าเต๋อเซิ่งชางนี่เป็นของเจ้าจริงๆ แล้วหรือ? ไม่มีเจ้าก็ปิดกิจการแล้วหรือ?” นายหญิงใหญ่ฟางคิ้วตั้งตวาด

 

 

ฟางอวี้ซิ่วหน้านิ่งสงบยักไหล่

 

 

“แน่นอนว่าไม่” นางเอ่ยตอบ “แต่ดีร้ายก็คุมเรื่องราวมาตั้งหลายวัน เพิ่มความวุ่นวายสักเรื่องคงได้กระมัง”

 

 

สาวน้อยน่าตายคนนี้ นายหญิงใหญ่ฟางถลึงตา ครั้งที่สองที่รู้สึกไม่ชอบคนฉลาดทั้งยังเฉยชาเช่นนี้ ครั้งแรกคือตอนเผชิญหน้ากับคุณหนูจวิน

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“ให้นางไป” นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าถมึงทึงตวาด

 

 

“ใครจะรู้ว่าที่นางพูดจริงหรือหลอก ไปถึงร้านแลกเงินยังจะก่อเรื่องอะไรอีก ก็ไม่รู้ว่าพวกนางทำได้อย่างไร ในร้านแลกเงินก็คงซื้อตัวคนไว้ไม่น้อย ถึงขั้นเชื่อฟังคำพูดของพวกนางจริงๆ…” นายหญิงใหญ่ฟางลังเลเอ่ยขึ้น ทั้งยังติดจะตำหนิตนเองอยู่บ้าง “ข้าก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ทำไมเป็นเช่นนี้แล้ว”

 

 

“พอดีดูซิว่าใครเชื่อฟังคำพูดก่อเรื่องตาม จับเสียด้วยกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าคุมเต๋อเซิ่งชางมาหลายสิบปี ยังสู้แม่นางน้อยคนเดียวไม่ได้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางคิ้วตั้งตวาด “เปิดร้านแลกเงิน สงบคำวิพากษ์วิจาร์ข้างนอกลงก่อน ถ้าก่อเรื่องอีกก็ปิดประตูให้โวยวายอยู่ในบ้านตนเอง”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าดูแล้วร้อนรนยิ่ง

 

 

หรือเพราะเรื่องที่สาวน้อยสองคนก่อจึงลนลานเช่นนี้ขึ้นมาแล้วจริงๆ?

 

 

ก็ยากเลี่ยง ถูกคนใกล้ชิดของตนคนที่ไม่ระแวงทำร้ายถึงทำให้คนโกรธและเสียใจจนลนลานที่สุด

 

 

ตนเองช่วงนี้ก็ไม่ใช่โกรธจนใจร้อนรนหายใจไม่ทันรึ

 

 

นายหญิงใหญ่หนิงขานรับ

 

 

ยามรถม้าขับออกจากประตูใหญ่ตระกูลฟาง ชาวบ้านบนถนนก็ตกใจสะดุ้งโหยง

 

 

“มีคนออกมาแล้ว!”

 

 

“รีบมาดูเร็ว ใครกันน่ะ!”

 

 

คนที่บ้างนั่งบ้างยืนกระจายอยู่ริมถนนถกกันดังขึ้นเป็นแถบ คนไม่น้อยแห่เข้ามา

 

 

คนของตระกูลฟางก็ตกใจสะดุ้งโหยงด้วย

 

 

คนมากมายปานนี้นั่งอยู่นอกประตูตั้งแต่เมื่อไร?

 

 

“ล้วนเป็นคนที่รอดูเรื่องสนุก”

 

 

“คนเหล่านี้ว่างจริงๆ”

 

 

นางหยวนเอ่ยเสียงเบากับนายหญิงใหญ่ฟาง

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางโกรธจนพรูลมหายใจ

 

 

“นี่เรียกเรื่องอะไร” นางกุมหน้าผากเอ่ย “เด็กดีๆ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

 

 

“นายหญิง เด็กโตแล้วย่อมมีความคิดของตัวเองได้ง่าย” นางหยวนครุ่นคิดพลางเอ่ยปลอบ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหนูรองเด็กฉลาดเช่นนี้”

 

 

“เจ้าพูดเช่นนี้ข้าต้องดีใจรึ?” นายหญิงใหญ่ฟางถลึงตาเอ่ย

 

 

นางหยวนกระอักกระอ่วน

 

 

“ให้คนบนรถเฝ้าไวให้ดีหน่อย” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ พรูลมหายใจยาวอีกหน “ข้าคุมพวกนางไม่ได้แล้ว”

 

 

“นายหญิงไม่ต้องกังวล ทุกคนมีหญิงรับใช้สี่คนเฝ้าอยู่ ล้วนเป็นคนที่มีวรยุทธ์” นางหยวนเอ่ย “รถจะตรงเข้าในร้านแลกเงิน”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยื่นมือกุมหน้าผากพลางโบกมือ

 

 

“เฉิงอวี่ทำไมเดินทางช้าเช่นนี้?” นางพลันคิดถึงบางอย่างเอ่ยถามขึ้นมา “ตามหลักเวลานี้ก็ควรใกล้มาถึงแล้วกระมัง?”

 

 

นางหยวนกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง

 

 

“ข้าคิดว่านายน้อยคงจงใจเดินทางช้ากระมังเจ้าคะ” นางเอ่ยตอบ “เรื่องในตระกูลนี่อย่างไรก็ปิดบังเขาไม่ได้ เรื่องนี้เขาก็ไม่รู้ควรจัดการอย่างไรกระมัง กลับมาก็กระอักกระอ่วน”

 

 

ใช่แล้ว เฉิงอวี่ดีกับพี่สาวทั้งหลายมาตลอด ตอนนี้ก่อเรื่องจนกลายเป็นเช่นนี้ เขาย่อมกระอักกระอ่วนจริงๆ

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยื่นมือกุมหน้าผากอีกหน

 

 

“นี่เรียกเรื่องอะไรกัน ภัยในภัยนอกรวมเข้าด้วยกันจริงๆ” นางว่า

 

 

ผู้คุ้มกันมากมายรุมล้อมรถม้าสามคันมุ่งไปยังร้านแลกเงิน ม่านรถม้าปิดบังแน่นหนาไม่ขยับสักนิด ฝูงชนที่ล้อมชมอยู่ข้างนอกแม้สงสัยใคร่รู้ก็มองไม่เห็นว่าด้านในใครนั่งอยู่ ได้แต่ติดตามชี้มือชี้ไม้ถกเถียง

 

 

ร้านแลกเงินด้านนี้ก็ได้ข่าวแล้วเช่นกัน ผู้ดูแลใหญ่เกายกมือส่งสัญญาณให้พนักงานหลายคนก่อนแล้ว

 

 

“เปิดประตูเถอะ” เขาเอ่ย

 

 

พนักงานทั้งหลายกลับสีหน้าลังเลครู่หนึ่ง

 

 

“ผู้ดูแลใหญ่ จะทำเช่นนี้จริงหรือ?” คนหนึ่งในนั้นทนไม่ไหวเอ่ยถามอีกครั้ง

 

 

หากมีคนข้างนอกได้ยินคงรู้สึกว่าน่าขำนัก เปิดประตูเท่านั้น ฟังแล้วเหมือนจะทำเรื่องใหญ่อะไร

 

 

บนหน้าผู้ดูแลใหญ่เกาไม่มีรอยยิ้มสักนิด สีหน้าเคร่งขรึมพยักหน้า

 

 

“ทำเลย” เขาเอ่ย

 

 

พนักงานทั้งหลายขานรับพร้อมเพรียงยกเท้าก้าวออกจากประตู

 

 

ประตูข้างของร้านแลกเงินส่งเสียงดังกุกกักๆ เปิดออก ประตูใหญ่นี้ไม่มีสง่าราศีเช่นนั้นเหมือนร้านแลกเงิน เล็กแคบอยู่บ้าง แล้วธรณีประตูก็สูง

 

 

ธรณีประตูนี่รื้อไม่ได้ด้วย เฉกเช่นโต๊ะกั้นสูงในร้านแลกเงิน ล้วนเพื่อความปลอดภัย

 

 

ดังนั้นรถม้ามาถึงหน้าประตู ม้าจะถูกปลดออก ส่วนรถม้าต้องให้พนักงานหลายคนยกเข้าไป นี่ไม่ใช่เรื่องยากอันใด พวกเขาก็มักทำเช่นนี้

 

 

เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ทราบเพราะรถม้าคนนั่งข้างในมากเกินไปใช่หรือไม่ พนักงานไหล่ล่ำเอวหนาหลายคนที่ยกรถด้านหน้ายามก้าวข้ามธรณีประตูร่างกายจึงโงนเงน ร้องโอ้ยทีหนึ่งก็หลุดมือ

 

 

คราวนี้คนด้านหลังไม่ทันระวัง ร่างกายหนักอึ้งวูบหนึ่งถูกถ่วงจนร้องตกใจร่างกายทรุดลงไป

 

 

พนักงานด้านหน้าคล้ายแย่งกันไปประคอง มือหลายคู่จับรถม้าไว้แน่น

 

 

แต่นี่ก็ไม่ได้ขวางรถม้าไม่ให้ร่วงลงพื้น เสียงโครมทีหนึ่ง รถม้าร่วงลงพื้นอย่างจังถึงกับแตกกระจายไปรอบด้าน

 

 

พร้อมกับเสียงร้องตกใจ คนในรถม้าก็กลิ้งร่วงออกมา

 

 

หญิงรับใช้บึกบึนสี่คน สตรีร่างเล็กบอบบางอีกหนึ่งคน

 

 

อย่างไรก็อายุน้อยตัวเล็กบอบบาง ทีสองทีนางจึงกลิ้งมาถึงบนถนนนอกประตู

 

 

คนที่ล้อมดูอยู่ฉับพลันพรึบเดียวรุมเข้ามา

 

 

“คุณหนูรอง!”

 

 

“คุณหนูรองฟาง!”

 

 

ในฝูงชนเสียงตะโกนดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้กระจายออกไป

 

 

ตัวเอกของการแย่งสมบัติตระกูลปรากฏตัวแล้ว นี่ทำให้ฝูงชนที่รอคอยมาเนิ่นนานตื่นเต้นอย่างยิ่ง

 

 

“แย่แล้ว” นายหญิงใหญ่ฟางที่อยู่ในรถด้านหลังร้องตะโกน รีบเลิกม่านขึ้น

 

 

แต่ยังสายไปก้าวหนึ่ง เห็นฟางอวี้ซิ่วลุกขึ้นจากพื้น โซซัดโซเซวิ่งไปทางฝูงชนแล้ว

 

 

“ลุงป้าน้าอาทุกท่าน รีบช่วยข้าด้วย” พร้อมกันนั้นนางก็ตะโกน “ข้าจะถูกท่านย่าฆ่าแล้ว”

 

 

สะเทือนอารมณ์!

 

 

ฝูงชนที่นั่นฮือฮา

 

 

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 4 130 ประตูบ้านปิดไว้ไม่อยู่

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 130 ประตูบ้านปิดไว้ไม่อยู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พูดไปแล้วเต๋อเซิ่งชางก็อาศัยตระกูลเฉาเปิดฉากร้านแลกเงินที่ซานซี

 

 

ตระกูลเฉาคือตระกูลมารดาของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

 

ตอนแรกสุดร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชางติดต่อค้าขายกับตระกูลเฉามากมาย มีคนของตระกูลเฉาไม่น้อยอยู่ในร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชางด้วย

 

 

ต่อมาตระกูลเฉาตกต่ำลงทุกวัน ตระกูลฟางรุ่งเรืองขึ้นทุกที หลังจากนั้นนายท่านผู้เฒ่าฟาง นายท่านฟางก็จากโลกไปกะทันหัน บุตรที่นายหญิงใหญ่ฟางตั้งครรภ์อยู่ก็ไม่รู้เป็นชายหรือหญิง คนของตระกูลเฉาจึงเกิดความคิด คิดทำให้สองครอบครัวกลายเป็นครอบครัวเดียว ตระกูลเฉารู้สึกว่านี่ก็เป็นความช่วยเหลือสำหรับนายหญิงผู้เฒ่าฟางบุตรสาวที่แต่งออกไปคนนี้

 

 

อย่างไรเวลานั้นตระกูลฟางดั้งเดิมที่ซานตงก็มาหาเรื่องอยู่

 

 

ผลสุดท้ายนายหญิงผู้เฒ่าฟางปฏิเสธเด็ดขาด ไม่เพียงเท่านี้ ยังโอหังคืนคนของตระกูลเฉาในเต๋อเซิ่งชาง ไล่เก็บหนี้จนเกลี้ยง ในนี้ยังมีพี่น้องแท้ๆ ของนางด้วย

 

 

บีบบังคับจนพี่น้องหลายคนไม่อาจไม่ขายทอดสมบัติตระกูล มารดาของนายหญิงผู้เฒ่าฟางเวลานั้นยังอยู่บนโลก อายุเจ็ดสิบแปดสิบวิ่งมาขอร้องบุตรสาว ลั่นวาจาว่าหากไม่ยอมก็ตีนางให้ตายเสียก่อน

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองมารดาที่โวยวายขวางประตูอยู่ คว้าไม้กระบองในมือผู้คุ้มกันเรือนมาหวดเข้าไปอย่างไม่ลังเลสักนิด

 

 

“กล้าแย่งเงินทองของข้า ไม่ใช่ญาติ ล้วนเป็นศัตรูข้า” นางตะโกน

 

 

หนึ่งกระบองฟาดจนนายหญิงผู้เฒ่าเฉาหัวแตกเลือดไหล แล้วก็ฟาดจนคนทั้งซานซีตะลึงงัน กับเดรัจฉานที่รู้จักแต่เงินไม่รู้จักญาติเช่นนี้ยังมีพูดดีๆ อันใดอีก คนตระกูลเฉาก็ดี คนตระกูลฟางก็ดีล้วนหางจุกตูดจากไป ตั้งแต่นั้นตัดญาติขาดมิตร บนถนนพบพานก็ถือเป็นคนแปลกหน้า

 

 

เวลานั้นพี่น้องตระกูลฟางยังเล็ก ทั้งยังผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว แม้ในด้านกิจการจะถูกเลี้ยงดูอบรมอย่างเคร่งครัด แต่ในด้านชีวิตปกติกลับเสพสุขกับการทะนุถนอมจากญาติผู้ใหญ่ นายหญิงผู้เฒ่าฟางผู้ไร้หัวใจไร้คุณธรรมที่เล่ากันคนนั้นสำหรับพวกนางแล้วคล้ายเป็นผู้อื่น

 

 

นี่จะทำอะไร?

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้าซีดเผือด นายหญิงใหญ่ฟางก็วิตก มีเพียงฟางอวี้ซิ่วยังคงสีหน้าดุจเดิม

 

 

“คุณหนูทั้งสอง นายหญิงผู้เฒ่าถามว่าเล่นพอหรือยังเจ้าคะ” หญิงรับใช้ที่นำหน้าสีหน้าบึ้งตึงเอ่ยขึ้น “เล่นพอแล้วก็มอบตราประทับมาเจ้าค่ะ”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วตัวสั่นระริกเหมือนที่เป็นมาเสมอมองฟางอวี้ซิ่ว

 

 

“หากยังเล่นไม่พอเล่า?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยถาม “จะตีพวกเราให้ตายไหม?”

 

 

“เจ้าอย่าพูดเหลวไหล พวกเจ้าทำไมไม่รู้ความเช่นนี้” นายหญิงใหญ่ฟางเอ็ด ด้านหนึ่งคือแม่สามี ด้านหนึ่งคือบุตรสาว นางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีแล้วจริงๆ

 

 

หญิงรับใช้สีหน้าไร้อารมณ์

 

 

“คุณหนูรองล้อเล่นแล้ว” นางเอ่ยพลางโบกมือให้คนด้านหลังร่าง

 

 

หญิงรับใช้หลังร่างถือเชือกรุมเข้ามาทันที นายหญิงใหญ่ฟางกางมือจะขวางก็ไม่รู้ควรขวางอย่างไร

 

 

ส่วนฟางอวิ๋นซิ่วรีบก้าวมายืนหน้าร่างฟางอวี้ซิ่ว แม้สีหน้าซีดขาวแต่แววตาแน่วแน่ ไม่ถอยไม่หลีก

 

 

“ข้าให้ ข้าให้ ไม่ต้องลงไม้ลงมือ” ฟางอวี้ซิ่วชูมือเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาดฉับไว

 

 

คนทั้งห้องตะลึงวูบหนึ่ง บรรดาหญิงรับใช้หวิดหยุดเท้าไม่ทัน

 

 

นี่ก็ให้แล้วหรือ?

 

 

นี่ก็…ไม่สู้คนเกินไปแล้วกระมัง?

 

 

“ต่อให้มอบมา คุณหนูทั้งสองก็ก่อหายนะแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าสั่งกักบริเวณพวกท่าน” หญิงรับใช้สีหน้าเย็นชาเอ่ย ส่งสัญญาณให้หญิงรับใช้ทั้งหลายก้าวเข้ามา

 

 

ฟางอวี้ซิ่วขานอืมตอบ

 

 

“นั่นคงไม่ได้” นางเอ่ย “ต่อให้เอาตราประทับออกมาแล้ว ไม่ใช่ข้าไปเอง ผู้ดูแลทั้งหลายก็ไม่มีทางเปิดคลัง นี่เป็นสิ่งที่ข้าบอกไว้ยามแรก”

 

 

คิ้วของหญิงรับใช้เลิกขึ้น

 

 

“อวี้ซิ่ว เจ้าอย่าเกินไปนัก ให้เจ้าคุมเรื่องราวได้ไม่กี่วัน เจ้าก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้วรึ? เจ้าคิดว่าเต๋อเซิ่งชางนี่เป็นของเจ้าจริงๆ แล้วหรือ? ไม่มีเจ้าก็ปิดกิจการแล้วหรือ?” นายหญิงใหญ่ฟางคิ้วตั้งตวาด

 

 

ฟางอวี้ซิ่วหน้านิ่งสงบยักไหล่

 

 

“แน่นอนว่าไม่” นางเอ่ยตอบ “แต่ดีร้ายก็คุมเรื่องราวมาตั้งหลายวัน เพิ่มความวุ่นวายสักเรื่องคงได้กระมัง”

 

 

สาวน้อยน่าตายคนนี้ นายหญิงใหญ่ฟางถลึงตา ครั้งที่สองที่รู้สึกไม่ชอบคนฉลาดทั้งยังเฉยชาเช่นนี้ ครั้งแรกคือตอนเผชิญหน้ากับคุณหนูจวิน

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“ให้นางไป” นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าถมึงทึงตวาด

 

 

“ใครจะรู้ว่าที่นางพูดจริงหรือหลอก ไปถึงร้านแลกเงินยังจะก่อเรื่องอะไรอีก ก็ไม่รู้ว่าพวกนางทำได้อย่างไร ในร้านแลกเงินก็คงซื้อตัวคนไว้ไม่น้อย ถึงขั้นเชื่อฟังคำพูดของพวกนางจริงๆ…” นายหญิงใหญ่ฟางลังเลเอ่ยขึ้น ทั้งยังติดจะตำหนิตนเองอยู่บ้าง “ข้าก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ทำไมเป็นเช่นนี้แล้ว”

 

 

“พอดีดูซิว่าใครเชื่อฟังคำพูดก่อเรื่องตาม จับเสียด้วยกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าคุมเต๋อเซิ่งชางมาหลายสิบปี ยังสู้แม่นางน้อยคนเดียวไม่ได้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางคิ้วตั้งตวาด “เปิดร้านแลกเงิน สงบคำวิพากษ์วิจาร์ข้างนอกลงก่อน ถ้าก่อเรื่องอีกก็ปิดประตูให้โวยวายอยู่ในบ้านตนเอง”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าดูแล้วร้อนรนยิ่ง

 

 

หรือเพราะเรื่องที่สาวน้อยสองคนก่อจึงลนลานเช่นนี้ขึ้นมาแล้วจริงๆ?

 

 

ก็ยากเลี่ยง ถูกคนใกล้ชิดของตนคนที่ไม่ระแวงทำร้ายถึงทำให้คนโกรธและเสียใจจนลนลานที่สุด

 

 

ตนเองช่วงนี้ก็ไม่ใช่โกรธจนใจร้อนรนหายใจไม่ทันรึ

 

 

นายหญิงใหญ่หนิงขานรับ

 

 

ยามรถม้าขับออกจากประตูใหญ่ตระกูลฟาง ชาวบ้านบนถนนก็ตกใจสะดุ้งโหยง

 

 

“มีคนออกมาแล้ว!”

 

 

“รีบมาดูเร็ว ใครกันน่ะ!”

 

 

คนที่บ้างนั่งบ้างยืนกระจายอยู่ริมถนนถกกันดังขึ้นเป็นแถบ คนไม่น้อยแห่เข้ามา

 

 

คนของตระกูลฟางก็ตกใจสะดุ้งโหยงด้วย

 

 

คนมากมายปานนี้นั่งอยู่นอกประตูตั้งแต่เมื่อไร?

 

 

“ล้วนเป็นคนที่รอดูเรื่องสนุก”

 

 

“คนเหล่านี้ว่างจริงๆ”

 

 

นางหยวนเอ่ยเสียงเบากับนายหญิงใหญ่ฟาง

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางโกรธจนพรูลมหายใจ

 

 

“นี่เรียกเรื่องอะไร” นางกุมหน้าผากเอ่ย “เด็กดีๆ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

 

 

“นายหญิง เด็กโตแล้วย่อมมีความคิดของตัวเองได้ง่าย” นางหยวนครุ่นคิดพลางเอ่ยปลอบ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหนูรองเด็กฉลาดเช่นนี้”

 

 

“เจ้าพูดเช่นนี้ข้าต้องดีใจรึ?” นายหญิงใหญ่ฟางถลึงตาเอ่ย

 

 

นางหยวนกระอักกระอ่วน

 

 

“ให้คนบนรถเฝ้าไวให้ดีหน่อย” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ พรูลมหายใจยาวอีกหน “ข้าคุมพวกนางไม่ได้แล้ว”

 

 

“นายหญิงไม่ต้องกังวล ทุกคนมีหญิงรับใช้สี่คนเฝ้าอยู่ ล้วนเป็นคนที่มีวรยุทธ์” นางหยวนเอ่ย “รถจะตรงเข้าในร้านแลกเงิน”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยื่นมือกุมหน้าผากพลางโบกมือ

 

 

“เฉิงอวี่ทำไมเดินทางช้าเช่นนี้?” นางพลันคิดถึงบางอย่างเอ่ยถามขึ้นมา “ตามหลักเวลานี้ก็ควรใกล้มาถึงแล้วกระมัง?”

 

 

นางหยวนกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง

 

 

“ข้าคิดว่านายน้อยคงจงใจเดินทางช้ากระมังเจ้าคะ” นางเอ่ยตอบ “เรื่องในตระกูลนี่อย่างไรก็ปิดบังเขาไม่ได้ เรื่องนี้เขาก็ไม่รู้ควรจัดการอย่างไรกระมัง กลับมาก็กระอักกระอ่วน”

 

 

ใช่แล้ว เฉิงอวี่ดีกับพี่สาวทั้งหลายมาตลอด ตอนนี้ก่อเรื่องจนกลายเป็นเช่นนี้ เขาย่อมกระอักกระอ่วนจริงๆ

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยื่นมือกุมหน้าผากอีกหน

 

 

“นี่เรียกเรื่องอะไรกัน ภัยในภัยนอกรวมเข้าด้วยกันจริงๆ” นางว่า

 

 

ผู้คุ้มกันมากมายรุมล้อมรถม้าสามคันมุ่งไปยังร้านแลกเงิน ม่านรถม้าปิดบังแน่นหนาไม่ขยับสักนิด ฝูงชนที่ล้อมชมอยู่ข้างนอกแม้สงสัยใคร่รู้ก็มองไม่เห็นว่าด้านในใครนั่งอยู่ ได้แต่ติดตามชี้มือชี้ไม้ถกเถียง

 

 

ร้านแลกเงินด้านนี้ก็ได้ข่าวแล้วเช่นกัน ผู้ดูแลใหญ่เกายกมือส่งสัญญาณให้พนักงานหลายคนก่อนแล้ว

 

 

“เปิดประตูเถอะ” เขาเอ่ย

 

 

พนักงานทั้งหลายกลับสีหน้าลังเลครู่หนึ่ง

 

 

“ผู้ดูแลใหญ่ จะทำเช่นนี้จริงหรือ?” คนหนึ่งในนั้นทนไม่ไหวเอ่ยถามอีกครั้ง

 

 

หากมีคนข้างนอกได้ยินคงรู้สึกว่าน่าขำนัก เปิดประตูเท่านั้น ฟังแล้วเหมือนจะทำเรื่องใหญ่อะไร

 

 

บนหน้าผู้ดูแลใหญ่เกาไม่มีรอยยิ้มสักนิด สีหน้าเคร่งขรึมพยักหน้า

 

 

“ทำเลย” เขาเอ่ย

 

 

พนักงานทั้งหลายขานรับพร้อมเพรียงยกเท้าก้าวออกจากประตู

 

 

ประตูข้างของร้านแลกเงินส่งเสียงดังกุกกักๆ เปิดออก ประตูใหญ่นี้ไม่มีสง่าราศีเช่นนั้นเหมือนร้านแลกเงิน เล็กแคบอยู่บ้าง แล้วธรณีประตูก็สูง

 

 

ธรณีประตูนี่รื้อไม่ได้ด้วย เฉกเช่นโต๊ะกั้นสูงในร้านแลกเงิน ล้วนเพื่อความปลอดภัย

 

 

ดังนั้นรถม้ามาถึงหน้าประตู ม้าจะถูกปลดออก ส่วนรถม้าต้องให้พนักงานหลายคนยกเข้าไป นี่ไม่ใช่เรื่องยากอันใด พวกเขาก็มักทำเช่นนี้

 

 

เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ทราบเพราะรถม้าคนนั่งข้างในมากเกินไปใช่หรือไม่ พนักงานไหล่ล่ำเอวหนาหลายคนที่ยกรถด้านหน้ายามก้าวข้ามธรณีประตูร่างกายจึงโงนเงน ร้องโอ้ยทีหนึ่งก็หลุดมือ

 

 

คราวนี้คนด้านหลังไม่ทันระวัง ร่างกายหนักอึ้งวูบหนึ่งถูกถ่วงจนร้องตกใจร่างกายทรุดลงไป

 

 

พนักงานด้านหน้าคล้ายแย่งกันไปประคอง มือหลายคู่จับรถม้าไว้แน่น

 

 

แต่นี่ก็ไม่ได้ขวางรถม้าไม่ให้ร่วงลงพื้น เสียงโครมทีหนึ่ง รถม้าร่วงลงพื้นอย่างจังถึงกับแตกกระจายไปรอบด้าน

 

 

พร้อมกับเสียงร้องตกใจ คนในรถม้าก็กลิ้งร่วงออกมา

 

 

หญิงรับใช้บึกบึนสี่คน สตรีร่างเล็กบอบบางอีกหนึ่งคน

 

 

อย่างไรก็อายุน้อยตัวเล็กบอบบาง ทีสองทีนางจึงกลิ้งมาถึงบนถนนนอกประตู

 

 

คนที่ล้อมดูอยู่ฉับพลันพรึบเดียวรุมเข้ามา

 

 

“คุณหนูรอง!”

 

 

“คุณหนูรองฟาง!”

 

 

ในฝูงชนเสียงตะโกนดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้กระจายออกไป

 

 

ตัวเอกของการแย่งสมบัติตระกูลปรากฏตัวแล้ว นี่ทำให้ฝูงชนที่รอคอยมาเนิ่นนานตื่นเต้นอย่างยิ่ง

 

 

“แย่แล้ว” นายหญิงใหญ่ฟางที่อยู่ในรถด้านหลังร้องตะโกน รีบเลิกม่านขึ้น

 

 

แต่ยังสายไปก้าวหนึ่ง เห็นฟางอวี้ซิ่วลุกขึ้นจากพื้น โซซัดโซเซวิ่งไปทางฝูงชนแล้ว

 

 

“ลุงป้าน้าอาทุกท่าน รีบช่วยข้าด้วย” พร้อมกันนั้นนางก็ตะโกน “ข้าจะถูกท่านย่าฆ่าแล้ว”

 

 

สะเทือนอารมณ์!

 

 

ฝูงชนที่นั่นฮือฮา

 

 

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+