ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 329: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกใต้พิภพทางทวีปตะวันออก (2)

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 329: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกใต้พิภพทางทวีปตะวันออก (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 329: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกใต้พิภพทางทวีปตะวันออก (2)

ใบหน้าของอาร์ทิสเต็มไปด้วยความสงสัย ในขณะที่ฉินเย่เริ่มเดินไปมาอย่างตื่นเต้นเนื่องจากในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว อย่างนี้นี่เอง… มันเป็นอย่างนี้นี่เอง !

เศษเสี้ยวความคิดที่กระจัดกระจายอยู่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันทันที หลังจากใช้เวลาอยู่กว่าสิบนาทีในการเรียบเรียงความคิดทั้งหมด เขาก็ระงับความรู้สึกของตัวเองและหันไปหาอาร์ทิส “อาร์ตี้ อย่าเพิ่งขัดข้า ข้าจะอธิบายให้ฟัง”

“ประการแรก เราดูที่แรงจูงใจของราชาผีทั้งสาม”

“ความคิดของพวกเขามีเพียงเป้าหมายเดียว และนั่นก็คือการป้องกันตัวจากการถูกจับโดยยมโลกและถูกกักขังภายใต้กงล้อแห่งสังสารวัฏอีกครั้ง แต่ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะต้องร่างข้อตกลงระหว่างกันเอาไว้แน่ว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถทนได้อีกต่อไป อีกสองฝ่ายที่เหลือจะต้องไปช่วยทันที”

อาร์ทิสพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่นางก็ยังคงมีความระมัดระวังอยู่ “อย่าเพิ่งแน่ใจนัก หากผิดพลาดอะไรขึ้นมา ทุกอย่างจะเป็นปัญหาได้”

“แต่ท่านเคยพิจารณาถึงแผนที่อาณาเขตของพื้นที่ใกล้เคียงบ้างหรือไม่ ?” ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น “ตะวันออกกลางมีโลกใต้พิภพที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานมากมาย และมันก็กระจัดกระจายตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ฮินดูสถานที่เป็นหนึ่งในโลกใต้พิภพที่ทรงพลังมากที่สุดในโลกตั้งอยู่ที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ในขณะที่ที่ราบตอนกลางของจีนตั้งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของประเทศ และนั่นก็เคยเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งของยมโลกแห่งเก่า ลองคิดดู หากท่านเป็นราชาผีทั้งสาม และสามารถหลบหนีออกจากยมโลกได้ ท่านจะไปที่ใด ?”

อาร์ทิสคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็เข้าใจ

สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือเขตแดนของรุส หรือไม่ก็พื้นที่บริเวณชายฝั่งของจีน

เทพแห่งความตายไร้นามของรุสไม่ได้สนใจกิจการเกี่ยวกับต่างประเทศมากนัก ในขณะที่พื้นที่บริเวณชายฝั่งของจีนก็อยู่ห่างจากญี่ปุ่นที่ถูกปกครองโดยอิซานามิซึ่งอยู่ขั้นฝู่จวินไม่มากนัก นางอาจจะเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวต่อแดนมนุษย์ แต่แทบจะไม่ยิ่งใหญ่เลยเมื่อเทียบกับโลกใต้พิภพอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ

ส่วนสามมณฑลทางตะวันตก ถึงแม้ว่าความตึงเครียดระหว่างอำนาจในพื้นที่แห่งนั้นจะค่อนข้างซับซ้อน แต่ทั้งหมดก็ล้วนอยู่ภายใต้เจ้านายตนเดียวกัน นอกจากนี้ พวกเขาก็ไม่ได้มีเขตแดนทับซ้อนเหมือนอย่างตะวันออกกลางด้วย

เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว มีเพียงสถานที่สามแห่งนี้เท่านั้นที่จะเป็นจุดที่ดีที่สุดในการตั้งรกรากของราชาผีทั้งสาม ที่สำคัญกว่านั้น พวกเขายังอยู่ใกล้กันเพียงพอที่จะสามารถไปช่วยเหลือกันได้ทันเวลาอีกด้วย

นางหันไปหาฉินเย่ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ชายผู้นี้… สามารถเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิทยามนุษย์ได้อย่างแม่นยำจนน่ากลัว… ไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถย้อนกระบวนการคิดทั้งหมดของราชาผีทั้งสามได้จากข้อมูลอันน้อยนิดพวกนี้ แม้แต่ภูตผีก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงการวิเคราะห์ที่เฉียบคมของเขาได้…

“แต่ด้วยเหตุผลเหล่านั้น พวกเขาจึงกลายเป็นสิ่งที่ปิดกั้นไม่ให้ราชทูตทั้ง 12 กลับเข้ามาในจีนเช่นกัน ! อาร์ตี้ บอกมา จุดประสงค์ของราชทูตทั้ง 12 คืออะไร ? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้าที่ของพวกเขาต่อยมโลกและสิทธิพิเศษที่พวกเขาจะได้รับ !”

อาร์ทิสยังไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อนัก ดังนั้นนางจึงเอ่ยว่า “ข้าราชการศักดินามีหน้าที่ในการดูแลรัฐบริวารของยมโลก พวกเขาจะต้องจ่ายส่วยให้ยมโลกในทุก ๆ 50 ปี ในทางกลับกัน… ยมโลกจะมอบทรัพยากรที่จำเป็นให้กับพวกเขา และยังให้ส่วนลด 30% สำหรับสินค้าพิเศษของยมโลกด้วย มันเป็นวิธีการปฏิบัติที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ราชวงศ์ศักดินาเก่า พวกเขาไม่เคยกลับไปมือเปล่าเลยสักครั้ง นี่คือการแสดงให้เห็นถึงอำนาจและความรุ่งเรืองของรัฐปกครอง… เดี๋ยวนะ… หรือว่าเจ้ากำลังจะบอกว่า…”

อาร์ทิสอ้าปากค้าง ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าฉินเย่พยายามจะสื่ออะไร และนางก็เริ่มคิดตามความคิดเหล่านั้น

ต่อให้ยมโลกแห่งเก่าล่มสลายไป แต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่ตัวสถานที่เองจะยังมีอยู่… และหากเป็นเช่นนั้น สินค้าพิเศษของยมโลกก็ย่อมต้องมีอยู่เช่นกัน ! นี่คือสินค้าพิเศษที่ถูกรวบรวมมาจากพื้นที่กว่า 9.6 ล้านตารางกิโลเมตรของยมโลกแห่งเก่า ! ข้าราชการศักดินาพวกนั้นจะสามารถกลืนศักดิ์ศรีของตนเองและยอมให้ราชาผีปิดเส้นทางสู่ความร่ำรวยของพวกเขาง่าย ๆ ได้อย่างไร ?!

และคิดหรือว่าพวกเขาจะยอมขออนุญาตจากราชาผีเพื่อเดินทางผ่านสิ่งกีดขวางใหม่ที่กั้นระหว่างพวกเขากับยมโลกแห่งเก่าอย่างปลอดภัย ?! หากราชาผีตัดสินใจที่จะปล้นพวกเขาเล่า ? ราชาผีพวกนี้ล้วนอยู่ขั้นฝู่จวิน… ขั้นฝู่จวินที่ไม่มีที่อื่นให้ไป ! พวกเขายากจนและกำลังจนปัญญา ! ใครก็ตามที่เป็นราชทูตทั้ง 12 ต่างก็ต้องเป็นกังวลทั้งนั้น !

“บางที… ราชาผีทั้งสามอาจไม่ได้นึกถึงการมีอยู่ของราชทูตทั้ง 12 ด้วยซ้ำ ความเป็นไปได้ที่แท้จริงก็คือมันเป็นหลังจากที่พวกเขาลงปักหลักในพื้นที่ต่าง ๆ ในจีนแล้วเท่านั้นที่พวกเขาพบว่าตัวเองได้ปิดกั้นทางเข้าสู่ยมโลกแห่งเก่าของเหล่าราชทูตทั้ง 12 ไปด้วย ซึ่งราชาผีทั้งสามนี้รู้เกี่ยวกับการล่มสลายของยมโลกแห่งเก่าอยู่แล้ว เมื่อลองพิจารณาไปไกลกว่านั้น ในไม่ช้า พวกเขาก็คงจะตระหนักได้ว่าการลงหลักโดยบังเอิญของตนเองทำให้พวกเขาสามารถขัดขวางราชทูตทั้ง 12 จากการแย่งชิงมรดกและทรัพยากรของยมโลกแห่งเก่าได้ ! และในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมพวกเขาจะต้องปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสแข็งแกร่งขึ้นด้วยเล่า ?”

อาร์ทิสพึมพำ “ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสงครามระหว่างหยินและหยางจึงยังไม่เกิดขึ้น… มันไม่ใช่แค่เราเท่านั้น แต่แดนมนุษย์ และราชาผีเอง…”

“ความตึงเครียดระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ดำเนินมาเป็นระยะเวลาร้อยกว่าปีแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าขั้นฝู่จวินที่แสนทรงพลังทั้งสามรู้ว่ายมโลกได้ล่มสลายไปแล้วและยังไม่เริ่มเปิดศึกกับแดนมนุษย์นั้นผิดปกติจากธรรมชาติของพวกเขาเป็นอย่างมาก มันจะต้องมีอะไรมากกว่านั้น… และนั่นก็คือกุญแจสำคัญของเรื่องนี้ ไม่ใช่แต่แดนมนุษย์เท่านั้นที่ขัดต่อผลประโยชน์ของพวกเขา แต่ราชทูตทั้ง 12 เองก็คอยขัดขวางพวกเขาอยู่เช่นกัน ! พวกเขาถูกล้อมรอบโดยทุกด้าน หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาตรวจจับถึงการปรากฏตัวของสมุดแห่งความเป็นตายได้จากการต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะ พวกเขาก็คงให้ความสำคัญกับการต่อกรกับราชทูตทั้ง 12 มากกว่าการจัดการกับแดนมนุษย์”

ฉินเย่พยักหน้า “ดังนั้นมันจึงไม่ถูกต้องที่เราจะคาดการณ์ว่าสงครามระหว่างปรโลกและแดนมนุษย์จะอุบัติขึ้นภายในสิบปี เพราะราชาผีจะต้องเลือกที่จะจัดการราชทูตทั้ง 12 ที่ปิดล้อมพวกเขาก่อนเป็นอันดับแรก !”

อาร์ทิสพยักหน้า “นั่นหมายความว่าเรายังมีเวลาวางแผนอีกมาก… สายตาแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร ? เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าสายตาของเจ้ามันไร้ซึ่งความเคารพอย่างสิ้นเชิงกัน ?”

ฉินเย่มองอาร์ทิสด้วยสายตาดูถูกก่อนจะละสายตาไปทันทีที่นางเอ่ยออกมา จากนั้นเขาก็กระแอมออกมา “ท่านตาฝาดไปเอง… ตาฝาดน่ะ… นอกจากนี้ ท่านไม่สังเกตเลยหรือ… มีโอกาสซ่อนอยู่ในสถานการณ์พวกนี้ ?”

อาร์ทิสส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ

โอกาส ?

โอกาสอะไร ?

โอกาสที่ไหน ?

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด งี่เง่า ! งี่เง่าจริง ๆ! ทำไมคนที่อยู่รอบตัวของเขาถึงไม่มีใครสามารถพูดคุยเรื่องเหล่านี้ได้อย่างเท่าเทียมกันบ้าง ? นี่มันเหงาชะมัด…

“ท่านไม่คิดหรือว่าราชาผีทั้งสามและราชทูตทั้ง 12 เป็นศัตรูตัวฉกาจที่พร้อมจะฆ่ากันเมื่อมีโอกาสหรือ ?” ฉินเย่หรี่ตาและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายขณะที่อธิบายด้วยความเจ็บปวด “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอถาม พวกเขาจะฆ่ากันได้อย่างไร ?”

อาร์ทิสยังคงไม่เข้าใจว่าฉินเย่ต้องการจะสื่ออะไร “ทำสงครามกัน ?”

ฉินเย่พยักหน้า จากนั้นก็จ้องหน้าอาร์ทิสราวกับนางคือคนโง่ ตั้งใจรอวินาทีที่หลอดไฟจะสว่างขึ้นเหนือศีรษะของนางอย่างใจจดใจจ่อ

แต่น่าเสียดาย อาร์ทิสเพียงมองตอบกลับมาด้วยแววตาว่างเปล่า

เสี้ยววินาทีถัดมา พร้อมกับการสะบัดแขนเสื้ออย่างรุนแรง ฉินเย่พบว่าตัวเองถูกส่งกระเด็นไกลออกมาประมาณสิบเมตร อาร์ทิสกัดฟันกรอด “เจ้าช่วยพูดมันออกมาทีเดียวเลยไม่ได้หรืออย่างไร ?! เจ้าก็รู้ดีว่าความฉลาดของข้า… ไม่ได้ถูกนำมาใช้กับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้”

ฉินเย่ลูบเอวของตัวเองหน้ายุ่ง อาย… นางกำลังอาย… แม้ว่าเส้นผมที่เหมือนกับแผงคอสิงโตของนางก็ยังสยายอย่างน่ากลัว แต่เขาก็สามารถพนันได้เลยว่านางกำลังอับอาย…

วิญญาณหมอผีที่ถูกจับมาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาดูภาพความวุ่นวายตรงหน้า

ช่างเป็นตุลาการนรกที่อวดดีเสียจริง… นางทำเรื่องเช่นนี้กับจ้าวนรกได้อย่างไร… นี่ไม่เทียบได้กับการก่อกบฏอย่างนั้นหรือ…

ฉินเย่ทำหน้ามุ่ยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระแอมออกมาก่อนจะเอ่ยกับอาร์ทิสด้วยน้ำเสียงที่ติดจะดูถูก “สงครามคือคำตอบ และพวกเขาต้องการสิ่งใดสำหรับการทำสงคราม ? นอกเหนือจากทหารวิญญาณ…”

“อาวุธ” อาร์ทิสตอบ ทันใดนั้น ร่างของนางก็สั่นสะท้าน แทบจะเหมือนกับว่านางเพิ่งกระโดดเข้าใส่น้ำพุที่เย็นฉ่ำในฤดูร้อน

นางเข้าใจแล้ว…

ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้ว !

ให้ตายเถอะ… หัวใจของเด็กหนุ่มผู้นี้ดำยิ่งกว่าน้ำหมึกเสียอีก ! หรือนางควรจะบอกว่าสมกับที่เป็นจ้าวนรกองค์ที่สามของยมโลกดี ? เขาสามารถทำให้การตัดสินใจที่แสนใจดำเช่นนี้ฟังดูเป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?

“การเป็นผู้ค้าอาวุธนั้นเป็นวิธีการหาเงินที่ง่ายที่สุดทางหนึ่ง” ฉินเย่แย้มยิ้มบางขณะที่ปัดฝุ่นเสื้อผ้าของตน “ท่านจำอิวาซากิเคียวยะได้หรือไม่ ? มิตซูบิชิ ? ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขามีอีกชื่อหนึ่งว่าอุตสาหกรรมหนักมิตซูบิชิ ? และท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขามีความเชี่ยวชาญในด้านใด ? พวกเขาเชี่ยวชาญในเรื่องของเครื่องบิน ปืนใหญ่ เรือและปืนที่ใช้กันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2… แล้วรู้หรือไม่ว่าพวกเขาทำเงินจากมันได้ทั้งหมดเท่าไหร่ ? พวกเขาเจริญรุ่งเรืองมากจนรัฐบาลของทางญี่ปุ่นต้องสั่งรื้อถอน ! แต่จนถึงตอนนี้ อุตสาหกรรมหนักมิตซูบิชิก็ยังเป็นหนึ่งในหกอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นอยู่ดี !”

“และลองดูตัวอย่างจากเกาะฟอร์โมซา[1] ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขาได้ระงบประมาณเท่าใดสำหรับการป้องกันตัวเองจากการรวมประเทศของจีน ? พวกเรากำลังพูดถึงเงินจำนวนมากกว่า 6 พันล้านหยวน หรือ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ! สงครามนั้นต้องใช้เงินจำนวนมาก ท่านคิดหรือว่าท่านสามารถสู้ได้โดยการสะบัดผมไปมา ? ผิดแล้ว ! ท่านจำเป็นต้องมีอาวุธและยุทโธปกรณ์ด้วย !… หยุด… ลดผมท่านลงเดี๋ยวนี้… เรากำลังพูดเรื่องจริงจังกันอยู่…”

อาร์ทิสมองอีกฝ่ายอย่างดุดันก่อนจะลดผมของตัวเองลง ฉินเย่เป็นเหมือนกับอัญมณีที่ซ่อนอยู่ในดิน ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสามารถมองเห็นโอกาสพวกนี้ได้ท่ามกลางวิกฤตทำให้นางรู้สึกเสียวสันหลัง

ยายเมิ่ง… ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองทำอะไรลงไป ? ท่านได้มอบเศษตราจ้าวนรกไว้ให้กับเด็กหนุ่มผู้น่าทึ่ง…

ฉินเย่กระแอมเบา ๆ “สงคราม… สามารถนำความร่ำรวยมาให้เรา รวมถึงความขัดแย้งสามด้านระหว่างยมโลกและราชาผี เรากำลังพูดถึงแนวรบทั้งหมด 15 แนว ท่านไม่คิดหรือว่า… ยมโลกจะสามารถพุ่งทะยานจากการใช้ผลประโยชน์เหล่านี้ ?”

อาร์ทิสจ้องมองฉินเย่ราวกับเห็นผี แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังเอ่ยว่า “นั่นเป็นแนวคิดที่ฟังดูดี แต่อาวุธทำลายล้างที่ทรงพลังอย่างโลงศพส่งวิญญาณและปืนใหญ่เพลิงพลังหยินนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยยันต์ที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก อาวุธของโลกใต้พิภพนั้นแตกต่างจากอาวุธปืนในแดนมนุษย์ตรงที่พวกมันถูกสร้างขึ้นจากรากฐานของยันต์และขับเคลื่อนด้วยหินวิญญาณ ก่อนหน้านี้ ยมโลกมีสาขาเรียนเฉพาะที่ชื่อว่าศาสตร์แห่งยันต์ มีเพียงนักวิชาการระดับสูงอย่างนักวิชาการในแดนมนุษย์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมในกระบวนการผลิตอาวุธทำลายล้างพวกนี้…”

แต่ก่อนที่อาร์ทิสจะเอ่ยจบ ฉินเย่ก็เริ่มกระดิกนิ้วใส่นาง “No no no”

อ๊ากกกก…. นี่เจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าจริง ๆ อย่างนั้นหรือ…

อาร์ทิสข่มความปรารถนาที่จะฉีกร่างของฉินเย่เป็นชิ้น ๆ ของตัวเองขณะที่เด็กหนุ่มเอ่ยต่อ “ยมโลกไม่มีทางปล่อยให้อาวุธเหล่านั้นหลุดออกไปนอกยมโลกใช่หรือไม่ ?”

“ใช่น่ะสิ! ”

“และมันก็ควรจะถูกเก็บไว้ในสถานที่ซึ่งยากต่อการบุกรุกใช่หรือไม่ ?”

“ใช่ !”

ฉินเย่ยิ้มบาง “สิ่งที่ข้าหมายถึงก็คือ… แม้แต่แมลงแห่งหายนะก็ไม่สามารถเจาะทะลุเกราะป้องกันของสถานที่พวกนั้นได้ใช่หรือไม่ ?”

ตู้ม !

อาร์ทิสเดินถอยหลังราวกับนางเพิ่งถูกฟ้าผ่าลงมา ริมฝีปากของนางสั่นเทาเล็กน้อย “นี่เจ้าเป็นปีศาจหรืออย่างไร…”

นางเข้าใจทุกอย่างแล้ว ภายใต้การบอกใบ้ที่แสนจะอดทนของฉินเย่ ในที่สุดนางก็เข้าใจแผนการทั้งหมดของอีกฝ่ายแล้ว

อาวุธทำลายล้างไม่ควรจะตกไปอยู่ในดินแดนอื่น แม้ว่าจะเป็นดินแดนที่ถูกปกครองโดยราชทูตทั้ง 12 เองก็ตาม หากพูดตามความจริง ยมโลกแห่งเก่าจะไม่มีทางยอมให้วัตถุดิบสำหรับการผลิตอาวุธเหล่านี้ตกไปอยู่ในความครอบครองของต่างชาติเด็ดขาด หากพูดอีกความหมายหนึ่งก็คือ ด้วยการขาดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การต่อสู้ระหว่างราชทูตทั้ง 12 และสามราชาผีจึงถูกจำกัดให้เป็นเพียงการต่อสู้ระยะประชิดที่เรียบง่ายที่สุด

และในกรณีนั้น ฝ่ายที่มีอาวุธที่มีประสิทธิภาพมากกว่าก็จะได้รับชัยชนะไปในการปะทะกันระหว่างทหารวิญญาณ

และด้วยเหตุนี้…

การล่มสลายของยมโลกแห่งเก่า การเกิดแมลงแห่งหายนะจำนวนนับหมื่น ! ให้ตายเถอะ… ไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มจะหมกมุ่นในความร่ำรวญและความรุ่งโรจน์ขนาดนี้ !

แน่นอน หากมันจบลงเพียงเท่านี้มันก็คงจะไม่มีอะไรมากนัก

แต่แผนการของฉินเย่กลับไกลกว่านั้นหลายก้าว

การโจมตีครั้งแรกของเขาด้วยตลาดอาวุธจะต้องสามารถสร้างเม็ดเงินที่เพียงพอสำหรับการขับเคลื่อนสถานการณ์ของตลาดใหม่ของยมโลกได้อย่างแน่นอน และจากนั้น โลกใต้พิภพอื่น ๆ ก็จะมองยมโลกแห่งใหม่ในลักษณะเดียวกันกับยมโลกแห่งเก่า…

แต่วิสัยทัศน์ของฉินเย่ไม่ได้หยุดอยู่เท่านั้น

เรายังไม่ได้พูดถึงมรดกของยมโลกแห่งเก่าที่พวกนางเก็บมาได้จากค่ายทหาร รวมถึงพิมพ์เขียวของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดของยมโลกแห่งเก่าอีก ฉินเย่ได้วางแผนที่จะใช้เงินก้อนแรกจากตลาดอาวุธในการพัฒนาศาสตร์แห่งยันต์ นอกจากนี้ มันยังมีความเป็นไปได้ที่อาวุธทำลายล้างของยมโลกแห่งเก่าอาจจะยังถูกเก็บอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยของยมโลกแห่งเก่าอีกด้วย ! หรือต่อให้มันไม่เป็นเช่นนั้น การถือกำเนิดขึ้นของศาสตร์แห่งยันต์ก็ย่อมหมายความว่าพวกเขาสามารถสร้างอาวุธทำลายล้างชิ้นแรกขึ้นมาจากพิมพ์เขียวที่พวกเขามีตอนนี้ได้ !

สงครามระหว่างยมโลกไม่สามารถทำความเข้าใจได้โดยใช้มุมมองของมนุษย์ ตราบใดที่มนุษยชาติยังไม่สูญพันธุ์ มันก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะขาดแคลนทหารวิญญาณ และมันก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบกว่าปีก่อนที่ความขัดแย้งเล็ก ๆ จะพัฒนาไปเป็นสงครามเต็มรูปแบบ

เจ้าอยากจะก่อกบฏอย่างนั้นหรื อ? เจ้าต้องการที่จะทำสงครามเช่นนั้นหรือ ?

ก็เอาสิ ! เมื่อพวกเจ้าพุ่งเข้ามาพร้อมกับชุดเกราะพวกนั้น ข้าจะระเบิดเจ้าเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยปืนใหญ่อันทรงพลัง !

นี่มัน… บ้าเกินไป… มันเกินไปมาก… อาร์ทิสตะลึงงัน

นี่เจ้ากำลังจะถลกหนังพวกเขามาแล้วส่งพวกเขาไปโรงเชือดอย่างนั้นหรือ ?

นี่ความเมตตาของเจ้ามันหายไปที่ใดหมด ?!

[1] ไต้หวัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 329: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกใต้พิภพทางทวีปตะวันออก (2)

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 329: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกใต้พิภพทางทวีปตะวันออก (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 329: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกใต้พิภพทางทวีปตะวันออก (2)

ใบหน้าของอาร์ทิสเต็มไปด้วยความสงสัย ในขณะที่ฉินเย่เริ่มเดินไปมาอย่างตื่นเต้นเนื่องจากในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว อย่างนี้นี่เอง… มันเป็นอย่างนี้นี่เอง !

เศษเสี้ยวความคิดที่กระจัดกระจายอยู่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันทันที หลังจากใช้เวลาอยู่กว่าสิบนาทีในการเรียบเรียงความคิดทั้งหมด เขาก็ระงับความรู้สึกของตัวเองและหันไปหาอาร์ทิส “อาร์ตี้ อย่าเพิ่งขัดข้า ข้าจะอธิบายให้ฟัง”

“ประการแรก เราดูที่แรงจูงใจของราชาผีทั้งสาม”

“ความคิดของพวกเขามีเพียงเป้าหมายเดียว และนั่นก็คือการป้องกันตัวจากการถูกจับโดยยมโลกและถูกกักขังภายใต้กงล้อแห่งสังสารวัฏอีกครั้ง แต่ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะต้องร่างข้อตกลงระหว่างกันเอาไว้แน่ว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถทนได้อีกต่อไป อีกสองฝ่ายที่เหลือจะต้องไปช่วยทันที”

อาร์ทิสพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่นางก็ยังคงมีความระมัดระวังอยู่ “อย่าเพิ่งแน่ใจนัก หากผิดพลาดอะไรขึ้นมา ทุกอย่างจะเป็นปัญหาได้”

“แต่ท่านเคยพิจารณาถึงแผนที่อาณาเขตของพื้นที่ใกล้เคียงบ้างหรือไม่ ?” ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น “ตะวันออกกลางมีโลกใต้พิภพที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานมากมาย และมันก็กระจัดกระจายตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ฮินดูสถานที่เป็นหนึ่งในโลกใต้พิภพที่ทรงพลังมากที่สุดในโลกตั้งอยู่ที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ในขณะที่ที่ราบตอนกลางของจีนตั้งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของประเทศ และนั่นก็เคยเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งของยมโลกแห่งเก่า ลองคิดดู หากท่านเป็นราชาผีทั้งสาม และสามารถหลบหนีออกจากยมโลกได้ ท่านจะไปที่ใด ?”

อาร์ทิสคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็เข้าใจ

สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือเขตแดนของรุส หรือไม่ก็พื้นที่บริเวณชายฝั่งของจีน

เทพแห่งความตายไร้นามของรุสไม่ได้สนใจกิจการเกี่ยวกับต่างประเทศมากนัก ในขณะที่พื้นที่บริเวณชายฝั่งของจีนก็อยู่ห่างจากญี่ปุ่นที่ถูกปกครองโดยอิซานามิซึ่งอยู่ขั้นฝู่จวินไม่มากนัก นางอาจจะเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวต่อแดนมนุษย์ แต่แทบจะไม่ยิ่งใหญ่เลยเมื่อเทียบกับโลกใต้พิภพอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ

ส่วนสามมณฑลทางตะวันตก ถึงแม้ว่าความตึงเครียดระหว่างอำนาจในพื้นที่แห่งนั้นจะค่อนข้างซับซ้อน แต่ทั้งหมดก็ล้วนอยู่ภายใต้เจ้านายตนเดียวกัน นอกจากนี้ พวกเขาก็ไม่ได้มีเขตแดนทับซ้อนเหมือนอย่างตะวันออกกลางด้วย

เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว มีเพียงสถานที่สามแห่งนี้เท่านั้นที่จะเป็นจุดที่ดีที่สุดในการตั้งรกรากของราชาผีทั้งสาม ที่สำคัญกว่านั้น พวกเขายังอยู่ใกล้กันเพียงพอที่จะสามารถไปช่วยเหลือกันได้ทันเวลาอีกด้วย

นางหันไปหาฉินเย่ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ชายผู้นี้… สามารถเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิทยามนุษย์ได้อย่างแม่นยำจนน่ากลัว… ไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถย้อนกระบวนการคิดทั้งหมดของราชาผีทั้งสามได้จากข้อมูลอันน้อยนิดพวกนี้ แม้แต่ภูตผีก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงการวิเคราะห์ที่เฉียบคมของเขาได้…

“แต่ด้วยเหตุผลเหล่านั้น พวกเขาจึงกลายเป็นสิ่งที่ปิดกั้นไม่ให้ราชทูตทั้ง 12 กลับเข้ามาในจีนเช่นกัน ! อาร์ตี้ บอกมา จุดประสงค์ของราชทูตทั้ง 12 คืออะไร ? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้าที่ของพวกเขาต่อยมโลกและสิทธิพิเศษที่พวกเขาจะได้รับ !”

อาร์ทิสยังไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อนัก ดังนั้นนางจึงเอ่ยว่า “ข้าราชการศักดินามีหน้าที่ในการดูแลรัฐบริวารของยมโลก พวกเขาจะต้องจ่ายส่วยให้ยมโลกในทุก ๆ 50 ปี ในทางกลับกัน… ยมโลกจะมอบทรัพยากรที่จำเป็นให้กับพวกเขา และยังให้ส่วนลด 30% สำหรับสินค้าพิเศษของยมโลกด้วย มันเป็นวิธีการปฏิบัติที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ราชวงศ์ศักดินาเก่า พวกเขาไม่เคยกลับไปมือเปล่าเลยสักครั้ง นี่คือการแสดงให้เห็นถึงอำนาจและความรุ่งเรืองของรัฐปกครอง… เดี๋ยวนะ… หรือว่าเจ้ากำลังจะบอกว่า…”

อาร์ทิสอ้าปากค้าง ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าฉินเย่พยายามจะสื่ออะไร และนางก็เริ่มคิดตามความคิดเหล่านั้น

ต่อให้ยมโลกแห่งเก่าล่มสลายไป แต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่ตัวสถานที่เองจะยังมีอยู่… และหากเป็นเช่นนั้น สินค้าพิเศษของยมโลกก็ย่อมต้องมีอยู่เช่นกัน ! นี่คือสินค้าพิเศษที่ถูกรวบรวมมาจากพื้นที่กว่า 9.6 ล้านตารางกิโลเมตรของยมโลกแห่งเก่า ! ข้าราชการศักดินาพวกนั้นจะสามารถกลืนศักดิ์ศรีของตนเองและยอมให้ราชาผีปิดเส้นทางสู่ความร่ำรวยของพวกเขาง่าย ๆ ได้อย่างไร ?!

และคิดหรือว่าพวกเขาจะยอมขออนุญาตจากราชาผีเพื่อเดินทางผ่านสิ่งกีดขวางใหม่ที่กั้นระหว่างพวกเขากับยมโลกแห่งเก่าอย่างปลอดภัย ?! หากราชาผีตัดสินใจที่จะปล้นพวกเขาเล่า ? ราชาผีพวกนี้ล้วนอยู่ขั้นฝู่จวิน… ขั้นฝู่จวินที่ไม่มีที่อื่นให้ไป ! พวกเขายากจนและกำลังจนปัญญา ! ใครก็ตามที่เป็นราชทูตทั้ง 12 ต่างก็ต้องเป็นกังวลทั้งนั้น !

“บางที… ราชาผีทั้งสามอาจไม่ได้นึกถึงการมีอยู่ของราชทูตทั้ง 12 ด้วยซ้ำ ความเป็นไปได้ที่แท้จริงก็คือมันเป็นหลังจากที่พวกเขาลงปักหลักในพื้นที่ต่าง ๆ ในจีนแล้วเท่านั้นที่พวกเขาพบว่าตัวเองได้ปิดกั้นทางเข้าสู่ยมโลกแห่งเก่าของเหล่าราชทูตทั้ง 12 ไปด้วย ซึ่งราชาผีทั้งสามนี้รู้เกี่ยวกับการล่มสลายของยมโลกแห่งเก่าอยู่แล้ว เมื่อลองพิจารณาไปไกลกว่านั้น ในไม่ช้า พวกเขาก็คงจะตระหนักได้ว่าการลงหลักโดยบังเอิญของตนเองทำให้พวกเขาสามารถขัดขวางราชทูตทั้ง 12 จากการแย่งชิงมรดกและทรัพยากรของยมโลกแห่งเก่าได้ ! และในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมพวกเขาจะต้องปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสแข็งแกร่งขึ้นด้วยเล่า ?”

อาร์ทิสพึมพำ “ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสงครามระหว่างหยินและหยางจึงยังไม่เกิดขึ้น… มันไม่ใช่แค่เราเท่านั้น แต่แดนมนุษย์ และราชาผีเอง…”

“ความตึงเครียดระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ดำเนินมาเป็นระยะเวลาร้อยกว่าปีแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าขั้นฝู่จวินที่แสนทรงพลังทั้งสามรู้ว่ายมโลกได้ล่มสลายไปแล้วและยังไม่เริ่มเปิดศึกกับแดนมนุษย์นั้นผิดปกติจากธรรมชาติของพวกเขาเป็นอย่างมาก มันจะต้องมีอะไรมากกว่านั้น… และนั่นก็คือกุญแจสำคัญของเรื่องนี้ ไม่ใช่แต่แดนมนุษย์เท่านั้นที่ขัดต่อผลประโยชน์ของพวกเขา แต่ราชทูตทั้ง 12 เองก็คอยขัดขวางพวกเขาอยู่เช่นกัน ! พวกเขาถูกล้อมรอบโดยทุกด้าน หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาตรวจจับถึงการปรากฏตัวของสมุดแห่งความเป็นตายได้จากการต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะ พวกเขาก็คงให้ความสำคัญกับการต่อกรกับราชทูตทั้ง 12 มากกว่าการจัดการกับแดนมนุษย์”

ฉินเย่พยักหน้า “ดังนั้นมันจึงไม่ถูกต้องที่เราจะคาดการณ์ว่าสงครามระหว่างปรโลกและแดนมนุษย์จะอุบัติขึ้นภายในสิบปี เพราะราชาผีจะต้องเลือกที่จะจัดการราชทูตทั้ง 12 ที่ปิดล้อมพวกเขาก่อนเป็นอันดับแรก !”

อาร์ทิสพยักหน้า “นั่นหมายความว่าเรายังมีเวลาวางแผนอีกมาก… สายตาแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร ? เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าสายตาของเจ้ามันไร้ซึ่งความเคารพอย่างสิ้นเชิงกัน ?”

ฉินเย่มองอาร์ทิสด้วยสายตาดูถูกก่อนจะละสายตาไปทันทีที่นางเอ่ยออกมา จากนั้นเขาก็กระแอมออกมา “ท่านตาฝาดไปเอง… ตาฝาดน่ะ… นอกจากนี้ ท่านไม่สังเกตเลยหรือ… มีโอกาสซ่อนอยู่ในสถานการณ์พวกนี้ ?”

อาร์ทิสส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ

โอกาส ?

โอกาสอะไร ?

โอกาสที่ไหน ?

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด งี่เง่า ! งี่เง่าจริง ๆ! ทำไมคนที่อยู่รอบตัวของเขาถึงไม่มีใครสามารถพูดคุยเรื่องเหล่านี้ได้อย่างเท่าเทียมกันบ้าง ? นี่มันเหงาชะมัด…

“ท่านไม่คิดหรือว่าราชาผีทั้งสามและราชทูตทั้ง 12 เป็นศัตรูตัวฉกาจที่พร้อมจะฆ่ากันเมื่อมีโอกาสหรือ ?” ฉินเย่หรี่ตาและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายขณะที่อธิบายด้วยความเจ็บปวด “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอถาม พวกเขาจะฆ่ากันได้อย่างไร ?”

อาร์ทิสยังคงไม่เข้าใจว่าฉินเย่ต้องการจะสื่ออะไร “ทำสงครามกัน ?”

ฉินเย่พยักหน้า จากนั้นก็จ้องหน้าอาร์ทิสราวกับนางคือคนโง่ ตั้งใจรอวินาทีที่หลอดไฟจะสว่างขึ้นเหนือศีรษะของนางอย่างใจจดใจจ่อ

แต่น่าเสียดาย อาร์ทิสเพียงมองตอบกลับมาด้วยแววตาว่างเปล่า

เสี้ยววินาทีถัดมา พร้อมกับการสะบัดแขนเสื้ออย่างรุนแรง ฉินเย่พบว่าตัวเองถูกส่งกระเด็นไกลออกมาประมาณสิบเมตร อาร์ทิสกัดฟันกรอด “เจ้าช่วยพูดมันออกมาทีเดียวเลยไม่ได้หรืออย่างไร ?! เจ้าก็รู้ดีว่าความฉลาดของข้า… ไม่ได้ถูกนำมาใช้กับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้”

ฉินเย่ลูบเอวของตัวเองหน้ายุ่ง อาย… นางกำลังอาย… แม้ว่าเส้นผมที่เหมือนกับแผงคอสิงโตของนางก็ยังสยายอย่างน่ากลัว แต่เขาก็สามารถพนันได้เลยว่านางกำลังอับอาย…

วิญญาณหมอผีที่ถูกจับมาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาดูภาพความวุ่นวายตรงหน้า

ช่างเป็นตุลาการนรกที่อวดดีเสียจริง… นางทำเรื่องเช่นนี้กับจ้าวนรกได้อย่างไร… นี่ไม่เทียบได้กับการก่อกบฏอย่างนั้นหรือ…

ฉินเย่ทำหน้ามุ่ยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระแอมออกมาก่อนจะเอ่ยกับอาร์ทิสด้วยน้ำเสียงที่ติดจะดูถูก “สงครามคือคำตอบ และพวกเขาต้องการสิ่งใดสำหรับการทำสงคราม ? นอกเหนือจากทหารวิญญาณ…”

“อาวุธ” อาร์ทิสตอบ ทันใดนั้น ร่างของนางก็สั่นสะท้าน แทบจะเหมือนกับว่านางเพิ่งกระโดดเข้าใส่น้ำพุที่เย็นฉ่ำในฤดูร้อน

นางเข้าใจแล้ว…

ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้ว !

ให้ตายเถอะ… หัวใจของเด็กหนุ่มผู้นี้ดำยิ่งกว่าน้ำหมึกเสียอีก ! หรือนางควรจะบอกว่าสมกับที่เป็นจ้าวนรกองค์ที่สามของยมโลกดี ? เขาสามารถทำให้การตัดสินใจที่แสนใจดำเช่นนี้ฟังดูเป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?

“การเป็นผู้ค้าอาวุธนั้นเป็นวิธีการหาเงินที่ง่ายที่สุดทางหนึ่ง” ฉินเย่แย้มยิ้มบางขณะที่ปัดฝุ่นเสื้อผ้าของตน “ท่านจำอิวาซากิเคียวยะได้หรือไม่ ? มิตซูบิชิ ? ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขามีอีกชื่อหนึ่งว่าอุตสาหกรรมหนักมิตซูบิชิ ? และท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขามีความเชี่ยวชาญในด้านใด ? พวกเขาเชี่ยวชาญในเรื่องของเครื่องบิน ปืนใหญ่ เรือและปืนที่ใช้กันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2… แล้วรู้หรือไม่ว่าพวกเขาทำเงินจากมันได้ทั้งหมดเท่าไหร่ ? พวกเขาเจริญรุ่งเรืองมากจนรัฐบาลของทางญี่ปุ่นต้องสั่งรื้อถอน ! แต่จนถึงตอนนี้ อุตสาหกรรมหนักมิตซูบิชิก็ยังเป็นหนึ่งในหกอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นอยู่ดี !”

“และลองดูตัวอย่างจากเกาะฟอร์โมซา[1] ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขาได้ระงบประมาณเท่าใดสำหรับการป้องกันตัวเองจากการรวมประเทศของจีน ? พวกเรากำลังพูดถึงเงินจำนวนมากกว่า 6 พันล้านหยวน หรือ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ! สงครามนั้นต้องใช้เงินจำนวนมาก ท่านคิดหรือว่าท่านสามารถสู้ได้โดยการสะบัดผมไปมา ? ผิดแล้ว ! ท่านจำเป็นต้องมีอาวุธและยุทโธปกรณ์ด้วย !… หยุด… ลดผมท่านลงเดี๋ยวนี้… เรากำลังพูดเรื่องจริงจังกันอยู่…”

อาร์ทิสมองอีกฝ่ายอย่างดุดันก่อนจะลดผมของตัวเองลง ฉินเย่เป็นเหมือนกับอัญมณีที่ซ่อนอยู่ในดิน ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสามารถมองเห็นโอกาสพวกนี้ได้ท่ามกลางวิกฤตทำให้นางรู้สึกเสียวสันหลัง

ยายเมิ่ง… ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองทำอะไรลงไป ? ท่านได้มอบเศษตราจ้าวนรกไว้ให้กับเด็กหนุ่มผู้น่าทึ่ง…

ฉินเย่กระแอมเบา ๆ “สงคราม… สามารถนำความร่ำรวยมาให้เรา รวมถึงความขัดแย้งสามด้านระหว่างยมโลกและราชาผี เรากำลังพูดถึงแนวรบทั้งหมด 15 แนว ท่านไม่คิดหรือว่า… ยมโลกจะสามารถพุ่งทะยานจากการใช้ผลประโยชน์เหล่านี้ ?”

อาร์ทิสจ้องมองฉินเย่ราวกับเห็นผี แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังเอ่ยว่า “นั่นเป็นแนวคิดที่ฟังดูดี แต่อาวุธทำลายล้างที่ทรงพลังอย่างโลงศพส่งวิญญาณและปืนใหญ่เพลิงพลังหยินนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยยันต์ที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก อาวุธของโลกใต้พิภพนั้นแตกต่างจากอาวุธปืนในแดนมนุษย์ตรงที่พวกมันถูกสร้างขึ้นจากรากฐานของยันต์และขับเคลื่อนด้วยหินวิญญาณ ก่อนหน้านี้ ยมโลกมีสาขาเรียนเฉพาะที่ชื่อว่าศาสตร์แห่งยันต์ มีเพียงนักวิชาการระดับสูงอย่างนักวิชาการในแดนมนุษย์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมในกระบวนการผลิตอาวุธทำลายล้างพวกนี้…”

แต่ก่อนที่อาร์ทิสจะเอ่ยจบ ฉินเย่ก็เริ่มกระดิกนิ้วใส่นาง “No no no”

อ๊ากกกก…. นี่เจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าจริง ๆ อย่างนั้นหรือ…

อาร์ทิสข่มความปรารถนาที่จะฉีกร่างของฉินเย่เป็นชิ้น ๆ ของตัวเองขณะที่เด็กหนุ่มเอ่ยต่อ “ยมโลกไม่มีทางปล่อยให้อาวุธเหล่านั้นหลุดออกไปนอกยมโลกใช่หรือไม่ ?”

“ใช่น่ะสิ! ”

“และมันก็ควรจะถูกเก็บไว้ในสถานที่ซึ่งยากต่อการบุกรุกใช่หรือไม่ ?”

“ใช่ !”

ฉินเย่ยิ้มบาง “สิ่งที่ข้าหมายถึงก็คือ… แม้แต่แมลงแห่งหายนะก็ไม่สามารถเจาะทะลุเกราะป้องกันของสถานที่พวกนั้นได้ใช่หรือไม่ ?”

ตู้ม !

อาร์ทิสเดินถอยหลังราวกับนางเพิ่งถูกฟ้าผ่าลงมา ริมฝีปากของนางสั่นเทาเล็กน้อย “นี่เจ้าเป็นปีศาจหรืออย่างไร…”

นางเข้าใจทุกอย่างแล้ว ภายใต้การบอกใบ้ที่แสนจะอดทนของฉินเย่ ในที่สุดนางก็เข้าใจแผนการทั้งหมดของอีกฝ่ายแล้ว

อาวุธทำลายล้างไม่ควรจะตกไปอยู่ในดินแดนอื่น แม้ว่าจะเป็นดินแดนที่ถูกปกครองโดยราชทูตทั้ง 12 เองก็ตาม หากพูดตามความจริง ยมโลกแห่งเก่าจะไม่มีทางยอมให้วัตถุดิบสำหรับการผลิตอาวุธเหล่านี้ตกไปอยู่ในความครอบครองของต่างชาติเด็ดขาด หากพูดอีกความหมายหนึ่งก็คือ ด้วยการขาดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การต่อสู้ระหว่างราชทูตทั้ง 12 และสามราชาผีจึงถูกจำกัดให้เป็นเพียงการต่อสู้ระยะประชิดที่เรียบง่ายที่สุด

และในกรณีนั้น ฝ่ายที่มีอาวุธที่มีประสิทธิภาพมากกว่าก็จะได้รับชัยชนะไปในการปะทะกันระหว่างทหารวิญญาณ

และด้วยเหตุนี้…

การล่มสลายของยมโลกแห่งเก่า การเกิดแมลงแห่งหายนะจำนวนนับหมื่น ! ให้ตายเถอะ… ไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มจะหมกมุ่นในความร่ำรวญและความรุ่งโรจน์ขนาดนี้ !

แน่นอน หากมันจบลงเพียงเท่านี้มันก็คงจะไม่มีอะไรมากนัก

แต่แผนการของฉินเย่กลับไกลกว่านั้นหลายก้าว

การโจมตีครั้งแรกของเขาด้วยตลาดอาวุธจะต้องสามารถสร้างเม็ดเงินที่เพียงพอสำหรับการขับเคลื่อนสถานการณ์ของตลาดใหม่ของยมโลกได้อย่างแน่นอน และจากนั้น โลกใต้พิภพอื่น ๆ ก็จะมองยมโลกแห่งใหม่ในลักษณะเดียวกันกับยมโลกแห่งเก่า…

แต่วิสัยทัศน์ของฉินเย่ไม่ได้หยุดอยู่เท่านั้น

เรายังไม่ได้พูดถึงมรดกของยมโลกแห่งเก่าที่พวกนางเก็บมาได้จากค่ายทหาร รวมถึงพิมพ์เขียวของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดของยมโลกแห่งเก่าอีก ฉินเย่ได้วางแผนที่จะใช้เงินก้อนแรกจากตลาดอาวุธในการพัฒนาศาสตร์แห่งยันต์ นอกจากนี้ มันยังมีความเป็นไปได้ที่อาวุธทำลายล้างของยมโลกแห่งเก่าอาจจะยังถูกเก็บอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยของยมโลกแห่งเก่าอีกด้วย ! หรือต่อให้มันไม่เป็นเช่นนั้น การถือกำเนิดขึ้นของศาสตร์แห่งยันต์ก็ย่อมหมายความว่าพวกเขาสามารถสร้างอาวุธทำลายล้างชิ้นแรกขึ้นมาจากพิมพ์เขียวที่พวกเขามีตอนนี้ได้ !

สงครามระหว่างยมโลกไม่สามารถทำความเข้าใจได้โดยใช้มุมมองของมนุษย์ ตราบใดที่มนุษยชาติยังไม่สูญพันธุ์ มันก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะขาดแคลนทหารวิญญาณ และมันก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบกว่าปีก่อนที่ความขัดแย้งเล็ก ๆ จะพัฒนาไปเป็นสงครามเต็มรูปแบบ

เจ้าอยากจะก่อกบฏอย่างนั้นหรื อ? เจ้าต้องการที่จะทำสงครามเช่นนั้นหรือ ?

ก็เอาสิ ! เมื่อพวกเจ้าพุ่งเข้ามาพร้อมกับชุดเกราะพวกนั้น ข้าจะระเบิดเจ้าเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยปืนใหญ่อันทรงพลัง !

นี่มัน… บ้าเกินไป… มันเกินไปมาก… อาร์ทิสตะลึงงัน

นี่เจ้ากำลังจะถลกหนังพวกเขามาแล้วส่งพวกเขาไปโรงเชือดอย่างนั้นหรือ ?

นี่ความเมตตาของเจ้ามันหายไปที่ใดหมด ?!

[1] ไต้หวัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+