Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 5 2 ข้ามองทะลุปรุโปร่ง

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 5 2 ข้ามองทะลุปรุโปร่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

ถ้อยคำของฟางเฉิงอวี่ไม่ทำให้คนสุขสันต์ คำพูดของฟางอวี้ซิ่วก็ไม่น่าฟังอย่างไร ฟางอวิ๋นซิ่วเลิกขบคิดถึงความจริงลวงของความรู้สึกระหว่างพี่น้อง รวมถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรแล้ว

 

 

“ข้าฟังพวกเจ้า” นางเอ่ยพลางมองฟางเฉิงอวี่ “เจ้าให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น”

 

 

แล้วนางก็มองไปทางฟางอวี้ซิ่วอีก

 

 

“เจ้าว่าอย่างไรก็ทำอย่างนั้น”

 

 

ฟังเขาแล้วก็ฟังนางด้วย ฟังดูเหมือนสิ่งใดก็ไม่ได้พูด

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว ฟางอวี้ซิ่วก็พยักหน้า

 

 

“ส่วนของพี่ใหญ่นั่นเป็นของข้า” นางมองฟางเฉิงอวี่แล้วเอ่ยอย่างเด็ดขาดยิ่ง พูดจบสายตาก็มองไปทางฟางจิ่นซิ่ว

 

 

“ข้าไม่อยู่ด้วยกันกับพวกเจ้า” ฟางจิ่นซิ่วก็เอ่ยอย่างเด็ดขาดเช่นกัน

 

 

ฟางอวี้ซิ่วเบ้ปาก

 

 

“ข้าก็ไม่อยากอยู่ด้วยกันกับเจ้า เจ้าไม่ว่าง่ายเหมือนพี่ใหญ่” นางเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ตกลงกันแล้ว” เขาเอ่ย ประกบฝ่ามือกำลังจะคำนับ

 

 

นี่ก็เป็นความคุ้นชินในกิจการของพวกเขา คุยกันเสร็จก็คำนับให้แก่กัน แสดงความขอบคุณแล้วก็แสดงว่าตกลงไม่เปลี่ยน

 

 

ฟางอวี้ซิ่วรีบยกมือห้าม

 

 

“อย่าเพิ่ง ตกลงว่าพวกเราเลือกแบ่งสมบัติตะรกูล แต่แบ่งอย่างไรยังไม่ได้เริ่มคุยเลยนะ” นางเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม

 

 

“ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนั้นหรอก” เขาเอ่ย “อย่างไรล้วนเป็นข้าตัดสิน”

 

 

ฟางอวี้ซิ่วยกมือซัดหัวไหล่เขาทีหนึ่ง

 

 

“เจ้า เจ้าหนูคนนี้รังแกคนเกินไปแล้วกระมัง?” นางเอ่ยขึ้น “หากเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อ ข้าที่เป็นพี่สาวจะรังแกเจ้าบ้างแล้ว”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มคล้องหัวไหล่นางไว้

 

 

“พี่รองจะตัดใจรังแกข้าลงได้อย่างไรเล่า” เขาหัวเราะคิกคักเอ่ย

 

 

เวลาพริบตาเดียวนี่ พี่น้องก็สนิทสนมเหมือนปกติอีกแล้ว ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้านิ่งอึ้งนิดหนึ่งแล้วก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง นางตามไม่ทันอย่างสิ้นเชิงแล้ว พวกเจ้าคุยว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นเถอะ

 

 

“ฤกษ์ดีไม่สู้ฤกษ์เหมาะ ตอนนี้พวกเรากลับไปบอกท่านย่ากับท่านแม่เลย หลังจากนั้นคงมีงานยุ่งพักหนึ่ง” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย

 

 

แบ่งสมบัติตระกูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการแบ่งร้านแลกเงิน นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย บัญชีเท่าไรต้องจัดการ

 

 

ฟางอวี้ซิ่วพยักหน้าอมยิ้มเรียกรถม้า

 

 

“จิ่นซิ่ว คราวนี้เจ้าต้องเข้าบ้านแล้วนะ ไม่เช่นนั้นอย่าพูดว่าพวกเรารังแกเจ้า” นางหันกลับมาเอ่ยกับฟางจิ่นซิ่วอีกหน “แบ่งสมบัติตระกูลข้าไม่ไว้ไมตรีเจ้าหรอก”

 

 

ฟางจิ่นซิ่วหัวเราะ

 

 

“วางใจเถอะ ข้าก็ไม่มีทางให้พวกเจ้ารังแกข้าหรอก” นางเอ่ย

 

 

เห็นด้านนี้พี่น้องทั้งหลายคุยเล่นเดินมา ผู้คุ้มกันทั้งหลายก็รีบยิ้มจูงรถม้ามาด้วย บรรยากาศผ่อนคลายทั้งยังมีความสุข ไม่รู้สักนิดว่าพี่น้องเหล่านี้จะแยกบ้านแบ่งกิจการแล้ว

 

 

ฟางอวี้ซิ่วมองภาพตรงหน้ารู้สึกประหนึ่งฝันอยู่ ทำไมอยู่ดีๆ เรื่องหลอกก็กลายเป็นเรื่องจริงได้เล่า? หวังว่าครั้งนี้ได้ยินว่าแบ่งสมบัติตระกูลอีกหน นายหญิงผู้เฒ่าฟางจะไม่ตกใจจนเสียจริตเช่นนั้นอย่างครั้งก่อนหน้า

 

 

แต่นางก็รู้ นี่เป็นไปไม่ได้ ครั้งก่อนเป็นพวกนางพี่น้องเอ่ยออกมา นายหญิงผู้เฒ่าฟางประหลาดใจอีกเท่าใดในใจก็ยังสงสัย ดังนั้นพูดไม่ได้ว่าตกอกตกใจอันใด แต่หากฟางเฉิงอวี่เอ่ยอกมา นั่นย่อมไม่เหมือนกันแล้ว

 

 

“ท่านย่าจะตกลงหรือ?”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วมองแผ่นหลังของฟางเฉิงอวี่ที่เดินไปทางเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าฟางแล้วเอ่ยพึมพำ

 

 

ฟางเฉิงอวี่ให้พวกนางรอ เขาจะคุยกับนายหญิงผู้เฒ่าฟางก่อน

 

 

“เรื่องนั้นข้าไม่กังวล ข้ากลับกังวลว่าเขาจะโน้มน้าวท่านย่าให้โหดร้ายพวกเรา” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วหลุดหัวเราะ ทั้งยังส่ายศีรษะ

 

 

“เจ้าคิดเรื่องนี้จริงรึ” นางเอ่ยแล้วยิ้มเจื่อนนิดหนึ่ง มองดูฟางอวี้ซิ่วกับฟางจิ่นซิ่วสองคนที่สีหน้านิ่งสงบ “พวกเจ้าคนฉลาดสองคนบอกข้าได้ไหมว่านี่ที่แท้เพื่ออะไร? อยู่ดีๆ ทำไมเป็นเช่นนี้แล้ว?”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่ว[U1] ขานอ้อ

 

 

“สนทำไมว่าเพื่ออะไร ในเมื่อเขากล้าเอ่ยออกมา ข้าก็กล้าทำ” นางเอ่ยอย่างผ่อนคลายสบายๆ

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วมองนางครู่หนึ่ง ฉับพลันก็ยิ้ม ความวิตกกังวลที่ยากปิดบังในดวงตาพริบตาพลันสลายไปด้วย หัวใจที่สับสนอยู่บ้างก็สงบลง

 

 

ไม่ว่าเพื่ออะไร อย่างน้อยหัวใจของพี่น้องก็ยังเหมือนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล ก็ไม่ต้องสนมันแล้ว

 

 

พวกนางคนหนุ่มสาวคร้านจะคิดเรื่องราว ไม่ได้หมายความว่าคนอายุมากไม่คิด ได้ยินคำพูดของฟางเฉิงอวี่ แม้นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ได้ตกใจเป็นลมไป แต่สีหน้าก็ไม่อยากเชื่อ

 

 

“เฉิงอวี่ เจ้ารู้ว่าแยกบ้านหมายความว่าอะไรไหม?” นางเอ่ยถาม

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า

 

 

“หมายความว่าคฤหาสน์หลังนี้จากหนึ่งจะแบ่งเป็นสี่ หมายความว่าหนทางที่เคยเชื่อมทะลุกันจะถูกปิด หมายความว่าคฤหาสน์แถบนี้จะไม่ได้มีเพียงประตูใหญ่บานเดียวอีกต่อไป และอนาคตคฤหาสน์แถบนี้ก็จะไม่แน่ว่าจะล้วนแซ่ฟาง” เขาเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองเขา

 

 

“ผู้อื่นล้วนผนึกต้นไม้รวมเป็นป่าถึงต้านพายุทรายโจมตีได้ หวังให้กิ่งใบอุดมรุ่นสู่รุ่นไม่โรยรา แต่เจ้ากลับจะโค่นไม้ทำลายป่า เจ้าเดิมก็ไม่มีพี่น้องผู้ชาย มีเพียงพี่สาวไม่กี่คนนี้ ทำไมจะไม่เอาแล้วเล่า?” นาเงอ่ยถาม “ไม่ต้องพูดว่าเพื่อความยุติธรรม เจ้าข้ารวมถึงพวกนางในใจต่างกระจ่างชัด ต่อให้ไม่แยกบ้าน สมบัติตระกูลนี่ก็ไม่มีทางเอาเปรียบพวกนาง”

 

 

“ท่านย่า พวกเราตระกูลฟางแต่ไหนแต่ไรไม่เคยกิ่งใบอุดมต้านพายุทราย มีแต่ไม้เดี่ยวผืนดินเดียวดาย สิ่งที่ป้องกันคือมีอสนีบาตเพลิงสวรรค์ร่วงลงมากะทันหันไม่พัวพันถึงคนอื่นจนทั้งตระกูลล่มจม” เขาเอ่ยต่อ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองใบหน้ากระจ่างใสทั้งยังสงบนิ่งของเด็กหนุ่มที่แหงนศีรษะอยู่ อดไม่ได้ยิ้มขมขื่นนิดหนึ่ง

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมฉลาดเช่นนี้คิดถึงสิ่งเหล่านี้ได้?” นางเอ่ยขึ้น “ข้าจนกระทั่งถึงก่อนหน้านี้ไม่นานถึงคิดเข้าใจถ่องแท้”

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะแล้ว

 

 

“นั่นก็เพราะท่านย่า ท่านรู้สิ่งที่ข้าไม่รู้ เพราะรู้มากเกินไปท่านจึงคิดน้อยลง” เขาเอ่ย “แต่ข้าไม่รู้ ดังนั้นจึงคิดมากแล้วก็กล้าคิด”

 

 

นี่ก็คงเป็นประโยคนั้นที่ว่าคนในสับสนเหตุผลสินะ เพราะนางรู้ความเป็นมาของที่พึ่งของตระกูลฟาง ดังนั้นจึงยำเกรงและเชื่อมั่น ดังนั้นจึงไม่มีทางและไม่กล้าไปตั้งคำถามอะไร แต่ฟางเฉิงอวี่ไม่รู้ ดังนั้นยืนอยู่นอกสถานการณ์กล้าคิดกล้ามองแล้วก็คิดเข้าใจ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางทอดถอนใจอยู่บ้าง

 

 

“ฉับพลันข้าก็รู้สึกว่าข้าอยู่มานานอยู่บ้างเป็นบุญของตระกูลฟางจริงๆ” นางเอ่ย “ไม่เช่นนั้นหากข้าบอกสิ่งที่ข้ารู้กับเจ้าแล้ว ตระกูลฟางของพวกเราก็คงเดินออกจากเกมนี้ไม่ได้ตลอดไปแล้วใช่หรือไม่?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มจนดวงตาโค้งทันที

 

 

“ไม่มีทางหรอก” เขาเอ่ย “มีจิ่วหลิงอยู่นะ”

 

 

ได้ยินเขาเอ่ยถึงชื่อนี้ นายหญิงผู้เฒ่าฟางที่เดิมทีอมยิ้มอยู่พลันสีหน้าพลันบึ้งตึง ฉับพลันยกมือขึ้น ตบหน้าฟางเฉิงอวี่อย่างแรงดังป้าบ

 

 

เด็กหนุ่มไม่ทันป้องกัน ดวงหน้าประหนึ่งหยกขาวปรากฏรอยฝ่ามือข้างหนึ่งทันที จากขาวกลายเป็นเขียวกลายเป็นแดง เห็นชัดเป็นพิเศษ

 

 

มุมปากของเขามีเลือดไหลลงมาช้าๆ ไหลตามคางร่วงลงมาบนคอเสื้อสีขาวพิสุทธิ์ประหนึ่งแต้มดอกเหมย

 

 

“ข้ารู้ว่าภักดีกับกตัญญูยากทำพร้อมกัน แต่เป็นพี่น้องเหมือนกัน เจ้าออกจะใจเหี้ยมกับพวกนางเกินไปหน่อยแล้ว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยเสียงแหบ “ข้าไม่อยากพูดมาตลอด แล้วก็ไม่อยากไปคิด ตั้งแต่เจ้าปีนกลับมาจากประตูผี ร่างกายดีขึ้นทุกวันๆ สามารถขึ้นทุกวันๆ แต่บางครั้งใต้หนังสดใสน่ารักนี่ของเจ้า มักจะน่ากลัวประหนึ่งถูกผีร้ายครองร่าง”

 

 

ฟางเฉิงอวี่เช็ดเลือดที่มุมปากนิดหน่อย

 

 

“ท่านย่า นี่ท่านคิดมากเกินไปแล้วกระมัง” เขายิ้มเจื่อนนิดหนึ่ง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยื่นมือลูบใบหน้าเขา

 

 

“ข้าคิดมากเกินไปรึ?” นางคิ้วตั้งเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นข้าถามเจ้า หากอวิ๋นซิ่วอวี้ซิ่วพวกนางกับจวินเจินเจินถูกจับไป ช่วยได้ฝั่งเดียวเท่านั้น เจ้าจะช่วยใคร?”

 

 

“ช่วยพี่ใหญ่พี่รอง” ฟางเฉิงอวี่ตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด

 

 

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารักภาคที่ 5 2 ข้ามองทะลุปรุโปร่ง

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 5 2 ข้ามองทะลุปรุโปร่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

ถ้อยคำของฟางเฉิงอวี่ไม่ทำให้คนสุขสันต์ คำพูดของฟางอวี้ซิ่วก็ไม่น่าฟังอย่างไร ฟางอวิ๋นซิ่วเลิกขบคิดถึงความจริงลวงของความรู้สึกระหว่างพี่น้อง รวมถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรแล้ว

 

 

“ข้าฟังพวกเจ้า” นางเอ่ยพลางมองฟางเฉิงอวี่ “เจ้าให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น”

 

 

แล้วนางก็มองไปทางฟางอวี้ซิ่วอีก

 

 

“เจ้าว่าอย่างไรก็ทำอย่างนั้น”

 

 

ฟังเขาแล้วก็ฟังนางด้วย ฟังดูเหมือนสิ่งใดก็ไม่ได้พูด

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว ฟางอวี้ซิ่วก็พยักหน้า

 

 

“ส่วนของพี่ใหญ่นั่นเป็นของข้า” นางมองฟางเฉิงอวี่แล้วเอ่ยอย่างเด็ดขาดยิ่ง พูดจบสายตาก็มองไปทางฟางจิ่นซิ่ว

 

 

“ข้าไม่อยู่ด้วยกันกับพวกเจ้า” ฟางจิ่นซิ่วก็เอ่ยอย่างเด็ดขาดเช่นกัน

 

 

ฟางอวี้ซิ่วเบ้ปาก

 

 

“ข้าก็ไม่อยากอยู่ด้วยกันกับเจ้า เจ้าไม่ว่าง่ายเหมือนพี่ใหญ่” นางเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ตกลงกันแล้ว” เขาเอ่ย ประกบฝ่ามือกำลังจะคำนับ

 

 

นี่ก็เป็นความคุ้นชินในกิจการของพวกเขา คุยกันเสร็จก็คำนับให้แก่กัน แสดงความขอบคุณแล้วก็แสดงว่าตกลงไม่เปลี่ยน

 

 

ฟางอวี้ซิ่วรีบยกมือห้าม

 

 

“อย่าเพิ่ง ตกลงว่าพวกเราเลือกแบ่งสมบัติตะรกูล แต่แบ่งอย่างไรยังไม่ได้เริ่มคุยเลยนะ” นางเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม

 

 

“ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนั้นหรอก” เขาเอ่ย “อย่างไรล้วนเป็นข้าตัดสิน”

 

 

ฟางอวี้ซิ่วยกมือซัดหัวไหล่เขาทีหนึ่ง

 

 

“เจ้า เจ้าหนูคนนี้รังแกคนเกินไปแล้วกระมัง?” นางเอ่ยขึ้น “หากเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อ ข้าที่เป็นพี่สาวจะรังแกเจ้าบ้างแล้ว”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มคล้องหัวไหล่นางไว้

 

 

“พี่รองจะตัดใจรังแกข้าลงได้อย่างไรเล่า” เขาหัวเราะคิกคักเอ่ย

 

 

เวลาพริบตาเดียวนี่ พี่น้องก็สนิทสนมเหมือนปกติอีกแล้ว ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้านิ่งอึ้งนิดหนึ่งแล้วก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง นางตามไม่ทันอย่างสิ้นเชิงแล้ว พวกเจ้าคุยว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นเถอะ

 

 

“ฤกษ์ดีไม่สู้ฤกษ์เหมาะ ตอนนี้พวกเรากลับไปบอกท่านย่ากับท่านแม่เลย หลังจากนั้นคงมีงานยุ่งพักหนึ่ง” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย

 

 

แบ่งสมบัติตระกูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการแบ่งร้านแลกเงิน นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย บัญชีเท่าไรต้องจัดการ

 

 

ฟางอวี้ซิ่วพยักหน้าอมยิ้มเรียกรถม้า

 

 

“จิ่นซิ่ว คราวนี้เจ้าต้องเข้าบ้านแล้วนะ ไม่เช่นนั้นอย่าพูดว่าพวกเรารังแกเจ้า” นางหันกลับมาเอ่ยกับฟางจิ่นซิ่วอีกหน “แบ่งสมบัติตระกูลข้าไม่ไว้ไมตรีเจ้าหรอก”

 

 

ฟางจิ่นซิ่วหัวเราะ

 

 

“วางใจเถอะ ข้าก็ไม่มีทางให้พวกเจ้ารังแกข้าหรอก” นางเอ่ย

 

 

เห็นด้านนี้พี่น้องทั้งหลายคุยเล่นเดินมา ผู้คุ้มกันทั้งหลายก็รีบยิ้มจูงรถม้ามาด้วย บรรยากาศผ่อนคลายทั้งยังมีความสุข ไม่รู้สักนิดว่าพี่น้องเหล่านี้จะแยกบ้านแบ่งกิจการแล้ว

 

 

ฟางอวี้ซิ่วมองภาพตรงหน้ารู้สึกประหนึ่งฝันอยู่ ทำไมอยู่ดีๆ เรื่องหลอกก็กลายเป็นเรื่องจริงได้เล่า? หวังว่าครั้งนี้ได้ยินว่าแบ่งสมบัติตระกูลอีกหน นายหญิงผู้เฒ่าฟางจะไม่ตกใจจนเสียจริตเช่นนั้นอย่างครั้งก่อนหน้า

 

 

แต่นางก็รู้ นี่เป็นไปไม่ได้ ครั้งก่อนเป็นพวกนางพี่น้องเอ่ยออกมา นายหญิงผู้เฒ่าฟางประหลาดใจอีกเท่าใดในใจก็ยังสงสัย ดังนั้นพูดไม่ได้ว่าตกอกตกใจอันใด แต่หากฟางเฉิงอวี่เอ่ยอกมา นั่นย่อมไม่เหมือนกันแล้ว

 

 

“ท่านย่าจะตกลงหรือ?”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วมองแผ่นหลังของฟางเฉิงอวี่ที่เดินไปทางเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าฟางแล้วเอ่ยพึมพำ

 

 

ฟางเฉิงอวี่ให้พวกนางรอ เขาจะคุยกับนายหญิงผู้เฒ่าฟางก่อน

 

 

“เรื่องนั้นข้าไม่กังวล ข้ากลับกังวลว่าเขาจะโน้มน้าวท่านย่าให้โหดร้ายพวกเรา” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วหลุดหัวเราะ ทั้งยังส่ายศีรษะ

 

 

“เจ้าคิดเรื่องนี้จริงรึ” นางเอ่ยแล้วยิ้มเจื่อนนิดหนึ่ง มองดูฟางอวี้ซิ่วกับฟางจิ่นซิ่วสองคนที่สีหน้านิ่งสงบ “พวกเจ้าคนฉลาดสองคนบอกข้าได้ไหมว่านี่ที่แท้เพื่ออะไร? อยู่ดีๆ ทำไมเป็นเช่นนี้แล้ว?”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่ว[U1] ขานอ้อ

 

 

“สนทำไมว่าเพื่ออะไร ในเมื่อเขากล้าเอ่ยออกมา ข้าก็กล้าทำ” นางเอ่ยอย่างผ่อนคลายสบายๆ

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วมองนางครู่หนึ่ง ฉับพลันก็ยิ้ม ความวิตกกังวลที่ยากปิดบังในดวงตาพริบตาพลันสลายไปด้วย หัวใจที่สับสนอยู่บ้างก็สงบลง

 

 

ไม่ว่าเพื่ออะไร อย่างน้อยหัวใจของพี่น้องก็ยังเหมือนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล ก็ไม่ต้องสนมันแล้ว

 

 

พวกนางคนหนุ่มสาวคร้านจะคิดเรื่องราว ไม่ได้หมายความว่าคนอายุมากไม่คิด ได้ยินคำพูดของฟางเฉิงอวี่ แม้นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ได้ตกใจเป็นลมไป แต่สีหน้าก็ไม่อยากเชื่อ

 

 

“เฉิงอวี่ เจ้ารู้ว่าแยกบ้านหมายความว่าอะไรไหม?” นางเอ่ยถาม

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า

 

 

“หมายความว่าคฤหาสน์หลังนี้จากหนึ่งจะแบ่งเป็นสี่ หมายความว่าหนทางที่เคยเชื่อมทะลุกันจะถูกปิด หมายความว่าคฤหาสน์แถบนี้จะไม่ได้มีเพียงประตูใหญ่บานเดียวอีกต่อไป และอนาคตคฤหาสน์แถบนี้ก็จะไม่แน่ว่าจะล้วนแซ่ฟาง” เขาเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองเขา

 

 

“ผู้อื่นล้วนผนึกต้นไม้รวมเป็นป่าถึงต้านพายุทรายโจมตีได้ หวังให้กิ่งใบอุดมรุ่นสู่รุ่นไม่โรยรา แต่เจ้ากลับจะโค่นไม้ทำลายป่า เจ้าเดิมก็ไม่มีพี่น้องผู้ชาย มีเพียงพี่สาวไม่กี่คนนี้ ทำไมจะไม่เอาแล้วเล่า?” นาเงอ่ยถาม “ไม่ต้องพูดว่าเพื่อความยุติธรรม เจ้าข้ารวมถึงพวกนางในใจต่างกระจ่างชัด ต่อให้ไม่แยกบ้าน สมบัติตระกูลนี่ก็ไม่มีทางเอาเปรียบพวกนาง”

 

 

“ท่านย่า พวกเราตระกูลฟางแต่ไหนแต่ไรไม่เคยกิ่งใบอุดมต้านพายุทราย มีแต่ไม้เดี่ยวผืนดินเดียวดาย สิ่งที่ป้องกันคือมีอสนีบาตเพลิงสวรรค์ร่วงลงมากะทันหันไม่พัวพันถึงคนอื่นจนทั้งตระกูลล่มจม” เขาเอ่ยต่อ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองใบหน้ากระจ่างใสทั้งยังสงบนิ่งของเด็กหนุ่มที่แหงนศีรษะอยู่ อดไม่ได้ยิ้มขมขื่นนิดหนึ่ง

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมฉลาดเช่นนี้คิดถึงสิ่งเหล่านี้ได้?” นางเอ่ยขึ้น “ข้าจนกระทั่งถึงก่อนหน้านี้ไม่นานถึงคิดเข้าใจถ่องแท้”

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะแล้ว

 

 

“นั่นก็เพราะท่านย่า ท่านรู้สิ่งที่ข้าไม่รู้ เพราะรู้มากเกินไปท่านจึงคิดน้อยลง” เขาเอ่ย “แต่ข้าไม่รู้ ดังนั้นจึงคิดมากแล้วก็กล้าคิด”

 

 

นี่ก็คงเป็นประโยคนั้นที่ว่าคนในสับสนเหตุผลสินะ เพราะนางรู้ความเป็นมาของที่พึ่งของตระกูลฟาง ดังนั้นจึงยำเกรงและเชื่อมั่น ดังนั้นจึงไม่มีทางและไม่กล้าไปตั้งคำถามอะไร แต่ฟางเฉิงอวี่ไม่รู้ ดังนั้นยืนอยู่นอกสถานการณ์กล้าคิดกล้ามองแล้วก็คิดเข้าใจ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางทอดถอนใจอยู่บ้าง

 

 

“ฉับพลันข้าก็รู้สึกว่าข้าอยู่มานานอยู่บ้างเป็นบุญของตระกูลฟางจริงๆ” นางเอ่ย “ไม่เช่นนั้นหากข้าบอกสิ่งที่ข้ารู้กับเจ้าแล้ว ตระกูลฟางของพวกเราก็คงเดินออกจากเกมนี้ไม่ได้ตลอดไปแล้วใช่หรือไม่?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มจนดวงตาโค้งทันที

 

 

“ไม่มีทางหรอก” เขาเอ่ย “มีจิ่วหลิงอยู่นะ”

 

 

ได้ยินเขาเอ่ยถึงชื่อนี้ นายหญิงผู้เฒ่าฟางที่เดิมทีอมยิ้มอยู่พลันสีหน้าพลันบึ้งตึง ฉับพลันยกมือขึ้น ตบหน้าฟางเฉิงอวี่อย่างแรงดังป้าบ

 

 

เด็กหนุ่มไม่ทันป้องกัน ดวงหน้าประหนึ่งหยกขาวปรากฏรอยฝ่ามือข้างหนึ่งทันที จากขาวกลายเป็นเขียวกลายเป็นแดง เห็นชัดเป็นพิเศษ

 

 

มุมปากของเขามีเลือดไหลลงมาช้าๆ ไหลตามคางร่วงลงมาบนคอเสื้อสีขาวพิสุทธิ์ประหนึ่งแต้มดอกเหมย

 

 

“ข้ารู้ว่าภักดีกับกตัญญูยากทำพร้อมกัน แต่เป็นพี่น้องเหมือนกัน เจ้าออกจะใจเหี้ยมกับพวกนางเกินไปหน่อยแล้ว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยเสียงแหบ “ข้าไม่อยากพูดมาตลอด แล้วก็ไม่อยากไปคิด ตั้งแต่เจ้าปีนกลับมาจากประตูผี ร่างกายดีขึ้นทุกวันๆ สามารถขึ้นทุกวันๆ แต่บางครั้งใต้หนังสดใสน่ารักนี่ของเจ้า มักจะน่ากลัวประหนึ่งถูกผีร้ายครองร่าง”

 

 

ฟางเฉิงอวี่เช็ดเลือดที่มุมปากนิดหน่อย

 

 

“ท่านย่า นี่ท่านคิดมากเกินไปแล้วกระมัง” เขายิ้มเจื่อนนิดหนึ่ง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยื่นมือลูบใบหน้าเขา

 

 

“ข้าคิดมากเกินไปรึ?” นางคิ้วตั้งเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นข้าถามเจ้า หากอวิ๋นซิ่วอวี้ซิ่วพวกนางกับจวินเจินเจินถูกจับไป ช่วยได้ฝั่งเดียวเท่านั้น เจ้าจะช่วยใคร?”

 

 

“ช่วยพี่ใหญ่พี่รอง” ฟางเฉิงอวี่ตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด

 

 

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+