Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาคที่ 5 บทที่ 30 ในใจไร้ความเห็นแก่ตัวกลัวสิ่งใด

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 5 บทที่ 30 ในใจไร้ความเห็นแก่ตัวกลัวสิ่งใด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอบรับรวดเร็วเช่นนี้แล้วหรือ?

แม่ทัพกองซุ่มโจมตีผู้ไม่มีความดีความชอบใหญ่หลวงอะไรคนหนึ่งยังโวยวายเพราะการโยกย้ายยกหนึ่งเลยนะ

ใต้เท้าอู๋ไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง

“ออกเดินทางเมื่อไร?” จ้าวฮั่นชิงถามต่อ

เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าออกปากแล้ว เขาก็ไม่เกรงใจแล้ว ใต้เท้าอู๋ลูบหนวด

“งานสำคัญยิ่งยวด วันพรุ่งนี้เดินทางทันที” เขาเอ่ย

จ้าวฮั่นชิงมองท้องฟ้ายามราตรี ทางตะวันออกแสงสีขาวเลือนรางแล้ว นางยกมือทันที

“เตรียมรื้อกระโจม…” นางเอ่ยเสียงดัง

ใต้เท้าอู๋สะดุ้งโหยง เด็ดขาดฉับไวเอาเรื่องจริงๆ…

“รอประเดี๋ยว รอประเดี๋ยว” เขาไม่อาจไม่ห้าม “คุณหนูจ้าวคำพูดของข้ายังเอ่ยไม่จบเลยนะ”

จ้าวฮั่นชิงมองเขา

“ทำไมเจ้าช้าเช่นนี้” นางเอ่ย “ยังมีเรื่องอันใดอีก?”

กลับถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งรังเกียจแล้ว? ใต้เท้าอู๋หน้าดำไปวูบหนึ่ง

“เป็นเช่นนี้ ชิงเหอปั๋วคิดว่าการปกครองกองทัพของพวกเจ้าดียิ่ง” เขากระแอมทีหนึ่ง “โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระสุนเหล่านี้ของพวกเจ้า แต่การเดินทัพการจัดกระบวนทัพไม่ใช่กองทหารกองเดียวจะทำสำเร็จได้ นายหทารมากกว่านี้เป็นเช่นนี้ได้ถึงจะยิ่งแข็งแกร่ง ดังนั้นหวังว่าหลังพวกเจ้าไปถึงที่นั่แล้วจะชวยฝึกทหาร ดีที่สุดเลือกคนจำนวนหนึ่งมาเรียนว่ารถกระสุนนี่ของพวกเจ้าใช้อย่างไรด้วย…”

หลี่กั๋วรุ่ยบรรลุเข้าใจแล้ว

ที่แท้เป็นเช่นนี้ เขาก็ว่าแล้ว บนโลกนี้ไหนเลยมีคนใจดีอะไร

ที่แท้ชิงเหอปั๋วมีเป้าหมายเช่นนี้เอง

สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของกองทหารชิงซานคือสิ่งใด ก็คือการปกครองทหารอันเข้มงวด กระบวนทัพน่าเกรงขาม รวมถึงอาวุธที่มีเอกลักษณ์

ชิงเหอปั๋วให้กองทหารชิงซานสอนสิ่งเหล่านี้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ขอเพียงเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ชิงเหอปั๋วก็เปลี่ยนลูกน้องของเขาให้กลายเป็นกองทหารที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ กองทหารชิงซานเพิ่มมาหนึ่งน้อยลงหนึ่งอย่างไรก็ได้

ตอบรับไม่ได้! ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีคุณสมบัติให้พวกชิงเหอปั๋วหวาดกลัวพวกเขาแล้ว ไม่ตอบรับหนึ่งวัน ถ้าอย่างนั้นชิงเหอปั๋วก็เกรงใจพวกเขาอยู่บ้างหนึ่งวัน

เขาไม่สนว่าจะถูกใต้เท้าอู๋เห็น ส่งสายตาให้เซี่ยหย่งกับหยางจิ่ง

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งมองเขาแล้วไม่เข้าใจอยู่บ้าง

ใต้เท้าอู๋ย่อมเห็นการกระทำของหลี่กั๋วรุ่ยเช่นกัน ในใจหัวเราะหยัน เขากำลังจะกล่อมให้เห็นใจอธิบายด้วยเหตุผลต่อ จ้าวฮั่นชิงก็พยักหน้าแล้ว

“ได้” นางเอ่ย “นี่เป็นสิ่งสมควร ในเมื่อทุกคนเป็นสหายร่วมชาติก็สมควรดูแลกันและกัน”

ใต้เท้าอู๋สำลักอีกหน

ตกลงแล้ว หรือ?

“ยังมีเรื่องอื่นไหม?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม “หากไม่มีพวกเราจะเตรียมถอนค่ายแล้ว”

ใต้เท้าอู่ขานอืม ส่ายศีรษะ

“ไม่มีแล้ว” เขาเอ่ยอึ้งๆ เห็นจ้าวฮั่นชิงหมุนตัวจะจากไป เขาก็โพล่งเรียกไว้ “คุณหนูจ้าวตกลงจริงหรือ?”

จ้าวฮั่นชิงมองเขาแล้วขมวดคิ้ว คล้ายสิ่งที่เขาถามเป็นคำถามที่แปลกนัก

“ทำไมจะไม่ตกลง พวกเราเป็นทหารของต้าโจว เชื่อฟังคำสั่งเบื้องบน นี่ไม่ใช่สิ่งสมควรหรือ?” นางเอ่ยถาม พูดจบก็สั่งถอนค่ายเสียงดังอีกหน ที่ตั้งค่ายเริ่มเอะอะ

ใช่แล้ว เป็นสิ่งสมควร

ใต้เท้าอู๋กะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าคำถามที่ตนเองถามโง่นัก จากนั้นก้าวเท้าอย่างยากลำบากจากไป

ใต้เท้าอู๋เข้าใจแล้ว หลี่กั๋วรุ่ยยังไม่เข้าใจ

“ข้าว่าพวกเจ้าที่แท้เข้าใจหรือไม่เข้าใจ? พวกเขานี่ไม่ใช่หวังดี” เขาไล่ตามพวกจ้าวฮั่นชิงสามคนมา โกรธเดือดดาลเอ่ยขึ้น “นี่ไม่ใช่พวกเขาเห็นความสำคัญของพวกเรา เพราะพวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกง นี่คือพวกเขาจะบีบพวกเราให้อ่อนแรงหลังจากนั้นกำจัดเสีย…”

จ้าวฮั่นชิงพลันหยุดฝีเท้า

“แต่พวกเราไม่ใช่คนของเฉิงกั๋วกงนี่” นางเอ่ย

นี่เป็นครั้งที่สองที่หลี่กั๋วรุ่ยได้ยินคำนี้แล้ว เขาตะลึงนิดหนึ่ง

“ไม่ใช่หรือ?” เขาถามย้อน

“แน่นอนไม่ใช่สิ พวกเราคือทหารของต้าโจว ฟังบัญชาของฮ่องเต้” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย “พี่สาวข้าบอกว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเราเป็นทหารอย่างแท้จริงแล้ว ปกบ้านป้องเมือง ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเฉิงกั๋วกง ก่อนหน้านี้ฟังเขาก็เพราะเขาเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเรา ตอนนี้ผู้บังคับบัญชาคือชิงเหอปั๋ว พวกเราย่อมต้องฟังเขา นี่มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือ?”

นี่เหมือนจะไม่มีสิ่งใดไม่ถูกต้องจริงๆ หลี่กั๋วรุ่ยยืนอยู่ที่เดิมนิ่งอึ้ง

ใช่แล้ว พวกเขาไม่ใช่คนของเฉิงกั๋วกงจริงๆ หากจะบอกว่าพวกเขาเป็นคนของใครให้ได้ ถ้าเช่นนั้นก็คือเป็นคนของคุณหนูจวินคนนั้น

ลองฟังคำพูดประโยคนี้ที่จ้าวฮั่นชิงเอ่ยสิ พี่สาวข้าบอกว่า…

คำพูดของพี่สาวนางถึงเป็นสิ่งที่พวกเขาศรัทธาเชื่อฟัง

“แต่ พวกเจ้าไม่คิดเช่นนี้ พวกเขาไม่แน่นะ” หลี่กั๋วรุ่ยยิ้มขมขื่นนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น “พวกเขาจะถือว่าพวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกงแล้วทารุณกดขี่”

“แต่ก็ไม่นี่” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย ยังคิดว่าคำพูดของเขาแปลกยิ่ง “พวกไม่ใช่ต้องการพวกเรายิ่งหรือ? ไม่เช่นนั้นทำไมยังเชิญพวกเราไปช่วยฝึกทหาร?”

“นั่นก็เพราะพวกเขาต้องการสร้างคนมาแทนที่พวกเจ้าแล้วทิ้งเหมือนรองเท้าเก่า” หลี่กั๋วรุ่ยรีบเอ่ย

“ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเขาไม่อาจหาคนมาแทนที่พวกเราได้ก็พอแล้ว?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยตอบ

หา?

หลี่กั๋วรุ่ยตะลึงอีกหน

เช่นนี้รึ ได้หรือ?

เหมือนจะได้กระมัง เขาหันหน้ามองไป รอบด้านคบไฟโชติช่วง ทหารทั้งหลายตั้งแถวเป็นระเบียบ ม้าส่งเสียงร้องกระโจมถูกเก็บ ดูแล้วสับสนวุ่นวาย แต่กลับไม่เหมือนกองทหารอื่นถอนค่าย มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์

กองทหารชิงซานนี่บอกว่าชื่อกองทหารชิงซาน แต่ทั้งกองทหารกำลังคนของกองทหารชิงซานแต่เดิมก็แค่ไม่กี่สิบคน ท่ามกลางกองทหารใหญ่โตนี่น้อยนิดจนน่าเมินเฉยได้อย่างแท้จริง แต่นี่เพิ่งนานเท่าไรกลับไม่มีใครมองข้ามพวกเขา ตรงกันข้ามล้วนยึดพวกเขาเป็นผู้นำ

พวกเขามีความสามารถอย่างแท้จริง จริงใจถ่อมตัวสอนหมดหน้าตักไม่มีหมกเม็ดอย่างใด ปฏิบัติกับทหารเสมือนหนึ่งคนของตนเองด้วยความจริงใจ ทำให้ทหารทั้งหลายเหล่านี้เชื่อถือ

กองทหารชิงซานกองนี้ไม่ใช่ของเฉิงกั๋วกงจริงๆ ต่อให้ติดป้ายว่าของเฉิงกั๋วกงจนถูกคนสงสัยระแวง แต่หัวใจไร้ความเห็นแก่ตัวของกองทหารนี้ก็ยังคงคำรามได้ คิดว่าชิงเหอปั๋วมองเห็นนานเข้าก็คงตัดใจทอดทิ้งพวกเขาไม่ลงเช่นกัน แต่คงเก็บไว้ใช้เสียเอง

ใช่แล้ว ตนคิดมากไปแล้วจริงๆ หลี่กั๋วรุ่ยยืนอยู่ท่ามกลางราตรีใกล้สว่างอันเย็นเยียบ ตอนนี้ถึงรู้สึกบรรลุ

“พวกเขาคิดเช่นนี้ นั่นดีที่สุดแล้ว”

ชิงเหอปั๋วฟังรายงานเรื่องปฏิกิริยาตอบสนองของกองทหารชิงซานจากใต้เท้าอู๋แล้วก็ประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน แต่ก็เข้าใจ

“นี่ก็ไม่มีสิ่งใดแปลก กองทหารชิงซานอาศัยเฉิงกั๋วกงถึงตั้งเป็นกองทัพขึ้นมา แต่พวกเขาไม่แน่ว่าจะจดจำบุญคุณของเฉิงกั๋วกงจริงๆ”

เขาก้าวเดินช้าๆในห้อง เอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน

“พูดไปแล้ว เฉิงกั๋วกงก็เป็นคนที่พวกเขาช่วยไว้ ต้องจดจำบุญคุณก็คงเป็นเฉิงกั๋วกงจดจำบุญคุณของพวกเขา”

พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มหยันอีกหน

“ข้าบอกตั้งนานแล้ว โจรพวกนี้ไม่มีค่าให้เห็นความสำคัญ ที่ไหนมีเนื้อติดมันก็วิ่งไปที่นั่น ไม่รู้จักเจ้าของหรอก”

ใต้เท้าอู๋ก็บรรลุเข้าใจแล้วเช่นกัน

“ถ้าเช่นนั้นก็จัดการง่ายแล้ว ไม่ใช่แค่กินเนื้อหรือ ในมือท่านปั๋วสาดไปส่งๆ สักหน่อยก็หลอกล่อใช้งานพวกเขาได้” เขายิ้มเอ่ย

ชิงเหอปั๋วลูบหนวดหัวเราะเบาๆ

“หมาในย่อมไม่อาจนับเป็นอาจารย์ของพยัคฆ์และหมาป่าได้” เขาเอ่ยขึ้น

“จัดการกองทหารชิงซานนี่แล้ว ที่เหลือก็ล้วนราบรื่น” ใต้เท้าอู๋ยิ้มประจบเอ่ย “ก่อนเข้าเดือนสิบสอง แดนเหนือแห่งนี้ก็จะอยู่ในมือท่านปั๋วอย่างราบรื่น”

ชิงเหอปั๋วเผยรอยยิ้มสบายใจออกมา แต่จากนั้นก็หุบลง

“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจับเฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ยขึ้น “มอบให้ฝ่าบาทแล้วทำให้แดนเหนือสงบมั่นคงอย่างแท้จริง”

ใต้เท้าอู๋สีหน้าเคร่งขรึมค้อมกาย

“ขอรับ” เขาเอ่ยเสียงดัง

……………………………………….

……………………………………….

ลมหนาวหอบหนึ่งพัดเกล็ดหิมะบนพื้นตลบขึ้นมา ทำให้ขันทีหลายคนที่กำลังก้าวเร็วไวอยู่รีบกำกระชับคอเสื้อ

“หิมะตกน่ารำคาญจริงๆ” ขันทีน้อยคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยบ่น

“ตีปาก” ขันทีเฒ่าด้านหน้าเอ่ย “พูดเหลวไหลจริงๆ หิมะต้องฤดูปีหน้าย่อมบริบูรณ์”

ขันทีน้อยรีบยื่นมือตีตนเองสองที

“ท่านขันทีสั่งสอนถูกต้อง” เขายิ้มประจบเอ่ย

“ไม่เห็นรึหลายวันนี้ฝ่าบาทอารมณ์ดียิ่ง” ขันทีเฒ่าเอ่ยขึ้น

พร้อมกับที่พูดพวกเขาก็เดินมาถึงใต้ชายคาแล้ว กระทืบเท้าสะบัดเกล็ดหิมะบนร่างแล้วก็ได้ยินเสียงสรวลของฮ่องเต้ดังมาจากด้านในตำหนัก

“นี่ล้วนเป็นข่าวดี” ฮ่องเต้วางฎีกาในมือลงแล้วตรัสขึ้น “ประชาชนทั้งหลายฉลองสิ้นปีอย่างมีความสุขได้ เรื่องกวนใจเหล่านั้นของข้าก็หายไปแล้ว”

พูดถึงเรื่องกวนใจ พระองค์พลันทอดพระเนตรหวงเฉิงที่ยืนก้มศีรษะอยู่ทีหนึ่ง

“ฝ่าบาท จูซานคนนี้หนีเข้าเจียซานไปแล้ว กระทั่งม้าก็ทิ้ง หนีอเนจอนาถยิ่งกว่าสุนัข” หวงเฉิงรีบเอ่ย

ฮ่องเต้แค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง

“นั่นก็ยังหนีไปแล้ว” พระองค์ตรัส “นี่สำหรับข้าแล้วก็เป็นข่าวดี…”

เสียงคำของพระองค์ยังไม่จบ

หนิงอวิ๋นเจาพลันค้อมกายคำนับ

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เขาเอ่ยขึ้น

ฮ่องเต้สำลักแล้ว หวงเฉิงก็เหล่ตามองเขาเช่นกัน

ประโยคนั้นที่ฮ่องเต้เพิ่งตรัสเห็นชัดว่ายังตรัสไม่จบ กำลังจะเติมคำว่าหรือคำหนึ่ง นี่จึงเป็นประโยคย้อนถาม

เจ้าหนูคนนี้พูดฝ่าบาททรงพระปรีชาพูดคล่องเกินไปจนห้ามปากไม่อยู่ใช่หรือไม่?

“เขายิ่งหนีเช่นนี้นาน ประชาชนทั้งหลายยิ่งผิดหวังกับเขา” หนิงอวิ๋นเจาไม่รู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดของตนเอง กลับเอ่ยต่อ “หนีก็คือโจร ไม่ต้องให้ฝ่าบาทกำหนดโทษให้เขา ยิ่งไม่ต้องให้ฝ่าบาทสลัดเขาหลุด”

พูดถึงตรงนี้พลันถอนหายใจทีหนึ่ง มองฮ่องเต้

“ด้วยหัวใจเมตตาน้ำพระทัยกว้างขวางของฝ่าบาท หากจูซานถูกจับกลับมา ร่ำไห้หาข้ออ้างของตอนนั้นกับฝ่าบาท เกรงว่าฝ่าบาทก็คงไม่สืบสาวโทษหนักของเขาแล้ว”

ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยอยู่บ้างแล้ว

“ดูเจ้าพูดเข้า ข้าเป็นผู้ที่เห็นกฎหมายบ้านเมืองเป็นเรื่องเด็กเล่นรึ?” พระองค์ตรัส

หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ยอมรับผิดอย่างหวั่นกลัว

“ฝ่าบาทมิได้เห็นกฎหมายบ้านเมืองเป็นเรื่องเด็กเล่น ฝ่าบาทเพียงน้ำพระทัยกว้างขวางเกินไป จดจำได้เพียงความดีของผู้อื่น” เขาเอ่ย

ถุย ไอ้ขี้ประจบ ไอ้หน้าไม่อาย หวงเฉิงเหล่ตา ในใจเอ่ยด่า หน้าของบัณฑิตถูกเจ้าทำเสียหมดสิ้นแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาคที่ 5 บทที่ 30 ในใจไร้ความเห็นแก่ตัวกลัวสิ่งใด

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 5 บทที่ 30 ในใจไร้ความเห็นแก่ตัวกลัวสิ่งใด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอบรับรวดเร็วเช่นนี้แล้วหรือ?

แม่ทัพกองซุ่มโจมตีผู้ไม่มีความดีความชอบใหญ่หลวงอะไรคนหนึ่งยังโวยวายเพราะการโยกย้ายยกหนึ่งเลยนะ

ใต้เท้าอู๋ไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง

“ออกเดินทางเมื่อไร?” จ้าวฮั่นชิงถามต่อ

เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าออกปากแล้ว เขาก็ไม่เกรงใจแล้ว ใต้เท้าอู๋ลูบหนวด

“งานสำคัญยิ่งยวด วันพรุ่งนี้เดินทางทันที” เขาเอ่ย

จ้าวฮั่นชิงมองท้องฟ้ายามราตรี ทางตะวันออกแสงสีขาวเลือนรางแล้ว นางยกมือทันที

“เตรียมรื้อกระโจม…” นางเอ่ยเสียงดัง

ใต้เท้าอู๋สะดุ้งโหยง เด็ดขาดฉับไวเอาเรื่องจริงๆ…

“รอประเดี๋ยว รอประเดี๋ยว” เขาไม่อาจไม่ห้าม “คุณหนูจ้าวคำพูดของข้ายังเอ่ยไม่จบเลยนะ”

จ้าวฮั่นชิงมองเขา

“ทำไมเจ้าช้าเช่นนี้” นางเอ่ย “ยังมีเรื่องอันใดอีก?”

กลับถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งรังเกียจแล้ว? ใต้เท้าอู๋หน้าดำไปวูบหนึ่ง

“เป็นเช่นนี้ ชิงเหอปั๋วคิดว่าการปกครองกองทัพของพวกเจ้าดียิ่ง” เขากระแอมทีหนึ่ง “โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระสุนเหล่านี้ของพวกเจ้า แต่การเดินทัพการจัดกระบวนทัพไม่ใช่กองทหารกองเดียวจะทำสำเร็จได้ นายหทารมากกว่านี้เป็นเช่นนี้ได้ถึงจะยิ่งแข็งแกร่ง ดังนั้นหวังว่าหลังพวกเจ้าไปถึงที่นั่แล้วจะชวยฝึกทหาร ดีที่สุดเลือกคนจำนวนหนึ่งมาเรียนว่ารถกระสุนนี่ของพวกเจ้าใช้อย่างไรด้วย…”

หลี่กั๋วรุ่ยบรรลุเข้าใจแล้ว

ที่แท้เป็นเช่นนี้ เขาก็ว่าแล้ว บนโลกนี้ไหนเลยมีคนใจดีอะไร

ที่แท้ชิงเหอปั๋วมีเป้าหมายเช่นนี้เอง

สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของกองทหารชิงซานคือสิ่งใด ก็คือการปกครองทหารอันเข้มงวด กระบวนทัพน่าเกรงขาม รวมถึงอาวุธที่มีเอกลักษณ์

ชิงเหอปั๋วให้กองทหารชิงซานสอนสิ่งเหล่านี้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ขอเพียงเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ชิงเหอปั๋วก็เปลี่ยนลูกน้องของเขาให้กลายเป็นกองทหารที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ กองทหารชิงซานเพิ่มมาหนึ่งน้อยลงหนึ่งอย่างไรก็ได้

ตอบรับไม่ได้! ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีคุณสมบัติให้พวกชิงเหอปั๋วหวาดกลัวพวกเขาแล้ว ไม่ตอบรับหนึ่งวัน ถ้าอย่างนั้นชิงเหอปั๋วก็เกรงใจพวกเขาอยู่บ้างหนึ่งวัน

เขาไม่สนว่าจะถูกใต้เท้าอู๋เห็น ส่งสายตาให้เซี่ยหย่งกับหยางจิ่ง

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งมองเขาแล้วไม่เข้าใจอยู่บ้าง

ใต้เท้าอู๋ย่อมเห็นการกระทำของหลี่กั๋วรุ่ยเช่นกัน ในใจหัวเราะหยัน เขากำลังจะกล่อมให้เห็นใจอธิบายด้วยเหตุผลต่อ จ้าวฮั่นชิงก็พยักหน้าแล้ว

“ได้” นางเอ่ย “นี่เป็นสิ่งสมควร ในเมื่อทุกคนเป็นสหายร่วมชาติก็สมควรดูแลกันและกัน”

ใต้เท้าอู๋สำลักอีกหน

ตกลงแล้ว หรือ?

“ยังมีเรื่องอื่นไหม?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม “หากไม่มีพวกเราจะเตรียมถอนค่ายแล้ว”

ใต้เท้าอู่ขานอืม ส่ายศีรษะ

“ไม่มีแล้ว” เขาเอ่ยอึ้งๆ เห็นจ้าวฮั่นชิงหมุนตัวจะจากไป เขาก็โพล่งเรียกไว้ “คุณหนูจ้าวตกลงจริงหรือ?”

จ้าวฮั่นชิงมองเขาแล้วขมวดคิ้ว คล้ายสิ่งที่เขาถามเป็นคำถามที่แปลกนัก

“ทำไมจะไม่ตกลง พวกเราเป็นทหารของต้าโจว เชื่อฟังคำสั่งเบื้องบน นี่ไม่ใช่สิ่งสมควรหรือ?” นางเอ่ยถาม พูดจบก็สั่งถอนค่ายเสียงดังอีกหน ที่ตั้งค่ายเริ่มเอะอะ

ใช่แล้ว เป็นสิ่งสมควร

ใต้เท้าอู๋กะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าคำถามที่ตนเองถามโง่นัก จากนั้นก้าวเท้าอย่างยากลำบากจากไป

ใต้เท้าอู๋เข้าใจแล้ว หลี่กั๋วรุ่ยยังไม่เข้าใจ

“ข้าว่าพวกเจ้าที่แท้เข้าใจหรือไม่เข้าใจ? พวกเขานี่ไม่ใช่หวังดี” เขาไล่ตามพวกจ้าวฮั่นชิงสามคนมา โกรธเดือดดาลเอ่ยขึ้น “นี่ไม่ใช่พวกเขาเห็นความสำคัญของพวกเรา เพราะพวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกง นี่คือพวกเขาจะบีบพวกเราให้อ่อนแรงหลังจากนั้นกำจัดเสีย…”

จ้าวฮั่นชิงพลันหยุดฝีเท้า

“แต่พวกเราไม่ใช่คนของเฉิงกั๋วกงนี่” นางเอ่ย

นี่เป็นครั้งที่สองที่หลี่กั๋วรุ่ยได้ยินคำนี้แล้ว เขาตะลึงนิดหนึ่ง

“ไม่ใช่หรือ?” เขาถามย้อน

“แน่นอนไม่ใช่สิ พวกเราคือทหารของต้าโจว ฟังบัญชาของฮ่องเต้” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย “พี่สาวข้าบอกว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเราเป็นทหารอย่างแท้จริงแล้ว ปกบ้านป้องเมือง ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเฉิงกั๋วกง ก่อนหน้านี้ฟังเขาก็เพราะเขาเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเรา ตอนนี้ผู้บังคับบัญชาคือชิงเหอปั๋ว พวกเราย่อมต้องฟังเขา นี่มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือ?”

นี่เหมือนจะไม่มีสิ่งใดไม่ถูกต้องจริงๆ หลี่กั๋วรุ่ยยืนอยู่ที่เดิมนิ่งอึ้ง

ใช่แล้ว พวกเขาไม่ใช่คนของเฉิงกั๋วกงจริงๆ หากจะบอกว่าพวกเขาเป็นคนของใครให้ได้ ถ้าเช่นนั้นก็คือเป็นคนของคุณหนูจวินคนนั้น

ลองฟังคำพูดประโยคนี้ที่จ้าวฮั่นชิงเอ่ยสิ พี่สาวข้าบอกว่า…

คำพูดของพี่สาวนางถึงเป็นสิ่งที่พวกเขาศรัทธาเชื่อฟัง

“แต่ พวกเจ้าไม่คิดเช่นนี้ พวกเขาไม่แน่นะ” หลี่กั๋วรุ่ยยิ้มขมขื่นนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น “พวกเขาจะถือว่าพวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกงแล้วทารุณกดขี่”

“แต่ก็ไม่นี่” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย ยังคิดว่าคำพูดของเขาแปลกยิ่ง “พวกไม่ใช่ต้องการพวกเรายิ่งหรือ? ไม่เช่นนั้นทำไมยังเชิญพวกเราไปช่วยฝึกทหาร?”

“นั่นก็เพราะพวกเขาต้องการสร้างคนมาแทนที่พวกเจ้าแล้วทิ้งเหมือนรองเท้าเก่า” หลี่กั๋วรุ่ยรีบเอ่ย

“ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเขาไม่อาจหาคนมาแทนที่พวกเราได้ก็พอแล้ว?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยตอบ

หา?

หลี่กั๋วรุ่ยตะลึงอีกหน

เช่นนี้รึ ได้หรือ?

เหมือนจะได้กระมัง เขาหันหน้ามองไป รอบด้านคบไฟโชติช่วง ทหารทั้งหลายตั้งแถวเป็นระเบียบ ม้าส่งเสียงร้องกระโจมถูกเก็บ ดูแล้วสับสนวุ่นวาย แต่กลับไม่เหมือนกองทหารอื่นถอนค่าย มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์

กองทหารชิงซานนี่บอกว่าชื่อกองทหารชิงซาน แต่ทั้งกองทหารกำลังคนของกองทหารชิงซานแต่เดิมก็แค่ไม่กี่สิบคน ท่ามกลางกองทหารใหญ่โตนี่น้อยนิดจนน่าเมินเฉยได้อย่างแท้จริง แต่นี่เพิ่งนานเท่าไรกลับไม่มีใครมองข้ามพวกเขา ตรงกันข้ามล้วนยึดพวกเขาเป็นผู้นำ

พวกเขามีความสามารถอย่างแท้จริง จริงใจถ่อมตัวสอนหมดหน้าตักไม่มีหมกเม็ดอย่างใด ปฏิบัติกับทหารเสมือนหนึ่งคนของตนเองด้วยความจริงใจ ทำให้ทหารทั้งหลายเหล่านี้เชื่อถือ

กองทหารชิงซานกองนี้ไม่ใช่ของเฉิงกั๋วกงจริงๆ ต่อให้ติดป้ายว่าของเฉิงกั๋วกงจนถูกคนสงสัยระแวง แต่หัวใจไร้ความเห็นแก่ตัวของกองทหารนี้ก็ยังคงคำรามได้ คิดว่าชิงเหอปั๋วมองเห็นนานเข้าก็คงตัดใจทอดทิ้งพวกเขาไม่ลงเช่นกัน แต่คงเก็บไว้ใช้เสียเอง

ใช่แล้ว ตนคิดมากไปแล้วจริงๆ หลี่กั๋วรุ่ยยืนอยู่ท่ามกลางราตรีใกล้สว่างอันเย็นเยียบ ตอนนี้ถึงรู้สึกบรรลุ

“พวกเขาคิดเช่นนี้ นั่นดีที่สุดแล้ว”

ชิงเหอปั๋วฟังรายงานเรื่องปฏิกิริยาตอบสนองของกองทหารชิงซานจากใต้เท้าอู๋แล้วก็ประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน แต่ก็เข้าใจ

“นี่ก็ไม่มีสิ่งใดแปลก กองทหารชิงซานอาศัยเฉิงกั๋วกงถึงตั้งเป็นกองทัพขึ้นมา แต่พวกเขาไม่แน่ว่าจะจดจำบุญคุณของเฉิงกั๋วกงจริงๆ”

เขาก้าวเดินช้าๆในห้อง เอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน

“พูดไปแล้ว เฉิงกั๋วกงก็เป็นคนที่พวกเขาช่วยไว้ ต้องจดจำบุญคุณก็คงเป็นเฉิงกั๋วกงจดจำบุญคุณของพวกเขา”

พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มหยันอีกหน

“ข้าบอกตั้งนานแล้ว โจรพวกนี้ไม่มีค่าให้เห็นความสำคัญ ที่ไหนมีเนื้อติดมันก็วิ่งไปที่นั่น ไม่รู้จักเจ้าของหรอก”

ใต้เท้าอู๋ก็บรรลุเข้าใจแล้วเช่นกัน

“ถ้าเช่นนั้นก็จัดการง่ายแล้ว ไม่ใช่แค่กินเนื้อหรือ ในมือท่านปั๋วสาดไปส่งๆ สักหน่อยก็หลอกล่อใช้งานพวกเขาได้” เขายิ้มเอ่ย

ชิงเหอปั๋วลูบหนวดหัวเราะเบาๆ

“หมาในย่อมไม่อาจนับเป็นอาจารย์ของพยัคฆ์และหมาป่าได้” เขาเอ่ยขึ้น

“จัดการกองทหารชิงซานนี่แล้ว ที่เหลือก็ล้วนราบรื่น” ใต้เท้าอู๋ยิ้มประจบเอ่ย “ก่อนเข้าเดือนสิบสอง แดนเหนือแห่งนี้ก็จะอยู่ในมือท่านปั๋วอย่างราบรื่น”

ชิงเหอปั๋วเผยรอยยิ้มสบายใจออกมา แต่จากนั้นก็หุบลง

“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจับเฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ยขึ้น “มอบให้ฝ่าบาทแล้วทำให้แดนเหนือสงบมั่นคงอย่างแท้จริง”

ใต้เท้าอู๋สีหน้าเคร่งขรึมค้อมกาย

“ขอรับ” เขาเอ่ยเสียงดัง

……………………………………….

……………………………………….

ลมหนาวหอบหนึ่งพัดเกล็ดหิมะบนพื้นตลบขึ้นมา ทำให้ขันทีหลายคนที่กำลังก้าวเร็วไวอยู่รีบกำกระชับคอเสื้อ

“หิมะตกน่ารำคาญจริงๆ” ขันทีน้อยคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยบ่น

“ตีปาก” ขันทีเฒ่าด้านหน้าเอ่ย “พูดเหลวไหลจริงๆ หิมะต้องฤดูปีหน้าย่อมบริบูรณ์”

ขันทีน้อยรีบยื่นมือตีตนเองสองที

“ท่านขันทีสั่งสอนถูกต้อง” เขายิ้มประจบเอ่ย

“ไม่เห็นรึหลายวันนี้ฝ่าบาทอารมณ์ดียิ่ง” ขันทีเฒ่าเอ่ยขึ้น

พร้อมกับที่พูดพวกเขาก็เดินมาถึงใต้ชายคาแล้ว กระทืบเท้าสะบัดเกล็ดหิมะบนร่างแล้วก็ได้ยินเสียงสรวลของฮ่องเต้ดังมาจากด้านในตำหนัก

“นี่ล้วนเป็นข่าวดี” ฮ่องเต้วางฎีกาในมือลงแล้วตรัสขึ้น “ประชาชนทั้งหลายฉลองสิ้นปีอย่างมีความสุขได้ เรื่องกวนใจเหล่านั้นของข้าก็หายไปแล้ว”

พูดถึงเรื่องกวนใจ พระองค์พลันทอดพระเนตรหวงเฉิงที่ยืนก้มศีรษะอยู่ทีหนึ่ง

“ฝ่าบาท จูซานคนนี้หนีเข้าเจียซานไปแล้ว กระทั่งม้าก็ทิ้ง หนีอเนจอนาถยิ่งกว่าสุนัข” หวงเฉิงรีบเอ่ย

ฮ่องเต้แค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง

“นั่นก็ยังหนีไปแล้ว” พระองค์ตรัส “นี่สำหรับข้าแล้วก็เป็นข่าวดี…”

เสียงคำของพระองค์ยังไม่จบ

หนิงอวิ๋นเจาพลันค้อมกายคำนับ

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เขาเอ่ยขึ้น

ฮ่องเต้สำลักแล้ว หวงเฉิงก็เหล่ตามองเขาเช่นกัน

ประโยคนั้นที่ฮ่องเต้เพิ่งตรัสเห็นชัดว่ายังตรัสไม่จบ กำลังจะเติมคำว่าหรือคำหนึ่ง นี่จึงเป็นประโยคย้อนถาม

เจ้าหนูคนนี้พูดฝ่าบาททรงพระปรีชาพูดคล่องเกินไปจนห้ามปากไม่อยู่ใช่หรือไม่?

“เขายิ่งหนีเช่นนี้นาน ประชาชนทั้งหลายยิ่งผิดหวังกับเขา” หนิงอวิ๋นเจาไม่รู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดของตนเอง กลับเอ่ยต่อ “หนีก็คือโจร ไม่ต้องให้ฝ่าบาทกำหนดโทษให้เขา ยิ่งไม่ต้องให้ฝ่าบาทสลัดเขาหลุด”

พูดถึงตรงนี้พลันถอนหายใจทีหนึ่ง มองฮ่องเต้

“ด้วยหัวใจเมตตาน้ำพระทัยกว้างขวางของฝ่าบาท หากจูซานถูกจับกลับมา ร่ำไห้หาข้ออ้างของตอนนั้นกับฝ่าบาท เกรงว่าฝ่าบาทก็คงไม่สืบสาวโทษหนักของเขาแล้ว”

ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยอยู่บ้างแล้ว

“ดูเจ้าพูดเข้า ข้าเป็นผู้ที่เห็นกฎหมายบ้านเมืองเป็นเรื่องเด็กเล่นรึ?” พระองค์ตรัส

หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ยอมรับผิดอย่างหวั่นกลัว

“ฝ่าบาทมิได้เห็นกฎหมายบ้านเมืองเป็นเรื่องเด็กเล่น ฝ่าบาทเพียงน้ำพระทัยกว้างขวางเกินไป จดจำได้เพียงความดีของผู้อื่น” เขาเอ่ย

ถุย ไอ้ขี้ประจบ ไอ้หน้าไม่อาย หวงเฉิงเหล่ตา ในใจเอ่ยด่า หน้าของบัณฑิตถูกเจ้าทำเสียหมดสิ้นแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาคที่ 5 บทที่ 30 ในใจไร้ความเห็นแก่ตัวกลัวสิ่งใด

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 5 บทที่ 30 ในใจไร้ความเห็นแก่ตัวกลัวสิ่งใด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอบรับรวดเร็วเช่นนี้แล้วหรือ?

แม่ทัพกองซุ่มโจมตีผู้ไม่มีความดีความชอบใหญ่หลวงอะไรคนหนึ่งยังโวยวายเพราะการโยกย้ายยกหนึ่งเลยนะ

ใต้เท้าอู๋ไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง

“ออกเดินทางเมื่อไร?” จ้าวฮั่นชิงถามต่อ

เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าออกปากแล้ว เขาก็ไม่เกรงใจแล้ว ใต้เท้าอู๋ลูบหนวด

“งานสำคัญยิ่งยวด วันพรุ่งนี้เดินทางทันที” เขาเอ่ย

จ้าวฮั่นชิงมองท้องฟ้ายามราตรี ทางตะวันออกแสงสีขาวเลือนรางแล้ว นางยกมือทันที

“เตรียมรื้อกระโจม…” นางเอ่ยเสียงดัง

ใต้เท้าอู๋สะดุ้งโหยง เด็ดขาดฉับไวเอาเรื่องจริงๆ…

“รอประเดี๋ยว รอประเดี๋ยว” เขาไม่อาจไม่ห้าม “คุณหนูจ้าวคำพูดของข้ายังเอ่ยไม่จบเลยนะ”

จ้าวฮั่นชิงมองเขา

“ทำไมเจ้าช้าเช่นนี้” นางเอ่ย “ยังมีเรื่องอันใดอีก?”

กลับถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งรังเกียจแล้ว? ใต้เท้าอู๋หน้าดำไปวูบหนึ่ง

“เป็นเช่นนี้ ชิงเหอปั๋วคิดว่าการปกครองกองทัพของพวกเจ้าดียิ่ง” เขากระแอมทีหนึ่ง “โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระสุนเหล่านี้ของพวกเจ้า แต่การเดินทัพการจัดกระบวนทัพไม่ใช่กองทหารกองเดียวจะทำสำเร็จได้ นายหทารมากกว่านี้เป็นเช่นนี้ได้ถึงจะยิ่งแข็งแกร่ง ดังนั้นหวังว่าหลังพวกเจ้าไปถึงที่นั่แล้วจะชวยฝึกทหาร ดีที่สุดเลือกคนจำนวนหนึ่งมาเรียนว่ารถกระสุนนี่ของพวกเจ้าใช้อย่างไรด้วย…”

หลี่กั๋วรุ่ยบรรลุเข้าใจแล้ว

ที่แท้เป็นเช่นนี้ เขาก็ว่าแล้ว บนโลกนี้ไหนเลยมีคนใจดีอะไร

ที่แท้ชิงเหอปั๋วมีเป้าหมายเช่นนี้เอง

สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของกองทหารชิงซานคือสิ่งใด ก็คือการปกครองทหารอันเข้มงวด กระบวนทัพน่าเกรงขาม รวมถึงอาวุธที่มีเอกลักษณ์

ชิงเหอปั๋วให้กองทหารชิงซานสอนสิ่งเหล่านี้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ขอเพียงเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ชิงเหอปั๋วก็เปลี่ยนลูกน้องของเขาให้กลายเป็นกองทหารที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ กองทหารชิงซานเพิ่มมาหนึ่งน้อยลงหนึ่งอย่างไรก็ได้

ตอบรับไม่ได้! ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีคุณสมบัติให้พวกชิงเหอปั๋วหวาดกลัวพวกเขาแล้ว ไม่ตอบรับหนึ่งวัน ถ้าอย่างนั้นชิงเหอปั๋วก็เกรงใจพวกเขาอยู่บ้างหนึ่งวัน

เขาไม่สนว่าจะถูกใต้เท้าอู๋เห็น ส่งสายตาให้เซี่ยหย่งกับหยางจิ่ง

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งมองเขาแล้วไม่เข้าใจอยู่บ้าง

ใต้เท้าอู๋ย่อมเห็นการกระทำของหลี่กั๋วรุ่ยเช่นกัน ในใจหัวเราะหยัน เขากำลังจะกล่อมให้เห็นใจอธิบายด้วยเหตุผลต่อ จ้าวฮั่นชิงก็พยักหน้าแล้ว

“ได้” นางเอ่ย “นี่เป็นสิ่งสมควร ในเมื่อทุกคนเป็นสหายร่วมชาติก็สมควรดูแลกันและกัน”

ใต้เท้าอู๋สำลักอีกหน

ตกลงแล้ว หรือ?

“ยังมีเรื่องอื่นไหม?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม “หากไม่มีพวกเราจะเตรียมถอนค่ายแล้ว”

ใต้เท้าอู่ขานอืม ส่ายศีรษะ

“ไม่มีแล้ว” เขาเอ่ยอึ้งๆ เห็นจ้าวฮั่นชิงหมุนตัวจะจากไป เขาก็โพล่งเรียกไว้ “คุณหนูจ้าวตกลงจริงหรือ?”

จ้าวฮั่นชิงมองเขาแล้วขมวดคิ้ว คล้ายสิ่งที่เขาถามเป็นคำถามที่แปลกนัก

“ทำไมจะไม่ตกลง พวกเราเป็นทหารของต้าโจว เชื่อฟังคำสั่งเบื้องบน นี่ไม่ใช่สิ่งสมควรหรือ?” นางเอ่ยถาม พูดจบก็สั่งถอนค่ายเสียงดังอีกหน ที่ตั้งค่ายเริ่มเอะอะ

ใช่แล้ว เป็นสิ่งสมควร

ใต้เท้าอู๋กะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าคำถามที่ตนเองถามโง่นัก จากนั้นก้าวเท้าอย่างยากลำบากจากไป

ใต้เท้าอู๋เข้าใจแล้ว หลี่กั๋วรุ่ยยังไม่เข้าใจ

“ข้าว่าพวกเจ้าที่แท้เข้าใจหรือไม่เข้าใจ? พวกเขานี่ไม่ใช่หวังดี” เขาไล่ตามพวกจ้าวฮั่นชิงสามคนมา โกรธเดือดดาลเอ่ยขึ้น “นี่ไม่ใช่พวกเขาเห็นความสำคัญของพวกเรา เพราะพวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกง นี่คือพวกเขาจะบีบพวกเราให้อ่อนแรงหลังจากนั้นกำจัดเสีย…”

จ้าวฮั่นชิงพลันหยุดฝีเท้า

“แต่พวกเราไม่ใช่คนของเฉิงกั๋วกงนี่” นางเอ่ย

นี่เป็นครั้งที่สองที่หลี่กั๋วรุ่ยได้ยินคำนี้แล้ว เขาตะลึงนิดหนึ่ง

“ไม่ใช่หรือ?” เขาถามย้อน

“แน่นอนไม่ใช่สิ พวกเราคือทหารของต้าโจว ฟังบัญชาของฮ่องเต้” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย “พี่สาวข้าบอกว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเราเป็นทหารอย่างแท้จริงแล้ว ปกบ้านป้องเมือง ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเฉิงกั๋วกง ก่อนหน้านี้ฟังเขาก็เพราะเขาเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเรา ตอนนี้ผู้บังคับบัญชาคือชิงเหอปั๋ว พวกเราย่อมต้องฟังเขา นี่มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือ?”

นี่เหมือนจะไม่มีสิ่งใดไม่ถูกต้องจริงๆ หลี่กั๋วรุ่ยยืนอยู่ที่เดิมนิ่งอึ้ง

ใช่แล้ว พวกเขาไม่ใช่คนของเฉิงกั๋วกงจริงๆ หากจะบอกว่าพวกเขาเป็นคนของใครให้ได้ ถ้าเช่นนั้นก็คือเป็นคนของคุณหนูจวินคนนั้น

ลองฟังคำพูดประโยคนี้ที่จ้าวฮั่นชิงเอ่ยสิ พี่สาวข้าบอกว่า…

คำพูดของพี่สาวนางถึงเป็นสิ่งที่พวกเขาศรัทธาเชื่อฟัง

“แต่ พวกเจ้าไม่คิดเช่นนี้ พวกเขาไม่แน่นะ” หลี่กั๋วรุ่ยยิ้มขมขื่นนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น “พวกเขาจะถือว่าพวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกงแล้วทารุณกดขี่”

“แต่ก็ไม่นี่” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย ยังคิดว่าคำพูดของเขาแปลกยิ่ง “พวกไม่ใช่ต้องการพวกเรายิ่งหรือ? ไม่เช่นนั้นทำไมยังเชิญพวกเราไปช่วยฝึกทหาร?”

“นั่นก็เพราะพวกเขาต้องการสร้างคนมาแทนที่พวกเจ้าแล้วทิ้งเหมือนรองเท้าเก่า” หลี่กั๋วรุ่ยรีบเอ่ย

“ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเขาไม่อาจหาคนมาแทนที่พวกเราได้ก็พอแล้ว?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยตอบ

หา?

หลี่กั๋วรุ่ยตะลึงอีกหน

เช่นนี้รึ ได้หรือ?

เหมือนจะได้กระมัง เขาหันหน้ามองไป รอบด้านคบไฟโชติช่วง ทหารทั้งหลายตั้งแถวเป็นระเบียบ ม้าส่งเสียงร้องกระโจมถูกเก็บ ดูแล้วสับสนวุ่นวาย แต่กลับไม่เหมือนกองทหารอื่นถอนค่าย มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์

กองทหารชิงซานนี่บอกว่าชื่อกองทหารชิงซาน แต่ทั้งกองทหารกำลังคนของกองทหารชิงซานแต่เดิมก็แค่ไม่กี่สิบคน ท่ามกลางกองทหารใหญ่โตนี่น้อยนิดจนน่าเมินเฉยได้อย่างแท้จริง แต่นี่เพิ่งนานเท่าไรกลับไม่มีใครมองข้ามพวกเขา ตรงกันข้ามล้วนยึดพวกเขาเป็นผู้นำ

พวกเขามีความสามารถอย่างแท้จริง จริงใจถ่อมตัวสอนหมดหน้าตักไม่มีหมกเม็ดอย่างใด ปฏิบัติกับทหารเสมือนหนึ่งคนของตนเองด้วยความจริงใจ ทำให้ทหารทั้งหลายเหล่านี้เชื่อถือ

กองทหารชิงซานกองนี้ไม่ใช่ของเฉิงกั๋วกงจริงๆ ต่อให้ติดป้ายว่าของเฉิงกั๋วกงจนถูกคนสงสัยระแวง แต่หัวใจไร้ความเห็นแก่ตัวของกองทหารนี้ก็ยังคงคำรามได้ คิดว่าชิงเหอปั๋วมองเห็นนานเข้าก็คงตัดใจทอดทิ้งพวกเขาไม่ลงเช่นกัน แต่คงเก็บไว้ใช้เสียเอง

ใช่แล้ว ตนคิดมากไปแล้วจริงๆ หลี่กั๋วรุ่ยยืนอยู่ท่ามกลางราตรีใกล้สว่างอันเย็นเยียบ ตอนนี้ถึงรู้สึกบรรลุ

“พวกเขาคิดเช่นนี้ นั่นดีที่สุดแล้ว”

ชิงเหอปั๋วฟังรายงานเรื่องปฏิกิริยาตอบสนองของกองทหารชิงซานจากใต้เท้าอู๋แล้วก็ประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน แต่ก็เข้าใจ

“นี่ก็ไม่มีสิ่งใดแปลก กองทหารชิงซานอาศัยเฉิงกั๋วกงถึงตั้งเป็นกองทัพขึ้นมา แต่พวกเขาไม่แน่ว่าจะจดจำบุญคุณของเฉิงกั๋วกงจริงๆ”

เขาก้าวเดินช้าๆในห้อง เอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน

“พูดไปแล้ว เฉิงกั๋วกงก็เป็นคนที่พวกเขาช่วยไว้ ต้องจดจำบุญคุณก็คงเป็นเฉิงกั๋วกงจดจำบุญคุณของพวกเขา”

พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มหยันอีกหน

“ข้าบอกตั้งนานแล้ว โจรพวกนี้ไม่มีค่าให้เห็นความสำคัญ ที่ไหนมีเนื้อติดมันก็วิ่งไปที่นั่น ไม่รู้จักเจ้าของหรอก”

ใต้เท้าอู๋ก็บรรลุเข้าใจแล้วเช่นกัน

“ถ้าเช่นนั้นก็จัดการง่ายแล้ว ไม่ใช่แค่กินเนื้อหรือ ในมือท่านปั๋วสาดไปส่งๆ สักหน่อยก็หลอกล่อใช้งานพวกเขาได้” เขายิ้มเอ่ย

ชิงเหอปั๋วลูบหนวดหัวเราะเบาๆ

“หมาในย่อมไม่อาจนับเป็นอาจารย์ของพยัคฆ์และหมาป่าได้” เขาเอ่ยขึ้น

“จัดการกองทหารชิงซานนี่แล้ว ที่เหลือก็ล้วนราบรื่น” ใต้เท้าอู๋ยิ้มประจบเอ่ย “ก่อนเข้าเดือนสิบสอง แดนเหนือแห่งนี้ก็จะอยู่ในมือท่านปั๋วอย่างราบรื่น”

ชิงเหอปั๋วเผยรอยยิ้มสบายใจออกมา แต่จากนั้นก็หุบลง

“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจับเฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ยขึ้น “มอบให้ฝ่าบาทแล้วทำให้แดนเหนือสงบมั่นคงอย่างแท้จริง”

ใต้เท้าอู๋สีหน้าเคร่งขรึมค้อมกาย

“ขอรับ” เขาเอ่ยเสียงดัง

……………………………………….

……………………………………….

ลมหนาวหอบหนึ่งพัดเกล็ดหิมะบนพื้นตลบขึ้นมา ทำให้ขันทีหลายคนที่กำลังก้าวเร็วไวอยู่รีบกำกระชับคอเสื้อ

“หิมะตกน่ารำคาญจริงๆ” ขันทีน้อยคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยบ่น

“ตีปาก” ขันทีเฒ่าด้านหน้าเอ่ย “พูดเหลวไหลจริงๆ หิมะต้องฤดูปีหน้าย่อมบริบูรณ์”

ขันทีน้อยรีบยื่นมือตีตนเองสองที

“ท่านขันทีสั่งสอนถูกต้อง” เขายิ้มประจบเอ่ย

“ไม่เห็นรึหลายวันนี้ฝ่าบาทอารมณ์ดียิ่ง” ขันทีเฒ่าเอ่ยขึ้น

พร้อมกับที่พูดพวกเขาก็เดินมาถึงใต้ชายคาแล้ว กระทืบเท้าสะบัดเกล็ดหิมะบนร่างแล้วก็ได้ยินเสียงสรวลของฮ่องเต้ดังมาจากด้านในตำหนัก

“นี่ล้วนเป็นข่าวดี” ฮ่องเต้วางฎีกาในมือลงแล้วตรัสขึ้น “ประชาชนทั้งหลายฉลองสิ้นปีอย่างมีความสุขได้ เรื่องกวนใจเหล่านั้นของข้าก็หายไปแล้ว”

พูดถึงเรื่องกวนใจ พระองค์พลันทอดพระเนตรหวงเฉิงที่ยืนก้มศีรษะอยู่ทีหนึ่ง

“ฝ่าบาท จูซานคนนี้หนีเข้าเจียซานไปแล้ว กระทั่งม้าก็ทิ้ง หนีอเนจอนาถยิ่งกว่าสุนัข” หวงเฉิงรีบเอ่ย

ฮ่องเต้แค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง

“นั่นก็ยังหนีไปแล้ว” พระองค์ตรัส “นี่สำหรับข้าแล้วก็เป็นข่าวดี…”

เสียงคำของพระองค์ยังไม่จบ

หนิงอวิ๋นเจาพลันค้อมกายคำนับ

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เขาเอ่ยขึ้น

ฮ่องเต้สำลักแล้ว หวงเฉิงก็เหล่ตามองเขาเช่นกัน

ประโยคนั้นที่ฮ่องเต้เพิ่งตรัสเห็นชัดว่ายังตรัสไม่จบ กำลังจะเติมคำว่าหรือคำหนึ่ง นี่จึงเป็นประโยคย้อนถาม

เจ้าหนูคนนี้พูดฝ่าบาททรงพระปรีชาพูดคล่องเกินไปจนห้ามปากไม่อยู่ใช่หรือไม่?

“เขายิ่งหนีเช่นนี้นาน ประชาชนทั้งหลายยิ่งผิดหวังกับเขา” หนิงอวิ๋นเจาไม่รู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดของตนเอง กลับเอ่ยต่อ “หนีก็คือโจร ไม่ต้องให้ฝ่าบาทกำหนดโทษให้เขา ยิ่งไม่ต้องให้ฝ่าบาทสลัดเขาหลุด”

พูดถึงตรงนี้พลันถอนหายใจทีหนึ่ง มองฮ่องเต้

“ด้วยหัวใจเมตตาน้ำพระทัยกว้างขวางของฝ่าบาท หากจูซานถูกจับกลับมา ร่ำไห้หาข้ออ้างของตอนนั้นกับฝ่าบาท เกรงว่าฝ่าบาทก็คงไม่สืบสาวโทษหนักของเขาแล้ว”

ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยอยู่บ้างแล้ว

“ดูเจ้าพูดเข้า ข้าเป็นผู้ที่เห็นกฎหมายบ้านเมืองเป็นเรื่องเด็กเล่นรึ?” พระองค์ตรัส

หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ยอมรับผิดอย่างหวั่นกลัว

“ฝ่าบาทมิได้เห็นกฎหมายบ้านเมืองเป็นเรื่องเด็กเล่น ฝ่าบาทเพียงน้ำพระทัยกว้างขวางเกินไป จดจำได้เพียงความดีของผู้อื่น” เขาเอ่ย

ถุย ไอ้ขี้ประจบ ไอ้หน้าไม่อาย หวงเฉิงเหล่ตา ในใจเอ่ยด่า หน้าของบัณฑิตถูกเจ้าทำเสียหมดสิ้นแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+