Sword of horny ดาบแสงพลัง X กับทรชนพันธุ์ระยำ.. 66
แสงที่ 66 ก่อนทำภารกิจ (2)
หลังจากที่ลูเซียนเกริ่นๆออกมาว่าจะส่งผมออกไปทำภารกิจที่ชายแดนทางทิศตะวันตก ณ ฐานที่มั่นจุดที่ 56 เธอก็ได้เริ่มอธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น..
ซึ่งฐานที่มั่นจุดที่ 56 คือฐานที่มั่นตามแนวตะเข็บชายแดน โดยตะเข็บชายแดนจากทั่วทั้งจักรวรรดิจะมีฐานที่มั่นแบบนี้อยู่ตลอดแนวกว่าหลายจุด อารมณ์ก็คงคล้ายๆกับป้อมปราการชายแดนใต้ที่ผมเคยไปบุกชิงกลับมา
โดยที่การมีอยู่ของฐานที่มั่นในแต่ละจุดที่ครอบคลุมเกือบตลอดแนวชายแดน นั่นก็เพื่อสอดส่องและคอยป้องกันไม่ให้ข้าศึกเคลื่อนทัพผ่านเข้ามาในอาณาจักร..
ซึ่งถ้ายังนึกภาพไม่ออกก็จะขอยกตัวอย่างโดยการเปรียบเปรย ให้เปรียบจักรวรรดิเป็นบ้านหลังหนึ่งและเปรียบตะเข็บชายแดนเป็นรั้วบ้าน ฐานที่มั่นในแต่ละจุดก็คงจะเปรียบเสมือนยามที่คอยเฝ้าสังเกตการและปกป้องไม่ให้โจรปีนข้ามรั้วบ้านเข้ามา
โดยยามที่คอยเฝ้านั้นจะยืนอยู่หลังรั้วภายในอาณาเขตของตัวบ้าน ล้อมอยู่รอบบ้าน ถ้าเกิดมียามคนหนึ่งที่หายไป ช่องว่างเล็กๆนั้นจะเปิดเป็นโอกาสให้โจรเข้าไปขโมยของในบ้านได้..
ซึ่งนี่ก็คือจุดประสงค์ที่ตลอดแนวตะเข็บชายแดนทำไมจึงจะต้องมีฐานที่มั่นกว่าหลายจุด แม้จะเป็นช่องทางเล็กๆ แต่ถ้าไม่มีการสอดส่องป้องกันตรงจุดนั้นก็จะทำให้ข้าศึกแอบลอบผ่านชายแดนเข้ามาในจักรวรรดิ..
หรือในกรณีที่ถ้าเกิดฐานที่มั่นถูกโจมตีจนแตกพ่าย ข้าศึกก็อาจจะบุกทะลวงเข้ามาโจมตีศูนย์บัญชาการชายแดนได้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องปกป้องมันเอาไว้..
จุดแดง:ฐานที่มั่น จุดเขียว:ศูนย์บัญชาการ..
ซึ่งฐานที่มั่นของจุดที่ 56 ปัจจุบันมีกองร้อยของทารอนที่ประจำการอยู่สองกองร้อยได้แก่กองร้อยที่ 7 และ 8 โดยทั้งสองกองร้อยนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของร้อยโทคนหนึ่งที่คอยรับคำสั่งต่อจากร้อยเอกที่ชื่อลิลิธ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการประจำฐานที่มั่น..
นอกเหนือจากนี้ในฐานที่มั่นจุดที่ 56 ยังมีกองร้อยของเหล่าทัพคีทารัสหน่วยกะทิสลาตันที่ประจำการอยู่อีกสองกองร้อย โดยที่ทั้งกองร้อยของทั้งสองเหล่าทัพนั้นได้รับมอบหมายให้ต้องทำภารกิจร่วมกัน..
“ซึ่งจากสถานการณ์ที่ผ่านมา กองร้อยที่ประจำการอยู่ ณ ฐานที่มั่นที่ 56 ได้ตรวจพบกองกำลังของข้าศึกจากอาณาจักรโนโทเปียจำนวนสองกองร้อยที่บุกเข้าโจมตีกองกำลังทหารตรงชายแดน ก่อนจะเคลื่อนพลข้ามผ่านเข้ามาในจักรวรรดิ
โดยที่ผู้บัญชาการชายแดนของฐานที่มั่นจุดที่ 56 ร้อยเอกลิลิธ ทันทีที่ได้รู้ถึงการรุกรานของทหารจากโนโทเปีย เธอพร้อมด้วยผู้บัญชาการของหน่วยกระทิงสลาตัลก็ได้ออกคำสั่งให้ร้อยโทหรือผบ.ร้อย ของเหล่าทัพทั้งสองออกปฏิบัติภารกิจ นำกองกำลังทหารจำนวนสี่กองร้อยบุกเข้าจู่โจมกองร้อยของศัตรู เพื่อปกป้องฐานที่มั่น..
ซึ่งจุดที่กองกำลังทั้งสองฝ่ายปะทะกันนั้นก็คือภายในป่าเซลฟอสที่เปรียบเสมือนเส้นกั้นระหว่างตะเข็บชายแดนและฐานที่มั่นจุดที่ 56
แต่ทว่าจากสถานการณ์ล่าสุดที่ฉันได้รับรายงานมา ดูเหมือนว่าการปะทะกันที่เกิดขึ้น ฝ่ายจักรวรรดิของเราจะเสียเปรียบอย่างหนัก จนถึงขั้นต้องสั่งถอนกำลังพลและกลับมาตั้งหลักยังฐานที่มั่น..”ลูเซียนที่อธิบายสถานการณ์คร่าวๆให้ผมได้ฟัง พร้อมกับนำแผนที่ออกมากางเปิดเป็นภาพประกอบ..
โดยที่ทางด้านของเจมิไนท์กับอาทิสก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ส่วนเทรนก็เอาแต่นั่งกุมขมับด้วยความเคร่งเครียด..
“สถานการณ์มันฟังดูแปลกๆนะครับ..”ผมที่กล่าวออกมา จากการที่รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่..
“ในมุมมองของฉัน ฉันเองก็รู้สึกว่ามันแปลกเหมือนกัน ทั้งๆที่กองกำลังของศัตรูมีจำนวนคนที่น้อยกว่าเราถึงสองเท่าตัว อีกทั้งพวกมันก็ไม่น่าที่จะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมภายในป่าเซลฟอส แต่กลับสามารถสร้างความได้เปรียบได้..”ลูเซียนที่เห็นด้วยกับผม โดยที่ผมเองก็เห็นด้วยกับเธอเหมือนกัน ทั้งๆที่ฝ่ายเราควรจะได้เปรียบทั้งกำลังคนและภูมิศาสตร์ แต่กลับเสียเปรียบเสียอย่างนั้น..
“ยังมีข้อมูลอื่นอีกหรือเปล่าครับ..?”ผมที่ถามกับลูเซียน พอเธอได้ยินก็ชะงัก ก่อนจะกระตุกรอยยิ้มออกมา เมื่อเห็นถึงความกระตือรือร้นของผม..
“ข้อมูลสุดท้ายที่ฉันได้รับรายงานมาเมื่อ 3 ชั่วโมงก่อน ดูเหมือนตอนนี้พวกโนโทเปียมันได้กระจายกำลังพลแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มหลบซ่อนตัวอยู่ภายในป่าเซลฟอส อีกไม่นานมันจะต้องเคลื่อนพลออกจากป่าเซลฟอสและบุกโจมตีฐานที่มั่นจุดที่ 56 อย่างแน่นอน..”
“แล้วกำลังพลของพวกมันตอนนี้เหลืออยู่เท่าไหร่ครับ..?”ผมที่ถามกับลูเซียน..
“ฉันเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าหลังจากการปะทะกันล่าสุดทางฝ่ายของพวกมันสูญเสียกำลังคนไปเท่าไหร่ แต่ถ้าให้คาดเดา การที่พวกมันไม่ถอนกำลังออกจากป่าและปักหลังอยู่ที่นั่น แสดงว่ามันสูญเสียกำลังคนไปไม่มาก..”ลูเซียนที่วิเคราะห์สถานการณ์ อันที่จริงผมก็รู้อยู่แล้ว แต่แค่อยากจะลองภูมิเธอดูเฉยๆ..
“แล้วยังมีข้อมูลอะไรอีกหรือเปล่าครับ..?”
“ก็บอกไปแล้วว่าที่พูดไปนั่นคือข้อมูลสุดท้ายที่ฉันได้รับรายงานมา..”ลูเซียนที่กล่าวยืนยัน..
“ลองคิดดูให้ดีๆครับ ผมว่ามันจะต้องมีข้อมูลอื่นอยู่อีก อาจจะเป็นข้อมูลที่มีเนื้อหาไม่ได้สำคัญอะไรมาก..”ผมที่กล่าวออกมา พอลูเซียนได้ยินก็ยกฝ่ามือขึ้นมาชายคาง..
“อื้ม..? หะ..หืม เดี๋ยวนะ..รู้สึกว่าจะมีอยู่ ในรายงานได้ระบุเอาไว้ว่าทันทีที่กองกำลังแนวหน้าของพวกเราลอบเข้าไปในอาณาเขตของศัตรู แนวหน้าพวกนั้นก็ถูกฆ่าตายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่จำนวนที่ส่งไปก็ไม่ใช่น้อยๆ..”ลูเซียนที่บอกเล่าถึงเรื่องราว แสดงว่าในกองกำลังของข้าศึกจะต้องมีทหารที่มีฝีมืออยู่อย่างแน่นอน..
“สุดท้ายที่ผมอยากจะถามคือกลุยุทธ์ที่ผู้บัญชาการของทั้งสองเหล่าทัพใช้ในการจู่โจม แล้วกลยุทธ์ที่ศัตรูใช้ในการตอบโต้..”
“กลยุทธ์ที่ร้อยเอกลิลิธและผู้บัญชาการของหน่วยกระทิงสลาตันใช้คือการให้ทหารจำนวนหนึ่งยิงกระสุนเวทจู่โจมเข้าไปยังกองทัพของศัตรูและส่งกองกำลังระยะประชิดจำนวนหนึ่งกองร้อย แบ่งเป็นทารอนปีกซ้ายและคีทารัสปีกขวาฝั่งล่ะ 5 หมู่ (จำนวน 50 คน) ให้อ้อมเข้าไปโจมตีจากทางด้านข้าง โดยมีร้อยโทหรือผบ.ร้อยจากทั้งสองหน่วยเป็นผู้นำในการจู่โจม..
ส่วนกลยุทธ์ที่ศัตรูใช้โต้ตอบก็แค่ยิงกระสุนแรงดันเวทสวนกลับเข้ามา พวกมันแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าทางฝ่ายเราได้ส่งกองกำลังอ้อมเข้าไปประชิด แต่ก็อย่างที่บอกไปเมื่อข้างต้น ทันทีที่กองกำลังจู่โจมระยะประชิดเคลื่อนตัวเข้าไปในอาณาเขตของข้าศึก ทุกๆกลับถูกฆ่าตายจนหมด จะเหลือผู้รอดชีวิตก็แต่เพียงแค่ผบ.ร้อยทั้งสองนาย
แต่ยังไม่ทันที่จะได้รู้อะไร ทั้งสองคนก็กลับหมดสติเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียเลือดไปมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ร้อยเอกลิลิธสั่งถอนกำลังพลออกจากพื้นที่การปะทะ และรีบเขียนรายงานขอกำลังสนับสนุน..”ลูเซียนที่กล่าวสรุป จึงทำให้ในตอนนี้ผมเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆทั้งหมดแล้ว..
“แล้วตอนนี้ท่านนายพันคนไหนเป็นคนรับผิดชอบภารกิจนี้อยู่เหรอครับ..?”ผมที่ถามกับลูเซียนด้วยความสงสัย เพราะปกติแล้วร้อยเอกลิลิธจะต้องประสานงานกับผู้บังคับบัญชาของตัวเองอย่างนายพัน แต่ทว่าเธอกลับเขียนรายงานส่งมาให้กับพลตรีอย่างเทรนโดยตรง ผมจึงอยากจะรู้ว่าใครเป็นผู้ที่รับผิดชอบกับภารกิจในครั้งนี้..
“ฉันเองแหละ..พันตรีลากอสที่แต่เดิมรับผิดชอบภารกิจนี้ได้ถูกมอบหมายให้บัญชาการภารกิจอื่นเพิ่มอีกสามภารกิจ จนเจ้านั่นไม่สามารถแบกรับภาระทั้งหมดได้ ส่วนพวกพันตรีคนอื่นๆในหน่วยของฉันก็มีงานล้นมือ ภารกิจนี้จึงตกมาอยู่ในความรับผิดชอบของฉัน ทั้งๆที่ฉันเองก็ยังมีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบอยู่อีกตั้งกว่าหลายภารกิจ..”เทรนที่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมา ถ้าไม่ติดว่าเขาเองก็มีภารกิจอื่นที่ต้องทำอยู่อีก เขาก็คงจะไปลงพื้นที่ด้วยตัวเองแล้ว
“อย่าบ่นหน้า แกก็น่าจะรู้ดีว่าแต่ละอาณาจักรมันเปิดฉากโจมตีจักรวรรดิของเราแล้ว ไม่แปลกที่งานของพวกเราจะล้นมือ..”ลูเซียนที่กล่าวออกมา โดยที่ทางด้านของเทรนก็ได้แต่เอามือก่ายหน้าผาก..
“ตอนนี้ผมเข้าใจสถานการณ์หมดแล้ว แล้วท่านต้องการจะส่งผมไปทำอะไรล่ะครับ..?”ผมที่เปิดประเด็นเอ่ยถามต่อลูเซียน.
“หึ..ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ฉันต้องการส่งแกไปเพื่อพลิกสถานการณ์ สิ่งเดียวที่ฉันต้องการจากแกไม่ใช่การขับไล่พวกมันกลับไป แต่คือต้านกองกำลังของศัตรู เพื่อยืดระยะเวลารอจนกว่าที่กองกำลังสนับสนุนของคีทารัสจะส่งมาถึง..”ลูเซียนที่กล่าวออกมา เมื่อผมได้ยินแบบนั้นก็หรี่ตาลง..
“นั่นคือผลลัพธ์ที่ท่านได้จากการประเมินผมอย่างงั้นเหรอครับ อันที่จริงผมเองก็คิดแผนการขึ้นมาได้แล้ว ถึงมันค่อนข้างที่จะมีความเสี่ยงอยู่ก็เถอะ..”ผมที่ถามกับลูเซียน เพราะภารกิจที่เธอกำลังจะมอบหมายให้ผมไปทำ เป็นเพียงแค่การต้านศัตรูเอาไว้ ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่าผมเคยกวาดล้างกองร้อยของศัตรูด้วยตัวเพียงคนเดียวมาแล้ว แต่เธอกลับสั่งให้ผมทำเพียงแค่นั้น มันจึงเหมือนกับว่าเธอกำลังประเมินผมต่ำจนเกินไป..
“ฉันรู้ว่าแกอาจจะเป็นสัตว์ประหลาด เพราะรู้แบบนั้นฉันจึงเสียแกไปตอนนี้ไม่ได้ แต่ถ้าเกิดแกมั่นใจถึงขนาดที่อยากจะลองเสี่ยง ฉันก็จะไม่คัดค้านอะไร..”ลูเซียนที่กล่าว พลางเอามือผสานตั้งวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะแสยะรอยยิ้มออกมา..
“ท่านพลเอก..เฮ้อ ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี..”เทรนที่ถึงกับเอามือกุมขมับชนิดที่แทบจะไม่คลายมันออก เขาดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก..
“ผมเป็นพวกชอบทำอะไรเสี่ยงๆอยู่แล้วด้วยสิ ถ้าอย่างงั้น..”
“ฉันยังไม่พูดไม่จบ..”
ในขณะที่ผมกำลังกล่าว จู่ๆลูเซียนก็กล่าวแทรกเข้ามา..
“ถ้าแกอยากที่จะเสี่ยงจริงๆ ฉันมีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง ถ้าเกิดแกตกลงก็เชิญตามสบาย แต่ถ้าเกิดฟังแล้วคิดว่าทำไม่ได้ ก็จงทำตามภารกิจที่ฉันมอบหมายให้ดีที่สุด..”ลูเซียนที่บอกกับผม..
“เชิญว่ามาเลยครับ..”
“ฉันอนุญาติให้แกนำทหารออกไปทำภารกิจได้เพียงแค่ 50 นายเท่านั้น อีกทั้งยังจะจำกัดให้เอาไปแค่ยศสิบตรีถึงจ่าสิบตรี เพราะฉันไม่อยากจะสูญเสียทหารที่มีฝีมือไ..ป..”
“ตกลงครับ..”
ผมที่ตอบกลับลูเซียนทันควัน ก่อนที่เธอจะได้พูดจนจบเสียด้วยซ้ำ คำตอบของผมมันได้ทำให้เธอและพลตรีทั้งสามต่างต้องพากันอึ้ง..
“ดะ..เดี๋ยวสิ นี่แกคิดจะทำอะไรกันแน่ แผนของแกมันคืออะไร..?”เทรนที่กล่าวออกมา..
“เรื่องนั้นถ้าผมบอกไปท่านคงจะต้องคิดว่ามันเป็นแผนที่ไร้สาระแน่ๆ เพราะฉะนั้นผมขอไม่บอกจะได้ไหมครับ..”ผมที่ตอบกลับเทรน..
ปัง..!!!
“นี่แก..! ฉันเป็นผู้รับผิดชอบภารกิจนี้ ทำไมฉันถึงจะไม่มีสิทธิ์รู้..?”เทรนที่ถึงกับหน้าขึ้นสีทุบโต๊ะด้วยความโกรธ..
“พลตรีเทรน..นั่งลง..”ลูเซียนที่กล่าวออกมา..
“ตะ..แต่ว่าท่านครับ..”เทรนที่ถึงกับหน้าเสียกล่าวออกมา..
“ฉันสั่งว่าให้นั่งลง แกหูหนวกหรือไง..!”ลูเซียนที่ตวาดขึ้นเสียงทำให้เทรนที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับต้องหยุดชะงัก ก่อนจะจำใจกัดฟันทรุดตัวลงนั่ง..
“นี่..สิบตรีสตาร์ ภารกิจในครั้งนี้ถึงแม้จะต้องสูญเสียฐานที่มั่นจุดที่ 56 ไป มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงอะไร แต่แกรู้ไหมว่ามันจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของทารอนมากแค่ไหน แม้แต่คีทารัสเองก็คงจะต้องโดนผลกระทบนี้ไปด้วย
เหตุผลที่ทำให้ฉันตัดสินใจที่จะทำอะไรเสี่ยงๆอย่างการส่งแกไปก็เพราะว่าแกเคยสร้างผลงานอันน่าเหลือเชื่อเอาไว้ แต่ถ้าเกิดมีใครที่ไม่รู้มาเห็นเข้าไม่ว่าใครก็คงจะหาว่าฉันบ้า
เพราะฉะนั้นช่วยตอบให้ฉันได้ชื่นใจทีสิว่าอะไรที่ทำให้แกมั่นใจ จนถึงขั้นตอบตกลงแบบไม่ยั้งคิด แกไม่ได้แค่ทะนงในตัวเองหรือคิดจะพาทหารของฉันเข้าไปตายแบบไร้ค่าจริงไหม..”ลูเซียนที่กล่าวกับผมด้วบใบหน้าที่เคร่งขรึม..
“ผมนั้นตระหนักได้ถึงความสำคัญของภารกิจ ผมถึงคิดที่จะเสี่ยง ผมไม่ได้ทะนงตัว แต่ผมแค่มั่นใจในแผนการ และถ้าเกิดว่าจะต้องมีทหารสักนายที่ตาย ผมขอรับปากว่ามันจะไม่มีทางเป็นการตายที่ไร้ค่าหรือสูญเปล่าอย่างแน่นอน รวมถึงตัวของผมเองที่อาจจะต้องตายไปด้วยก็ตาม..”ผมที่กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้ลูเซียนและทุกๆคนที่ได้ยินต่างพากันเบิกดวงตากว้างขึ้น
“แกมั่นใจในแผนการของแก แต่ทุกๆคนในห้องนี้ไม่ แกคิดที่จะนำกองกำลังทหารจำนวน 50 นายเข้าไปเสี่ยงตาย ทั้งๆที่แม้แต่ร้อยเอกที่ผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชนก็ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้ แกจะให้พวกเราเชื่อในตัวของแกได้ยังไงกัน..”ลูเซียนที่นำเหตุผลมาถามผม..
“ถ้าท่านกังวล..ผมไม่ใช่แผนการที่เสี่ยงนั้นแล้วก็ได้..”
“ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่เชื่อในตัวของแกอยู่ดี ประเด็นตอนนี้มันอยู่ที่ว่า แกจะทำยังไงให้พวกเราเชื่อว่าแกจะทำภารกิจนี้ได้จนสำเร็จ..”ลูเซียนที่กล่าวออกมาและมันก็เริ่มที่จะทำให้ผมหงุดหงิด เมื่อไหร่ตูจะได้ไปทำภารกิจฟะ..
“ถ้างั้นผมขอถามหน่อย ผมไปขอให้พวกท่านเชื่อในตัวของผมตั้งแต่ตอนไหนเหรอครับ..?”
“อะไรนะ..?”ลูเซียนที่สบถออกมา ก่อนที่เธอจะชักสีหน้า..
“ก่อนหน้านี้ท่านก็พูดออกมาเองว่าสถานการณ์ในตอนนี้พวกเราไม่มีทางเลือก ท่านจะเชื่อผมหรือไม่เชื่อผม มันก็ไม่เห็นว่าจะสำคัญตรงไหน ในเมื่อสุดท้ายผมก็จะต้องถูกส่งตัวไปทำภารกิจนี้อยู่ดี
และถึงต่อให้ท่านจะนึกเปลี่ยนใจไม่ส่งผมไป ยังไงสุดท้ายแล้วกองร้อยที่เหลืออยู่ก็จะถูกฆ่าตายจนหมดอย่างแน่นอน ขนาดมีอยู่ตั้งสี่กองร้อยยังถูกกวาดจนเหลือแค่สองกองร้อย และสองกองร้อยที่เหลือท่านคิดว่าถ้าต้องปะทะกับข้าศึกอีกครั้ง ผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นแบบไหนกัน..”ผมที่กล่าวออกมา พอลูเซียนกับพลตรีทั้งสามได้ยินก็ถึงกับสะอึกเถียงไม่ออก..
“อึก..ก็อย่างที่แกพูดมานั้นแหละ เอาเถอะ..ยังไงพวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ คงมีแต่ต้องลองเสี่ยงดู..”ลูเซียนที่กล่าวออกมา ก่อนจะหันไปหาเทรน..
“พลตรีเทรน..ออกคำสั่งซะ..”ลูเซียนที่บอกกับเทรน เมื่ออีกฝ่ายได้ยินก็พลันก้มหน้าข่มตาลง พลางขบฟันแน่น เขาดูลำบากใจเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายแล้ว..
ฟุบ..!
“สิบตรีสตาร์..รับคำสั่ง..! ภารกิจฉุกเฉินระดับ 4..!”เทรนที่ชันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันมาเปล่งเสียงตะโกนเรียกผม..
“ครับ..!”ผมที่ยกฝ่ามือขึ้นมาทำวันทยาหัตถ์..
“ฉันขอมอบหมายหน้าที่และแต่งตั้งให้แก่เป็นผู้บัญชาการฐานที่มั่นจุดที่ 56 ชั่วคราว พร้อมทั้งขอมอบอำนาจในการตัดสินใจเด็ดขาดให้ ภารกิจในครั้งนี้ฉันต้องการให้แกปกป้องฐานที่มั่นจุดที่ 56 เอาไว้ จงทำทุกวิถีทางอย่าให้กองกำลังของไอ้พวกโนโทเปียมันได้ออกมาจากป่าเซลฟอสเป็นอันขาด..”
“รับทราบครับท่าน..!”ผมที่ขานรับเทรนเสียงดังฟังชัด เมื่อลูเซียนเห็นแบบนั้นก็ยกยิ้ม
ส่วนทางด้านของเจมิไนท์กับอาทิสก็ยังคงเงียบนิ่ง คนทั้งสองไม่ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นแต่อย่างใด พวกเขาคงจะรอดูแค่ผลลัพธ์..
“แกต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า..?”เทรนที่เอ่ยถามผม..
“ชุดเสื้อยืดสีดำ มีดสั้นคมๆสักสามสิบเล่ม ผมต้องการเพียงเท่านั้น..”ผมที่บอกกับเทรน ส่งผลทำให้อีกฝ่ายหรี่ตาลง..
“แกจะเอามีดไปให้ใครใช้ตั้งสามสิบเล่ม..”เทรนที่ขมวดคิ้วถามผม แต่แล้ว..
ฟุบ..!
ฟ้าว..!!!!!
หมับ..
ภายในชั่วพริบตา จู่ๆลูเซียนที่นั่งอยู่ก็ดึงมีสั้นที่ยังคงปักอยู่ออกมาจากพนักผิง พร้อมกับปามันออกมายังทิศทางของผม โดยที่ผมก็ใช้ง้ามนิ้วรับมันเอาไว้..
“หึ..แน่นอนว่าผมต้องใช้มันเองทั้งหมดอยู่แล้ว..”ผมที่กระตุกรอยยิ้มกล่าวออกมา ก่อนจะควงมีดสั้นในมือโชว์ไปหนึ่งสเต็ปและเก็บมันเข้ากระเป๋าไป ทำให้ทุกๆคนที่เห็นกับทึ่งเล็กน้อย
“ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวฉันจะให้คนจัดหามาให้ ฉันให้เวลาแกเตรียมความพร้อมครึ่งชั่วโมง ส่วนตอนนี้แกลงไปรอที่หน้าศูนย์บัญชาการก่อนเถอะ..”เทรนที่บอกกับผม..
“ครับ..”ผมที่ตอบกลับเทรน..
“ก่อนจะไป..ฉันอยากจะขอถามแกเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่แกได้กลายเป็นผู้นำของภารกิจ แกคิดว่าผลลัพธ์มันจะออกมาแตกต่างไปจากเดิมยังไง..?”ลูเซียนที่ยังไม่จบกับประเด็นนี้เอ่ยถามกับผม..
“ต่างยังไงเหรอครับ..? คำตอบมันง่ายมาก..หากท่านสร้างกองทัพพยัคฆ์ 100 ตัว แล้วให้สุนัขเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะศึกไหนเหล่าพยัคฆ์นั้นจะตายเยี่ยงสุนัข แต่ถ้าหากท่านสร้างกองทัพสุนัข 100 ตัว และให้พยัคฆ์เป็นผู้นำ สุนัขทั้ง 100 ตัวมันจะสู้อย่างอาจหาญเยี่ยงพยัคฆ์..”ผมที่กล่าวคำคมกระแทกใจออกมา พอลูเซียนและพลตรีทั้งสามได้ยินก็ต่างพากันอึ้ง..
“เยดเข้..! อย่างคมอ่ะ..”ไอ้จ้อนที่กล่าวออกมา ซึ่งความหมายของสิ่งที่ผมพึ่งจะพูดออกไป มันสื่อออกมาให้เห็นว่า..ไม่ว่าจะมีกองกำลังที่แข็งแกรงสักแค่ไหน แต่ถ้าเกิดมีผู้นำที่ไร้ความสามารถ นั่นก็เท่ากับหายนะ..
“อืม..แล้วฉันจะรอฟังข่าวดีนะ..”ลูเซียนที่หรี่ตาลง ก่อนจะกล่าวออกมา โดยที่ทางด้านของผมก็ยกฝ่ามือขึ้นมาทำวันทยาหัตถ์ ก่อนจะเตรียมเดินไปเปิดประตู..
“เดี๋ยวก่อน..ฉันลืมไปว่านี่เป็นภารกิจระดับ 4 แกจะตั้งชื่อภารกิจนี้ว่าอะไร ฉันจะได้เขียนลงไปในเอกสารมอบอำนาจถูก..”เทรนที่กล่าวออกมา เมื่อผมได้ยินแบบนั้นก็หยุดเดิน การที่เทรนถามแบบนี้ เขาคงคิดที่จะหลอกถามผม เขาตั้งใจที่จะให้ผมตั้งชื่อภารกิจ เพื่อที่จะวิเคราะห์ว่าแผนที่ผมกำลังจะใช้มันจะมีลักษณะแบบไหน
ในตอนนี้ร่างของผมกำลังหยุดชะงักเหมือนกับกำลังครุ่นคิด ก่อนที่ผมจะหันหน้าไปฉีกกระชากรอยยิ้มและให้คำตอบ..
“ภารกิจจู่โจมกวาดล้างพิฆาตทมิฬ..”สิ้นคำตอบของผม คนทั้งสี่ที่ได้รับคำตอบก็ถึงกับชะงักไป ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้าง ก่อนที่สุดท้ายแล้วผมจะตัดสินใจเดินออกจากห้องมา..
หลังจากนั้นไม่นานนักผมก็ได้ออกมายืนรออยู่ที่หน้าศูนย์บัญชาการ ในระหว่างที่ยืนอยู่ก็ชายคางของตัวเอง ก่อนจะเดินวนเวียนไปมา..
“เป็นอะไรอ่ะ..? อย่าบอกนะว่าแกไม่มั่นใจ..”ไอ้จ้อนที่ถามและคิดว่าผมกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องภารกิจ..
“เปล่า..ฉันกำลังนึกอยู่ว่าฉันลืมอะไร ฉันรู้สึกมาตั้งนานแล้ว แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก..”ผมที่บอกกับไอ้จ้อน..
“ลืม..? หะ..หืม จะว่าไปฉันก็รู้สึกเหมือนกัน ลืมอะไรฟะ..?”ไอ้จ้อนเองที่ก็รู้สึกเหมือนกันกับผม..
“สิบตรีสตาร์..”
ทันใดนั้นจู่ๆก็มีเสียงของใครบางคนที่เอ่ยดังขึ้น ทันทีที่ผมหันไปมองก็พบเข้ากับร่างของทหารยศจ่าสิบเอกคนหนึ่งที่เดินมาหยุด เขากำลังสะพายกระเป๋าเป้ที่มีเสียงเหล็กดังก๊องแก๊งอยู่ข้างใน
“ฉันจ่าสิบเอก ดิ๊ก..ได้รับคำสั่งจากท่านพลตรีให้พานายไปส่งยังฐานที่มั่นจุดที่ 56 ส่วนนี่คือเอกสารมอบอำนาจ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็บอก พวกเราจะออกเดินทางกัน..”จ่าสิบเอกกระจู๋ที่บอกกับผม พลางหยิบจดหมายออกมาให้ดูแต่ก็ไม่ได้ยื่นส่งให้ผม ถ้าไม่ติดเรื่องชื่อมองเผินๆเขาเป็นทหารที่ดูมีหน่วยก้านใช้ได้ เขาเป็นชายอายุประมาณ 30 ต้นๆ
ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิด สาเหตุที่เทรนสั่งให้ดิ๊กไปกับผมด้วย ก็เพื่อให้อีกฝ่ายไปประสานงานกับร้อยเอกลิลิธและส่งมอบภารกิจใหม่..
“ถ้างั้นก็ออกเดินทางกันเลยก็ได้ครับผมพร้อมแล้ว..”ผมที่บอกกับดิ๊ก
“อืม..ส่วนนี่ของที่นายสั่งเอาไว้..”ดิ๊กที่ยื่นกระเป๋าเป้ส่งมาให้ผม ถ้าให้เดาข้างในคงจะเป็นมีดที่ผมขอเอาไว้..
“ขอบคุณครับ..”ผมที่รับกระเป๋าเป้มาสะพาย..
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปเตรียมม้ามาให้ แล้วม้าของนายตัวไหนล่ะ ได้ตีเบอร์เอาไว้ไหม..?”ดิ๊กที่กล่าวกับผมและทำท่าจะเดินออกไป แต่ทว่าจากคำพูดนี้ มันกลับทำให้ผมต้องหยุดชะงัก ใบหน้าของผมพลันค่อยๆบิดเบี้ยวไปในทันที เมื่อนึกถึงสิ่งที่ลืมขึ้นมาได้..
“ชิบหาย..! เวเดอร์ลูกพ่อ..!!!”ไอ้จ้อนที่กู่ร้องออกมา..
Comments