Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาคที่ 4 135 นี่คือเจตนาของข้า

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 135 นี่คือเจตนาของข้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คุณหนูจวินยืนนิ่งอยู่ริมแม่น้ำ ออกแรงแทงหอกเล่มหนึ่งลงไปในน้ำ

 

 

เสียงซ่าทีหนึ่ง หยาดน้ำกระจายรอบด้าน

 

 

พร้อมกับที่ยกหอกขึ้น ปลาตัวหนึ่งก็ตามหอกขึ้นมาด้วย

 

 

“ข้าตกปลาไม่เป็น” นางเอ่ย

 

 

สิ้นเสียง เสียงซ่าพลันดังขึ้นอีกครั้ง จูจั้นที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ใช้หอกยาวแทงปลาตัวหนึ่งขึ้นมาบ้าง

 

 

“ข้าก็ตกปลาไม่เป็น” เขาเอ่ย “ข้าเพียงจับปลาได้”

 

 

ฟางเฉิงอวี่นั่งอยู่ริมแม่น้ำปากเม้ม เหมือนนักเรียนคนหนึ่งที่ถูกอาจารย์ตำหนิจนกระวนกระวาย

 

 

ตกปลาก็เพื่อปลา แสร้งทำท่าคือเสียเปล่าหรือ?

 

 

คุณหนูจวินถลึงตาใส่จูจั้นทีหนึ่ง

 

 

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” นางเอ่ย

 

 

จูจั้นคล้ายไม่เข้าใจ

 

 

“หมายความว่าอย่างไรเล่า?” เขาเอ่ย “เจ้าพูดอะไรข้าฟังไม่เข้าใจ

 

 

แกล้งโง่!

 

 

พี่ชายคนนี้เลวร้ายเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

คุณหนูจวินตวัดตาใส่เขาทีหนึ่ง

 

 

“ต้องการสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น” นางเอ่ย นั่งลงหน้าฟางเฉิงอวี่ โยนปลาให้ผู้คุ้มกันคนหนึ่ง “ข้าต้องการปลาดังนั้นถึงจับปลา เจ้าไม่ต้องการปลาก็ไม่ต้องจับสิ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มทันที พยักหน้าหงึกๆ

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าอยากกินปลาแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น “เจ้าว่าพวกเรากินอย่างไร?”

 

 

“ย่อมต้องย่างกินสิ” คุณหนูจวินเอ่ย พูดจบก็มองไปทางจูจั้น

 

 

จูจั้นเหล่ตามองนาง

 

 

“มองข้าทำอะไร?” เขาเอ่ย

 

 

“ตกลงให้ท่านมาจัดการเรื่องกินจัดการที่อยู่จัดการหาน้ำ ท่านคิดว่าทำอะไรเล่า?” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะสองที ก้มตัวคว้าปลาเดินไปข้างหนึ่งอย่างไม่ใคร่ยินดีไม่ใคร่ยินยอม พลางไล่ผู้คุ้มกันของฟางเฉิงอวี่ไปจุดไฟ แล้วฟังคุณหนูจวินเอ่ยวาจาอยู่ด้านหลังไปพลาง

 

 

“ปลาที่ท่านย่างอร่อยยิ่ง”

 

 

นั่นแน่นอน เขาทำสิ่งใดไม่อร่อย จูจั้นยิ้มขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจนิดๆ เขาคนร้ายกาจเช่นนี้ ทำสิ่งใดล้วนดีที่สุด

 

 

ฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจแวผ่เบาทีหนึ่ง

 

 

อยู่ดีๆ ก็ไม่อยากกินปลาแล้ว

 

 

ปลาย่างเสร็จเร็วยิ่ง แต่มีแค่สองตัวอย่างไรก็ไม่มากนัก

 

 

“อร่อยจริงๆ” ฟางเฉิงอวี่ชมไม่ขาดปาก “พี่ชายร้ายกาจจริงๆ”

 

 

“อร่อยก็กินมากหน่อย” คุณหนูจวินส่งอีกตัวหนึ่งให้เขา

 

 

“จิ่วหลิงเจ้ากินเถอะ” ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะผลักกลับไป

 

 

“ข้ากิน”

 

 

เสียงชราเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น

 

 

ฟางเฉิงอวี่หันหน้าไป ประหนึ่งเพิ่งค้นพบ ยินดีอย่างยิ่ง

 

 

“ท่านย่า” เขาร้องเรียกลุกขึ้นยืน

 

 

รถม้าของนายหญิงผู้เฒ่าฟางจอดอยู่ไกลออกไป นางห้ามผู้คุ้มกันไว้ไม่ให้รบกวนทั้งสามคนที่นั่งย่างปลาอยู่ริมแม่น้ำ เดินเข้ามาหาด้วยตนเอง แน่นอนสามคนริมแม่น้ำก็รับรู้ว่านางมาถึงแล้วเช่นกัน

 

 

คุณหนูจวินลุกขึ้นเอ่ยเรียกท่านยายคำหนึ่ง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่พูดจาเดินเข้ามานั่งลงข้างกองไฟ รับปลาย่างในมือคุณหนูจวินมาเริ่มกินจริงๆ

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักนั่งลงข้างกายนาง

 

 

“ท่านย่า” เขาเอ่ยเรียก ทุบไหล่ให้นางอย่างเป็นเด็กดี

 

 

“ข้าต้องการคำอธิบาย” นางเอ่ย

 

 

“ท่านย่า ท่านรู้ว่าจิ่วหลิงกลับมาแล้วได้อย่างไร?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ หัวเราะคิกคักเอ่ยถาม

 

 

“นอกจากจวินจิ่วหลิง ใครจะทำให้เด็กบ้านข้าทำเรื่องบ้าบอเช่นนี้ได้?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองคุณหนูจวินแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินคำนับนาง

 

 

“ให้ท่านยายตระหนกแล้ว เป็นความผิดข้าเอง” นางเอ่ย

 

 

“ที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นข้า…” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ คำพูดยังไม่ทันเอ่ยจบ จูจั้นที่อยู่ด้านข้างก็กอดหัวไหล่เขา

 

 

“สหายน้อย ผู้ใหญ่จะคุยกันอย่าสอดปาก มา พวกเราไปตกปลา” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

ฟางเฉิงอวี่ไม่ใคร่ยินดีแต่ต้านแรงของจูจั้นไม่ได้ จูจั้นจึงลากเขาไปถึงด้านข้างง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ

 

 

“ไม่ต้องแย่งความชอบ เรื่องร้ายกาจเช่นนี้ย่อมมีเพียงนางที่ทำได้” จูจั้นเอ่ย

 

 

บนหน้าฟางเฉิงอวี่ไม่มีรอยยิ้มแล้วก็ไม่มีน้อยใจหวาดกลัว ในความนิ่งสงบปรากฏโทสะเป็นครั้งแรก

 

 

“นางไม่มีทางชอบท่าน” เขาพลันเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นแค่นเสียง

 

 

“จะเป็นไปได้อย่างไร” เขาเอ่ย “ข้าคนเช่นนี้ คนผู้ใดไม่ชอบ”

 

 

ไม่รอฟางเฉิงอวี่เอ่ยวาจา ก็ขานอ้อทีหนึ่งโบกมืออีก

 

 

“นายน้อยฟางไม่ชอบข้า” เขาเอ่ยแล้วเลิกคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นนายน้อยฟางก็ไม่ใช่คน”

 

 

เขาเอ่ยจบก็หัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่น

 

 

โกรธจะตายแล้ว ฟางเฉิงอวี่ถลึงตามองเขา คิดถึงคุณชายสิบหนิงจริงๆ

 

 

ด้านนี้ตัวโตตัวเล็กทะเลาะกัน นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับคุณหนูจวินล้วนไม่สนใจ

 

 

“เดิมทีข้าไม่มั่นใจ แต่อวี้ซิ่วร้ายกาจอีกเท่าใดก็ไม่อาจดำเนินการได้ถี่ถ้วนเช่นนี้ เหมือนชั่วคืนหนึ่งคนทั้งหมดล้วนเป็นคนของนาง” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่านี่ต้องเป็นฝีมือของเฉิงอวี่แน่ ข้ารู้ว่าเขาอยากเก็บเงินในตระกูลทั้งหมดไว้ให้เจ้ายิ่งนักมาตลอด แต่เห็นจิ่นซิ่วก็มาด้วยแล้ว เห็นได้ว่าเรื่องนี้เป็นเจตนาของเจ้า”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้าหงึกๆ

 

 

“ใช่ เรื่องนี้เป็นเจตนาของข้า ข้าให้เฉิงอวี่เดินทางช้าลง ให้พี่ใหญ่พี่รองพี่สามมาแย่งสมบัติตระกูล” นางเอ่ย

 

 

“ข้าไม่คิดว่าเจ้าทำเพื่อเงิน” นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองนางแล้วเอ่ยขึ้น “แม้เจ้าต้องการเงินก็ตาม”

 

 

ในดวงตาของคุณหนูจวินรอยยิ้มล้นปรี่ออกมา

 

 

“ถูกต้อง ท่านยาย” นางเอ่ย เสียงอ่อนโยนยิ่งกว่าก่อนหน้านี้

 

 

“เพราะข้าจะเปิดคลังสวรรค์รึ?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถาม “เจ้ารู้อะไร?”

 

 

“ที่จริงข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น” คุณหนูจวินเอ่ย “ดังนั้นข้าจึงไร้หนทางเอ่ยกล่อมท่านยายตั้งแต่แวบแรกให้ไม่ทำเช่นนี้ อย่างไรอีกฝ่ายก็ยื่นมือมาขอกับท่านแล้ว ทว่าข้ารู้ทำเช่นนี้ไม่มีผลดีกับตระกูลฟาง ดังนั้นข้าถึงไม่อาจไม่ถ่วงไว้จะได้มีเวลาเร่งเดินทางกลับมา”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเงียบไปครู่หนึ่ง

 

 

“เจ้าเร่งเดินทางกลับมาจะพูดสิ่งใดกับข้า?” นางเอ่ย “ไม่ว่าเจ้าพูดอะไร คนทำการค้าให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ สิ่งที่ควรคืนย่อมต้องคืน”

 

 

“หากอีกฝ่ายไม่ซื่อสัตย์เล่า?” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางทราบความหมายที่นางพูด หลังจับผู้ดูแลใหญ่ซ่งกับนายอำเอหลี่ออกมาได้ คุณหนูจวินแสดงออกหลายครั้งหลายคราว่าคนที่หวังร้ายกับตระกูลฟางยังมีอีก อันตรายยังไม่ถูกขจัดสิ้น

 

 

“แรกสุดเจ้าบอกว่าเพราะเห็นขันทีคนหนึ่ง” นางเอ่ย “ขันทีคนหนึ่งปรากฏตัวที่หยางเฉิง ทว่าเมื่อข้าเอาราชโองการออกมา คิดว่าเจ้าก็ควรรู้เช่นกัน ขันทีปรากฏตัวรอบตระกูลฟางของพวกเรา ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้าหงึกๆ

 

 

“ข้าไม่แปลกใจเรื่องนี้ ความหมายของข้าคือ นี่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ใช่อันตราย” นางเอ่ย “ท่านยาย ไม่อาจไม่ป้องกัน”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองนาง ฉับพลันก็ยิ้ม

 

 

“เจินเจิน” นางเอ่ย “มีคำประโยคหนึ่งเจ้ามักลืมอยู่เสมอ”

 

 

คุณหนูจวินงุนงง

 

 

“คำอะไร?” นางเอ่ยถาม

 

 

 นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเรียบเฉย

 

 

“เจ้าแผ่นดินต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่อาจไม่ตาย” นางเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินสีหน้าพลันเปลี่ยน

 

 

“ท่าน” นางเอ่ย อ้าปากแล้วก็ไม่รู้ควรพูดอะไร

 

 

คล้ายอยากหัวเราะทั้งคล้ายโกรธเกรี้ยว

 

 

นางคิดว่านายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่เชื่อว่ามีอันตราย คิดอยู่ตลอดว่าจะใช้เหตุผลอะไรมาเอ่ยกล่อม คิดไม่ถึงนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่จริงไม่ใช่ไม่เชื่อ

 

 

“ท่านนี่นับว่าหมายความว่าอย่างไร?” นางเอ่ยขึ้น “พูดเช่นนี้ถ้าเช่นนั้นเรื่องมากมายข้าก็ทำเสียเปล่าแล้วงั้นสิ? ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง? ข้าไม่ควรช่วยเฉิงอวี่ไว้?”

 

 

นางยื่นมือชี้ฟางเฉิงอวี่ที่อยู่ไม่ไกล

 

 

ฟางเฉิงอวี่ที่สีหน้าไม่พอใจสัมผัสได้ทันที ค้นพบว่าบรรยากาศด้านนี้ไม่ชอบมาพากล เขาจึงจะเข้ามาโดยสัญชาติญาณ กลับถูกจูจั้นดึงไว้อีกหน

 

 

“เจ้านั่งดีๆ” เขาเอ่ย “สตรีพูดกัน บุรุษไม่ต้องสอดปาก”

 

 

ฟางเฉิงอวี่สีหน้าหงุดหงิด

 

 

“พวกนางทะเลาะกันแล้ว” เขาเอ่ย

 

 

“กลัวอะไร ใครทะเลาะสู้นางได้” จูจั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

ถุย ในใจฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น จะโกรธตายแล้ว

 

 

คุณหนูจวินโกรธมากจริงๆ

 

 

“ข้าไม่ควรค้นหาผู้ดูแลใหญ่ซ่งจับนายอำเภอหลี่ ควรให้พวกเขาอยู่ต่อไป ทำร้ายพวกท่านต่อไป” นางเอ่ย “แก้แค้นให้ท่านตากับท่านลุงทำอะไรเล่า? ตายก็สมควรแล้ว ทั้งยังเป็นเกียรติยิ่งไหม”

 

 

“ท่านยายเวลานั้นท่านรู้สึกว่าข้าก่อเรื่องใช่หรือไม่? ข้าทำวุ่นวายสินะ?”

 

 

คุณหนูจวินเคยด่าคน เคยเสียดสีคน สีหน้าเคยเฉยชา เคยเย็นเยือก เคยซุกซน ทว่าไม่เคยโกรธกระฟัดกระเฟียดเช่นนี้มาก่อน

 

 

เห็นได้ว่าโกรธจัดจริงๆ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มแล้ว

 

 

“อย่าเอ่ยคำพูดเด็กน้อยเช่นนี้” นางเอ่ย “เจ้ารู้พวกเราไม่ได้คิดเช่นนี้”

 

 

นางลุกขึ้นยืน โบกมือ

 

 

“เอาล่ะ นี่ก็คือเจตนาของข้า เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว เจ้ากลับมาแล้ว อยากพักอยู่ในบ้านช่วงหนึ่งก็พักอยู่ช่วงหนึ่ง ไม่อยากอยู่ก็กลับไปเถอะ”

 

 

เพราะโบกมือจึงเห็นว่าในมือยังถือปลาย่างที่กินไปคำหนึ่งไว้ นางยัดให้คุณหนูจวิน

 

 

“อร่อยดีทีเดียว” นางเอ่ย พูดจบก็หมุนตัวก้าวยาวจากไป

 

 

คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของนาง โยนปลาย่างในมือพึ่บเข้าไปในกองไฟ เสียงเปรี๊ยะๆ ดังขึ้น ควันกับสะเก็ดไฟกระเด็นวูบหนึ่ง กลิ่นหอมไหม้ฟุ้งอบอวล

 

 

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาคที่ 4 135 นี่คือเจตนาของข้า

Now you are reading Jun Jiu Ling หวนชะตารัก Chapter ภาคที่ 4 135 นี่คือเจตนาของข้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คุณหนูจวินยืนนิ่งอยู่ริมแม่น้ำ ออกแรงแทงหอกเล่มหนึ่งลงไปในน้ำ

 

 

เสียงซ่าทีหนึ่ง หยาดน้ำกระจายรอบด้าน

 

 

พร้อมกับที่ยกหอกขึ้น ปลาตัวหนึ่งก็ตามหอกขึ้นมาด้วย

 

 

“ข้าตกปลาไม่เป็น” นางเอ่ย

 

 

สิ้นเสียง เสียงซ่าพลันดังขึ้นอีกครั้ง จูจั้นที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ใช้หอกยาวแทงปลาตัวหนึ่งขึ้นมาบ้าง

 

 

“ข้าก็ตกปลาไม่เป็น” เขาเอ่ย “ข้าเพียงจับปลาได้”

 

 

ฟางเฉิงอวี่นั่งอยู่ริมแม่น้ำปากเม้ม เหมือนนักเรียนคนหนึ่งที่ถูกอาจารย์ตำหนิจนกระวนกระวาย

 

 

ตกปลาก็เพื่อปลา แสร้งทำท่าคือเสียเปล่าหรือ?

 

 

คุณหนูจวินถลึงตาใส่จูจั้นทีหนึ่ง

 

 

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” นางเอ่ย

 

 

จูจั้นคล้ายไม่เข้าใจ

 

 

“หมายความว่าอย่างไรเล่า?” เขาเอ่ย “เจ้าพูดอะไรข้าฟังไม่เข้าใจ

 

 

แกล้งโง่!

 

 

พี่ชายคนนี้เลวร้ายเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

คุณหนูจวินตวัดตาใส่เขาทีหนึ่ง

 

 

“ต้องการสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น” นางเอ่ย นั่งลงหน้าฟางเฉิงอวี่ โยนปลาให้ผู้คุ้มกันคนหนึ่ง “ข้าต้องการปลาดังนั้นถึงจับปลา เจ้าไม่ต้องการปลาก็ไม่ต้องจับสิ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มทันที พยักหน้าหงึกๆ

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าอยากกินปลาแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น “เจ้าว่าพวกเรากินอย่างไร?”

 

 

“ย่อมต้องย่างกินสิ” คุณหนูจวินเอ่ย พูดจบก็มองไปทางจูจั้น

 

 

จูจั้นเหล่ตามองนาง

 

 

“มองข้าทำอะไร?” เขาเอ่ย

 

 

“ตกลงให้ท่านมาจัดการเรื่องกินจัดการที่อยู่จัดการหาน้ำ ท่านคิดว่าทำอะไรเล่า?” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะสองที ก้มตัวคว้าปลาเดินไปข้างหนึ่งอย่างไม่ใคร่ยินดีไม่ใคร่ยินยอม พลางไล่ผู้คุ้มกันของฟางเฉิงอวี่ไปจุดไฟ แล้วฟังคุณหนูจวินเอ่ยวาจาอยู่ด้านหลังไปพลาง

 

 

“ปลาที่ท่านย่างอร่อยยิ่ง”

 

 

นั่นแน่นอน เขาทำสิ่งใดไม่อร่อย จูจั้นยิ้มขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจนิดๆ เขาคนร้ายกาจเช่นนี้ ทำสิ่งใดล้วนดีที่สุด

 

 

ฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจแวผ่เบาทีหนึ่ง

 

 

อยู่ดีๆ ก็ไม่อยากกินปลาแล้ว

 

 

ปลาย่างเสร็จเร็วยิ่ง แต่มีแค่สองตัวอย่างไรก็ไม่มากนัก

 

 

“อร่อยจริงๆ” ฟางเฉิงอวี่ชมไม่ขาดปาก “พี่ชายร้ายกาจจริงๆ”

 

 

“อร่อยก็กินมากหน่อย” คุณหนูจวินส่งอีกตัวหนึ่งให้เขา

 

 

“จิ่วหลิงเจ้ากินเถอะ” ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะผลักกลับไป

 

 

“ข้ากิน”

 

 

เสียงชราเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น

 

 

ฟางเฉิงอวี่หันหน้าไป ประหนึ่งเพิ่งค้นพบ ยินดีอย่างยิ่ง

 

 

“ท่านย่า” เขาร้องเรียกลุกขึ้นยืน

 

 

รถม้าของนายหญิงผู้เฒ่าฟางจอดอยู่ไกลออกไป นางห้ามผู้คุ้มกันไว้ไม่ให้รบกวนทั้งสามคนที่นั่งย่างปลาอยู่ริมแม่น้ำ เดินเข้ามาหาด้วยตนเอง แน่นอนสามคนริมแม่น้ำก็รับรู้ว่านางมาถึงแล้วเช่นกัน

 

 

คุณหนูจวินลุกขึ้นเอ่ยเรียกท่านยายคำหนึ่ง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่พูดจาเดินเข้ามานั่งลงข้างกองไฟ รับปลาย่างในมือคุณหนูจวินมาเริ่มกินจริงๆ

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักนั่งลงข้างกายนาง

 

 

“ท่านย่า” เขาเอ่ยเรียก ทุบไหล่ให้นางอย่างเป็นเด็กดี

 

 

“ข้าต้องการคำอธิบาย” นางเอ่ย

 

 

“ท่านย่า ท่านรู้ว่าจิ่วหลิงกลับมาแล้วได้อย่างไร?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ หัวเราะคิกคักเอ่ยถาม

 

 

“นอกจากจวินจิ่วหลิง ใครจะทำให้เด็กบ้านข้าทำเรื่องบ้าบอเช่นนี้ได้?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองคุณหนูจวินแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินคำนับนาง

 

 

“ให้ท่านยายตระหนกแล้ว เป็นความผิดข้าเอง” นางเอ่ย

 

 

“ที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นข้า…” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ คำพูดยังไม่ทันเอ่ยจบ จูจั้นที่อยู่ด้านข้างก็กอดหัวไหล่เขา

 

 

“สหายน้อย ผู้ใหญ่จะคุยกันอย่าสอดปาก มา พวกเราไปตกปลา” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

ฟางเฉิงอวี่ไม่ใคร่ยินดีแต่ต้านแรงของจูจั้นไม่ได้ จูจั้นจึงลากเขาไปถึงด้านข้างง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ

 

 

“ไม่ต้องแย่งความชอบ เรื่องร้ายกาจเช่นนี้ย่อมมีเพียงนางที่ทำได้” จูจั้นเอ่ย

 

 

บนหน้าฟางเฉิงอวี่ไม่มีรอยยิ้มแล้วก็ไม่มีน้อยใจหวาดกลัว ในความนิ่งสงบปรากฏโทสะเป็นครั้งแรก

 

 

“นางไม่มีทางชอบท่าน” เขาพลันเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นแค่นเสียง

 

 

“จะเป็นไปได้อย่างไร” เขาเอ่ย “ข้าคนเช่นนี้ คนผู้ใดไม่ชอบ”

 

 

ไม่รอฟางเฉิงอวี่เอ่ยวาจา ก็ขานอ้อทีหนึ่งโบกมืออีก

 

 

“นายน้อยฟางไม่ชอบข้า” เขาเอ่ยแล้วเลิกคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นนายน้อยฟางก็ไม่ใช่คน”

 

 

เขาเอ่ยจบก็หัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่น

 

 

โกรธจะตายแล้ว ฟางเฉิงอวี่ถลึงตามองเขา คิดถึงคุณชายสิบหนิงจริงๆ

 

 

ด้านนี้ตัวโตตัวเล็กทะเลาะกัน นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับคุณหนูจวินล้วนไม่สนใจ

 

 

“เดิมทีข้าไม่มั่นใจ แต่อวี้ซิ่วร้ายกาจอีกเท่าใดก็ไม่อาจดำเนินการได้ถี่ถ้วนเช่นนี้ เหมือนชั่วคืนหนึ่งคนทั้งหมดล้วนเป็นคนของนาง” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่านี่ต้องเป็นฝีมือของเฉิงอวี่แน่ ข้ารู้ว่าเขาอยากเก็บเงินในตระกูลทั้งหมดไว้ให้เจ้ายิ่งนักมาตลอด แต่เห็นจิ่นซิ่วก็มาด้วยแล้ว เห็นได้ว่าเรื่องนี้เป็นเจตนาของเจ้า”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้าหงึกๆ

 

 

“ใช่ เรื่องนี้เป็นเจตนาของข้า ข้าให้เฉิงอวี่เดินทางช้าลง ให้พี่ใหญ่พี่รองพี่สามมาแย่งสมบัติตระกูล” นางเอ่ย

 

 

“ข้าไม่คิดว่าเจ้าทำเพื่อเงิน” นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองนางแล้วเอ่ยขึ้น “แม้เจ้าต้องการเงินก็ตาม”

 

 

ในดวงตาของคุณหนูจวินรอยยิ้มล้นปรี่ออกมา

 

 

“ถูกต้อง ท่านยาย” นางเอ่ย เสียงอ่อนโยนยิ่งกว่าก่อนหน้านี้

 

 

“เพราะข้าจะเปิดคลังสวรรค์รึ?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถาม “เจ้ารู้อะไร?”

 

 

“ที่จริงข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น” คุณหนูจวินเอ่ย “ดังนั้นข้าจึงไร้หนทางเอ่ยกล่อมท่านยายตั้งแต่แวบแรกให้ไม่ทำเช่นนี้ อย่างไรอีกฝ่ายก็ยื่นมือมาขอกับท่านแล้ว ทว่าข้ารู้ทำเช่นนี้ไม่มีผลดีกับตระกูลฟาง ดังนั้นข้าถึงไม่อาจไม่ถ่วงไว้จะได้มีเวลาเร่งเดินทางกลับมา”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเงียบไปครู่หนึ่ง

 

 

“เจ้าเร่งเดินทางกลับมาจะพูดสิ่งใดกับข้า?” นางเอ่ย “ไม่ว่าเจ้าพูดอะไร คนทำการค้าให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ สิ่งที่ควรคืนย่อมต้องคืน”

 

 

“หากอีกฝ่ายไม่ซื่อสัตย์เล่า?” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางทราบความหมายที่นางพูด หลังจับผู้ดูแลใหญ่ซ่งกับนายอำเอหลี่ออกมาได้ คุณหนูจวินแสดงออกหลายครั้งหลายคราว่าคนที่หวังร้ายกับตระกูลฟางยังมีอีก อันตรายยังไม่ถูกขจัดสิ้น

 

 

“แรกสุดเจ้าบอกว่าเพราะเห็นขันทีคนหนึ่ง” นางเอ่ย “ขันทีคนหนึ่งปรากฏตัวที่หยางเฉิง ทว่าเมื่อข้าเอาราชโองการออกมา คิดว่าเจ้าก็ควรรู้เช่นกัน ขันทีปรากฏตัวรอบตระกูลฟางของพวกเรา ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด”

 

 

คุณหนูจวินพยักหน้าหงึกๆ

 

 

“ข้าไม่แปลกใจเรื่องนี้ ความหมายของข้าคือ นี่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ใช่อันตราย” นางเอ่ย “ท่านยาย ไม่อาจไม่ป้องกัน”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองนาง ฉับพลันก็ยิ้ม

 

 

“เจินเจิน” นางเอ่ย “มีคำประโยคหนึ่งเจ้ามักลืมอยู่เสมอ”

 

 

คุณหนูจวินงุนงง

 

 

“คำอะไร?” นางเอ่ยถาม

 

 

 นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเรียบเฉย

 

 

“เจ้าแผ่นดินต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่อาจไม่ตาย” นางเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินสีหน้าพลันเปลี่ยน

 

 

“ท่าน” นางเอ่ย อ้าปากแล้วก็ไม่รู้ควรพูดอะไร

 

 

คล้ายอยากหัวเราะทั้งคล้ายโกรธเกรี้ยว

 

 

นางคิดว่านายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่เชื่อว่ามีอันตราย คิดอยู่ตลอดว่าจะใช้เหตุผลอะไรมาเอ่ยกล่อม คิดไม่ถึงนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่จริงไม่ใช่ไม่เชื่อ

 

 

“ท่านนี่นับว่าหมายความว่าอย่างไร?” นางเอ่ยขึ้น “พูดเช่นนี้ถ้าเช่นนั้นเรื่องมากมายข้าก็ทำเสียเปล่าแล้วงั้นสิ? ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง? ข้าไม่ควรช่วยเฉิงอวี่ไว้?”

 

 

นางยื่นมือชี้ฟางเฉิงอวี่ที่อยู่ไม่ไกล

 

 

ฟางเฉิงอวี่ที่สีหน้าไม่พอใจสัมผัสได้ทันที ค้นพบว่าบรรยากาศด้านนี้ไม่ชอบมาพากล เขาจึงจะเข้ามาโดยสัญชาติญาณ กลับถูกจูจั้นดึงไว้อีกหน

 

 

“เจ้านั่งดีๆ” เขาเอ่ย “สตรีพูดกัน บุรุษไม่ต้องสอดปาก”

 

 

ฟางเฉิงอวี่สีหน้าหงุดหงิด

 

 

“พวกนางทะเลาะกันแล้ว” เขาเอ่ย

 

 

“กลัวอะไร ใครทะเลาะสู้นางได้” จูจั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

ถุย ในใจฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น จะโกรธตายแล้ว

 

 

คุณหนูจวินโกรธมากจริงๆ

 

 

“ข้าไม่ควรค้นหาผู้ดูแลใหญ่ซ่งจับนายอำเภอหลี่ ควรให้พวกเขาอยู่ต่อไป ทำร้ายพวกท่านต่อไป” นางเอ่ย “แก้แค้นให้ท่านตากับท่านลุงทำอะไรเล่า? ตายก็สมควรแล้ว ทั้งยังเป็นเกียรติยิ่งไหม”

 

 

“ท่านยายเวลานั้นท่านรู้สึกว่าข้าก่อเรื่องใช่หรือไม่? ข้าทำวุ่นวายสินะ?”

 

 

คุณหนูจวินเคยด่าคน เคยเสียดสีคน สีหน้าเคยเฉยชา เคยเย็นเยือก เคยซุกซน ทว่าไม่เคยโกรธกระฟัดกระเฟียดเช่นนี้มาก่อน

 

 

เห็นได้ว่าโกรธจัดจริงๆ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มแล้ว

 

 

“อย่าเอ่ยคำพูดเด็กน้อยเช่นนี้” นางเอ่ย “เจ้ารู้พวกเราไม่ได้คิดเช่นนี้”

 

 

นางลุกขึ้นยืน โบกมือ

 

 

“เอาล่ะ นี่ก็คือเจตนาของข้า เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว เจ้ากลับมาแล้ว อยากพักอยู่ในบ้านช่วงหนึ่งก็พักอยู่ช่วงหนึ่ง ไม่อยากอยู่ก็กลับไปเถอะ”

 

 

เพราะโบกมือจึงเห็นว่าในมือยังถือปลาย่างที่กินไปคำหนึ่งไว้ นางยัดให้คุณหนูจวิน

 

 

“อร่อยดีทีเดียว” นางเอ่ย พูดจบก็หมุนตัวก้าวยาวจากไป

 

 

คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของนาง โยนปลาย่างในมือพึ่บเข้าไปในกองไฟ เสียงเปรี๊ยะๆ ดังขึ้น ควันกับสะเก็ดไฟกระเด็นวูบหนึ่ง กลิ่นหอมไหม้ฟุ้งอบอวล

 

 

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+