Sword of horny ดาบแสงพลัง X กับทรชนพันธุ์ระยำ.. 21

Now you are reading Sword of horny ดาบแสงพลัง X กับทรชนพันธุ์ระยำ.. Chapter 21 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แสงที่ 21 ชีวิตมันพึ่งเริ่มต้น..~

ครึ๊กๆ..

เสียงของรถม้าที่เริ่มเคลื่อนตัวออกจากศูนย์บัญชาการ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเหล่าทหารจากกองทัพทารอนที่ดังลั่นไปทั่วบริเวณ..

“หึๆ สะใจชะมัด..!”ซิลเวียที่มุดตัวกลับเข้ามาภายในรถม้ากล่าวขึ้น ในขณะเดียวกันเจมิสที่นั่งอยู่ข้างๆผมก็เบนหน้าหันไปทางอื่นเหมือนกำลังจะพยายามกลั้นขำ และไม่อยากให้ใครเห็น ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นเจมิสมันก็คงจะดูเป็นอะไรที่น่ารัก..

“ทะ..ท่านผู้บัญชาการครับ..”ผมที่เรียกซิลเวีย ซึ่งในตอนนี้อาการหวาดกลัวผู้คนของผมก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มดีขึ้นแล้ว มีอยู่หลายครั้งที่ผมเผลอคุยกับคนอื่นไปโดยที่ไม่รู้ จนลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นโรคกลัวสังคม..

ซึ่งด้วยเหตุนี้ผมจึงตัดสินใจที่จะลองพยายามพูดคุยกับคนอื่นบ่อยๆ เพื่อรักษาโรคนี้ให้หายไป..

“หืม..? ว่าไงว่าที่สิบตรีสตาร์ ตอนนี้ภารกิจจบแล้วเรียกฉันว่าร้อยเอกซิลเวียเฉยๆก็ได้..”ซิลเวียที่ตอบกลับ เธอยังคงยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี..

“มะ..เมื่อกี้ ท่านร้อยเอกเท่สุดๆไปเลย คำพูดและการแสดงของท่านมันทำให้ผมรู้สึกทึ่งแบบบอกไม่ถูก ไหนจะคุณจ่าสิบโทที่ชื่อเรซิสนั่นก็ด้วย เขาตอบคำถามของท่านได้ดีมากๆ..”ผมที่บอกกับซิลเวีย ถึงประโยคคำพูดและการแสดงที่เธอคุยกับทหารที่ชื่อเรซิส ผมจะเคยได้ยินผ่านหูมาจากหนังและสื่อแนวสงครามในชาติก่อน แต่พอได้มาเจอในสถานการณ์จริงๆแบบนี้ มันก็อดไม่ได้ที่สายเลือดโอตาคุแนวสงครามของผมจะถูกปลุกขึ้นมา..

“….”

เอ๊ะ..นี่ผมพูดอะไรที่ไม่ควรจะพูดออกไปหรือเปล่า พอผมพูดจบจู่ๆซิลเวียกับเจมิสก็ทำหน้าอึ้งๆ คนทั้งสองต่างหันมามองหน้าของกันและกัน ก่อนที่จะ..

“อุ๊บ..ฮ่าๆ ๆ..!!!”ซิลเวียที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ส่วนทางด้านของเจมิสก็พลันหันหลังให้ผม พลางกลั้นขำจนตัวสั่นเอากำปั้นทุบกับหน้าต่างของรถม้า..

“คะ…ครับ..?”ผมที่กล่าวเสียงสูงด้วยความงุนงง สีหน้าของผมในตอนนี้มันก็คงจะดูเหว๋อหน่อยๆ

“จริงสิ..ฉันก็ลืมไปซะสนิทเลย เธอรู้ไหมว่าคำพูดที่ฉันใช้ตอกหน้าไอ้พวกเอทารอสฉันจำมาจากที่ไหน..?”ซิลเวียที่กล่าวออกมา พร้อมทั้งตั้งคำถามกับผม..

“มะ..ไม่ครับ..”ผมที่ตอบกลับ..

“ก็จำมาจากเธอนั่นแหละ..”

“ห้ะ..?! ผมเนี่ยนะ..?”ผมที่ร้องอุทานออกมา กะแล้วเชียวว่าทำไมมันถึงเหมือนกับคำพูดที่ผมรู้จัก นี่ตูข้าไปสร้างวีรกรรมหรือพูดอะไรเอาไว้บ้างเนี่ย..

“ใช่..จะว่าไปแล้ว เธอในตอนที่พลังตื่นกับตอนนี้แตกต่างกันแบบคนละขั้วเลยแหะ..”ซิลเวียที่กล่าวออกมา พอเจมิสได้ยินก็ร่างกระตุก จู่ๆบรรยากาศที่กำลังดีๆก็แปรเปลี่ยนไป..

“อย่างงั้นหรอกเหรอครับ ผมว่าเรื่องพลังของผมช่างมันก่อนเถอะ..”

“งั้นเรามาคุยกันเรื่องเอมพาสของเธอดีกว่า ตอนนี้มันอยู่ในระดับไหนแล้ว ถึงพลังของเธอจะไม่ถูกปลุก แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้เธอก็น่าจะรู้สินะ..?”ซิลเวียที่เอ่ยถามผม..

“อะ..เออคือ ผมไม่รู้อะไรเลยสักอย่างครับ เท่าที่ได้ฟังมาจากท่านร้อยตรี เห็นว่าเงื่อนไขเอมพาสของผมมันไม่ได้จะแก้ง่ายๆ ถ้าเกิดเรียกออกมาแล้วทำตามเงื่อนไขไม่ได้ มันก็อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต..”ผมที่ตอบกลับไปตามตรง..

“หืม..? ก็แค่ลงไปแช่น้ำไม่ใช่เหรอ..? เงื่อนไขเอมพาสของเธอน่ะ..”ซิลเวียที่เอ่ยถาม และมันก็ถึงกับทำให้เจมิสที่นั่งอยู่ต้องร่างกระตุกอีกครั้ง..

“เงื่อนไขเอมพาสของไอ้เจ้านี่มันเป็นแบบสุ่ม ทุกครั้งที่เรียกเอาออกมาใช้ เงื่อนไขก็จะถูกเปลี่ยนไป..”เจมิสที่รีบหันกลับมาอธิบาย อาการของเธอมันดูเหมือนจะล่กๆ อย่าบอกนะว่าก่อนหน้านี้เธอแอบโกหกอะไรซิลเวียไป แล้วเงื่อนไขของผมมันคืออะไรกันแน่เนี่ย..

“หืม..? จะเป็นไปได้ยังไง ฉันไม่เห็นจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนว่าเอมพาสจะมีเงื่อนไขแบบสุ่มอยู่ด้วย แต่ถ้าเกิดมีจริงๆแล้วว่าที่สิบตรีสตาร์จะเลื่อนระดับดาวยังไง..?”ซิลเวียที่กล่าวออกมา ก่อนจะเอ่ยถาม..

“ระดับดาว..? มันคืออะไรเหรอครับ..?”

 

“นี่เธอไม่รู้จริงๆเหรอ..?”ซิลเวียที่เอ่ยถาม ซึ่งผมก็พยักหน้าเบาๆ ถึงในความทรงจำจะมีบอกแต่ผมว่าถามกับผู้รู้น่าจะได้คำตอบที่ดีที่สุด..

“ระดับดาวคือการขยายขอบเขตพลังของคริสตัลมานา หรือจะพูดให้เข้าง่ายๆก็คือการเลื่อนระดับของคริสตัลมานานั่นแหละ ยิ่งถ้าเกิดมีระดับดาวที่สูง คริสตัลมานาก็จะสามารถเก็บมานาได้มากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ผู้ถือครองพัฒนาความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกายหรือวงจรเวท..

ถ้ายังไม่เข้าใจก็ลองนึกภาพตามนะ คริสตัลมานาเปรียบเสมือนถ้วย ส่วนมานาเปรียบเสมือนน้ำที่อยู่ในถ้วย ถ้าเกิดคริสตัลมานาเลื่อนระดับดาวมันก็เหมือนกับการเปลี่ยนภาชนะจากถ้วยเดิมไปเป็นถ้วยที่ใหญ่กว่า จนสามารถที่จะบรรจุมานาที่เปรียบเสมือนน้ำได้มากขึ้น..”ซิลเวียที่อธิบายและยกตัวอย่างให้ฟัง อารมณ์เหมือนจุดตันเถียนของนิยายกำลังภายในเลยแหะ..

“อ่อ..เข้าใจแล้วครับ มันเป็นแบบนี้นี่เอง..”ผมที่กล่าวออกมา..

“ซึ่งถ้าคริสตัลมานามีระดับดาวที่สูง เอมพาสก็จะมีระดับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นไปด้วย จนสามารถที่จะใช้สกิลเวทมนตร์ที่มีระดับสูงตามดาวนั้นๆ..”

“ว้าว..มีสกิลด้วย..”ผมที่ส่งเสียงออกมา..

“แล้วต้องทำยังไงถึงจะสามารถเลื่อนระดับดาวได้ล่ะครับ..?”

“ถ้าเป็นเอมพาสระดับ 1 หรือชนิดกักเก็บการจะขยายขอบเขตของคริสตัลมานา นั่นก็คือการดูดซับมานาที่อยู่รอบๆตัวเข้าไป แต่ก็ใช่ว่าการทำแบบนั้นจะการันตีว่าจะสามารถเลื่อนระดับดาวได้จริงๆ ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับความสามารถและพรสวรรค์ของแต่ละคน..”ซิลเวียที่อธิบาย ก่อนจะอธิบายต่อ..

“แต่ถ้าเป็นในกรณีของเอมพาสระดับ 2 หรือแบบยุทโธปกรณ์ การจะเลื่อนระดับดาวนั้น จำเป็นที่จะต้องทำตามเงื่อนไขเฉพาะของเอมพาสนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่นร้อยตรีเจมิส เงื่อนไขเอมพาสของเธอคือการต้องจูบกับใครสักคน หลังจากที่เรียกเอมพาสออกมา 

ในกรณีของการเลื่อนระดับดาวเองก็เช่นกัน เธอจำเป็นที่จะต้องจูบกับคนอื่นตามเงื่อนไขของเอมพาส ก่อนที่เอมพาสจะเปลี่ยนให้เงื่อนไขกลายเป็นปริมาณมานาและเข้าไปกักเก็บเอาไว้ในคริสตัลมานา และเมื่อมันถึงปริมาณที่กำหนด มันก็จะเลื่อนระดับไปยังดาวต่อไป..”สิ้นคำอธิบายของซิลเวีย ผมที่นั่งอยู่ก็ถึงกับอ้าปากค้าง ในตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมในตอนนั้นเจมิสถึงจูบผม โถ่..ไอ้เราก็มโนไปไกล..

“ไม่จริงงงงงงง..! เพราะเงื่อนไขหรอกเหรอ..? โหดร้ายเกินไปแล้ว จู๋เสียใจเว้ย..!”เสียงของไอ้จ้อนที่กู่ร้องออกมา ดูเหมือนว่าไอ้จู๋ของผมจะสติหลุดไปแล้ว..

“..”เจมิสที่ได้แต่นั่งเงียบ สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความไม่พอใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าซิลเวียเอาเงื่อนไขที่ดูน่าอายมาพูด..

“งะ..งั้นก็แปลว่าในทุกๆครั้งที่ท่านร้อยตรีออกรบ ท่านก็จะต้องจูบกับคนอื่นเหรอครับ..?”ผมที่เอ่ยถาม แน่นอนว่าถามซิลเวีย ถามเจมิสมีหวังถูกต่อยตาแตก..

“ก็ตามนั้น..แต่ร้อยตรีเจมิสปกติจะตัวติดกับร้อยตรีเซร่า เพราะผู้หญิงคนนั้นคือคู่ขาของเธอ แต่เอ้..~ จะว่าไปภารกิจนี้ร้อยตรีเซร่าก็ไม่มาด้วย แล้วเธ..อ..”

ปัง..!!!!

ซิลเวียที่กล่าวออกมา เธอพลางลูบคางของตัวเอง ก่อนจะชำเลืองหางตาไปมองเจมิส แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับใช้กำปั้นทุบขอบหน้าต่างรถม้าเสียงดังปัง ด้วยสีหน้าที่แดงก่ำจากความโกรธ..

แสดงว่า..เหตุผลที่เจมิสลากผมมา คงจะเป็นเพราะเธอต้องการที่ใช้ผมเป็นตัวช่วยในการทำเงื่อนไข และผมเองก็มั่นใจเอามากๆว่ามันจะต้องเป็นผม โดยที่ซิลเวียก็ดูเหมือนจะพอรู้เรื่องนี้อยู่แล้วด้วย..

“ถะ..ถ้าอย่างงั้น แสดงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาการจะเพิ่มระดับดาว ท่านร้อยตรีเจมิสก็ต้องจูบกับท่านร้อยตรีเซร่าคนนั้นตลอดเลยเหรอครับ..?”ผมที่ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบถามซิลเวีย แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ๊เจมิสแกจะได้ยิน จากแววตาอันแสนเหี้ยมโหดที่กำลังจ้องผมหน้าของผมตาเขม็ง..

“ก็ตามนั้นแหละ แต่ก็ใช่ว่าการจะเพิ่มปริมานมานาด้วยเงื่อนไขจะสามารถทำได้ตลอดเวลา ในหนึ่งวันหรือหนึ่งเดือนมันจะมีขีดจำกัดอยู่ว่าจะสามารถทำได้มากหรือน้อยแค่ไหน แล้วแต่รายละบุคคล เพราะถ้าเกิดมันสามารถทำได้เรื่อยๆ ป่านนี้ทหารที่ใช้เอมพาสระดับสองจากทั่วทั้งจักรวรรดิก็คงจะเพิ่มระดับดาวจนแข็งแกร่งกันไปหมดแล้วล่ะ..”ซิลเวียที่อธิบาย ซึ่งถ้าให้แปลเป็นภาษาที่ทุกคนๆจะสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ผมก็จะยกตัวอย่างให้ฟัง..

ในกรณีเงื่อนไขของเจมิส เมื่อเธอจูบกับคนอื่นก็จะได้ EXP มา จะกี่หน่วยอันนี้ผมก็ไม่ทราบ ซึ่งเมื่อ EXP ถูกอัพจนเต็มหลอดก็จะเลื่อนเข้าสู่เลเวลหรือดาวถัดไป

แต่ถึงอย่างนั้นการจะอัพ EXP ใช่ว่าจะสามารถทำได้รัวๆหรือตลอดเวลา ทันทีที่มันถึงขีดจำกัด ถึงต่อให้เจมิสจะทำตามเงื่อนไขไปมันก็จะไม่มีผลอะไร เธอจำเป็นที่จะต้องรอเวลาไปอีกสักระยะ จึงจะสามารถทำได้ใหม่

ซึ่งเท่าที่ผมฟังจากซิลเวียหลังจากที่ทำตามเงื่อนไขจน EXP ถึงขีดจำกัดแล้ว กว่าที่ในครั้งถัดไปจะสามารถเพิ่ม EXP ได้ใหม่ ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะมีระยะเวลาที่ไม่เท่ากัน..

“ซึ่งทั้งหมดที่อธิบายมา เธอคงจะนึกถึงสภาพของตัวเองออกแล้วสินะ ถ้าเกิดเธอไม่มีเงื่อนไขที่ตายตัว แล้วเธอจะอัพระดับดาวได้ยังไง..?”ซิลเวียที่กล่าวกับผม เออนั่นดิ..ดูเหมือนว่าผมจะอัพระดับดาวไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่ามันจะแย่ไปซะทีเดียว ขอเพียงแค่ผมมีเอมพาสเหมือนกับชาวบ้านเขาก็พอแล้ว..

“ไม่เป็นไรหรอกครับ อย่างน้อยๆผมก็โล่งใจที่ตัวเองก็มีเอมพาส เอาไว้ถ้าเกิดพลังผมถูกปลุกอีกครั้งเมื่อไหร่ ผมอีกคนก็คงจะหาทางทำอะไรสักอย่างเองนั่นแหละ..”ผมที่บอกกับซิลเวีย..

“อย่าแม้แต่จะคิด ฉันว่าฉันเตือนแกไปแล้วนะ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของเอมพาส ไอ้พลังเวรนั่นของแกก็ด้วย ทุกๆครั้งที่ความทรงจำของแกถูกปลุก แกจะมักจะพาตัวเองไปเสี่ยงตายแบบโง่ๆอยู่ตลอด ซึ่งถ้าเกิดฉันไม่อยู่หรือถ้าแกไม่จวนจะตายจริงๆ ฉันขอสั่งว่าห้ามแกปลุกไอ้พลังเวรนั่นออกมาเด็ดขาด..”เจมิสที่หันควับมากระชากคอเสื้อของผม พร้อมกับออกคำสั่ง สีหน้าของเธอแลดูเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมากราวกับว่าผมไปฆ่าคนที่เธอรัก..

“แกเข้าใจสิ่งที่ฉันสั่งไหม..?”เจมิสที่เอ่ยถาม..

“คะ..ครับ..”ผมที่ตอบกลับ..

“ว่าที่สิบตรีสตาร์ คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง เธอก็ตอบให้มันเสียงดังฟังฉันหน่อยสิ..”ซิลเวียที่กล่าวแซวขึ้น โดยที่ผมก็สตั๊นไปชั่วขณะ 

“ห๋าาาาา..? ใครเป็นห่วงไอ้เวรนี่กัน ฉันแค่ไม่อยากจะเสียคนที่ฉลาดและมีความสามารถในด้านการรบ แต่ดันโง่ในเรื่องง่ายๆไปก็เท่านั้น..”เจมิสที่ตอบกลับ.. เดี๋ยวนะ..นี่ด่าหรือชม

“งั้นเหรอ..~”ซิลเวียที่ตอบกลับเสียงสูง พลางจ้องมองเจมิสด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ซึ่งมันก็ทวีคูณความโกรธให้เจมิส จนเธอผลักมือข้างที่กำลังจับคอเสื้อของผมออก แต่ดันผลักแรงเกินไปจนทำให้หลังหัวของผมโขกเข้ากับผนังข้างหลัง..

ผลั๊ก..

“โอ้ย..! เจ็บ..!”ผมที่เอามือลูบหัวปอยๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าเจมิสจะไม่เห็นใจ..

“หึ..ไอ้คนที่บุกเดี่ยวกวาดล้างกองร้อยของเมลันเทียถึงสองครั้ง ถ้าจะมาตายเพราะหัวโขกผนังก็ตายไปซะเถอะ..”เจมิสที่กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ ยัยปีศาจ..ฮึก

“นี่..ว่าที่สิบตรีสตาร์..”

ทันใดนั้นจู่ๆซิลเวียก็เอ่ยขึ้น สีหน้าของเธอพลันเปลี่ยนกลายเป็นเคร่งขรึม..

“คะ..ครับ..?”

“ฉันมีเรื่องสำคัญที่อยากจะบอกเธออยู่ เธออาจจะยังไม่รู้ตัวว่าตอนนี้น่ะ เธอเป็นทหารไร้สังกัด เธอยังไม่ได้ถูกบรรจุเข้ากองทัพไหน ไม่ว่าจะเป็นทารอน เอทารอสหรือคีทารัส..”สิ้นคำพูดของซิลเวีย เจมิสที่ก็พลันหันหน้ามาจ้องมองยังซิลเวีย..

“เท่าที่ฉันฟังมาจากร้อยตรีเจมิส เธอถูกร้อยตรีพาตัวมายังศูนย์บัญชาการโดยพละการ อีกทั้งยศว่าที่สิบตรียังถูกติดให้อย่างไม่เป็นทางการ

อันที่จริงแล้วถ้าตอนแรกก่อนที่จะมายังศูนย์บัญชาการ ขอเพียงแค่เธอเป็นทหารฝึดหัดที่บรรจุเข้ายังกองทัพทารอนอย่างเป็นทางการแล้ว 

ยังไงเมื่อกลับไปเธอก็อาจจะถูกแต่งตั้งและได้ติดยศสิบตรีจริงๆเผลอๆด้วยผลงานที่เธอสร้างเอาไว้อาจจะได้เลื่อนเป็นระดับสิบโทหรือสิบเอกเลยด้วยซ้ำ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า..เธอยังไม่ได้สังกัดเข้ากองทัพไหนเลยตั้งแต่ทีแรก พอกลับไปฉันเกรงว่าเธออาจจะต้องถูกส่งตัวไปยังจุดคัดแยก และต้องจับฉลากคัดเลือก เพื่อเสี่ยงดวงเอาว่าจะได้จำแนกเข้าสังกัดที่เหล่าทัพไหน..”ซิลเวียที่กล่าวออกมา..

“ดะ..เดี๋ยวก่อนสิท่านร้อยเอก ภารกิจในครั้งนี้น่ะ ถ้าพวกเราไม่ได้ไอ้เจ้าบ้านี่ ป่านนี้พวกเราก็คงจะ..”

“ฉันเข้าใจเธอนะ แต่ยังไงมันก็ต้องเป็นไปตามระบบระเบียบของอาคัส สิ่งเดียวที่พวกเราพอจะทำได้คือภาวนาให้เขาจับฉลากได้กองทัพทารอนของเรา..”ซิลเวียที่กล่าวออกมา พอเจมิสได้ยินก็ทำหน้าผิดหวัง เธอดูวิตกกังวลเป็นอย่างมาก..

“ถ้าเกิดได้เจ้าบ้านี่มาล่ะก็..กองทัพทารอนจะต้องกลับไปรุ่งโรจน์อีกครั้งแน่..”เจมิสที่กล่าวออกมา ดูเหมือนว่าตอนนี้กองทัพทารอนจะกำลังตกต่ำอยู่..

“ฉันก็หวังว่าจะให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ว่าจะได้เข้าเหล่าทัพไหน ยังไงพวกเราก็มีเป้าหมายเดียวกันคือรับใช้จักรวรรดิ..”ซิลเวียที่กล่าวออกมา ซึ่งหลังจากจบการสนทนานี้ ตลอดการเดินทางพวกเราก็ไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย..

3 วันต่อมา..

ตลอดสามวันของการเดินทาง แม้ทหารทุกๆนายจะดีใจที่ได้กลับบ้าน แต่ก็ดูเหมือนว่าเจมิสกับซิลเวียจะยังคงเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของผม ทั้งสองคนนั้นไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเลย 

ในตอนเช้าของการเดิน เจมิสและซิลเวียต่างคนก็ต่างหยิบหนังสือที่พกติดตัวเอาออกมาอ่าน พอมาถึงช่วงค่ำที่ขบวนรถม้าหยุดพัก ทุกๆคนก็ต่างมาดื่มฉลองกัน ส่วนตัวของผมที่ไม่รู้จะทำอะไรก็จดบันทึกข้อมูลต่างๆที่ได้รู้ลงไปในสมุดพก จนกระทั่งสามวันให้หลังพวกเราก็เดินทางกลับมาถึงยังที่หมาย..

ณ เมืองโรเซ่..

ครึกๆ ๆ ๆ

เสียงของขบวนรถม้าที่แล่นผ่านเข้ามาภายในเมือง 

“กองร้อยทารอนนับวันนี่ยิ่งจะตกต่ำลงเรื่อยๆแหะ ถึงขนาดปล่อยให้ชายแดนถูกไอ้พวกเมลันเทียลุกล้ำเข้ามาได้..”

“นั่นสิ..”

“หึ..ทำไมถึงจะไม่ตกต่ำล่ะ ก็อวยยศให้ยากซะขนาดนั้น ใครมันจะอยากไปเข้า ถึงสวัสดิการจะสูงกว่าเหล่าทัพอื่นๆก็เถอะ..”

ท่ามกลางสายตาและเสียงซุบซิบนินทาของเหล่าทหารกว่าหลายนายจากเหล่าทัพต่างๆที่เดินสวนทางกันอยู่บนท้องถนน ข่าวลือที่ทัพทารอนไม่อาจจะปกป้องชายแดนทางทิศใต้และล้มเหลวในภารกิจตอบโต้ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว..

“ถึงแล้วสินะ..”เจมิสที่กล่าวออกมา สายตาของเธอกำลังมองออกไปข้างนอกรถม้า..

กึก..!

แต่แล้วจู่ๆรถม้าของเจมิสที่แล่นอยู่ทางด้านหน้าสุดก็หยุดเคลื่อนตัวลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ พร้อมกับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น..

ก๊อกๆ..

“ผมจ่าสิบโทลาซิส หัวหน้าหน่วยทหารตรวจการที่สาม ขออนุญาติครีบ..!”เสียงของชายที่ยืนอยู่หลังประตูรถม้าพลันตะโกนดังขึ้น เดี๋ยวนะลาซิสเหรอ..? ชิบหายแล้วไง..ไอ้ตาลุงที่แสว๊กแก็คซิสเตอร์ผม..

แอ๊ด..~

ซิลเวียที่เอื้อมมือไปเปิดประตูรถม้า ก่อนที่ผมจะพบเข้ากับร่างของลาซิสที่ยืนอยู่ ทันทีที่ตาลุงแกเห็นผม อีกฝ่ายก็ทำหน้าอึ้งๆ แกคงจะคาดไม่ถึงว่าผมจะมาอยู่ในรถม้าคันนี้..

“มีธุระอะไร..?”ซิลเวียที่เอ่ยถาม..

“ทะ..ท่านร้อยเอก..อะ..เออคือ เรียนท่านร้อยเอกซิลเวีย ผมมาที่นี่ก็เพื่อมาพาตัวของทหารเกณฑ์นายนั้นไปน่ะครับ..”ลาซิสที่กล่าวออกมา นี่อย่าบอกนะว่าพี่แกนั่งรอผมออกมาจากสถาบันอาคัสตั้งเกือบอาทิตย์..

“ไป..แกจะพาไปไหน..?”เจมิสที่เอ่ยถาม..

“ผะ..ผมเป็นอีกคนที่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน เห็นว่าทหารเกณฑ์นายนี้ได้ผ่านการทดสอบ แถมยังสร้างวีรกรรมที่น่าเหลือเชื่อเอาไว้ด้วย ผมก็เลยจะพาเขาไปยังจุดคัดแยกเพื่อจับฉลากจำแนกเข้าเหล่าทัพน่ะครับ..”ลาซิสที่กล่าวออกมา ดูพี่แกจะเกร็งๆเมื่อต้องยืนอยู่ต่อหน้าทหารที่ยศสูงกว่าตน เดี๋ยวนะ..วีรกรรม..? ผมสร้างวีรกรรมอะไรไว้กันนะ..

“แล้วทำไมแกถึงต้องเสนอหน้ามาพาเจ้านี่ไปส่งด้วยตัวเอง..? ฉันขอฟังเหตุผลหน่อย..”เจมิสที่เอ่ยถาม..

“นั่นก็เพราะว่าซิสเตอร์ที่เลี้ยงเจ้านี่มาขอให้ผมช่วยดูแลมัน มันเป็นเด็กกำพร้าที่เกิดและโตขึ้นมาอยู่ภายในโบสถ์มิลเทล อีกส่วนหนึ่งถ้าเกิดร้อยตรีเซอร์เคิลฟื้นขึ้นมาเจ้าเด็กนี่ได้ถูกฆ่าตายแน่ๆ ผมถึงต้องรีบเร่งพามันไปส่งยังจุดคัดแยกให้เร็วที่สุด ถ้าเกิดมันได้กลายเป็นทหารของอาคัสอย่างเต็มตัวเมื่อไหร่ ร้อยตรีเซอร์เคิลก็ไม่สามารถที่จะแตะต้องหรือทำอะไรมันได้..”ลาซิสที่ให้เหตุผล ซึ่งเมื่อเจมิสกับซิลเวียรู้ว่าเจ้าของร่างคนก่อนเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้า มันก็ทำให้พวกเธอต่างต้องพากันอึ้งไปตามๆกัน โดยเฉพาะเจมิส..

“อะ..อย่างงั้นเองสินะ..จะว่าไปแล้ว ตั้งวันที่เกิดเหตุ..ข่าวลือเกี่ยวกับเซอร์เคิลได้แพร่กระจายออกไปบ้างหรือเปล่า..?”

“ไม่ครับ..ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครที่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย คนที่รู้ก็มีแค่พวกทหารเกณฑ์ที่อยู่ในเหตุการณ์กับพวกเราทหารหน่วยตรวจการที่ได้มารับรู้เรื่องราวในภายหลัง 

โดยที่ผมนั้นได้กำชับกับเหล่าทหารภายใต้สังกัดเอาไว้แล้วว่าห้ามแพร่กระจายเรื่องนี้ออกไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่อยากจะให้ชื่อเสียงของร้อยตรีเซอร์เคิลต้องเสื่อมเสีย เพราะมันอาจจะนำพามาซึ่งความบาดหมางระวังเหล่าทัพ ยิ่งท่านร้อยตรีเจมิสพาตัวของมันไปทำภารกิจด้วยยิ่งแล้วใหญ่

ถึงแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆก็เถอะ แต่นิสัยของชายคนนั้นพวกท่านก็น่าจะรู้ดี ถ้าเกิดร้อยตรีเซอร์เคิลฟื้นขึ้นมาความซวยจะต้องมาเยือนไอ้เจ้านี่แน่ๆ..”ลาซิสที่กล่าวอธิบายออกมา นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย..?

“แกทำได้ดีมาก..แล้วพวกทหารเกณฑ์ที่เห็นเหตุการณ์ล่ะ..?”เจมิสที่เอ่ยถาม..

“ตั้งแต่วันที่เหล่าทหารเกณฑ์ผ่านบททดสอบ ทหารพวกนั้นก็ได้เข้ารับการฝึกฝนอยู่ที่ศูนย์ฝึกอบรมประจำเมืองนี้เป็นเวลาเกือบ 10 วัน ยังไงพวกมันก็ไม่ได้รับอนุญาติให้ออกไปจากศูนย์ฝึกอบรม จนกว่าจะถึงวันจับฉลากจำแนกเข้าเหล่าทัพ จึงไม่มีทางที่จะนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังได้

อีกทั้งถึงต่อให้พูดไปก็คงที่จะไม่มีใครเชื่อ อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย ขนาดทางศูนย์ฝึกอบรมแจ้งเรื่องนี้ไปยังท่านพันโทพ่อของท่านร้อยตรีเซอร์เคิล ทางนั้นก็ยังไม่ได้ส่งข่าวอะไรกลับมาเลย เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันคงจะเป็นเรื่องไร้สาระที่พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ..”ลาซิสที่อธิบายอย่างละเอียด.. 

“นั่นสินะ..ถือว่าไอ้เจ้าบ้านี่โชคดีไป..”เจมิสที่กล่าวออกมา แต่จู่ๆเธอก็ดูเหมือนจะเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “หะ..หืม เดี๋ยวนะ..ก่อนหน้านี้แกบอกว่าไอ้เจ้าเซอร์เคิลมันยังไม่ฟื้นเหรอ..?”

“ใช่ครับ..ท่านร้อยตรีเซอร์เคิลตอนนี้ถูกส่งไปยังสถานพยาบาลของทัพทารอน ตั้งวันนั้นจนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่ได้สติเลยครับ..”สิ้นคำตอบของลาซิส เจมิสกับซิลเวียก็ต่างพากันแสดงสีหน้าวิตกกังวล..

“แบบนี้แย่แน่ ถ้าพ่อของเซอร์เคิลรู้เข้ามีหวังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแหงๆ..”ซิลเวียที่กล่าวออกมา..

“อะ..เออคือ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ หรือว่าผมจะ..”ผมที่เริ่มจะรู้สึกใจคอไม่ดีพลันยื่นหน้าเข้าไปกระซิบถามเจมิส..

“ก็เออน่ะสิ..แกกระทืบเจ้านั่นซะน่วมเลย แถมยังหักแขนของมันไปด้วย..”

ทันทีที่ผมได้รับคำตอบจากเจมิส สีหน้าของผมก็พลันต้องซีดเสียไปในทันที เวรแล้วไงแบบนี้ชิบหายแน่ ถ้าฟังไม่ผิดรู้สึกว่าพ่อของเซอร์เคิลจะเป็นพันโทด้วย เวรๆ เขาจะตายหรือเปล่าเนี่ย..

“ละ..แล้วกำหนดวันจำแนกคัดแยกทหารเข้าเหล่าทัพมันคือวันไหน..?”เจมิสที่เอ่ยถามต่อลาซิส..

“วันพรุ่งนี้ครับ..ปีนี้สถานที่จัดคือหัวเมืองทางทิศตะวันตกเมืองเฮล่า..”ลาซิสที่กล่าวออกมา..

“อึก..ถ้างั้นก็รีบเลย ยังไงก็ขอฝากพาเจ้านี่ไปส่งด้วย พวกฉันมีธุระที่จะต้องไปจัดการ..”เจมิสที่ฝากฝังผมเอาไว้กับลาซิส..

“รับทราบ..!”ลาซิสที่ขานรับ ก่อนที่ตาลุงแกจะหันมามองผม..

“มัวนั่งอึนอะไรอยู่เล่า รีบๆลงมาสิ..”ลาซิสที่บอกกับผม..

“อะ..เออคือ ผะ..ผมไม่ค่อยไว้ใจคุณสักเท่าไหร่..”

ผลัก..!

ทันทีที่ผมพูดจบ จู่ๆเจ๊เจมิสแกก็จับผมเหวี่ยงลงจากรถม้าจนหน้าทิ่มพื้น พอร่วงลงไปก็ถูกตาลุงลาซิสซัดกำปั้นลงมาที่กลางกระหม่อมซ้ำอีกครั้ง

“ไอ้เด็กเวรนี่ คนเขาอุตส่าห์ช่วยก็หัดสำนักบุญคุณซะบ้างสิ ยังจะมาปากดีอีก..”ลาซิสที่ต่อว่าผม..

“แกจะกลัวอะไร ลาซิสเป็นทหารของกองทัพทารอน ยังไงมันก็ไว้ใจได้..”เจมิสที่กล่าวออกมา..

“อ้าว..จริงเหรอครับ..!?”ผมที่ร้องออกมา เพราะพึ่งจะรู้ว่าตาลุงสังกัดอยู่ที่ทัพทารอน..

“ก็เออสิวะ..?!”ลาซิสที่จับผมล็อคคอ พลางเอากำปั้นขยี้ลงมาที่หัวของผม เจ็บโว้ย..!

“ยังไงก็ฝากดูแลมันด้วย..แล้วฉันจะทดแทนให้ทีหลัง..”เจมิสที่บอกกับลาซิส ซึ่งพออีกฝ่ายได้ยินก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าร้อยตรีที่ใครๆก็ต่างยำเกรงกลับให้ความสำคัญกับผม..

“ไม่เป็นไรครับ..ผมเองก็สัญญากับซิลเตอร์คนนั้นไปแล้วว่าจะดูแลเจ้านี่ให้ดีที่สุด..”ลาซิสที่กล่าวออกมา สีหน้าของเขาจู่ๆก็ดูจริงจังในชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ตาลุงแกจะหันมามองผม..

“ส่วนแก..ถึงฉันจะดูเป็นคนไม่ดี แต่ฉันก็เป็นคนที่รักษาคำพูดเสมอ..ไอ้เด็กเวร..! ถ้าไม่ได้ฉันแกคงโบยบินไปนอนอ้างว้างอยู่ที่ค่ายทหารสามัญตั้งนานแล้ว..”

“ขอโทษกั๊บ..”ผมที่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ก่อนที่สุดท้ายแล้ว ผมจะโดนตาลุงลาซิสหิ้วปลีกไป..

“จู๋สัมผัสได้ว่า..ชีวิตของพวกเรามันพึ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ต่อจากนี้แหละของจริง..!”เสียงของไอ้จ้อนที่กล่าวออกมา อารมณ์ของมันในตอนนี้ก็คงจะประมาณว่ามันกำลังยืนเท้าเอวหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ที่กำลังอัสดง ณ เส้นขอบฟ้า..~

 

 

 

ไรท์:คอมเม้น..!!!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด